+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ

แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์

นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้

นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา

โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก

ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว

แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ

สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D


ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ

สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ

ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน

ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555

Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน

ตอน: ตอนที่ 17

เกือบแปดนาฬิกาแล้ว แต่โต๊ะอาหารเช้า ณ บ้านปรเมศวร์ยังมีเพียงธนาและภรรยาทั้งสอง บรรยากาศในเช้าวันนี้จึงเงียบและอึดอัดเช่นเคย

เพียงริสาลงมาเข้าโต๊ะอาหาร ธนาก็พับหนังสือพิมพ์ธุรกิจวางไว้ข้าง ๆ มองเธอด้วยสายตาคาดคั้น “เตี่ยได้ยินว่าซูเปอร์โคลาจ้างบริษัทประเมินมูลค่าหุ้นพีอาร์เอ็มเพื่อเตรียมทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ [1] ลื้อรู้เรื่องนี้บ้างไหม”

“หยงได้ยินมาเหมือนกันค่ะ เมื่อวานหุ้นพีอาร์เอ็มปิดตลาดที่ ๑๕.๘๐ บาท คาดว่าซูเปอร์โคลาจะรับซื้อที่ ๒๙ บาท โดยต้องการประมาณเจ็ดสิบล้านหุ้นคิดเป็น ๒๖% ถ้าเทนเดอร์ครั้งนี้สำเร็จ จะทำให้ซูเปอร์โคลาไทยแลนด์ถือหุ้นรวมเกือบ ๖๘% ซึ่งถ้าดูจากนโยบายแข็งกร้าวที่เขาปฏิบัติกับเราในระยะหลัง ๆ หยงเกรงว่า ทางโน้นน่าจะไม่สนใจความสัมพันธ์เก่า ๆ และอาจเลือกใช้อำนาจเสียงข้างมากโหวตปลดพวกเราออกแล้วตั้งคณะกรรมการบริหารชุดใหม่แทน”

“ซูเปอร์โคลาพยายามจะเข้าครอบครองกิจการอย่างไม่เป็นมิตร (Hostile Takeover) งั้นเหรอ ปกติมีแต่เมืองนอกทำกัน เตี่ยไม่เคยได้ยินว่าเคยมีใครทำแบบนี้ในเมืองไทยเลยนะ สาวัชรู้เรื่องนี้หรือยัง อีว่ายังไงบ้าง”

ริสาหงุดหงิดที่ได้ยินชื่อน้องต่างมารดา แถมบิดายังห่วงใยอยากรู้อีกว่าคนไร้น้ำยานั่นคิดอ่านกับเรื่องนี้อย่างไร น่าโมโหนัก!

“สาวัชน่าจะยังไม่รู้เรื่องนี้ เพราะมันเป็นข่าวที่มีแต่คนวงในเท่านั้นถึงทราบ”

“ลื้อเรียกประชุมบอร์ดบริหารด่วนบ่ายนี้เลย อ้อ...แล้วสาวัชไปไหน ควรเรียกอีมารับรู้ด้วยกันนะ” ธนาตะโกนสั่งเด็กรับใช้ให้ไปเรียกบุตรชายคนเล็กมาพบ

สาวใช้หายไปพักใหญ่จึงมารายงาน “คุณสาวัชไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้ค่ะ”

“โทร.หาตี๋ลื้อหน่อยสิอาหยง” ธนาสั่งสีหน้าหงุดหงิดยิ่งขึ้น

ริสาอยากถามพ่อนักว่าทำไมไม่ให้ตามตัวน้องชายคนรองบ้าง แต่เพราะไม่

อาจเรียกร้องคำอธิบายใด หญิงสาวจึงจำต้องเรียกไปยังเลขหมายของสาวัช รอจนอีกฝ่ายรับสายแล้ว จึงส่งโทรศัพท์ให้บิดา

ธนาไม่อารัมภบท แต่เข้าเรื่องด้วยการออกคำสั่งเช่นเคย “เตี่ยเรียกประชุมผู้บริหารบ่ายนี้นะสาวัช ลื้อต้องเข้าประชุมด้วย เข้าใจไหม! ”



“เดี๋ยว ๆ ๆ คุณจะไปไหน” อิงอรุณโวยเสียงหลง เมื่อสาวัชกลับมาจากการรับโทรศัพท์นอกห้อง เดินไปหยิบเสื้อสูทซึ่งพาดอยู่บนโซฟาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“ทำงานสิ บ่ายนี้ผมมีประชุม”

“ไปด้วย” อิงอรุณสลัดผ้าห่มออกทันที

สาวัชกวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จงใจให้เห็นว่าหมิ่นแคลน “เอาตัวเองให้รอดก่อน แล้วค่อยคิดไปทำงานดีกว่าไหม”

“อิงโอเคแล้วนะคะ” เธอยกหลังมืออังหน้าผากตัวเอง “ไข้ก็ไม่มีแล้ว ส่วนแผลที่ขา วันนี้อิงจะสวมรองเท้าไม่มีส้น รับรองว่าแผลไม่อักเสบเพิ่มหรอก”

“ตั้งแต่รู้จักคุณ ผมมาโรงพยาบาลบ่อยกว่าที่เคยมาตลอดชีวิตรวมกันซะอีก” สาวัชกระแทกเสียง “เพราะฉะนั้นอย่าให้มีครั้งหน้าอีกเลย คุณอยากไปไหนก็โทร.เรียกคนที่บ้านมารับละกัน เราสองคนน่ะ ไม่ต้องเจอกันอีกเลยคงดีที่สุด”

“คุณทำตัวร้ายกาจแบบนี้ได้ยังไงคะ ที่อิงบาดเจ็บเนี่ย ก็เพราะคุณนะ”

“ผม?” สาวัชไม่เชื่อหูตัวเอง “สมองกระทบกระเทือนหรือไง พูดจาไม่คิด”

“เพราะคุณจริง ๆ นะ ก็ตอนนั้นอิงเรียกคุณ แล้วคุณก็หันมาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง อิงกำลังจะไปสบทบก็เลยไม่ทันระวังตัว ถ้าคุณไม่หันมาทำท่าแบบนั้น อิงก็คงมองซ้ายขวาดี ๆ ไม่โดนกระชากกระเป๋าหรอก” คนหัวหมอโบ้ยกันดื้อ ๆ

“ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจ ก็เชิญตามสบาย” เขาพูดพลางสวมเสื้อสูท

“แล้วคุณสาวัชจะกลับยังไงเหรอคะ” อิงอรุณเสียงอ่อย รู้ตัวว่าทู่ซี้ไม่สำเร็จ

“ผมเอารถมาก็ต้องขับรถกลับสิ”

“งั้นคุณสาวัชไปส่งอิงที่บ้านได้ไหมคะ” อิงอรุณสังเกตเห็นว่าถึงเขาจะพูดจาห้วน ๆ เถรตรงเหมือนเดิม แต่ทุกประโยคดูเหมือนจะยาวขึ้นกว่าแต่ก่อน

“ทำไมผมต้องทำอย่างนั้น มันไม่ใช่ธุระของผม เรียกรถที่บ้านมารับสิ”

“ก็รถอิงมันสูงปีนขึ้นลำบาก จะให้คนขับอุ้มอิงขึ้นรถเหรอ”

คิ้วเข้มขมวดนิด ๆ เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็กดปุ่มตรงหัวเตียงแจ้งพยาบาล “คนไข้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว บอกฝ่ายธุรการทำเรื่องค่าใช้จ่ายให้ด้วย” จากนั้นเขาหันมาสั่งเสียงห้วน “คุณเตรียมตัวละกัน ผมจะไปเช็กเอาต์ให้ เดี๋ยวมา! ”

อิงอรุณมองตามแผ่นหลังกว้างที่ลับจากประตูห้องไปด้วยความงุนงง สองนาทีที่แล้วยังนึกว่าเขาจะโบ้ยว่าต่อให้ต้องใช้รถเครนมายกเธอขึ้นรถ ก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่จู่ ๆ สาวัชกลับยอมทำตามคำขอร้องของเธอง่าย ๆ แปลกชะมัด!

หญิงสาวจัดการธุระส่วนตัวผลัดเสื้อผ้ากลับมาอยู่ในชุดราตรีสีเหลืองทองดังเดิม แล้วจึงมานั่งตรงขอบเตียง หยิบโทรศัพท์ประจำห้องกดเรียกไปยังสำนักงานของบริษัทขอสายกัญญา สั่งให้ไปรับกระเป๋าจากผู้จัดงานว็อตช์เฟสติวัล และขับรถจากห้างกลับไปไว้ที่ออฟฟิศ

จากนั้นอิงอรุณจึงโทร.เข้าคอลล์เซนเตอร์บัตรเครดิต ใช้บริการเลขาฯ ส่วนตัวหาเบอร์ของห้าง เพื่อติดต่อหาทีมงานคนที่เก็บกระเป๋าเธอไว้ แจ้งรายละเอียดของกัญญาให้ชัดเจน เพื่อให้อีกฝ่ายฝากของมีค่าไปกับคนของเธอ การฝากเรื่องจบลงด้วยดี จนกระทั่งเธออดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้...

“ผลตอบรับการจัดงานเป็นยังไงบ้างคะ”

“ลูกค้าแย่งกันจองนาฬิกาจนรับออเดอร์แทบไม่ทันแน่ะค่ะ อ้อ...เกือบลืม! ” อีกฝ่ายกระมิดกระเมี้ยน “นาฬิกาอเมริโก เวสปุคชี ยังอยู่กับคุณอิงใช่ไหมคะ”

อิงอรุณตกใจรีบรื้อลิ้นชักหัวเตียง ก่อนจะถอนใจโล่งอกเมื่อพบว่านาฬิกาเรือนละล้านสามปลอดภัยดี “ยังอยู่ค่ะ เดี๋ยววันนี้จะนำไปคืนให้นะคะ”

พลันรอยถลอกที่สายหนังด้านข้างเลยไปจนถึงขอบตัวเรือนก็ทำให้เธออ้าปากค้าง จะทำไม่รู้ไม่ชี้ส่งคืนก็คงได้ แต่เธอไม่มีนิสัยไร้ความรับผิดชอบ อิงอรุณจึงสารภาพ “แต่ตรงขอบมันเป็นรอยนิดหน่อย เข้าใจว่าคงครูดกับพื้นตอนเกิดเรื่อง”

ปลายสายถามด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “คุณอิงก็เลยจะซื้อไว้เองใช่ไหมคะ”

เดี๋ยวนะ! ปกติเงินจำนวนนี้เซ็นเครดิตการ์ดกริ๊กเดียวก็จบ แต่ตอนนี้แม่อายัดบัตรของเธอ ขนาดแค่หลักแสนไว้จ่ายเงินเดือนพนักงาน เธอยังแทบแย่ แล้วจะให้เอาเงินล้านสามมาจ่ายค่านาฬิกาเนี่ยนะ ตายแน่! เธอจะไปหาจากไหน...

“อิงไม่ได้จะซื้อนะคะ” เธอละล่ำละลัก สมองหมุนจี๋หาทางออกที่เจ็บตัวน้อยที่สุด “เมื่อคืนไม่มีคนสนใจยูลิสนาร์แดงเรือนนี้เลยเหรอคะ”

“ก็มีคนถามถึงอยู่บ้างค่ะ แต่มันเป็นรอยอย่างนี้...” อีกฝ่ายอึดอัดใจไม่แพ้กัน

“คุณติดต่อลูกค้าพวกนั้นอีกที แล้วให้เขาดูนาฬิกาก่อนสิคะ เขาอาจจะรับได้ก็ได้ ยูลิสนาร์แดงอเมริโก เวสปุคชี เรือนนั้นเป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชันนะคะ ถึงเป็นรอยนิดหน่อยก็ต้องมีคนอยากได้อยู่ดีแหละ หรือถ้าเขาขอต่อราคา ก็มาลองคุยกันดู อิงอาจยอมจ่ายส่วนต่าง” หญิงสาวเสียงแข็งตามสไตล์ ‘คุณหนูอิงอรุณ’ หวังกลบความกังวล คนนอกไม่ควรมารับรู้ปัญหาเรื่องเงินของเธอ!

ภาพลักษณ์ของเธอคงพังไม่เป็นท่า ที่แย่คืออาจมีแต่คนรอสมน้ำหน้า เพราะสมัยนี้คนปากว่าตาขยิบเยอะแยะ พวกที่ยิ้มแย้มเป็นเพื่อนแสนดี อาจเป็นคนเดียวกับที่ปักมีดลงกลางหลังเป็นคนแรกยามเธอพลาดพลั้ง!

“พร้อมหรือยัง” ครั้นหันไปมองจึงเห็นว่าสาวัชเพิ่งก้าวมายืนตรงปลายเตียง

หญิงสาวตำหนิตัวเองที่ใจลอยจนไม่ได้ยินกระทั่งเสียงเปิดประตู ไม่รู้ว่าสาวัชยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว หวังว่าคงไม่ได้ยินที่เธอพูดโทรศัพท์นะ แค่คิดว่าอาจต้องเห็นสีหน้าเวทนาหรือรู้ทันจากชายหนุ่ม อิงอรุณก็รู้สึกเหมือนจะทนไม่ได้แล้ว

“ผมถามว่าพร้อมหรือยัง” เธอคิดไปเองหรือเปล่านะว่าเสียงเขาอ่อนกว่าปกติ

“พร้อมแล้วค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นยืนปั้นหน้ากระฉับกระเฉง

“จะเดินไปเองหรือจะให้เรียกรถเข็น” แหม...เขาถามดี ๆ อย่าง ‘เดินไหวไหม เรียกรถเข็นดีไหม’ ไม่เป็นหรือไง ความหมายเหมือนกัน แต่อ่อนโยนกว่ากันลิบลับ

“ไหวค่ะ เดินตามปกติได้เลยด้วย แต่คงต้องสวมรองเท้าของโรงพยาบาลไป” เธอปั้นยิ้ม ชี้รองเท้าแตะของโรงพยาบาล “คุณสาวัชจะกล้าเดินกับอิงไหมคะ”

เขาไม่ตอบ แต่ก้าวดุ่ม ๆ ไปยังประตู เปิดค้างไว้รอเธอโดยไม่เอ่ยอะไร

อิงอรุณหิ้วแคชชูส์กะเผลกเร็ว ๆ ออกจากห้อง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อสาวัชหน้าบึ้งนิด ๆ นี่เธอเดินช้าเกินไปทำให้เขาหงุดหงิดแหงเลย

ชายหนุ่มงับประตูแล้วนำหน้า เธอจึงรีบสาวเท้าตามไปติด ๆ ทว่าจู่ ๆ สาวัชกลับหันมาตะคอกเธอด้วยน้ำเสียงเข้มจัด “เดินช้า ๆ ! ”

“เกรงใจว่าคุณต้องคอย ไม่เป็นไรค่ะ อิงไหว” หญิงสาวประจบประแจง

อีกฝ่ายทำสีหน้าประหลาดจนเธออยากรู้นักว่าเขากำลังคิดอะไร

“ผมไม่ได้รีบ” เขาตัดบท และเดินนำอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ด้วยความเร็วที่ลดลง

อิงอรุณมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าแล้วแอบซ่อนยิ้ม ไม่เข้าใจหรอกว่ายิ้มทำไม เพียงรู้สึกว่ามีเรื่องราวดี ๆ อยู่รอบตัวมากมาย เธอแค่ต้องเปิดตาเปิดใจให้กว้างเพื่อจะได้เห็นมันก็เท่านั้นเอง!



รถญี่ปุ่นขนาดกลางสีเทาควันบุหรี่เคลื่อนช้า ๆ เข้ามาจอดยังหน้ามุขของคฤหาสน์เทียมสุบรรณ แทบจะทันทีที่รถจอดสนิท สตรีสูงวัยผู้หนึ่งก็ก้าวผ่านประตูไม้สักหนาหนักที่เปิดกว้างออกมาด้วยมาดสง่างาม ยืนไว้เชิงทอดสายตามองมานิ่ง ๆ

จากที่คิดว่าอิงอรุณลงจากรถเมื่อไร สาวัชจะขับรถออกไปทันที แต่สถานการณ์เฉพาะหน้ากลับบังคับให้ชายหนุ่มจำต้องลงมายื่นแขนให้อิงอรุณเกาะ พาเธอมายืนหน้าเปรมิกา แล้วทำความเคารพท่านด้วยความนอบน้อม

“อ้อ...คุณนั่นเอง” มารดาของอิงอรุณทักทายน้ำเสียงเย็นชา สายตาปรายมองรถยนต์ของเขาบอกให้รู้ว่านั่นละ...เหตุผลที่ท่านไม่ปรารถนาสุงสิงด้วย

“ฝากแม่ต้อนรับคุณสาวัชแทนอิงสักครู่นะคะ คุณสาวัชรออิงแป๊บเดียว ขอเวลาเปลี่ยนชุดไม่เกินสิบห้านาที เดี๋ยวอิงมาค่ะ”

“เดี๋ยว ๆ ๆ นี่มันอะไรกันน่ะอิงอรุณ” เปรมิกาเสียงเขียว คว้าข้อมือธิดาฉับ

“ไว้อิงกลับมาเล่าให้ฟังเย็นนี้นะคะ อิงรีบ เดี๋ยวคุณสาวัชไปประชุมไม่ทัน”

สาวัชคาดไม่ถึงว่าอิงอรุณยังจำได้ว่าเขาต้องไปประชุม นึกว่ายายเด็กเอาแต่ใจสนใจแต่เรื่องของตัวเองเสียอีก ทั้งที่ถูกมัดมือชกให้ไปส่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังเผลอทอดเสียงนุ่มนวลกว่าปกติ

“ผมต้องกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน หอบคุณไปด้วยคงไม่สะดวก”

“ตอนนี้ที่บ้านมีรถเหลือไหมคะแม่” อิงอรุณเสถามมารดา

“แล้วรถเธอไปไหน”

“จอดไว้ที่ออฟฟิศค่ะ” หญิงสาวหลุบตาลงมองขาตัวเอง “อิงขับไม่ไหว”

“แม่กำลังจะออกไปข้างนอก แต่ไม่ผ่านบริษัทน้องอิง” เปรมิกาละล้าละลัง “แม่มีนัดที่สมาคมเก้าโมง ถ้าวนไปส่งน้องอิงก่อน ก็อาจจะเลตสักชั่วโมงนึง”

“อิงเกรงใจ ไม่อยากให้แม่ผิดนัด เดี๋ยวอิงจัดการเองค่ะ” เจ้าหล่อนหันมายิ้มให้เขาอย่างได้รับชัยชนะ เธอแสร้งลากเสียงโอดอ่อย ดวงตากลมโตหลุบลงมองเบื้องล่างคล้ายเด็กสำนึกผิด “อิงไม่มีรถ ถ้าคุณสาวัชไม่รออิง อิงก็ต้องไปแท็กซี่”

สาวัชไม่รู้ว่าเขาผ่อนลมหายใจแผ่วเบาเพราะรำคาญ โล่งใจ หรืออย่างอื่น! ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยประโยคถัดไปยังคงเป็นไปตามสไตล์ของเขา “สิบนาที! ”

“ให้เด็กจัดเสื้อผ้าของพี่ชายน้องอิงมาให้เขาผลัดสิ รูปร่างใกล้เคียงกันน่าจะสวมกันได้ ห้องน้ำแขกเราก็มี จะได้ไม่ต้องหอบต้องคอยกันไปมา ออกจากนี่ก็ตรงไปออฟฟิศได้เลย เลือกที่กลาง ๆ นะ แล้วยกให้เขาไปเลย” เปรมิกาปรายตาหมิ่น ๆ จงใจเหยียดหยันว่าไม่ปรารถนาเกลือกกลั้วกับเขา แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่อยากรับคืน

“ผมว่า...”

อิงอรุณตบมือแปะ ๆ “แม่ไอเดียดีจัง งั้นคุณสาวัชคอยสักครู่นะคะ”

หญิงสาวพูดจบก็วิ่งตัวปลิวเข้าไปในบ้านราวกับนกน้อยกำลังโบยบินไปในฟ้ากว้าง เขาละอยากจับเธอมามัดขานัก เดินปร๋อไม่กลัวแผลฉีกเลย แล้วไอ้แผลของเจ้าหล่อนน่ะ มันเป็นภาระของเขานะ ไม่รู้ตัวเลยหรือไง!

“มาคุยกันหน่อยสิ คุณ...” เปรมิกามองมาไม่เป็นมิตรนัก ทิ้งท้ายประโยคไว้รอให้เขาแนะนำตัวอีกครั้ง บอกให้รู้ว่าขนาดชื่อเขา ท่านยังไม่ใส่ใจจำด้วยซ้ำ

“สาวัชครับ”

เปรมิกาหมุนตัวเข้าบ้าน สาวัชก้าวตามมาเงียบ ๆ อย่างจำใจ

“ทำไมน้องอิงถึงกลับมากับคุณเอาเช้าอย่างนี้” ท่านเปิดฉากคาดคั้นทันที

“หลังเดินแบบที่งานว็อตช์เฟสติวัล คุณอิงอรุณหมดสติเพราะแผลอักเสบและไข้ขึ้นจากการฉีดยากันบาดทะยัก ผมเลยพาเธอไปโรงพยาบาลครับ”

“เอ๊ะ! แต่น้องอิงบอกฉันว่าเขาไปค้างบ้านเพื่อนนี่”

สาวัชบิดริมฝีปาก “แล้วท่านคิดว่ายังไงละครับ”

“ยายเด็กบ้านี่ โกหกแม่เชื้อ มันน่าตีนัก” มีแต่คำบ่น แต่ไม่ตกใจ แสดงว่าท่านคงรู้ฤทธิ์ลูกสาวตัวเองดี

“เธอคงไม่อยากให้เป็นห่วงเพราะเห็นว่าคุณสุพจน์เพิ่งออกจากโรงพยาบาล อีกอย่างอาการก็ไม่ได้หนักหนา แค่เป็นไข้เท่านั้น” เขาเผลอแก้ตัวแทนผู้หญิงอีกคน

“แล้วคุณมากับน้องอิงได้ยังไง ไปรับกันจากโรงพยาบาลแต่เช้าหรือ”

สาวัชอึกอัก ตามหลักควรพูดความจริง แต่ครั้งก่อนตอนลุโทสะ เปรมิกา ‘ลงมือ’ กับลูกสาวไม่เบา แม้เดาไม่ได้ว่าสองแม่ลูกทำโทษแบบนั้นกันบ่อยแค่ไหน แต่กันไว้ดีกว่าแก้ เขาไม่อยากให้อิงอรุณต้องเจ็บตัวแบบเดิมซ้ำสอง

“คุณอิงขอให้ผมพามาส่งที่บ้านน่ะครับ” เขาไม่ได้โกหก แค่ให้ข้อมูลไม่ครบ!

“ขอบใจนะ” สีหน้าเปรมิกาดีขึ้น “ทำไมน้องอิงต้องให้คุณไปส่งที่ทำงานเขา”

“ออฟฟิศคุณอิงอยู่ติดกับอาคารสำนักงานที่ผมทำงานอยู่ครับ”

ดวงตากลมโตคล้ายอิงอรุณแต่ดุคมกว่าตวัดมองเขาด้วยความใคร่รู้ “คุณทำงานที่ไหน จะว่าเสียมารยาทก็ยอมละ แต่ลูกสาวฉันคืออิงอรุณ เทียมสุบรรณ ลูกจะคบหาใคร ฉันก็ต้องดูให้เหมาะสม ถึงจะเป็นแค่เพื่อนกันก็เถอะ”

“ผมเคยเรียนแล้วว่าผมเป็นคนรู้จักของคุณอิงอรุณ ไม่ใช่เพื่อน เพราะฉะนั้นผมคงไม่ต้องตอบคำถามนี้มั้งครับ” เขาผุดยืนขึ้น ไม่รู้กระทั่งว่าโกรธที่ถูกก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว หรือเพราะไม่กล้าตอบเปรมิกาตามความจริง “และในฐานะของคนรู้จักกันผมก็ไม่มีหน้าที่บริการลูกสาวของคุณหญิงด้วย เพราะฉะนั้นผมขอตัวนะครับ”

เปรมิกาทำสีหน้านิ่งเฉย กิริยานั้นบอกได้ไม่แพ้การเอ่ยตรง ๆ ว่าท่านไม่ใส่ใจเลยว่าเขาจะอยู่หรือไป การถูกปฏิบัติราวอากาศธาตุให้ความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง

สาวัชกำมือแน่นระงับความรู้สึกอันพลุ่งขึ้นภายใน เปรมิกาเก่งเหลือเกินที่ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยโดยไม่ต้องทำอะไรเลย เก่งกว่าดารณีหรือริสาด้วยซ้ำ อย่างน้อยสองคนนั้นก็ยังต้องเหน็บแนมหรือปรายตามองเขาอย่างหมิ่นแคลน

สตรีอาวุโสหยิบกระดิ่งจากโต๊ะข้างมาสั่นเบา ๆ พลันสาวใช้ก็เข้ามายอบตัวรอรับคำสั่ง “ไปเรียนคุณอิงว่าฉันจะแวะไปส่งที่ทำงาน ไม่ต้องรีบ ฉันรอได้”

สาวัชทำความเคารพมารดาของอิงอรุณตามอาวุโส แล้วออกจากห้องรับแขกทันที จากปลายตาเขาเห็นเปรมิกาเบิกตานิด ๆ คล้ายประหลาดใจ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้ชายหนุ่มเผลอยกมุมปากขึ้นด้วยความพึงใจ

ใครบางคนเคยบอกไว้ว่า ต่อให้มีคนทำกิริยาแย่ ๆ ใส่เรา แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเหมือนคนหย่อนการอบรมกลับไปหรอกนะ!



บรรยากาศการประชุมของปรเมศวร์เทรดดิ้งเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อริสาแจ้งว่าซูเปอร์โคลาจ้างบริษัทประเมินมูลค่าหุ้นพีอาร์เอ็มเพื่อทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์

“ซูเปอร์โคลาจะฮุบบริษัทเราเหรอ” วัชระโวยวายทะลุกลางปล้อง

“ฮก” ริสาปรามเสียงเข้ม ดวงตาแฝงแววเฉียบขาดตวัดเตือนให้เขาหยุดปาก

วัชระฮึดฮัดไม่พอใจ ทิ้งตัวพิงพนักแรง ๆ ไม่ปิดบังความหงุดหงิด

สาวัชมองรอบห้อง สังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุม

“ผลประกอบการของเราทั้งยอดขายและผลกำไรดีมาโดยตลอด ไม่แปลกถ้าสเปนจะหวังสูงขนาดนั้น” ริสาตอบคำถามที่วัชระโพล่งทิ้งไว้ ซ่อนความรู้สึกไว้ใต้สีหน้าเฉยเมย “คาดว่าซูเปอร์โคลาจะรับซื้อที่ ๒๙ บาท จำนวน ๒๖% โดยใช้เงินประมาณสองพันล้านค่ะ”

“ใช้เงินแค่สองพันล้าน ก็รวบอำนาจเบ็ดเสร็จในบริษัทเราได้แล้ว” ธนาหยัน เพราะหากอำนาจบริหารถูกเปลี่ยนมือไปยังซูเปอร์โคลา คงไม่มีใครเก็บผู้บริหารชุดเดิมไว้เป็นหอกข้างแคร่!

“ในเมื่อทางนั้นเจตนาไม่ดี ก็ขาดกันไปเลย ไม่ต้องประนีประนอมอะไรอีก” เจริญสบถเป็นเดือดเป็นแค้น

ธนาถามบุตรีคนโต “รวมจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่อยู่ฝั่งเราหรือยัง”

“พวกเราในห้องนี้ถือหุ้นรวมกันราว ๑๗% เศรษฐ์สถาพรมีอีก ๑๒% ผู้บริหารชุดก่อนของซูเปอร์โคลาเชื่อมั่นความสามารถของเรา ถึงแต่งตั้งให้เราบริหารงานต่อทั้งที่ถือหุ้นน้อยกว่า แต่ผู้บริหารชุดใหม่คงเห็นว่าปรัชญาการดำเนินงานแบบครอบครัวมันล้าสมัยเกินไปแล้วสำหรับเศรษฐกิจยุคนี้”

“เรายอมให้ขึ้นค่าหัวเชื้อดีไหม แลกกับขอให้เขายกเลิกเทนเดอร์” เจริญเสนอ

“ทางนั้นคงคิดว่าเราไม่มีทางไป ยังไงก็ต้องง้อเขา” ริสาตอบเสียงหนัก

“สัญญาการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายซูเปอร์โคลาในประเทศไทยจะสิ้นสุดปลายปีนะคุณริสา ถ้าเรายังแก้ปัญหาเรื่องหัวเชื้อไม่ได้ การต่อสัญญาอาจจะยากขึ้น” เจริญเอ่ยช้า ๆ อย่างครุ่นคิด

“ไม่ต้องคิดเรื่องต่อสัญญาแล้วค่ะ ซูเปอร์โคลาเดินหมากตานี้เพื่อแตกหักกับปรเมศวร์เทรดดิ้ง มันอยู่ที่เราแล้วล่ะว่าจะแตกหักแบบไหนให้ได้ประโยชน์สูงสุด”

“ซูเปอร์โคลาจะขอซื้อหุ้นต่อนักลงทุนเมื่อไหร่ครับ” สาวัชถาม

ริสาหลากใจ แต่ยอมตอบโดยดี “คาดว่าจะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์และ

นักลงทุนรู้เดือนหน้า”

ผู้บริหารส่วนใหญ่สีหน้าไม่สู้ดี

ริสาจึงเอ่ยสิ่งที่มีคนคิดแต่ไม่กล้าพูดดัง ๆ “ถ้าใครอยากลาออกหรืออยากขายหุ้นที่ถืออยู่ ดิฉันก็ยินดีรับซื้อนะคะ”

เจริญประกาศกร้าว “เราสู้ด้วยกันมาขนาดนี้ ยังไงก็ต้องสู้กันต่อไป ฉิบหายช่างมัน แต่อย่ายอมให้ไอ้พวกอั้งม้อมาข่มเราเหมือนเป็นลูกไก่ในกำมืออย่างนี้”

“พวกเราทุกคนอยู่ข้างหลานนะ ไม่ว่าหลานจะตัดสินใจยังไง พวกเราเป็นกองหนุนให้เอง” กรรมการอีกคนเสริมหนักแน่น

“ขอบคุณอาเจ๊กอาอี๊ทุกคนค่ะ หยงจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง” เมื่อผู้อาวุโสนับเธอเป็นหลาน หญิงสาวก็เรียกอีกฝ่ายตามศักดิ์ ริสาสบตาบิดา ส่งยิ้มแห่งชัยชนะไปให้ท่านด้วยความหยิ่งทะนง

สาวัชชื่นชมริสาที่ปลุกใจให้คนฟังรู้สึกฮึกเหิม เขาเชื่อมั่นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพี่สาวต้องรับมือกับเรื่องนี้ได้แน่นอนและจะทำมันได้เป็นอย่างดีด้วย!



อิงอรุณมองผ้าพันแผลที่น่องและแขน รู้สึกหนักใจเพราะไม่รู้ว่าสาวัชจะโกรธแค่ไหนที่ถูกเปรมิกาปรามาสต่อหน้าเมื่อเช้า ตอนที่ผลัดเสื้อผ้าลงมาพบห้องรับแขกว่างเปล่า มารดาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ บอกแค่...

‘เพื่อนน้องอิงมีธุระด่วน เขาเลยขอกลับไปก่อน’

อิงอรุณรู้จักสาวัชไม่มาก แต่มั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนกลับกลอก ถ้ารับปากแล้ว มันจะเป็นไปตามนั้นแน่ ๆ เพราะฉะนั้นที่เขาเปลี่ยนใจ ต้องมีสาเหตุมาจาก...

‘แม่พูดอะไรกับคุณสาวัชคะ’

‘แค่ถามถึงเทือกเถาเหล่ากอ ซึ่งเขาตอบไม่ได้’ มารดายักไหล่อย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ‘น้องอิงไม่ต้องห่วง เดี๋ยวแม่ไปส่งเอง รีบกินข้าวเถอะ แม่สายมากละ’

อิงอรุณเท้าคางคิดหนักว่าจะไปขอโทษชายหนุ่มอย่างไรดี

“พี่อิงคะ โทรศัพท์ดังนานแล้ว ไม่รับหรือคะ” เลขาฯ ยื่นหน้าเข้ามาถาม

“อ้อ พอดีพี่คิดเรื่องงานอยู่น่ะ” เธอปัดเรื่องสาวัชจากใจ วางมาดสบายรับสาย

“เราเองนะอิง มีข่าวดีกับข่าวร้ายอยากฟังอันไหนก่อน” แพรวเพชรเสียงสดใสฟังแทบไม่ออกว่าเมื่อวานเจ็บหนัก

เธอโล่งใจ หัวเราะเบา ๆ แล้วเลือกข่าวดี

“เมื่อวานที่ปวดท้องไม่ใช่เมนส์มาหรอก แต่หมอบอกว่าเราท้อง”

“โอ๊ย! นี่มันเรียกว่าข่าวดีสุด ๆ ต่างหาก” เธอตื่นเต้นยินดีไปด้วย แพรวเพชรผ่านเรื่องทุกข์ เสียน้ำตามามากแล้ว ถึงเวลาที่ฟ้าจะตอบแทนให้เธอได้เจอแต่เรื่องราวที่เป็นสุขเสียที “ฟังแล้วไม่เห็นจะน่ามีข่าวร้ายเลยนี่”

แพรวเพชรตะกุกตะกัก “หมอให้เราเบดเรสต์สองสัปดาห์”

อิงอรุณผงะ หมอให้เพื่อนนอนเฉย ๆ สองอาทิตย์! “แล้วงานของเพชรล่ะ”

อีกฝ่ายอึกอัก เสียงโรย “เดี๋ยวเราจะคุยกับกุ้งอีกทีว่าจะทำยังไง เรื่องประชุมคงทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เอา เอกสารก็จะให้เมสเซนเจอร์รับส่งทุกเช้า ส่วน...”

“พอเลย” อิงอรุณขัด รู้สึกว่าตัวเองคงใจแคบและไร้เมตตามาก ถ้าปล่อยให้เพื่อนยังทำงานต่อ “หมอให้พักก็พักไปเหอะ ที่บริษัทนี่อิงจัดการเอง”

แต่เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ! อิงอรุณเคาะนิ้วกับโต๊ะ

“เพชรนี่ร้ายนะ” หญิงสาวฉิวที่ถูกอีกฝ่ายใช้จิตวิทยาจงใจทำให้เธอรู้สึกผิด

แพรวเพชรหัวเราะร่วน “ขอบใจมากเพื่อนรัก ฝากบริษัทสองอาทิตย์นะ”

“อิงไม่เคยเป็นผู้ช่วยกามเทพ จู่ ๆ จะให้มาทำงานส่วนนี้ อิงคงปวดหัวตาย”

“ไม่ตายหรอกน่า จะยากหน่อยก็ตอนออกนอกสถานที่ เพราะคนไม่พอ อิงอาจต้องลงหน้างานเอง” แพรวเพชรหยุดคิด “เริ่มที่คอร์สพิพิธภัณฑ์ที่อิงภูมิใจนำเสนอนั่นไง งานเบาสบายสุด ๆ ละ ยิ่งมีกุ้งไปช่วยด้วยก็ยิ่งง่าย สู้ ๆ นะ เรามั่นใจว่าอิงทำได้แน่ ๆ ” แพรวเพชรย้ำเสียงหนักให้กำลังใจ

อิงอรุณจึงค่อยยิ้มออก “อิงทำได้อยู่แล้ว มันจะยากสักแค่ไหนกันเนอะ”

“ว่าง ๆ ก็ขนเพื่อนมาเยี่ยมกันบ้างนะ เราเบื่อมาก บอกเลย” แพรวเพชรบ่น

“เทพไปลพบุรียังไม่กลับเลย ส่วนคู่รักที่ไปบาหลีนั่นเห็นว่าประชุมยาวถึงอาทิตย์หน้าโน่น เหลือแต่อิงนี่แหละ ถ้ายังไงเย็นนี้จะแวะไปหาละกัน”

“เจ็บขาอย่างนั้น อิงจะขับรถไหวเหรอ”

“อิงมีสารถีพิเศษ” อิงอรุณนึกออกแล้วว่าจะใช้ข้ออ้างอะไรไปพบสาวัชอีกดี

“รถอิงขึ้นลงยาก เอารถเราไปใช้แทนไหม” แพรวเพชรท้วงด้วยน้ำเสียงวิตก

“ขึ้นลงไม่ยากหรอก อิงมีตัวช่วยน่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า พร้อมกับที่รู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ เมื่อนึกถึง ‘ตัวช่วย’ และวิธีที่เขาช่วยเธอขึ้นรถครั้งนั้น!



หลังออกจากห้องประชุม วัชระเดินเขยกตามสาวัชออกจากห้องประชุม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบกาย พี่ชายต่างมารดาจึงตั้งคำถาม

“วัช! ทำไมซูเปอร์โคลาต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ อย่างนี้มันแหวกหญ้าให้งูตื่นชัด ๆ สู้ทยอยซื้อหุ้นจากตลาดไม่ง่ายกว่าเหรอ”

“ถ้าซื้อขายจากตลาดตามปกติ กว่าจะได้จำนวนหุ้นตามต้องการก็นาน แล้วเกิดนักลงทุนรู้ว่าซูเปอร์โคลาอยากได้หุ้นเจ็ดสิบล้านหุ้น ทุกคนคงเก็บหุ้นไว้โก่งราคา ทำให้ซูเปอร์โคลาไม่สามารถควบคุมงบประมาณได้”

“แล้วการขอซื้อหุ้นที่ราคาแพงกว่าตลาดขนาดนี้ มันฉลาดตรงไหน”

“การทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์มีเงื่อนไขว่านักลงทุนที่อยากขายต้องทำหนังสือตอบรับส่งกลับมาก่อน ซึ่งถ้าจำนวนหุ้นที่จะได้มามีไม่ครบตามต้องการ ซูเปอร์โคลาสามารถยกเลิกการทำเทนเดอร์ได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อหุ้นเลยสักบาท”

“เขาเรียกโยนหินถามทางใช่ไหม แม่ง! โคตรฉลาดเลย” วัชระสบถ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้เขา “นายนี่เก่งแฮะ รู้รายละเอียดอย่างกับนักลงทุนมืออาชีพแน่ะ”

สาวัชโมโหตัวเองที่พูดเยอะขนาดนั้น “ผมก็รู้แค่งู ๆ ปลา ๆ เอง”

“ทำถ่อมตัว หมั่นไส้ว่ะ” เขาส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้คิดแล้วปวดหัวชะมัดเลย”

“ปวดหัวเพราะเรื่องงานจริงนะครับ ไม่ใช่เพราะลืมกินยาหรอกนะ”

วัชระหน้าบูด กระแทกเสียง “เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว น่ารำคาญ! ”

“ขอโทษครับคุณฮก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นผมกลับไปทำงานก่อนนะครับ”

วัชระคอยจนอีกฝ่ายแยกไปแล้ว จึงยืนคอยลิฟต์ครุ่นคิด สาวัชเก็บตัวไม่สนใจใครมาโดยตลอด แต่หมอนั่นกลับรู้เรื่องเกี่ยวกับการลงทุนดีกว่าเขาเสียอีก ทว่าเพื่อสวัสดิภาพของหู เขาห้ามพูดเรื่องที่คุยกับสาวัชเมื่อครู่ให้ริสาฟังเด็ดขาด!


[1] เทนเดอร์ออฟเฟอร์ (Tender Offer) คือการที่บริษัท กลุ่มทุน หรือบุคคล ยื่นหนังสือต่อตลาดหลักทรัพย์ขอซื้อหุ้นจากนักลงทุน โดยระบุจำนวนหุ้นและราคาที่ต้องการซื้อ นักลงทุนมีสิทธิ์เลือกว่าจะขายหรือไม่ขายหุ้นก็ได้ โดยต้องทำหนังสือตอบรับภายในเวลาที่กำหนด










ตอนมีกิจกรรมที่แฟนเพจนะคะ

แจกของรางวัลมูลค่ากว่าหนึ่งพันบาท

ใครยังไม่ได้กดไล้ค์ รีบตามไปร่วมสนุกกันบัดเดี๋ยวนี้เลยจ้า

www.facebook.com/SirinFC









สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 พ.ค. 2561, 21:33:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2561, 21:33:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 585





<< ตอนที่ 16   ตอนที่ 18 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account