+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ
แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์
นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้
นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา
โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก
ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว
แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ
สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน
ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D
ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ
สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ
ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน
ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555
แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์
นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!
ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้
นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้
+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +
เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา
โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก
ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว
แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ
สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน
ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D
ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ
สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ
ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน
ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555
Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน
ตอน: ตอนที่ 18
เมื่อกลับไปยังห้องทำงานของรองกรรมการผู้จัดการ ริสาสั่งนิติกรขรึม ๆ สีหน้าเคร่งเครียดจนน่ากลัว “ตรวจสอบประวัติการเงินของสาวัชที โดยเฉพาะการเข้าถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เขารู้รายละเอียดการทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์เยอะเกินไป เหมือนคนที่มีความรู้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ...” ริสาเลื่อนกระดาษแผ่นหนึ่งไปตรงหน้าชายหนุ่ม “เขาเขียนนี่มาวางให้ฉันก่อนออกจากห้องประชุม”
ธนภูมิอ่านข้อความแล้วขมวดคิ้ว “เขาเสนอให้ว่าจ้างบริษัทประเมินราคาหุ้นของปรเมศวร์เทรดดิ้งทำไมครับ”
ริสาไตร่ตรอง “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าราคาที่เหมาะสมจริง ๆ ของหุ้นเราควรอยู่ที่กี่บาท อาจจะมากกว่า ๒๙ บาทก็ได้ คุณหาชื่อบริษัทประเมินมาให้ฉันสักสองสามแห่งละกัน”
“รายงานที่สั่ง ผมจะวางไว้บนโต๊ะพรุ่งนี้เช้าครับ” ธนภูมิชั่งใจชั่วครู่จึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ถ้าพีอาร์เอ็มจะไปถึง ๒๙ บาท เราน่าจะทยอยเก็บหุ้นนะครับ”
“จะให้ช้อนหุ้นไว้ขายซูเปอร์โคลาเหรอ ฉันไม่ได้ซื้อตัวคนวงในไว้เพื่อเรื่องแค่นี้หรอก” ริสาปราม “กำไรน่ะใครก็อยากได้ แต่มันไม่คุ้มกับการเสียอำนาจบริหารให้สเปน ฉันจะต้องยับยั้งการเทคโอเวอร์ของซูเปอร์โคลาให้ถึงที่สุด”
“เสียดายที่ตอนนี้เราขาดสภาพคล่อง ถ้ามีแหล่งทุนหนุนหลัง เราน่าจะปักหลักแลกหมัดกับซูเปอร์โคลาได้ดีกว่านี้”
“ฉันนัดคุณชนวีร์แล้ว ถ้าณัฐภัทรคอร์ปฯ ให้การสนับสนุนด้านการเงิน หมากเกมนี้อาจจบแบบพลิกล็อกก็ได้”
ธนภูมิยืนตัวตรง “คุณริสานัดไว้วันไหนครับ ผมจะจัดเตรียมงบการเงินย้อนหลังของปรเมศวร์เทรดดิ้ง รวมถึงแผนการตลาดตลอดปีหน้าของเราไว้ให้”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไปขอร้องณัฐภัทรคอร์ปฯ ในฐานะเพื่อนของคุณรินรดา ณัฐภัทร” ริสาเอ่ยถึงสหายซึ่งเป็นภรรยาของประธานกรรมการบริหารธนาคารในเครือณัฐภัทรคอร์ปอเรชันซึ่งเป็นกลุ่มการเงินใหญ่ที่สุดในประเทศไทย [1] “ด้วยราคาหุ้นในตลาดตอนนี้ ถ้าเรามีวงเงินสักพันแปดร้อยล้าน ซื้อหุ้น ๔๒% ได้สบาย ๆ รวมกับที่ครอบครัวปรเมศวร์มีอยู่แล้วอีก ๙% ซูเปอร์โคลาก็ทำเทนเดอร์ไม่สำเร็จละ”
“ผมเข้าใจครับ เพราะตราบใดที่เรายังไม่เซ็นสัญญาการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฉบับใหม่กับซูเปอร์โคลา ไพ่ในมือเราก็ยังไม่ดีพอที่จะขอให้ณัฐภัทรคอร์ปฯ ปล่อยกู้ ทางเดียวที่มีก็คือใช้สายสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อน”
ริสาคิดดัง ๆ “คุณเคยประเมินมูลค่าของอาคารโภไคยทาวเวอร์ไหม”
“ราคาประเมินคร่าว ๆ ปีก่อนตกอยู่ในราวสองพันสามร้อยล้านครับ” ธนภูมิตอบแล้วชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น “คุณริสาจะเอาไปค้ำกับแบงก์หรือครับ”
หญิงสาวส่ายศีรษะ “ค่าเช่าและผลตอบแทนจากอาคารโภไคยทาวเวอร์จัดอยู่ในขั้นดีมาก ถ้าเราเอาอาคารสำนักงานตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์เสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ระดมทุนมาก็น่าจะต่อกรกับซูเปอร์โคลาได้สมน้ำสมเนื้อนะ”
“ซูเปอร์โคลามีแผนทำเทนเดอร์เดือนหน้า แต่ขั้นตอนการจัดตั้งกองทุนต้องใช้เวลาราวสี่เดือน กว่าจะได้เงินเข้ามาคงไม่ทัน”
“คุณธนภูมิกับทีมงานลองศึกษารายละเอียดการจัดตั้งกองทุนอสังหาฯ ให้ที ถึงจะขอพบในฐานะเพื่อน แต่ฉันก็อยากมีอะไรติดมือไปเจรจากับณัฐภัทรคอร์ปฯ บ้าง เราอาจยังพอมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ก็ได้”
เมื่ออีกฝ่ายโบกมือตัดบท ธนภูมิจึงค้อมศีรษะออกจากห้อง ความหดหู่แปรเป็นฮึกเหิม ทางออกของริสาอาจไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด แต่ด้วยสองมือของผู้หญิงเก่งและแกร่งคนนี้ ปรเมศวร์เทรดดิ้งจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างดีแน่นอน!
แยกกับวัชระกลับมานั่งทำงานได้ไม่ทันไร สาวัชก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพนักงานแจ้งมาทางโทรศัพท์ว่า “มีแขกมาขอพบคุณสาวัชค่ะ”
“อิงเองค่ะคุณสาวัช” เสียงแจ้วดังมาตามสาย บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงดึงกระบอกโทรศัพท์ไปจากมือประชาสัมพันธ์
“คุณสาวัชบอกน้องเขาหน่อยสิคะ ว่าอนุญาตให้อิงเข้าไปข้างในได้เลย”
สาวัชนึกถึงถ้อยคำที่เปรมิกาเหยียดหยามเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ำต้อย ทั้งยังรู้ดีว่ายิ่งอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ ความรู้สึกดังว่าจะยิ่งเข้มข้นขึ้นทบทวี
“คุณกลับไปเถอะ”
“ถ้าคุณไม่ให้พบ งั้นอิงก็จะรออยู่ตรงนี้นี่แหละ” เธอคงถนัดกับบทดื้อตาใสที่สุด แต่มุกไหนที่เล่นบ่อยก็เฝือ ผู้ชมจับทางได้หมด
“เอาที่สบายใจเลยครับ เก้าอี้นั่งไม่ค่อยสบาย อดทนหน่อยละกัน”
สาวัชไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อวางสาย ชายหนุ่มหยิบเอกสารจากถาดเข้ามาอ่าน เขียนความเห็นแนบและทยอยลงนาม จวบจนเครื่องปรับอากาศของอาคารเงียบเสียงอันเป็นสัญญาณว่าเลิกงานแล้ว เขาจึงยกหูโทร.หาประชาสัมพันธ์ประจำชั้น
“สาวัชครับ ไม่ทราบว่าแขกที่มาพบผมยังอยู่หรือเปล่า”
“กลับไปพักใหญ่แล้วค่ะ”
สาวัชโล่งใจ ทว่าอีกเสี้ยวความรู้สึกที่ไม่อยากรับ เขาพบว่า...ใจหาย
“ขอบใจ” เขาพึมพำ กำลังจะวางสาย
“แต่เธอเขียนโน้ตฝากไว้นะคะ”
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนทันที “ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
กระดาษเอสี่พับครึ่งเย็บแม็กที่เขาแกะออกมีข้อความประโยคเดียว
‘คุณสาวัชว่าอิงเรียกอูเบอร์หรือแกร๊บมารับไปล้างแผลที่โรงพยาบาลดีคะ? ’
“ตัวยุ่ง” เขางึมงำ รอยเข้มงวดในดวงตาจางลงโดยไม่รู้ตัว
“โชคดีจัง ไม่ต้องเรียกอูเบอร์เรียกแกร๊บละ คุณสาวัชเสร็จงานพอดี” เสียงแจ้วดังขึ้นข้างตัว
สาวัชหันขวับไปทางต้นเสียง ถามอัตโนมัติ “ยังไม่กลับเหรอ”
“กลับไปแล้วค่ะ ที่เห็นอยู่นี่เป็นวิญญาณคนเจ็บตามมาหลอกหลอนคุณต่างหาก” อิงอรุณแลบลิ้นทำหน้าเป็น
“ปากเสีย คนโบราณเขาไม่ให้แช่งตัวเอง ไม่รู้หรือไง”
หญิงสาวยิ้มกว้าง “อิงหัวแข็งออก ไม่ตายง่าย ๆ หรอกค่ะ”
“คุณนี่เป็นพวกยิ่งห้ามยิ่งยุหรือไง” สาวัชพับกระดาษข้อความตามรอยเดิมสอดใส่กระเป๋าเสื้อสูท แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในเขตสำนักงาน โดยมีอิงอรุณโหย่งเท้าทิ้งน้ำหนักที่ขาข้างเดียว อีกข้างกะเผลกตามมาเร็ว ๆ
“ขายังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ เดินมาถึงนี่ทำไม จำได้ว่าไม่ได้เชิญคุณมานะ” เขาเปิดประตูห้องทำงานไว้เพื่อกันคำครหา
“ก็เมื่อเช้าอิงลืมรองเท้าไว้บนรถคุณไงคะ คู่นั้นตั้งสามหมื่นแปดเชียวนะ” เธอนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ เสมองซ้ายขวา “ที่นี่เขาไม่มีน้ำท่ามาต้อนรับแขกหรือคะ”
สาวัชไม่รู้ว่าระอาหรืออ่อนใจกับท่าทางละม้ายเด็กห้าขวบของอีกฝ่าย “คุณแค่มาเอารองเท้าคืนไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องดื่มน้ำหรอกมั้ง”
“คุณสาวัชอย่าตระหนี่กับแขกสิคะ อิงเดินมาไกล แอบเจ็บแผลนิดนึงเหมือนกันนะเนี่ย ขอพักก่อนแป๊บนึงไม่ได้เหรอ”
“ผมต้องทำงาน” ชายหนุ่มชี้แฟ้มทั้งกองในถาดเอกสารเข้าที่ยังไม่ได้ลงนาม
เธอยกข้อมือขึ้นดูเวลา “แต่นี่มันเลิกงานแล้วนะ ไหน ๆ อิงก็จะไปรับรองเท้าคืนที่รถคุณอยู่แล้ว ยังไงรบกวนคุณพาอิงไปล้างแผลที่โรงพยาบาลด้วยได้ไหมคะ”
“คุณอิงอรุณ ผมเป็นคนขับรถของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แหม...เรียกซะใจร้ายเลย แค่ขอติดรถไปด้วยเอง รัฐบาลบอกว่าเราต้องรวมพลังหารสองนะคะ เคยฟังเพลงนี้ไหมคะ ไปด้วยกัน ๆ ๆ ถ้าไปด้วยกัน น้ำมันก็ไม่เปลือง สองคนสองคันเยอะปาย-ย-ย” เธอครางเพลงหงุงหงิงแปลงเนื้อเพลงเองตามใจชอบ ดวงตาแพรวพราวระยิบระยับล้อเลียน
สาวัชพับแฟ้มเลื่อนไปวางข้าง ๆ แล้วสบตาหญิงสาวจริงจัง “วิทยากรคุณก็มีแล้ว ทำไมยังต้องมาวุ่นวายกับผม”
“อิงไม่ได้วุ่นวายสักหน่อย”
“นั่นคือสิ่งที่คุณคิดไง แต่สำหรับผม คุณยุ่ง คุณวุ่นวาย”
“ไม่เป็นวิทยากรให้อิงก็พอเข้าใจนะคะ แต่แหม...เป็นเพื่อนก็ไม่ได้เหรอคะ”
“ก่อนจะนับใครเป็นเพื่อน ปรึกษาแม่คุณก่อนเถอะ”
“คุณไม่บอกแม่ว่านามสกุลปรเมศวร์นี่คะ ไม่งั้นแม่คงพูดกับคุณอีกแบบ”
“เป็นความผิดของผมที่ไม่ได้พิมพ์เพดดิกรี [2] ติดตัวไว้แสดงเวลารู้จักกับใคร?”
“คนเป็นแม่ก็ช่างปกป้องอย่างนี้แหละ อิงขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ คุณสาวัชทำเป็นลืม ๆ ที่แม่อิงพูดไปไม่ได้เหรอคะ อิงอยากเป็นเพื่อนคุณจริง ๆ นะ”
“คุณสมบัติผมไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนคุณหรอก”
“คุณเกลียดการเข้าสังคมและการมีเพื่อนหรือคะ”
“ไม่ต้องมาวิเคราะห์ผม” เขาดักคอด้วยสีหน้ารู้ทัน
อิงอรุณเป่าปากพรู แบมือยักไหล่ยอมแพ้ “โอเคค่ะ จากนี้อิงจะไม่มายุ่งวุ่นวายหรือรบกวนคุณอีกแล้ว ถ้าที่ผ่านมาทำให้รำคาญใจก็ขอโทษด้วยนะคะ”
ทั้งที่ควรโล่งใจ จู่ ๆ สาวัชกลับใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก เขาหยิบแฟ้มเรียงกลับใส่ถาดเข้าอย่างไร้ความหมาย ครั้นนึกได้จึงลุกพรวดขึ้นยืน “ผมจะกลับละ”
“งั้นอิงขอแค่ไปรับรองเท้าคืนก็แล้วกันค่ะ”
ชายหนุ่มอึกอัก ความรู้สึกต่อสู้กันในใจ สุดท้ายก็โพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ “แล้วคุณจะกลับยังไง”
“รถอิงยังอยู่ในลานจอดของออฟฟิศค่ะ อิงไม่อยากทิ้งไว้ตากแดดหลายวัน อย่างมากก็ขับกลับเอง ไม่มีอะไรเกินความพยายามหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวแผลก็ฉีกอีกหรอก” ขาขวาเจ้าปัญหาเจ็บอย่างนั้น เจ้าหล่อนจะขับรถยังไง ดีไม่ดีคงเจ็บซ้ำไปกันใหญ่
“ยังไงก็ต้องไปล้างแผลอยู่แล้ว ถ้าฉีกอีกก็ฉีดยาอีกสิคะ ง่าย ๆ ” อิงอรุณลุกขึ้นยืนบ้างเช่นกัน “เราไปกันเลยดีไหมคะ”
“รองเท้านั่น ต้องรีบใช้หรือเปล่า” เขาอ้อมแอ้มถาม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“ไม่หรอกค่ะ มันก็แค่ข้ออ้างที่อิงใช้เพื่อมาพบคุณเท่านั้นเอง”
สาวัชงันไปเสี้ยววินาที ถ้อยคำของหญิงสาวเกือบจะปักลงตรงกลางใจแล้ว มันเฉี่ยวหัวใจเขาไปไม่ถึงองคุลี กระนั้นก็ทำให้เขาเสียศูนย์อยู่ดี
“ข้ออ้างมาพบผม?”
“เวลาคุยกับคุณสาวัช อิงสนุกดี ก็เลยตีขลุมเอาเองว่าคุณก็คงคิดคล้ายกัน แต่ในเมื่อคุณยืนกรานว่าอิงรบกวนชีวิต อิงก็จะจัดระเบียบความคิดของตัวเองใหม่ เลิกตีความที่ไม่ตรงกับความจริงซะที”
ปกติคนที่อยู่กับเขามักจะมีอารมณ์อยู่ไม่กี่แบบ เบื่อหน่าย รำคาญ เกร็ง
อึดอัด และอีกหลากหลายความรู้สึกในทางลบ อะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่สนุก!
หากอิงอรุณเป็นพินอคคิโอ ป่านนี้จมูกเธอคงยาวเป็นฟุตแล้ว
“คุณก็แค่เห็นว่าผมแปลกกว่าคนอื่นรอบตัวเท่านั้นเอง”
หญิงสาวส่ายหน้า “ถ้าคุณคิดแบบนั้นแล้วสบายใจ ก็เชิญตามสบายเถอะค่ะ”
ดูเถิด! เจ้าหล่อนยกคำพูดเขามาใช้ซ้ำได้ไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว
อิงอรุณลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเก้งก้างเห็นชัดว่ายังทิ้งน้ำหนักที่ขาข้างเจ็บไม่ถนัด “ถ้าไม่รบกวนเกินไป พรุ่งนี้คุณช่วยเอารองเท้าติดมาด้วยนะคะ อิงจะให้เด็กมารับคืน ลาละค่ะ” เธอค้อมศีรษะ แล้วเดินไปที่ประตูโดยไม่อาวรณ์อ้อยสร้อย
“เดี๋ยว! ” สาวัชโพล่งออกไปก่อนจะทันห้ามตัวเอง
อิงอรุณยืนนิ่ง ๆ ไม่หันกลับมาสักนิด
“อยากเอารถกลับบ้านใช่ไหม ผมขับให้ แล้วผมค่อยกลับมาเอารถที่ออฟฟิศ”
เธอเบือนหน้ามาอย่างเชื่องช้า คลี่รอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า “ขอบคุณค่ะ”
สาวัชผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ไม่รู้ตัวว่าเขากลัวอิงอรุณปฏิเสธ จนเกือบกลั้นหายใจรอฟังคำตอบด้วยซ้ำ!
ออดี้สีขาวจอดแน่นิ่งอยู่ตรงสี่แยกห่างจากสัญญาณไฟจราจรแค่ยี่สิบเมตรมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว อิงอรุณหมุนคอขับไล่ความเมื่อยขบ พลางมองไปนอกรถฆ่าเวลา
“อุ๊ย! ข้างทางมีข้าวเกรียบปากหม้อด้วย น่ากินจัง รถคงจะติดอีกนาน เดี๋ยวอิงลงไปซื้อมากินเล่นระหว่างรอดีกว่า รอแป๊บนึงนะคะ” เอ่ยจบเธอก็ปลดเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวหมายจะใช้มือขวาดึงคันเปิดประตู
พลันข้อมือก็ถูกล็อกไว้ด้วยคีมเหล็ก “คุณสาวัชดึงอิงไว้ทำไมคะ”
“จะบ้าหรือไง คุณเจ็บขาอยู่นะ เที่ยวเดินดุ่มลงไปข้างทางแบบนี้ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็ให้คุณสาวัชพาไปโรงพยาบาลอีกสิคะ ง่ายจะตาย”
“นั่งอยู่นี่แหละ”
“แต่อิงหิวนี่คะ”
“คุณอิงอรุณ คุณรู้จักคำว่าอดทนบ้างไหม”
“รู้จักค่ะ แต่ไม่เคยต้องทำแบบนั้นเลย พ่อกับแม่อิงใจดี อิงอยากได้อะไรก็ได้ ไม่ต้องอดทนหรอกค่ะ” นั่นโม้เกินจริงไปหน่อย แต่ไม่สำคัญหรอก แหย่ให้สาวัชกริ้ว สนุกกว่าตั้งเยอะ
“งั้นก็หัดซะ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย”
อิงอรุณอมยิ้มเหลือบมองคนข้าง ๆ ทว่าสิ่งที่เขาพูดยังคาใจอยู่ “ถามจริง ๆ นะ อิงเป็นตัวยุ่งวุ่นวาย ทำให้คุณรำคาญใจมากเลยหรือคะ”
“จะรู้ไปทำไม”
“คุณว่าอิงจะปรับปรุงตัวเองได้ไหมคะ”
“คนไม่รู้จักอดทน คงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกมั้ง”
“ใจร้าย...ไม่ให้กำลังใจกันเลย” เธอทำปากยื่น ยู่หน้าใส่ชายหนุ่ม
“แล้วคุณจะอยากปรับปรุงตัวเองทำไม”
“ก็อิงอยากเป็นเพื่อนคุณสาวัชนี่คะ”
“เหตุผลล่ะ?”
“มีเพื่อนเป็นดอกเตอร์เท่จะตายนะคะ” ที่จริงแล้วเธอสงสาร อยากให้เขามีโลกที่ผ่อนคลาย สนุกสนานบ้างต่างหาก ขืนเอาแต่ทำหน้ายุ่งทั้งปีทั้งชาติ มีหวังหน้าตาหล่อ ๆ นี่คงแก่ก่อนวัยแหง
“พี่ชายคุณก็เป็นดอกเตอร์”
“ขืนแซวพี่ชายแบบนี้ อิงคงโดนดุแน่ ๆ แต่คุณสาวัชใจดีกว่าพี่นรา แหย่ได้”
ดวงตาคมตวัดมาสบสานกับเธอ แผ่รัศมีความโหดจากดวงตาทั้งคู่ “แหย่?”
“หมายถึงพูดคุย โต้แย้งกันน่ะค่ะ” อิงอรุณรีบแก้คำผิดจนลิ้นแทบจะพันกัน
สาวัชเบือนหน้ากลับไปทางท้องถนนอีกครั้ง เขาดูปกติจนเธอเกือบเชื่อแล้ว ถ้าไม่สังเกตเห็นว่ามือทั้งคู่นั้นกำพวงมาลัยรถแน่น
อิงอรุณกล้า ๆ กลัว ๆ เอื้อมมือไปแตะแขนเขา “คุณสาวัชโกรธอิงหรือคะ”
“เอามือออกไป” น้ำเสียงเย็นชานั้นชัดเจนกว่าการยอมรับตรง ๆ เสียอีก
“อิงพูดอะไรผิดคะ บอกอิงสิ อิงจะได้ขอโทษ” หญิงสาวเร่งอธิบาย ลืมคิดไปว่าแค่ไม่ถึงชั่วโมงที่พบสาวัช เธอเอ่ยคำว่าขอโทษไปแล้วกี่ครั้ง
แม้จบการศึกษาด้านจิตวิทยาโดยตรง แต่อิงอรุณพบว่าปฏิกิริยาของผู้ชายคนนี้ยากแก่การคาดเดาและวิเคราะห์อย่างยิ่ง วินาทีที่แล้วเขายังต่อปากต่อคำกับเธออยู่เลย แค่นาทีถัดมา สาวัชกลับเปลี่ยนสู่โหมดน้ำแข็งขั้วโลกดื้อ ๆ ต้องมีอะไรกระตุ้นให้เขารู้สึกไม่ดีแน่ ๆ
“คุณไม่ชอบที่อิงใช้คำว่าแหย่กับคุณหรือคะ”
“ผมไม่ใช่เด็ก”
“แค่พูดผิดหูนิดนึง ก็ไม่พอใจ แบบนี้ยิ่งกว่าเด็กอีกค่ะ”
เขาหันมามองเธอด้วยสายตาดุ ๆ ทำท่าเหมือนกำลังหาคำเอ็ดอยู่ในใจ
“ไฟเขียวแล้ว ออกรถเถอะค่ะ วันนี้ยังมีภารกิจอีกเยอะ กว่าจะกลับถึงบ้าน คงดึกกันทั้งคู่แน่เลย” เธอทำสีหน้ากระตือรือร้นล้อเลียน
ชายหนุ่มเม้มปาก หน้าตาบึ้งตึง ขณะเคลื่อนรถช้า ๆ
อิงอรุณหัวเราะคิก ยื่นมือไปตรงหน้าเขา หมุนข้อมือแล้วฮัมเพลง “แต่ช้าแต่ เขาแห่ยายมา มาถึงศาลา เขาวางยายลง”
สาวัชเบือนหน้าหลบมือเธอ ทั้งยังหันมาขึงตาดุใส่อีกครั้ง
หญิงสาวไม่กลัว เธอหมุนข้อมือ ร้องเพลงต่อให้จบ “ขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแก ขี้มูกยายแก่ ออระแร้ ออระชอน [3] ”
เขาปัดมือเธอออก ทั้งยังหันมาเอ็ดเสียงเขียว “อิงอรุณ!”
โครม! เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลังของรถพร้อมกับแรงกระแทกรุนแรง โชคร้ายที่เธอปลดเข็มขัดนิรภัยตอนจะลงไปซื้อขนมข้างทาง ทำให้อิงอรุณหน้าทิ่มศีรษะโขกคอนโซลด้านหน้า เธอหยัดตัวตรงมือคลำหน้าผากป้อย ๆ ได้ยินสาวัชสบถเต็มสองหู ครั้นลอบสำรวจด้วยปลายตาก็เห็นชายหนุ่มกำลังดูกระจกมองหลัง
“บ้าชะมัด! รถเราโดนคันหลังชน คุณโทร.แจ้งประกันที เดี๋ยวผมลงไปจัดการเอง” เขาสั่งหน้าเคร่ง ลงจากรถทันที
อิงอรุณโทร.เรียกเจ้าหน้าที่ประกันภัย ขณะตำรวจจากป้อมตรงสี่แยกมาพ่นสเปรย์บนพื้นถนนแล้วให้คู่กรณีเคลื่อนรถจากที่เกิดเหตุ ครั้นประกันภัยมาถึง
สาวัชก็ไปสะสางรายละเอียดและเอกสารจนแล้วเสร็จ ตลอดเวลาเขาสั่งให้เธอ...
“คุณรออยู่บนรถนี่แหละ อย่าทำให้มันยุ่งไปกว่าที่เป็นอยู่เลย” แน่ใจนะว่าประโยคนั้นคือความห่วงใยอะ!
เกือบสามสิบนาทีชายหนุ่มจึงกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งในสภาพเหงื่อโซม เชิ้ตเปียกแนบแผ่นหลัง อิงอรุณเปิดฝาแล้วส่งขวดน้ำให้เขา สาวัชเหลือบมามองแวบเดียวแล้วรับน้ำไปดื่ม
“ทำไมเวลาเจอคุณถึงมีแต่เรื่องนะ” เขาเปรยลอย ๆ
“นั่นสิคะ สงสัยดวงเราจะชงกัน” อิงอรุณชักเห็นด้วย
“คุณคงต้องให้คนรถเอาไปเข้าศูนย์ซ่อม เพราะท้ายยุบ กันชนหลังหลุด นี่ต้องเอาเชือกมัดไว้ชั่วคราว”
“ชนแรงมากเลยเหรอคะ”
“คุณถึงกับหัวโขกคอนโซล แรงไหมล่ะ”
อิงอรุณพยักหน้า เสียงอ่อย “เอารถเข้าศูนย์ อย่างนี้อิงก็ไม่มีรถใช้สิคะ”
ชายหนุ่มถอนใจ “ระหว่างที่รถคุณซ่อมอยู่ ผมจะรับส่งคุณเอง”
หากทำได้เธอคงหาไม้มาแคะหูเสียตรงนั้น “คุณสาวัชพูดจริงหรือคะ”
“ผมทำให้รถคุณถูกชน ก็ต้องรับผิดชอบ” เขาส่งขวดน้ำมาคืน แต่แทนที่จะวางมันใส่มือ ชายหนุ่มกลับยื่นขวดไปประคบหน้าผากเธอแทน “จับไว้”
อิงอรุณลมหายใจสะดุด เป็นอีกครั้งที่หัวใจเต้นระรัวด้วยจังหวะประหลาด เธอรีบยกมือขึ้นประคองขวดน้ำ ระมัดระวังมิให้มือแตะโดนกันแม้แต่น้อย จากหางตาเธอเห็นคนข้าง ๆ เข้าเกียร์นำรถเคลื่อนจากที่อีกครั้ง
รถแล่นไปช้า ๆ ตามจังหวะสัญญาณไฟจราจร ทว่าอิงอรุณไม่รับรู้สภาวการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว หัวใจเธอคล้ายตกหล่นอยู่ตรงที่เกิดเหตุ มันปลิววับหายไปเพราะแค่สิ่งเล็กน้อยที่ผู้ชายคนนี้ปฏิบัติต่อกัน
หญิงสาวก้มหน้า มือกดขวดน้ำแนบหน้าผาก ความเย็นซึมซาบผ่านผิว เช่นเดียวกับรอยเย็นฉ่ำบางประการที่หยาดหยดลงในเนื้อหัวใจ...ทีละนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว!
[1] จากเรื่อง ภาพรักในฝัน โดย สิริณ
[2] Pedigree หรือ พงศาวลี เป็นแผนภูมิสำหรับแสดงลำดับเครือญาติ
[3] เพลงเด็กพื้นบ้าน
********************************************************
สั่งซื้อหนังสือได้แล้ววันนี้
พยศดอกฟ้า ราคา 450 บาท
(หนังสือหนา 600 หน้า+ที่คั่น)
จัดเต็มด้วยตอนพิเศษกว่า 100 หน้า!
มีให้อ่านเฉพาะฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
** ไม่มีวางขายตามหน้าร้าน**
สั่งซื้อที่แฟนเพจของสิริณ facebook.com/SirinFC
สำหรับ 100 ท่านแรกที่สั่งจอง
จัดส่งฟรี + ที่คั่นหนังสือ Pink Gold สุดหรู ลายนกฟลามิงโก
ตอนมีกิจกรรมที่แฟนเพจนะคะ
แจกของรางวัลมูลค่ากว่าหนึ่งพันบาท
ใครยังไม่ได้กดไล้ค์ รีบตามไปร่วมสนุกกันบัดเดี๋ยวนี้เลยจ้า
ธนภูมิอ่านข้อความแล้วขมวดคิ้ว “เขาเสนอให้ว่าจ้างบริษัทประเมินราคาหุ้นของปรเมศวร์เทรดดิ้งทำไมครับ”
ริสาไตร่ตรอง “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าราคาที่เหมาะสมจริง ๆ ของหุ้นเราควรอยู่ที่กี่บาท อาจจะมากกว่า ๒๙ บาทก็ได้ คุณหาชื่อบริษัทประเมินมาให้ฉันสักสองสามแห่งละกัน”
“รายงานที่สั่ง ผมจะวางไว้บนโต๊ะพรุ่งนี้เช้าครับ” ธนภูมิชั่งใจชั่วครู่จึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ถ้าพีอาร์เอ็มจะไปถึง ๒๙ บาท เราน่าจะทยอยเก็บหุ้นนะครับ”
“จะให้ช้อนหุ้นไว้ขายซูเปอร์โคลาเหรอ ฉันไม่ได้ซื้อตัวคนวงในไว้เพื่อเรื่องแค่นี้หรอก” ริสาปราม “กำไรน่ะใครก็อยากได้ แต่มันไม่คุ้มกับการเสียอำนาจบริหารให้สเปน ฉันจะต้องยับยั้งการเทคโอเวอร์ของซูเปอร์โคลาให้ถึงที่สุด”
“เสียดายที่ตอนนี้เราขาดสภาพคล่อง ถ้ามีแหล่งทุนหนุนหลัง เราน่าจะปักหลักแลกหมัดกับซูเปอร์โคลาได้ดีกว่านี้”
“ฉันนัดคุณชนวีร์แล้ว ถ้าณัฐภัทรคอร์ปฯ ให้การสนับสนุนด้านการเงิน หมากเกมนี้อาจจบแบบพลิกล็อกก็ได้”
ธนภูมิยืนตัวตรง “คุณริสานัดไว้วันไหนครับ ผมจะจัดเตรียมงบการเงินย้อนหลังของปรเมศวร์เทรดดิ้ง รวมถึงแผนการตลาดตลอดปีหน้าของเราไว้ให้”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไปขอร้องณัฐภัทรคอร์ปฯ ในฐานะเพื่อนของคุณรินรดา ณัฐภัทร” ริสาเอ่ยถึงสหายซึ่งเป็นภรรยาของประธานกรรมการบริหารธนาคารในเครือณัฐภัทรคอร์ปอเรชันซึ่งเป็นกลุ่มการเงินใหญ่ที่สุดในประเทศไทย [1] “ด้วยราคาหุ้นในตลาดตอนนี้ ถ้าเรามีวงเงินสักพันแปดร้อยล้าน ซื้อหุ้น ๔๒% ได้สบาย ๆ รวมกับที่ครอบครัวปรเมศวร์มีอยู่แล้วอีก ๙% ซูเปอร์โคลาก็ทำเทนเดอร์ไม่สำเร็จละ”
“ผมเข้าใจครับ เพราะตราบใดที่เรายังไม่เซ็นสัญญาการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายฉบับใหม่กับซูเปอร์โคลา ไพ่ในมือเราก็ยังไม่ดีพอที่จะขอให้ณัฐภัทรคอร์ปฯ ปล่อยกู้ ทางเดียวที่มีก็คือใช้สายสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อน”
ริสาคิดดัง ๆ “คุณเคยประเมินมูลค่าของอาคารโภไคยทาวเวอร์ไหม”
“ราคาประเมินคร่าว ๆ ปีก่อนตกอยู่ในราวสองพันสามร้อยล้านครับ” ธนภูมิตอบแล้วชะงัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น “คุณริสาจะเอาไปค้ำกับแบงก์หรือครับ”
หญิงสาวส่ายศีรษะ “ค่าเช่าและผลตอบแทนจากอาคารโภไคยทาวเวอร์จัดอยู่ในขั้นดีมาก ถ้าเราเอาอาคารสำนักงานตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์เสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ระดมทุนมาก็น่าจะต่อกรกับซูเปอร์โคลาได้สมน้ำสมเนื้อนะ”
“ซูเปอร์โคลามีแผนทำเทนเดอร์เดือนหน้า แต่ขั้นตอนการจัดตั้งกองทุนต้องใช้เวลาราวสี่เดือน กว่าจะได้เงินเข้ามาคงไม่ทัน”
“คุณธนภูมิกับทีมงานลองศึกษารายละเอียดการจัดตั้งกองทุนอสังหาฯ ให้ที ถึงจะขอพบในฐานะเพื่อน แต่ฉันก็อยากมีอะไรติดมือไปเจรจากับณัฐภัทรคอร์ปฯ บ้าง เราอาจยังพอมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์ก็ได้”
เมื่ออีกฝ่ายโบกมือตัดบท ธนภูมิจึงค้อมศีรษะออกจากห้อง ความหดหู่แปรเป็นฮึกเหิม ทางออกของริสาอาจไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุด แต่ด้วยสองมือของผู้หญิงเก่งและแกร่งคนนี้ ปรเมศวร์เทรดดิ้งจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างดีแน่นอน!
แยกกับวัชระกลับมานั่งทำงานได้ไม่ทันไร สาวัชก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพนักงานแจ้งมาทางโทรศัพท์ว่า “มีแขกมาขอพบคุณสาวัชค่ะ”
“อิงเองค่ะคุณสาวัช” เสียงแจ้วดังมาตามสาย บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงดึงกระบอกโทรศัพท์ไปจากมือประชาสัมพันธ์
“คุณสาวัชบอกน้องเขาหน่อยสิคะ ว่าอนุญาตให้อิงเข้าไปข้างในได้เลย”
สาวัชนึกถึงถ้อยคำที่เปรมิกาเหยียดหยามเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกต่ำต้อย ทั้งยังรู้ดีว่ายิ่งอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ ความรู้สึกดังว่าจะยิ่งเข้มข้นขึ้นทบทวี
“คุณกลับไปเถอะ”
“ถ้าคุณไม่ให้พบ งั้นอิงก็จะรออยู่ตรงนี้นี่แหละ” เธอคงถนัดกับบทดื้อตาใสที่สุด แต่มุกไหนที่เล่นบ่อยก็เฝือ ผู้ชมจับทางได้หมด
“เอาที่สบายใจเลยครับ เก้าอี้นั่งไม่ค่อยสบาย อดทนหน่อยละกัน”
สาวัชไม่รู้ตัวเลยว่ามุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อวางสาย ชายหนุ่มหยิบเอกสารจากถาดเข้ามาอ่าน เขียนความเห็นแนบและทยอยลงนาม จวบจนเครื่องปรับอากาศของอาคารเงียบเสียงอันเป็นสัญญาณว่าเลิกงานแล้ว เขาจึงยกหูโทร.หาประชาสัมพันธ์ประจำชั้น
“สาวัชครับ ไม่ทราบว่าแขกที่มาพบผมยังอยู่หรือเปล่า”
“กลับไปพักใหญ่แล้วค่ะ”
สาวัชโล่งใจ ทว่าอีกเสี้ยวความรู้สึกที่ไม่อยากรับ เขาพบว่า...ใจหาย
“ขอบใจ” เขาพึมพำ กำลังจะวางสาย
“แต่เธอเขียนโน้ตฝากไว้นะคะ”
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนทันที “ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”
กระดาษเอสี่พับครึ่งเย็บแม็กที่เขาแกะออกมีข้อความประโยคเดียว
‘คุณสาวัชว่าอิงเรียกอูเบอร์หรือแกร๊บมารับไปล้างแผลที่โรงพยาบาลดีคะ? ’
“ตัวยุ่ง” เขางึมงำ รอยเข้มงวดในดวงตาจางลงโดยไม่รู้ตัว
“โชคดีจัง ไม่ต้องเรียกอูเบอร์เรียกแกร๊บละ คุณสาวัชเสร็จงานพอดี” เสียงแจ้วดังขึ้นข้างตัว
สาวัชหันขวับไปทางต้นเสียง ถามอัตโนมัติ “ยังไม่กลับเหรอ”
“กลับไปแล้วค่ะ ที่เห็นอยู่นี่เป็นวิญญาณคนเจ็บตามมาหลอกหลอนคุณต่างหาก” อิงอรุณแลบลิ้นทำหน้าเป็น
“ปากเสีย คนโบราณเขาไม่ให้แช่งตัวเอง ไม่รู้หรือไง”
หญิงสาวยิ้มกว้าง “อิงหัวแข็งออก ไม่ตายง่าย ๆ หรอกค่ะ”
“คุณนี่เป็นพวกยิ่งห้ามยิ่งยุหรือไง” สาวัชพับกระดาษข้อความตามรอยเดิมสอดใส่กระเป๋าเสื้อสูท แล้วหมุนตัวกลับเข้าไปในเขตสำนักงาน โดยมีอิงอรุณโหย่งเท้าทิ้งน้ำหนักที่ขาข้างเดียว อีกข้างกะเผลกตามมาเร็ว ๆ
“ขายังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ เดินมาถึงนี่ทำไม จำได้ว่าไม่ได้เชิญคุณมานะ” เขาเปิดประตูห้องทำงานไว้เพื่อกันคำครหา
“ก็เมื่อเช้าอิงลืมรองเท้าไว้บนรถคุณไงคะ คู่นั้นตั้งสามหมื่นแปดเชียวนะ” เธอนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ เสมองซ้ายขวา “ที่นี่เขาไม่มีน้ำท่ามาต้อนรับแขกหรือคะ”
สาวัชไม่รู้ว่าระอาหรืออ่อนใจกับท่าทางละม้ายเด็กห้าขวบของอีกฝ่าย “คุณแค่มาเอารองเท้าคืนไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องดื่มน้ำหรอกมั้ง”
“คุณสาวัชอย่าตระหนี่กับแขกสิคะ อิงเดินมาไกล แอบเจ็บแผลนิดนึงเหมือนกันนะเนี่ย ขอพักก่อนแป๊บนึงไม่ได้เหรอ”
“ผมต้องทำงาน” ชายหนุ่มชี้แฟ้มทั้งกองในถาดเอกสารเข้าที่ยังไม่ได้ลงนาม
เธอยกข้อมือขึ้นดูเวลา “แต่นี่มันเลิกงานแล้วนะ ไหน ๆ อิงก็จะไปรับรองเท้าคืนที่รถคุณอยู่แล้ว ยังไงรบกวนคุณพาอิงไปล้างแผลที่โรงพยาบาลด้วยได้ไหมคะ”
“คุณอิงอรุณ ผมเป็นคนขับรถของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แหม...เรียกซะใจร้ายเลย แค่ขอติดรถไปด้วยเอง รัฐบาลบอกว่าเราต้องรวมพลังหารสองนะคะ เคยฟังเพลงนี้ไหมคะ ไปด้วยกัน ๆ ๆ ถ้าไปด้วยกัน น้ำมันก็ไม่เปลือง สองคนสองคันเยอะปาย-ย-ย” เธอครางเพลงหงุงหงิงแปลงเนื้อเพลงเองตามใจชอบ ดวงตาแพรวพราวระยิบระยับล้อเลียน
สาวัชพับแฟ้มเลื่อนไปวางข้าง ๆ แล้วสบตาหญิงสาวจริงจัง “วิทยากรคุณก็มีแล้ว ทำไมยังต้องมาวุ่นวายกับผม”
“อิงไม่ได้วุ่นวายสักหน่อย”
“นั่นคือสิ่งที่คุณคิดไง แต่สำหรับผม คุณยุ่ง คุณวุ่นวาย”
“ไม่เป็นวิทยากรให้อิงก็พอเข้าใจนะคะ แต่แหม...เป็นเพื่อนก็ไม่ได้เหรอคะ”
“ก่อนจะนับใครเป็นเพื่อน ปรึกษาแม่คุณก่อนเถอะ”
“คุณไม่บอกแม่ว่านามสกุลปรเมศวร์นี่คะ ไม่งั้นแม่คงพูดกับคุณอีกแบบ”
“เป็นความผิดของผมที่ไม่ได้พิมพ์เพดดิกรี [2] ติดตัวไว้แสดงเวลารู้จักกับใคร?”
“คนเป็นแม่ก็ช่างปกป้องอย่างนี้แหละ อิงขอโทษแทนแม่ด้วยนะคะ คุณสาวัชทำเป็นลืม ๆ ที่แม่อิงพูดไปไม่ได้เหรอคะ อิงอยากเป็นเพื่อนคุณจริง ๆ นะ”
“คุณสมบัติผมไม่คู่ควรที่จะเป็นเพื่อนคุณหรอก”
“คุณเกลียดการเข้าสังคมและการมีเพื่อนหรือคะ”
“ไม่ต้องมาวิเคราะห์ผม” เขาดักคอด้วยสีหน้ารู้ทัน
อิงอรุณเป่าปากพรู แบมือยักไหล่ยอมแพ้ “โอเคค่ะ จากนี้อิงจะไม่มายุ่งวุ่นวายหรือรบกวนคุณอีกแล้ว ถ้าที่ผ่านมาทำให้รำคาญใจก็ขอโทษด้วยนะคะ”
ทั้งที่ควรโล่งใจ จู่ ๆ สาวัชกลับใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก เขาหยิบแฟ้มเรียงกลับใส่ถาดเข้าอย่างไร้ความหมาย ครั้นนึกได้จึงลุกพรวดขึ้นยืน “ผมจะกลับละ”
“งั้นอิงขอแค่ไปรับรองเท้าคืนก็แล้วกันค่ะ”
ชายหนุ่มอึกอัก ความรู้สึกต่อสู้กันในใจ สุดท้ายก็โพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ “แล้วคุณจะกลับยังไง”
“รถอิงยังอยู่ในลานจอดของออฟฟิศค่ะ อิงไม่อยากทิ้งไว้ตากแดดหลายวัน อย่างมากก็ขับกลับเอง ไม่มีอะไรเกินความพยายามหรอกค่ะ”
“เดี๋ยวแผลก็ฉีกอีกหรอก” ขาขวาเจ้าปัญหาเจ็บอย่างนั้น เจ้าหล่อนจะขับรถยังไง ดีไม่ดีคงเจ็บซ้ำไปกันใหญ่
“ยังไงก็ต้องไปล้างแผลอยู่แล้ว ถ้าฉีกอีกก็ฉีดยาอีกสิคะ ง่าย ๆ ” อิงอรุณลุกขึ้นยืนบ้างเช่นกัน “เราไปกันเลยดีไหมคะ”
“รองเท้านั่น ต้องรีบใช้หรือเปล่า” เขาอ้อมแอ้มถาม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
“ไม่หรอกค่ะ มันก็แค่ข้ออ้างที่อิงใช้เพื่อมาพบคุณเท่านั้นเอง”
สาวัชงันไปเสี้ยววินาที ถ้อยคำของหญิงสาวเกือบจะปักลงตรงกลางใจแล้ว มันเฉี่ยวหัวใจเขาไปไม่ถึงองคุลี กระนั้นก็ทำให้เขาเสียศูนย์อยู่ดี
“ข้ออ้างมาพบผม?”
“เวลาคุยกับคุณสาวัช อิงสนุกดี ก็เลยตีขลุมเอาเองว่าคุณก็คงคิดคล้ายกัน แต่ในเมื่อคุณยืนกรานว่าอิงรบกวนชีวิต อิงก็จะจัดระเบียบความคิดของตัวเองใหม่ เลิกตีความที่ไม่ตรงกับความจริงซะที”
ปกติคนที่อยู่กับเขามักจะมีอารมณ์อยู่ไม่กี่แบบ เบื่อหน่าย รำคาญ เกร็ง
อึดอัด และอีกหลากหลายความรู้สึกในทางลบ อะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่สนุก!
หากอิงอรุณเป็นพินอคคิโอ ป่านนี้จมูกเธอคงยาวเป็นฟุตแล้ว
“คุณก็แค่เห็นว่าผมแปลกกว่าคนอื่นรอบตัวเท่านั้นเอง”
หญิงสาวส่ายหน้า “ถ้าคุณคิดแบบนั้นแล้วสบายใจ ก็เชิญตามสบายเถอะค่ะ”
ดูเถิด! เจ้าหล่อนยกคำพูดเขามาใช้ซ้ำได้ไม่ผิดเลยแม้แต่คำเดียว
อิงอรุณลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเก้งก้างเห็นชัดว่ายังทิ้งน้ำหนักที่ขาข้างเจ็บไม่ถนัด “ถ้าไม่รบกวนเกินไป พรุ่งนี้คุณช่วยเอารองเท้าติดมาด้วยนะคะ อิงจะให้เด็กมารับคืน ลาละค่ะ” เธอค้อมศีรษะ แล้วเดินไปที่ประตูโดยไม่อาวรณ์อ้อยสร้อย
“เดี๋ยว! ” สาวัชโพล่งออกไปก่อนจะทันห้ามตัวเอง
อิงอรุณยืนนิ่ง ๆ ไม่หันกลับมาสักนิด
“อยากเอารถกลับบ้านใช่ไหม ผมขับให้ แล้วผมค่อยกลับมาเอารถที่ออฟฟิศ”
เธอเบือนหน้ามาอย่างเชื่องช้า คลี่รอยยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้า “ขอบคุณค่ะ”
สาวัชผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ไม่รู้ตัวว่าเขากลัวอิงอรุณปฏิเสธ จนเกือบกลั้นหายใจรอฟังคำตอบด้วยซ้ำ!
ออดี้สีขาวจอดแน่นิ่งอยู่ตรงสี่แยกห่างจากสัญญาณไฟจราจรแค่ยี่สิบเมตรมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว อิงอรุณหมุนคอขับไล่ความเมื่อยขบ พลางมองไปนอกรถฆ่าเวลา
“อุ๊ย! ข้างทางมีข้าวเกรียบปากหม้อด้วย น่ากินจัง รถคงจะติดอีกนาน เดี๋ยวอิงลงไปซื้อมากินเล่นระหว่างรอดีกว่า รอแป๊บนึงนะคะ” เอ่ยจบเธอก็ปลดเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวหมายจะใช้มือขวาดึงคันเปิดประตู
พลันข้อมือก็ถูกล็อกไว้ด้วยคีมเหล็ก “คุณสาวัชดึงอิงไว้ทำไมคะ”
“จะบ้าหรือไง คุณเจ็บขาอยู่นะ เที่ยวเดินดุ่มลงไปข้างทางแบบนี้ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็ให้คุณสาวัชพาไปโรงพยาบาลอีกสิคะ ง่ายจะตาย”
“นั่งอยู่นี่แหละ”
“แต่อิงหิวนี่คะ”
“คุณอิงอรุณ คุณรู้จักคำว่าอดทนบ้างไหม”
“รู้จักค่ะ แต่ไม่เคยต้องทำแบบนั้นเลย พ่อกับแม่อิงใจดี อิงอยากได้อะไรก็ได้ ไม่ต้องอดทนหรอกค่ะ” นั่นโม้เกินจริงไปหน่อย แต่ไม่สำคัญหรอก แหย่ให้สาวัชกริ้ว สนุกกว่าตั้งเยอะ
“งั้นก็หัดซะ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลย”
อิงอรุณอมยิ้มเหลือบมองคนข้าง ๆ ทว่าสิ่งที่เขาพูดยังคาใจอยู่ “ถามจริง ๆ นะ อิงเป็นตัวยุ่งวุ่นวาย ทำให้คุณรำคาญใจมากเลยหรือคะ”
“จะรู้ไปทำไม”
“คุณว่าอิงจะปรับปรุงตัวเองได้ไหมคะ”
“คนไม่รู้จักอดทน คงทำอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกมั้ง”
“ใจร้าย...ไม่ให้กำลังใจกันเลย” เธอทำปากยื่น ยู่หน้าใส่ชายหนุ่ม
“แล้วคุณจะอยากปรับปรุงตัวเองทำไม”
“ก็อิงอยากเป็นเพื่อนคุณสาวัชนี่คะ”
“เหตุผลล่ะ?”
“มีเพื่อนเป็นดอกเตอร์เท่จะตายนะคะ” ที่จริงแล้วเธอสงสาร อยากให้เขามีโลกที่ผ่อนคลาย สนุกสนานบ้างต่างหาก ขืนเอาแต่ทำหน้ายุ่งทั้งปีทั้งชาติ มีหวังหน้าตาหล่อ ๆ นี่คงแก่ก่อนวัยแหง
“พี่ชายคุณก็เป็นดอกเตอร์”
“ขืนแซวพี่ชายแบบนี้ อิงคงโดนดุแน่ ๆ แต่คุณสาวัชใจดีกว่าพี่นรา แหย่ได้”
ดวงตาคมตวัดมาสบสานกับเธอ แผ่รัศมีความโหดจากดวงตาทั้งคู่ “แหย่?”
“หมายถึงพูดคุย โต้แย้งกันน่ะค่ะ” อิงอรุณรีบแก้คำผิดจนลิ้นแทบจะพันกัน
สาวัชเบือนหน้ากลับไปทางท้องถนนอีกครั้ง เขาดูปกติจนเธอเกือบเชื่อแล้ว ถ้าไม่สังเกตเห็นว่ามือทั้งคู่นั้นกำพวงมาลัยรถแน่น
อิงอรุณกล้า ๆ กลัว ๆ เอื้อมมือไปแตะแขนเขา “คุณสาวัชโกรธอิงหรือคะ”
“เอามือออกไป” น้ำเสียงเย็นชานั้นชัดเจนกว่าการยอมรับตรง ๆ เสียอีก
“อิงพูดอะไรผิดคะ บอกอิงสิ อิงจะได้ขอโทษ” หญิงสาวเร่งอธิบาย ลืมคิดไปว่าแค่ไม่ถึงชั่วโมงที่พบสาวัช เธอเอ่ยคำว่าขอโทษไปแล้วกี่ครั้ง
แม้จบการศึกษาด้านจิตวิทยาโดยตรง แต่อิงอรุณพบว่าปฏิกิริยาของผู้ชายคนนี้ยากแก่การคาดเดาและวิเคราะห์อย่างยิ่ง วินาทีที่แล้วเขายังต่อปากต่อคำกับเธออยู่เลย แค่นาทีถัดมา สาวัชกลับเปลี่ยนสู่โหมดน้ำแข็งขั้วโลกดื้อ ๆ ต้องมีอะไรกระตุ้นให้เขารู้สึกไม่ดีแน่ ๆ
“คุณไม่ชอบที่อิงใช้คำว่าแหย่กับคุณหรือคะ”
“ผมไม่ใช่เด็ก”
“แค่พูดผิดหูนิดนึง ก็ไม่พอใจ แบบนี้ยิ่งกว่าเด็กอีกค่ะ”
เขาหันมามองเธอด้วยสายตาดุ ๆ ทำท่าเหมือนกำลังหาคำเอ็ดอยู่ในใจ
“ไฟเขียวแล้ว ออกรถเถอะค่ะ วันนี้ยังมีภารกิจอีกเยอะ กว่าจะกลับถึงบ้าน คงดึกกันทั้งคู่แน่เลย” เธอทำสีหน้ากระตือรือร้นล้อเลียน
ชายหนุ่มเม้มปาก หน้าตาบึ้งตึง ขณะเคลื่อนรถช้า ๆ
อิงอรุณหัวเราะคิก ยื่นมือไปตรงหน้าเขา หมุนข้อมือแล้วฮัมเพลง “แต่ช้าแต่ เขาแห่ยายมา มาถึงศาลา เขาวางยายลง”
สาวัชเบือนหน้าหลบมือเธอ ทั้งยังหันมาขึงตาดุใส่อีกครั้ง
หญิงสาวไม่กลัว เธอหมุนข้อมือ ร้องเพลงต่อให้จบ “ขี้ตู่กลางนา ขี้ตาตุ๊กแก ขี้มูกยายแก่ ออระแร้ ออระชอน [3] ”
เขาปัดมือเธอออก ทั้งยังหันมาเอ็ดเสียงเขียว “อิงอรุณ!”
โครม! เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลังของรถพร้อมกับแรงกระแทกรุนแรง โชคร้ายที่เธอปลดเข็มขัดนิรภัยตอนจะลงไปซื้อขนมข้างทาง ทำให้อิงอรุณหน้าทิ่มศีรษะโขกคอนโซลด้านหน้า เธอหยัดตัวตรงมือคลำหน้าผากป้อย ๆ ได้ยินสาวัชสบถเต็มสองหู ครั้นลอบสำรวจด้วยปลายตาก็เห็นชายหนุ่มกำลังดูกระจกมองหลัง
“บ้าชะมัด! รถเราโดนคันหลังชน คุณโทร.แจ้งประกันที เดี๋ยวผมลงไปจัดการเอง” เขาสั่งหน้าเคร่ง ลงจากรถทันที
อิงอรุณโทร.เรียกเจ้าหน้าที่ประกันภัย ขณะตำรวจจากป้อมตรงสี่แยกมาพ่นสเปรย์บนพื้นถนนแล้วให้คู่กรณีเคลื่อนรถจากที่เกิดเหตุ ครั้นประกันภัยมาถึง
สาวัชก็ไปสะสางรายละเอียดและเอกสารจนแล้วเสร็จ ตลอดเวลาเขาสั่งให้เธอ...
“คุณรออยู่บนรถนี่แหละ อย่าทำให้มันยุ่งไปกว่าที่เป็นอยู่เลย” แน่ใจนะว่าประโยคนั้นคือความห่วงใยอะ!
เกือบสามสิบนาทีชายหนุ่มจึงกลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งในสภาพเหงื่อโซม เชิ้ตเปียกแนบแผ่นหลัง อิงอรุณเปิดฝาแล้วส่งขวดน้ำให้เขา สาวัชเหลือบมามองแวบเดียวแล้วรับน้ำไปดื่ม
“ทำไมเวลาเจอคุณถึงมีแต่เรื่องนะ” เขาเปรยลอย ๆ
“นั่นสิคะ สงสัยดวงเราจะชงกัน” อิงอรุณชักเห็นด้วย
“คุณคงต้องให้คนรถเอาไปเข้าศูนย์ซ่อม เพราะท้ายยุบ กันชนหลังหลุด นี่ต้องเอาเชือกมัดไว้ชั่วคราว”
“ชนแรงมากเลยเหรอคะ”
“คุณถึงกับหัวโขกคอนโซล แรงไหมล่ะ”
อิงอรุณพยักหน้า เสียงอ่อย “เอารถเข้าศูนย์ อย่างนี้อิงก็ไม่มีรถใช้สิคะ”
ชายหนุ่มถอนใจ “ระหว่างที่รถคุณซ่อมอยู่ ผมจะรับส่งคุณเอง”
หากทำได้เธอคงหาไม้มาแคะหูเสียตรงนั้น “คุณสาวัชพูดจริงหรือคะ”
“ผมทำให้รถคุณถูกชน ก็ต้องรับผิดชอบ” เขาส่งขวดน้ำมาคืน แต่แทนที่จะวางมันใส่มือ ชายหนุ่มกลับยื่นขวดไปประคบหน้าผากเธอแทน “จับไว้”
อิงอรุณลมหายใจสะดุด เป็นอีกครั้งที่หัวใจเต้นระรัวด้วยจังหวะประหลาด เธอรีบยกมือขึ้นประคองขวดน้ำ ระมัดระวังมิให้มือแตะโดนกันแม้แต่น้อย จากหางตาเธอเห็นคนข้าง ๆ เข้าเกียร์นำรถเคลื่อนจากที่อีกครั้ง
รถแล่นไปช้า ๆ ตามจังหวะสัญญาณไฟจราจร ทว่าอิงอรุณไม่รับรู้สภาวการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว หัวใจเธอคล้ายตกหล่นอยู่ตรงที่เกิดเหตุ มันปลิววับหายไปเพราะแค่สิ่งเล็กน้อยที่ผู้ชายคนนี้ปฏิบัติต่อกัน
หญิงสาวก้มหน้า มือกดขวดน้ำแนบหน้าผาก ความเย็นซึมซาบผ่านผิว เช่นเดียวกับรอยเย็นฉ่ำบางประการที่หยาดหยดลงในเนื้อหัวใจ...ทีละนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว!
[1] จากเรื่อง ภาพรักในฝัน โดย สิริณ
[2] Pedigree หรือ พงศาวลี เป็นแผนภูมิสำหรับแสดงลำดับเครือญาติ
[3] เพลงเด็กพื้นบ้าน
********************************************************
สั่งซื้อหนังสือได้แล้ววันนี้
พยศดอกฟ้า ราคา 450 บาท
(หนังสือหนา 600 หน้า+ที่คั่น)
จัดเต็มด้วยตอนพิเศษกว่า 100 หน้า!
มีให้อ่านเฉพาะฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
** ไม่มีวางขายตามหน้าร้าน**
สั่งซื้อที่แฟนเพจของสิริณ facebook.com/SirinFC
สำหรับ 100 ท่านแรกที่สั่งจอง
จัดส่งฟรี + ที่คั่นหนังสือ Pink Gold สุดหรู ลายนกฟลามิงโก
ตอนมีกิจกรรมที่แฟนเพจนะคะ
แจกของรางวัลมูลค่ากว่าหนึ่งพันบาท
ใครยังไม่ได้กดไล้ค์ รีบตามไปร่วมสนุกกันบัดเดี๋ยวนี้เลยจ้า
สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2561, 22:52:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2561, 22:52:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 688
<< ตอนที่ 17 | ตอนที่ 19 >> |