+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ

แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์

นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้

นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา

โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก

ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว

แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ

สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D


ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ

สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ

ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน

ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555

Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน

ตอน: ตอนที่ 24

แม้เป็นวันหยุดที่ไม่ต้องเข้าบริษัท แต่สาวัชก็ยังต้องไปสอนชดเชยตามที่ตกลงกับคณบดี เขาเตรียมออกจากบ้านเช้ากว่าปกติเพื่อพาอิงอรุณไปส่งที่บริษัทก่อน จึงรับประทานอาหารที่เรือนหลังเล็ก เพราะที่ตึกใหญ่จะตั้งโต๊ะสายกว่า

สาวิตรีมีสีหน้าร้อนใจ เมื่อยกชามข้าวต้มมาวางให้เขา “ได้ยินคุณหยงคุยกับเตี่ย เห็นบอกว่าวัชให้ข่าวผิดพลาด ทำให้หุ้นตกเหรอ”

“ได้ยิน?” สาวัชที่กำลังเหยาะพริกไทยใส่ข้าวต้มชะงัก

“แม่ผ่านห้องทำงานของเตี่ยพอดีน่ะ” นางยักไหล่ ไม่แคร์แม้คำตอบนั้นจะอธิบายได้ดีไม่แพ้การพูดตรง ๆ ว่าท่าน ‘แอบฟัง’ มาต่างหาก

“ราคาหุ้นตกลงแปดสิบสตางค์ มูลค่าความเสียหายรวมประมาณสองร้อยกว่าล้านครับ”

ช้อนกระเบื้องในมือมารดาหล่นกระทบชาม

“วัชว่ายังไงนะ! ” สาวิตรีเสียงเข้มตกใจ

“ผมจะทำเรื่องโอนหุ้นคืนคุณหยง เพื่อเป็นการรับผิดชอบความเสียหายนี้” สาวัชวางช้อน “ผมมีสอนเช้า ขอตัวนะครับ”

สาวิตรีผลักถ้วยข้าวต้มออกห่าง มือกำแน่น เธอนิ่งชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ จึงไปเปิดตู้เย็นดึงเหยือกแก้วบรรจุน้ำขึ้นช่ายมาวางบนถาด จากนั้นหยิบจอกน้ำชาที่วัชระมอบให้มาวางเคียงกัน

ดวงตาเคียดแค้นเหลือบมองขวดยาฆ่าหญ้าซึ่งวางอยู่ใต้เคาน์เตอร์ครัวอย่างครุ่นคิด ครั้นเสียงแกรกกรากจากประตูดังเบา ๆ เป็นสัญญาณว่ามีคนกำลังเข้ามาในครัว สาวิตรีก็รีบวางขวดลงที่เดิม มือเย็นเฉียบกดลงตรงหน้าอกควบคุมหัวใจที่เต้นไม่เป็นปกติ เพียงอีกฝ่ายโผล่หน้าเข้ามา สาวใหญ่ก็ประคองถาดไว้ที่มือส่งยิ้มให้สาวใช้คนสนิทแก้เก้อ





เช้าวันเดียวกันนั้น สำนักงานของคิวปิดแอสซิสแทนซ์คลาคล่ำด้วยสมาชิกหนาตา บางกลุ่มเข้าห้องทำกิจกรรมเพนท์รูปสีน้ำไปแล้ว แต่บางคนกำลังรอขึ้นรถโคชเดินทางไปชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หนุ่มสาวจับกลุ่มคุยกัน บางส่วนลงทะเบียนรับป้ายชื่อ แล้วไปยังโต๊ะกลางห้องซึ่งมีอาหารเช้าให้รับประทาน

กัญญารับรองลูกค้าอยู่ในอาคาร ขณะผู้ช่วยอีกคนตรวจข้าวของที่ต้องขนขึ้นรถ อันประกอบไปด้วยของว่างทั้งอาหารและเครื่องดื่ม หมวกและร่มเผื่อฉุกเฉิน

สาวัชเคลื่อนรถมาจอดหน้าสำนักงาน แล้วถามคนข้าง ๆ อย่างอดไม่ได้ “ขาก็ยังไม่หายดี ให้คนอื่นไปทำแทนไม่ได้หรือ”

“คนอื่น? ใครล่ะคะ เพชรก็อยู่โรงพยาบาล มีเหลือแค่อิงนี่แหละค่ะ”

“อย่าไปเจ็บเพิ่มมาอีกละ” เขากระแทกเสียง “แล้วคุณจะกลับถึงออฟฟิศกี่โมง ผมจะได้กะเวลามารับถูก”

“คงสัก...” อิงอรุณทำท่าหยุดคิด พลันกระจกรถก็ถูกเคาะ หญิงสาวหันไปเปิดกระจก

“พี่อิง ดอกเตอร์ราเชนทร์เพิ่งวางสายเมื่อกี้เอง เขาบอกว่ามีเรื่องด่วนทางบ้าน มาบรรยายให้เราไม่ได้แล้ว นี่เครื่องลงที่อินเดียปุ๊บก็โทร.มาบอกเราเลย”

“ทำยังไงดี พี่ไม่ได้ติดต่อวิทยาการสำรองไว้เลย กุ้งอยู่ไหน” อิงอรุณคิ้วขมวดหน้ายุ่ง

“พี่กุ้งติดต่อพี่เพชรอยู่ค่ะ แต่พี่เพชรปิดเครื่อง”

“ไม่ต้องไปรบกวนเพชร เรียกพี่กุ้งมานี่ เดี๋ยวพี่ช่วยแก้ปัญหาเอง” เมื่อลูกน้องแยกไปแล้ว อิงอรุณจึงหยิบกระเป๋าเปิดประตูรถ “ขอตัวก่อนนะคะ”

สาวัชเป่าปากพรูโดยอัตโนมัติ ที่โบราณบอกว่ายิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอคงหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงผู้หญิงคนนี้มากเท่าใด แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง ชายหนุ่มลงจากรถอ้อมมาสมทบกับหญิงสาว ถามเสียงเข้ม

“ถ้าเปลี่ยนตัววิทยากร ลูกค้าคุณจะโอเคไหม”

“ยังไงก็ต้องโอเคแหละค่ะ ปัญหาก็คือจะไปหาวิทยากรจากไหนต่างหาก”

สาวัชเบะปาก ถอนหายใจพร้อมกับชี้มือเข้าหาตัวเอง “ผมนี่ไง”

“แต่วันนี้คุณสาวัชมีสอนที่มหาวิทยาลัยนี่คะ”

ชายหนุ่มกอดอกยืนนิ่งสบตาอิงอรุณโดยไม่เอ่ยอะไร...วัดใจกัน!

ในเสี้ยววินาทีที่ดูราวทุกสิ่งรอบกายจะพร้อมใจกันหยุดชะงัก สีหน้าร้อนใจของกามเทพสาวค่อย ๆ แปรเป็นสงบลงทีละน้อย สุดท้ายริ้วรอยกังวลจึงคลี่คลาย โดยมีรอยยิ้มแต้มขจายเต็มหน้าแทน “ทำแบบนั้นได้จริงเหรอคะ”

ชายหนุ่มยักไหล่

อิงอรุณยิ้มกว้าง กระโดดผึงมายืนหน้าเขาอย่างลืมตัวว่าเจ็บขาอยู่ ใบหน้างามบิดเบ้เล็กน้อยก่อนปรับเป็นร่าเริง คนพูดพนมมือปลก ๆ “ขอบคุณมากค่ะคุณสาวัช ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ”

หญิงสาวฉีกยิ้มชื่นบานเจิดจ้าจนคนมองวิบวับในหัวใจ นี่กระมัง...เหตุผลที่เธอชื่ออิงอรุณ สตรีผู้นำพามาซึ่งความแจ่มจรัสดุจแสงแรกแห่งอรุโณทัย!

“งั้นเดี๋ยวอิงไปบอกทีมงานและอัพเดทให้ลูกค้าทราบก่อนนะคะ” อิงอรุณวิ่งจี๋กะเผลกเข้าไปในอาคาร เห็นได้ชัดว่าเธอกลัวเขา ‘เปลี่ยนใจ’

สาวัชพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์ส่งข้ามประเทศไปหาใครบางคนที่อินเดีย ขอยกเลิกข้อตกลงที่เคยเจรจากันไว้เพราะอีกฝ่าย ‘เบี้ยว’ ภารกิจวินาทีสุดท้าย

ชายหนุ่มหน้าเคร่งดุจไม่เต็มใจ ทว่าดวงตากลับเปล่งประกายแปลก ๆ ขณะโทร.แจ้งมหาวิทยาลัยเพื่อโกหกและขอ ‘ลาป่วย’ !





สาวิตรีประคองถาดไว้ในมือข้างหนึ่ง อีกมือเคาะประตู แล้วผลักเข้าไปโดยไม่รอคำอนุญาต เธอคาดว่าจะพบดารณีลำพัง ทว่าต้องประหลาดใจเมื่อเห็นธนาอยู่ในห้องด้วย สีหน้าทั้งคู่บึ้งตึงหัวเสีย นางลังเลเล็กน้อย แต่ความอยากรู้เป็นฝ่ายชนะ สาวิตรีจึงวางถาดบนโต๊ะ แล้วยืนสงบเสงี่ยมกุมมืออยู่ห่าง ๆ

“คุยอะไรกันอยู่เหรอคะ ขอสาฟังด้วยคนได้ไหม”

“เสือก! ใครเชิญไม่ทราบ” ดารณีตะคอกเธอด้วยสีหน้าถมึงทึง

“คุณนายใหญ่อายุมากแล้ว โกรธอย่างนี้ไม่ดีกับสุขภาพนะคะ” เธอเสียงอ่อน

“ออกไป! ” บ้านใหญ่ผลักถาดที่สาวิตรีนำมาออกห่างจนน้ำสีเขียวเข้มกระฉอกออกมาเล็กน้อย “แล้วเอาของเน่า ๆ ไปให้พ้นห้องอั๊วด้วย”

สาวิตรีสะดุ้งยกมือทาบอก ผวาถอยหลังครึ่งก้าว ธนารีบลุกมาช้อนหลังประคองเธอ พร้อมกับเตือน “ระวังล้ม”

ภาพนั้นคงแสลงตาคนมอง เพราะดารณีคว้าเหยือกยกขึ้นทำท่าจะขว้าง

“หยุดนะ” ธนาหันไปชี้หน้าภรรยา แผดเสียงดุดัน เขาคว้าเหยือกจากมือดารณีวางคืนที่ แล้วหันมาบอกสาวิตรี “สาไม่ต้องไปสนใจอีหมาบ้านี่ กัดเขาไปทั่ว เก๋าเจ้ง” เขากระแทกเสียงผรุสวาทเป็นคำจีนแต้จิ๋วที่มีความหมายไม่น่าฟัง

ดารณีร้องกรี๊ด คว้าหมอนขว้างใส่สามี โวยลั่น “เฮียด่าอั๊วต่อหน้านังเมียน้อย! อั๊วไม่ยอมนะ ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”

“สาออกไปก่อน”

“สาวัชบอกว่าจะโอนหุ้นคืนคุณนายใหญ่” นางรำพันเบา ๆ หลุบตาลงมองพื้นอย่างเจียมตัว

บุรุษอาวุโสตบหลังมือเธอเบา ๆ “เรื่องนี้ให้เฮียจัดการเอง สาไม่ต้องกังวล”

เธอพยักหน้าอ่อนโยน ยอบตัวออกจากห้องมาเตร่อยู่แถวหน้าประตู สาวิตรีมั่นใจว่าธนาไม่ยอมให้ดารณีได้หุ้นของลูกชายเธอไปแน่นอน

เด็กรับใช้ปรี่เข้ามาหาเธอ “เกิดอะไรขึ้นคะ”

“เป็นขี้ข้าก็อยู่ส่วนขี้ข้าไป อย่าแส่เรื่องของเจ้านาย” สาวิตรีบิดริมฝีปากหงุดหงิด ยังไม่ทันพูดต่อ ธนาก็เปิดประตูพรวดพราดออกมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ จากนั้นเสียงเปรื่องปร่างก็ดังมาจากในห้อง ตามด้วยเสียงดารณีโวยวายเรียกหาคนใช้ เด็กสาวข้างเธอรีบเผ่นไปรับหน้าเจ้านาย

สาวใหญ่เกาะแขนสามี ฉวยโอกาสเหลียวเข้าไปในห้องกวาดตามองแวบเดียว ก็เห็นว่าชุดน้ำชาและเหยือกแก้วของเธอบัดนี้แตกกระจายเต็มพื้น กลิ่นน้ำสมุนไพรลอยคลุ้งในอากาศ

สาวิตรีประคองธนากลับไปเรือนเล็กด้านหลัง อุ้งมือใหญ่บีบกระชับมือเธอไว้เบียดความผิดหวังจากใจ ปล่อยให้ความโล่งใจพุ่งปราดเข้ามาเกาะกุมจิตใจแทน

จะโชคชะตาหรือฟ้ากำหนดก็ตาม ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ที่พาให้เธอมาถึงจุดนี้ เธอโชคดีกว่าผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในห้องนั่น...โชคดีกว่าจริง ๆ !





“เหนื่อยไหมคะ” อิงอรุณก้าวเข้าไปใต้ร่มหลังคาของศาลาทรงจตุรมุกซึ่งอยู่ใกล้ซุ้มขายบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ พร้อมกับยื่นขวดน้ำเย็นเฉียบให้สาวัช

“ร้อนมากกว่า” ชายหนุ่มรับขวดน้ำมาเปิด แล้วส่งกลับให้เธอ ดึงอีกขวดในมือหญิงสาวมาบิดฝาเกลียวดื่มแทน

“วันนี้อิงสนุกมากเลย” อิงอรุณมองไปทางกลุ่มสมาชิกซึ่งทยอยกันเข้าไปในร้านค้าของพิพิธภัณฑ์เพื่อเลือกซื้อของที่ระลึก

สาวัชขมวดคิ้วแทนการตั้งคำถาม

“เห็นสมาชิกมีความสุข อิงก็มีความสุขไปด้วยค่ะ” อิงอรุณเอียงคอสำรวจสีหน้าชายหนุ่ม “คุณสาวัชเบื่อไหมคะที่ต้องบรรยายให้คนไม่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ฟัง ไม่สนุกเท่าตอนสอนนักศึกษาใช่ไหมคะ”

“เด็ก ๆ ที่ลงเรียนกับผมมักเตรียมตัวมาอย่างดี อ่านตำราให้มากที่สุด วิเคราะห์ให้ละเอียดที่สุดเพื่อสร้างความประทับใจ เผื่อจะได้คะแนนพิเศษ ส่วนลูกค้าคุณตั้งใจฟังทุกคำที่บรรยายเหมือนรอฟังนิทานก่อนนอน ทำสีหน้าตื่นเต้นเวลาเห็นของพวกนี้ ทำให้ผมนึกถึงตอนที่ตัวเองเริ่มชอบศิลปะไทยโบราณ”

“ดีจัง งั้นอิงก็จัดทริปต่อไปได้แล้วสิ”

สาวัชเลิกคิ้วคล้ายต้องการคำยืนยันว่ามิได้หูฝาด

“อิงอยากเชิญคุณสาวัชมาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทน่ะค่ะ เมืองไทยมีพระราชวังสวย ๆ เยอะแยะ อิงอยากจัดทัวร์พระราชวังบ้าง คุณก็เห็นแล้วว่าการบรรยายให้ลูกค้าอิงฟังไม่น่ากลัวเลย รับปากเป็นที่ปรึกษาให้คิวปิดฯ เถอะนะคะ”

สาวัชครุ่นคิด การตัดสินใจโอนหุ้นคืนดารณีเป็นเพียงช่องทางหนึ่งเพื่อประกาศเจตจำนงไม่ยุ่งเกี่ยวกับบริษัท การทำข่าวหลุดให้บริษัทเสียหาย ก็แค่ช่วยตอกย้ำความไม่เอาไหนของเขาได้อีกเล็กน้อย ถ้าต้องการให้ธนาเห็นความไม่เหมาะสมนี้ เขาควรแสดงความไม่เอาใจใส่ให้มากกว่านี้ แค่เหยาะแหยะ ขาดความสามารถ คงไม่พอ เขาน่าจะให้ทุกคนรู้ด้วยว่าเป็นคนโลเล เหลวไหล จัดลำดับความสำคัญไม่เป็น และไร้แก่นสารเพียงใด

ข้อเสนอของอิงอรุณน่าจะเป็นดุจจิ๊กซอว์ที่ช่วยให้เขาบรรลุจุดหมายง่ายขึ้น หากธนาเห็นเขาในโหมดนี้ เตี่ยน่าจะล้มเลิกการตั้งความหวังเกี่ยวกับตัวเขาเสียที

“ตกลง” สาวัชตอบรับสั้น ๆ

“คุณสาวัชพูดจริงเหรอคะ” คนฟังตะลึง เกาะแขนเขาเขย่าด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ถ้าคิดว่าผมพูดเล่น งั้น...”

“ไม่คิดค่ะ ไม่คิดเลย อิงมั่นใจว่าได้ยินคุณพูดแบบนี้จริง ๆ ร้อยเปอร์เซนต์”

สาวัชปลดมือหญิงสาวออก ขึงตาดุใส่คนตัวเล็กกว่าเป็นเชิงตำหนิ

“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเสียงอ่อยยกสองมือเสมอบ่าเป็นเชิงขออภัย เธอเปลี่ยนเป็นยกมือรอทำท่าไฮไฟว์ “สัญญาแล้วห้ามเปลี่ยนใจนะคะ”

สาวัชปรายตามองมือข้างนั่นอย่างหมิ่น ๆ ขืนให้ความร่วมมือ เจ้าหล่อนคงยิ่งได้ใจ “อย่ามาทำเหลาะแหละเหลวไหลละ ผมไม่ทำงานกับพวกหยิบโหย่ง”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ คุณก็เห็นว่าตอนอยากได้คุณสาวัชมาเป็นวิทยากร อิงมุ่งมั่นจริงจังขนาดไหน”

“นั่นสินะ วีรกรรมคุณเพียบแปล้ขนาดนั้น ผมจำจนตายแน่ จิ้มก้องพวกนั้นทำให้ห้องทำงานผมรกไปหมด”

“กว่าจะเลือกได้แต่ละชิ้น เปลืองพลังงานความคิดมากนะคะ ต้องหาข้อมูลเยอะมากว่าคนชอบประวัติศาสตร์น่าจะชอบอะไรบ้าง”

“ถ้ามีสอบก็เกือบตก คงให้ได้แค่หกคะแนนเท่านั้นแหละ”

“กดคะแนนมาก” อิงอรุณค้อน

“ของไทยโบราณที่ไหนมีแต่สีชมพู” เขาย้อน เมื่อนึกถึงข้าวของสีหวานซึ่งไม่เข้ากับบรรยากาศของห้องทำงานเขาสักนิด

“ก็สีชมพูเป็นสีบริษัท อิงก็ต้องมีอะไรเตือนให้คุณสาวัชโยงกับบริษัทอิงได้บ้างสิ” เธอยู่หน้า “ว่าแต่ทำไมคุณสาวัชถึงชอบประวัติศาสตร์เหรอคะ”

สาวัชทอดสายตาไปยังพระที่นั่งศิวโมกขพิมานเบื้องหน้านิ่ง ๆ

“ถามไม่ได้เหรอคะ” เจ้าหนูจำไมเสียงอ่อย “ไหน ๆ เราก็ต้องร่วมงานกันอีกนานนะคะ บอกหน่อยน่า”

“ถ้าผมไม่อยากตอบ งั้นเราก็ไม่ควรร่วมงานกันใช่ไหม”

“แหม...ขู่จัง นึกว่าอิงไม่กลัวเหรอเนี่ย ขู่เอา ๆ อยู่ได้” อิงอรุณกระเง้ากระงอด

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ให้คนมองใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยช้า ๆ “ผมประชดพ่อน่ะ”

อิงอรุณคาดไม่ถึง “ประชดจริง ๆ เหรอคะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ทำไม ประชดไม่ได้เหรอ”

“อิงคิดว่าการประชดน่าจะมีระยะเวลาและความพยายามไม่มากพอที่จะทำให้คุณจบดอกเตอร์”

“แต่ผมพูดจริง ถ้าคุณอยากได้ยินเรื่องเท่ ๆ ทำนองว่ามีจุดตกต่ำจุดพลิกผัน มีคำคม มีคติสอนใจตบท้าย คงต้องไปหาจากที่อื่น” ชายหนุ่มมองปฏิกิริยาของคู่สนทนาและก็ต้องแปลกใจ “คุณยิ้มทำไม”

“ดีใจน่ะค่ะ ตอนที่คุณขู่ว่าจะแจ้งความถ้าอิงไม่แก้ไขชื่อออกจากแผ่นพับ อิงเลยต้องพยายามหาวิทยากรคนอื่นมาแทน ช่วงนั้นอิงไปฟังบรรยายทุกมหาวิทยาลัย ซึ่งพอเอ่ยชื่อคุณ อาจารย์แทบทุกท่านพูดตรงกันหมดว่าไม่แปลกใจที่อิงโดนแบบนี้ เพราะคุณถนัดเรื่องการปฏิเสธสุด ๆ ไม่ว่าใครจะขอร้องอะไรคุณก็บอกปัดหมด แม้บางครั้งจะเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่คุณทำได้สบาย ๆ ก็ตาม แต่คุณกลับใจดีกับอิงมาก ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”

ดอกเตอร์หนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่นละม้ายไม่อยากรับคำขอบคุณนั้น ครั้นเห็นสมาชิกทยอยออกจากร้านค้าของพิพิธภัณฑ์มาจับกลุ่มหน้าพระที่นั่งศิวโมกข-พิมาน จึงเปลี่ยนเรื่อง “กิจกรรมวันนี้ยังมีอะไรอีกไหม”

“เดี๋ยวขึ้นรถเราจะบรรยายสรุปนิดหน่อย พอถึงออฟฟิศก็แยกกันค่ะ”

คนฟังสีหน้ายุ่งยากนิด ๆ “ยังมีอะไรต้องบรรยายอีก”

“สำหรับคุณก็มีอีกนิดหน่อยค่ะ” เธอประสานมือระดับอก ช้อนสายตาขึ้นสบสานกับเขาด้วยแววซุกซน ออดเสียงหวาน “ถ้าจะกรุณาช่วยโฆษณาชวนคนมาลงคอร์สต่อ ๆ ไปของดอกเตอร์ด้วยก็จะเป็นพระคุณมาก ๆ เลย...นะค้า”

“ดอกเตอร์?” เขาหน้าบึ้ง “ผมไม่รับข้อเสนอนี้”

“อะ ๆ คุณสาวัชก็ได้ แหม...ก็วันนี้เรียกดอกเตอร์ตามสมาชิกจนติดปากนี่นา แค่นี้ก็ต้องไม่พอใจด้วย”

“มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม”

“สรรพนามเนี่ยเหรอคะ เป็นเรื่องใหญ่”

“ใช่! เพราะผมจัดลำดับความสำคัญของผู้คนจากสรรพนาม หรือคุณไม่ทำแบบนั้น หืม? คุณ-หนู-อิง-อรุณ” เขาเน้นเสียงทีละคำ

อิงอรุณชะงักกึก ตวัดค้อนเขา “แหม...เกลียดจัง คุณชอบทำให้อิงไปไม่เป็นได้ง่าย ๆ แบบนี้เรื่อยเลย”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว และแปลกใจที่อิงอรุณเข้าใจกิริยาภาษากายนั้นง่ายดาย

“ก็ ‘คุณหนูอิงอรุณ’ นี่ไงคะ อิงไม่ชอบเลยเวลาได้ยินคนเรียกอิงอย่างนี้”

“ถ้าไม่ชอบ ก็ต้องขอโทษด้วย ทำไม? ไม่ชอบที่คนมองว่าเป็นคุณหนูเหรอ”

“มันกวนใจค่ะ อิงไม่ได้เปราะบาง หยิบโหย่ง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อสักหน่อย”

“มันก็แค่สรรพนามที่เรียกด้วยความเอ็นดู ไม่มีตรงไหนบอกว่าคนเป็นคุณหนูต้องเป็นอย่างที่คุณว่าหรอก”

“จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ก็เหมือนที่คุณไม่ชอบให้คนเรียกว่าดอกเตอร์นั่นแหละค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า

อิงอรุณยิ้มร่า วกกลับมาเรื่องเดิมดื้อ ๆ “สรุปว่าคุณสาวัชอย่าลืมช่วยขอคะแนนจากสมาชิกให้มาสมัครคอร์สใหม่ ๆ ของคุณสาวัชให้อิงด้วยนะ”

เขาปรายตามองมา “ผมเป็นวิทยากรของคุณนี่ จะใช้อะไรก็สั่งมาเถอะ”

“วิทยากรของบริษัทค่ะ แหม...มายกให้กันง่าย ๆ อย่างนี้ เดี๋ยวอิงก็ยึดแล้วไม่คืนซะเลยนี่” เธอตีขลุมปนหัวเราะ

ไม่รู้เพราะถ้อยคำหรือเสียงหัวเราะของเธอ จู่ ๆ หัวใจสาวัชก็เต้นผิดจังหวะเหมือนนักเปียโนมือใหม่ที่ดีดคีย์ผิด ชายหนุ่มฝืนบังคับตัวเองสุดแรงไม่ให้ยกมือขึ้นกดหน้าอกข้างซ้ายปลอบประโลมอะไรก็ตามที่โลดขึ้นราวกับอยู่บนรถไฟเหาะ

“ผมมีหน้าที่โน้มน้าวให้สมาชิกลงคอร์สต่อไป แล้วที่คุณจะบรรยายล่ะ คืออะไร” สาวัชขอบคุณพระเจ้าในทุกศาสนาที่เสียงของเขาไม่สั่นพร่าอย่างที่หวั่น

“วันนี้เราแบ่งสมาชิกเป็นกลุ่มละสามคน พอเปลี่ยนห้องจัดแสดงก็จัดกลุ่มใหม่ ทำให้สมาชิกทั้งสามสิบคนได้เจอกันครบทุกคน แต่ละกลุ่มต้องเลือกว่าชอบของชิ้นไหนที่สุดจากห้องที่ผ่านมาเขียนลงในกระดาษ ตรงนี้แหละค่ะที่ต้องสรุป”

“ขอคำอธิบายที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้ได้ไหม” สาวัชไม่เข้าใจ!

“ไม่มีสมาชิกคนไหนหรอกค่ะ ที่ได้เขียนของที่ตัวเองชอบทุกชิ้น บางห้องที่ชอบของไม่ตรงกับเพื่อน ก็ต้องเขียนอันที่เพื่อนชอบเป็นเสียงส่วนใหญ่จริงไหมคะ”

“แล้วมันสำคัญตรงไหน ระหว่างการเขียนของที่ตัวเองชอบหรือเพื่อนชอบ”

“จากสถิติแล้วคนโสดมักมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับตัวเอง โทษตัวเองว่าอาจมีข้อเสียบางอย่าง เช่นหยิ่งเกินไป เลือกมากเกินไป งี่เง่าเกินไป หรือไม่ก็ใจร้อน อ้วน ผอม สูง เตี้ย สวย หล่อเกินไป และอีกสารพัด ซึ่งอิงกับเพชรมีหน้าที่เปลี่ยนทัศนคติพวกนี้ให้ได้ การเป็นโสดไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่ตราบาป มันเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งของการแสวงหาและค้นหาสิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง”

“แล้วมันเกี่ยวกับการเลือกศิลปะวัตถุหรือโบราณวัตถุที่ตัวเองชอบที่สุดยังไง”

“คนที่มีทัศนคติดูถูกตัวเอง ลึก ๆ แล้วมีแนวโน้มว่าจะ ‘พยายาม’ เปลี่ยนตัวเอง ยอมประนีประนอมกว่าปกติโดยไม่รู้ตัวน่ะค่ะ” เธอชูสองนิ้วทั้งสองมือระดับบ่ากระดิกเบา ๆ คล้ายสัญลักษณ์อัญประกาศเน้นเสียงตรงบางคำ

“การ ‘พยายาม’ ประนีประนอมก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาย้ำคำเดียวกันดุจรู้ว่าเธอให้ความสำคัญกับความหมายของมันมากกว่าปกติ

“มันดีแค่ในตอนแรกเท่านั้นค่ะ อิงเชื่อว่าการตามหา ‘อีกครึ่งนึงของชีวิต’ เนี่ย เราต้องเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด และเลือกคนที่ยอมรับในความเป็นตัวเรา ถ้าเราเสแสร้งแสดงความคิดเห็นหรือทำกิริยาที่ไม่ใช่ตัวเองใส่กัน ยิ่งคบกันหรือเกิดถึงขั้นแต่งงานกันไป แล้วค่อยเปิดเผยตัวตนออกมา ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมรับไม่ได้ ก็จะนำไปสู่การหย่าร้าง ซึ่งเพชรกับอิงเชื่อว่าการเป็นโสดแบบยังไม่ได้แต่งงาน ดีกว่าเป็นโสดเพราะหย่ามาแล้ว เพราะทัศนคติและมุมมองที่สังคมไทยมีต่อคนโสดแบบหลังค่อนข้างโหดร้ายน่ะค่ะ”

สาวัชแย้ง “การที่เขาไม่แสดงความคิดเห็นและตัวตนที่แท้จริง และเลือกทำตัวเป็นคนโลกสวย อาจไม่เกี่ยวกับการเป็นโสด แต่เป็นเพราะสังคมโซเชียล-เน็ตเวิร์คมากกว่า เพราะลึก ๆ แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่อยากมีตัวตน อยากเป็นซัมบอดี้ ก็เลยต้องสร้างภาพให้ดูดีกว่าตัวตนแท้จริง”

“แต่ตามที่อิงเรียนมา คนกลุ่มที่เสพติดสังคมโซเชียลเนี่ย บางส่วนก็จัดว่ามีปัญหานะคะ มีความนับถือตัวเองต่ำ ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ เลยต้องเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้าง อยากให้คนอิจฉาตัวเองเยอะ ๆ ” อิงอรุณบอกปนยิ้ม “แต่เอ๊ะ! คุณสาวัชไม่ได้เล่นเฟสบุ๊คสักหน่อย ทำไมทราบคะ”

“อะไรที่คุณไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่ ผมมีโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกอย่างแหละ ประเด็นก็คือผมไม่ได้ใช้มันเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต ชีวิตผมไม่ได้ขึ้นกับการมีกิจกรรมบนโลกออนไลน์ ผมชอบการเจอหน้ากัน พบปะพูดคุยกันต่อหน้ามากกว่า” เขาไตร่ตรองชั่วครู่ “ทำไมคุณถึงบอกว่าผมไม่มีเฟสบุ๊ค เคยลองพยายามหาแล้วเหรอ”

“คิดว่ายังไงล่ะคะ” อิงอรุณอมยิ้ม

“ผมซ่อนไว้น่ะ ค้นหาปกติจะไม่เจอ”

“แล้วต้องค้นหายังไงถึงจะเจอคะ”

“จะไปรู้จักผมในเฟสบุ๊กทำไม มารู้จัก ‘ตัวผม’ นอกเฟสบุ๊คไม่ง่ายกว่าหรือ” สาวัชชะงักเล็กน้อยเมื่อเอ่ยประโยคนั้น รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ เขาจึงเสก้มลงมองนาฬิกาแล้วเปลี่ยนเรื่องดื้อ ๆ “เรียกสมาชิกขึ้นรถได้ละมั้ง”

รถโคชกลับมาถึงสำนักงานของคิวปิดแอสซิสแทนซ์ก็เป็นเวลาเกือบสิบหกนาฬิกา ผู้ช่วยกามเทพช่วยกันดูแลสมาชิกลงจากรถจนเรียบร้อย โดยมีอิงอรุณคอยขอบคุณทุกคนอยู่ด้านล่างตรงประตูรถ ครั้นสมาชิกคนสุดท้ายลงจากรถ หญิงสาวจึงหันมาทางวิทยากรจำเป็นของวันนี้

“ก่อนกลับอิงอยากเลี้ยงขอบคุณคุณสาวัชที่วันนี้คุณกรุณาสละเวลาไปเป็นวิทยากรให้คิวปิดแอสซิสแทนซ์”

“ไม่ต้องหรอก คุณจ่ายค่าเสียเวลาให้ผมแล้วนี่” มิไยที่เขาจะบอกปัดอย่างไร สุดท้ายอิงอรุณก็ทั้งอ้อนวอนและโน้มน้าวจนเขาตกปากว่าจะยอมรับเลี้ยง โดยนัดหมายเป็นมื้อกลางวันวันจันทร์ที่จะถึง

“เรียบร้อยแล้วก็กลับเสียที คุณต้องไปล้างแผลที่โรงพยาบาล แล้วผมจะได้ส่งคุณกลับบ้านให้หมดเรื่องหมดราว”

“แหม...พูดจาเย็นชาไม่เคยเปลี่ยนเลย คุณสาวัชแค่แวะส่งอิงที่โรงพยาบาลก็พอค่ะ เดี๋ยวทำแผลแล้ว อิงกะจะแวะเยี่ยมเพชรก่อน”

“แล้วคุณจะกลับบ้านยังไง”

“อิงเก๊าะโทร.ชวนเพื่อน ๆ ไปเยี่ยมเพชรด้วยกันสิคะ แล้วขากลับก็หลอกเพื่อนไปส่งที่บ้านซะเลย ง่ายดี”

“เพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย” เขาแทบกัดลิ้นที่ถามไปโดยไม่ทันห้ามตัวเอง

“มีทั้งผู้หญิงแล้วก็ผู้ชายค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า

“งั้นอิงขอเข้าไปเก็บของกับสั่งงานลูกน้องนิดนึงนะคะ”

หญิงสาวทำท่าจะวิ่ง สาวัชรีบดุเสียงเข้ม “ค่อย ๆ เดิน! ”

อิงอรุณจึงก้าวเคียงกันเข้าไปในอาคารอย่างว่าง่าย สาวัชหยุดที่หน้าห้องประชุมเล็ก ทั้งยังยื่นมือไปยึดกระเป๋าแอร์เมสของเธอไว้ “ไม่ต้องแบกไปมาให้ลำบาก เอามานี่ ผมจะคอยที่นี่”

หญิงสาวคลายมือจากหูกระเป๋า สาวัชผลักประตูห้องประชุมว่างเปล่าเปิดกว้าง เขาเห็นว่าคงคอยไม่นาน จึงมิได้เปิดไฟใหญ่กลางห้อง อาศัยแสงจากภายนอกลอดเข้ามาเห็นเป็นลำเลา ๆ

อิงอรุณหายเข้าไปในของส่วนสำนักงานครู่เดียว ก็เดินแกมวิ่งทั้งที่ขากะเผลก กระหืดกระหอบเข้ามาในห้องเพราะเกรงเขาคอยนาน

“อุ๊ย! ” วินาทีที่ผู้หญิงตัวเล็กโผล่พ้นประตู เธอรีบร้อนจนสะดุดขาตัวเองเซหลุน ๆ พุ่งเข้ามาแทบจะตรงหน้าเขาพอดี ชายหนุ่มใจหายวาบ กางแขนรอรับเธออัตโนมัติ ร่างนุ่มนิ่มที่สูงพ้นไหล่เขามาเล็กน้อยจึงตกเข้าสู่อ้อมกอดของชายหนุ่ม

สาวัชก้มลงมองคนในอ้อมแขนสังเกตปฏิกิริยาเธอโดยไม่ทันห้ามตัวเอง ขณะอิงอรุณแหงนใบหน้าแดงก่ำขึ้นสบตาเขา เพียงสายตาสองคู่สบกัน ประกายอ่อนหวานบางอย่างก็พุ่งเข้ากระแทกหัวใจอีกฝ่ายกะทันหัน ทั้งคู่มัวแต่ตกตะลึงจนไม่ได้สังเกตว่าเสียงหัวใจเต้นระรัวนั้นเป็นของตัวเองหรืออีกฝ่าย

ครั้นได้สติอิงอรุณจึงบิดกายนิด ๆ เพื่อให้เขาคลายอ้อมแขน

“ไม่ล้มอีกแน่นะ” กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงทำเสียงดุได้เสมอต้นเสมอปลาย

อิงอรุณพยักหน้ายืนยัน อ้อมแขนแข็งแรงอบอุ่นจึงคลายออก

แม้แสงในห้องจะสลัวลาง แต่เขายังอุตส่าห์เห็นว่าอิงอรุณหน้าแดงก่ำ เธอยิ้มไม่สนิทหน้า ชี้กระเป๋า “อิงลืมหยิบกุญแจออฟฟิศไปด้วยน่ะค่ะ”

“เดินไม่เป็นหรือไง เจ็บขาอยู่ ทำไมต้องวิ่ง” เขาพยักเพยิดไปยังกระเป๋าที่โต๊ะ

“กลัวคุณคอยนานนี่คะ”

“มันไม่ได้เร็วขึ้นสักกี่นาทีหรอก” เขาย้อน

คนเจ็บหยิบกุญแจ “คราวนี้อิงจะค่อย ๆ เดิน คุณสาวัชคอยสักครู่นะคะ”

หญิงสาวแยกไปพักใหญ่ ขณะสาวัชลูบหน้า กดหน้าอกเบื้องซ้ายแรง ๆ ราวกับการทำเช่นนั้นจะปลอบประโลมให้มันเต้นเบาลงได้บ้าง ไม่เพียงเท่านั้นชายหนุ่มยังต้องบังคับตนอย่างหนักมิให้มองไปยังประตู เพราะไม่อยากรู้สึกว่ากำลังรอคอยอิงอรุณด้วยใจจดจ่อ

พลันเสียงหนึ่งดังมาจากหน้าประตู “อ้าว! คุณสาวัชเองหรือคะ ขอโทษค่ะ กุ้งนึกว่าห้องว่างเลยว่าจะคุยโทรศัพท์”

ครั้นสาวัชเห็นว่าเจ้าของเสียงคือกัญญา เขาจึงระลึกได้ว่ายังมีบางสิ่งคาใจอยู่

“เดี๋ยวครับคุณกัญญา เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

กัญญาเลิกคิ้วนิด ๆ “ก็ที่ออฟฟิศนี่ไงคะ”

“หมายถึงนอกจากออฟฟิศของคิวปิดฯ น่ะ”

“กุ้งว่าไม่เคยนะคะ” หญิงสาวยิ้มประโลม “จากสถิติแล้วผู้ชายที่ทักผู้หญิงแบบนี้ มีแนวโน้มว่าจะถูกตอกกลับสูงมากนะคะ”

“งานว็อตช์เฟสติวัล” สาวัชมั่นใจว่าจำไม่ผิด เธอโวยวายบริกรขวางทางทำให้เขาต้องอ้อมตู้นาฬิกาไปอีกทาง หากไม่ตั้งใจสังเกตชายหนุ่มคงไม่เห็นว่าเธออึ้งงัน

“คุณสาวัชจำคนผิดแล้วค่ะ กุ้งไม่เคยไปงานแบบนั้นหรอก”

“งานแบบนั้นน่ะ แบบไหนครับ” เขากอดอก จับจ้องคู่สนทนาเขม็ง

“ชื่องานไฮโซขนาดนั้น กุ้งไม่มีปัญญาไปหรอกค่ะ”

“งั้นผมคงจำคนผิดเอง” ทั้งที่ออกปากเช่นนั้น แต่คิ้วของเขากลับไม่คลายออกสักนิด “ถ้าคุณมีธุระก็เชิญตามสบายเถอะครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา”

กัญญารีบหมุนตัวออกไปยังห้องประชุมข้างกัน หายใจเข้าลึกเพื่อคลายความตระหนก ทว่ายังไม่ทันหายใจทั่วท้อง เสียงหนึ่งก็ดึงขึ้นจากเบื้องหลัง

“แต่พี่ไม่คิดอย่างนั้นนะ”

มือขวาของแพรวเพชรเหลียวไปทางประตู แล้วเม้มปากกลั้นเสียงอุทาน เมื่อเห็นอิงอรุณกอดอก มองมาด้วยสายตาและสีหน้าคาดคั้น ต้องการคำตอบเต็มที่

“ทำไมกุ้งต้องโกหกคุณสาวัชด้วย”





อิงอรุณกำลังหัวเสีย! มากด้วย! จากการคาดคั้นกัญญาที่โกหกสาวัชเกี่ยวกับงานว็อตช์เฟสติวัล ซึ่งเด็กสาวไม่ตอบ แต่โบ้ยให้มาถามแพรวเพชร อิงอรุณร้อนใจและหงุดหงิดจนแทบลืมเพื่อนร่วมทางไปสนิท

เธอแยกกับสาวัชขึ้นไปเจอว่าที่คุณแม่ อิงอรุณถึงรู้ว่าการง้างปากคนที่ไม่ต้องการพูดนั้นยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา แทนที่จะเฮฮากับเพื่อนที่นัดกันมาเยี่ยมแพรวเพชร เธอจึงนิ่งเงียบ ไม่ว่าหุ้นส่วนจะชวนคุยเพียงไร ก็ไม่เปิดปากตอบสักคำ

สุดท้ายแพรวเพชรทนสงครามประสาทไม่ได้ ยอมสารภาพความจริงเมื่ออยู่ตามลำพัง คำอธิบายของเพื่อนรักทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายอย่างไม่น่าเชื่อ

“ดีนี่ เพชรนึกจะรับงานอะไรก็ได้ตามใจ ทุกคนในออฟฟิศรู้เรื่องนี้หมด แล้วก็ช่วยกันปิดบังอิง สนุกมากใช่ไหมที่เห็นอิงเป็นตัวตลก โง่อยู่คนเดียวน่ะ”

“เราเป็นเพื่อนแบบที่จะหาว่าอิงโง่ หรือหัวเราะเยาะลับหลังเวลาอิงทำอะไรเปิ่น ๆ เหรอ” แพรวเพชรย้อนเคร่งขรึม

อิงอรุณเม้มปากจนคำโต้เถียง ด้วยรู้แก่ใจว่าแพรวเพชรไม่ใช่คนแบบนั้น

“คิวปิดฯ ไม่อยู่ในภาวะที่จะเลือกงานได้มากนัก หนทางไหนที่ได้เงินมาก็ต้องทำทั้งนั้น ที่เราไม่บอกอิงก็เพราะไม่อยากให้ลำบากใจ มันดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายแล้ว”

หากเมื่อครู่อิงอรุณเป็นน้ำเดือด คำอธิบายนั้นก็เปรียบเสมือนไนโตรเจนเหลวที่เปลี่ยนอุณหภูมิในใจให้กลับขั้วได้พริบตา หญิงสาวถอนใจ “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเราหาเงินมาโปะค่าใช้จ่ายบริษัทไม่ได้ใช่ไหม” ทั้งคู่เป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อจะเพิ่มทุนก็ต้องนำเงินมาลงเพิ่มเท่ากัน แพรวเพชรนั้นไม่มีปัญหา แต่เพราะอิงอรุณดันอยู่ในระหว่างถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง ครั้นจะให้แพรวเพชรลงเงินฝ่ายเดียว ก็จะกลายเป็นหุ้นใหญ่ ซึ่งหากวันใดที่บริษัทไปไม่รอด นั่นหมายความว่าแพรวเพชรจะต้องเจ็บตัวมากกว่า ทางเลือกนี้จึงถูกปัดตกไปตั้งแต่ครั้งแรก ๆ ที่ยกปัญหาขึ้นมาถกกัน

“ไม่เกี่ยวกับที่อิงพูดหรอก มันเป็นเพราะบริษัทของเราทำรายได้ได้น้อยกว่ารายจ่ายก็เท่านั้นเอง” แพรวเพชรแก้ “ถ้าเราทำให้อิงโกรธ เราก็ขอโทษด้วยละกัน”

อิงอรุณถอนใจ พยักหน้ารับจนด้วยคำโต้แย้ง

“โกรธเราเหรอ” แพรวเพชรเสียงอ่อน เจตนาง้อเต็มที่

เธอทำได้เพียงคอตก ส่ายศีรษะ โดยไม่เอ่ยอะไร

“เราสัญญา จากนี้ไป...” แพรวเพชรไม่มีโอกาสพูดจนจบ เพราะหุ้นส่วนขัดขึ้น

“ไม่ต้องสัญญาหรอกเพชร อิงเข้าใจว่าเพชรทำเพื่อบริษัท” ส่วนเธอ...ดูเหมือนจะก่อแต่เรื่องที่ทำให้บริษัทเข้าตาจนมากขึ้นทุกที

“ถ้าลูกค้าเคสนี้ไม่ใช่คุณสาวัช อิงจะโกรธขนาดนี้ไหม”

“ก็คงโกรธ แต่ไม่มากเท่านี้” อิงอรุณยอมรับตามตรง “เพราะอิงรู้จักคุณสาวัช การที่เราทำแบบนี้ทำให้อิงรู้สึกเหมือนเรากำลังหลอกเขา”

“แค่คนรู้จักที่บังเอิญพบกันแค่ไม่กี่หนเองนะอิง”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ความจริงก็คือวันนี้ดอกเตอร์ราเชนทร์บินไปอินเดีย กะทันหัน ตอนไปทัวร์พิพิธภัณฑ์ คุณสาวัชก็เลยต้องเป็นวิทยากรให้คิวปิดฯ แทน”

แพรวเพชรอ้าปากค้าง

หญิงสาวยิ้มอ่อย ๆ “ทีนี้เพชรนึกภาพออกใช่ไหมว่าถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมามันจะแย่แค่ไหน นอกจากนี้อิงยังเชิญคุณสาวัชมาเป็นที่ปรึกษาด้านศิลปวัฒนธรรมของบริษัท ซึ่งคุณสาวัชก็ตอบตกลงแล้วด้วย”

“ง่ายอย่างนั้นเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาบอกปัดอิงมาตั้งหลายหนแล้วเนี่ยนะ”

“คุณสาวัชคงเห็นว่าเราตั้งใจโปรโมตศิลปวัฒนธรรมไทยจริง ๆ ไม่ใช่แค่ทำแบบขอไปทีพอให้จบแต่ละงานไป เขาก็เลยยอมรับปากร่วมมือกับพวกเรา”

แพรวเพชรฝืนยิ้ม “ฟังดูดีนะ เป็นทิศทางที่ดีของบริษัทเลยแหละ”

“มะรืนนี้อิงจะเลี้ยงขอบคุณคุณสาวัช ถ้าเพชรออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไปด้วยกันสิจะได้แนะนำให้รู้จักกัน”

“หมอให้เราเบดเรสต์” แพรวเพชรหน้ามุ่ย ตอบเสียงอ่อย

อิงอรุณชักเห็นใจเพื่อน จึงพยักพเยิด “ตามใจ งั้นเดี๋ยวเราไปเรียกพวกนั้นกลับเข้ามาในห้องก่อนนะ ป่านนี้คงนั่งสวดมนต์กันเป็นการใหญ่แล้ว”

“ใช่สิ ก็คุณหนูเล่นหน้าบึ้ง เงียบเป็นหอยกาบขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าอารมณ์ไม่จอย”

“ขอโทษนะเพชรที่เราหุนหันพลันแล่น อาละวาดก่อนถามเหตุผลน่ะ” นี่เธอบนพระที่ไหนแล้วลืมแก้บนหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงซวยซ้ำซ้อนขนาดนี้ นอกจากจะรู้ความจริงเรื่องที่ถูกปิดบังไว้แล้ว เธอยังไม่มีสิทธิ์โวยวายหรือแสดงความไม่พอใจด้วย เพราะสาเหตุหลักของเรื่องนี้เกิดจากสถานการณ์ทางการเงินของเธอเอง

โกรธแพรวเพชรก็ไม่ได้ แถมเหตุการณ์นี้ยังทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดกับสาวัชมากเข้าไปใหญ่ ผู้ชายคนนั้นอุตส่าห์มีน้ำใจกับเธอ แต่หุ้นส่วนกลับก่อเรื่องไปก้าวก่ายกับชีวิตส่วนตัวของเขาเสียนี่!

“ว่าแต่ผู้หญิงคนที่เพชรจัดการให้คุณสาวัชพบโดยบังเอิญคือใครเหรอ” มันอดอยากรู้ไม่ได้นี่นา!

แพรวเพชรอึกอักครู่หนึ่ง จึงตอบคล้ายไม่เต็มใจ “ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนนึงน่ะ บอกไปอิงก็ไม่รู้จักหรอก”

“เห็นแม่เขาท่าทางเค็มเขี้ยวขนาดนั้น นึกว่าจะอยากได้สะใภ้ไฮโซรวยเว่อร์ มั่นใจสุดๆ แล้วก็ฝีปากแซ่บ ๆ มาข่มบ้านใหญ่ให้หงอซะอีก”

อิงอรุณพูดปนหัวเราะ แล้วจึงลุกไปเรียกเพื่อนกลับเข้ามาในห้อง ทำให้ไม่เห็นว่าแพรวเพชรขมวดคิ้วมุ่น ทั้งยังผ่อนลมหายใจโล่งอก!



.....................................................................................

ประกาศ

เรื่องนี้จะลงให้อ่านฟรีจนจบ

หลังลงครบทุกตอน

จะติดเหรียญ 5/6 ของเล่มนะคะ



อีบุ๊กมาแล้ว ใครถนัดร้านไหน เลือกตามสะดวกเลยค่ะ

mebmarket >>https://goo.gl/o9FXn6

ookbee >>https://goo.gl/rf274b

Hytexts >>https://goo.gl/KcekzB

พิเศษสำหรับฉบับอีบุ๊ก

ภายใน 31 พ.ค. รับที่คั่นลายนกฟลามิงโกจัดส่งถึงบ้าน

อีก 100 รางวัลจ้ะ จัดกันไปเน้นๆ

บอกให้รู้ว่าจะซื้อเล่มหรืออีบุ๊ก ก็รักเท่ากันนะจ๊ะ



วิธีการรับของรางวัล อ่านกันดีๆ ค่ะ

1. ถ้าซื้อจาก Meb ไปที่ My Account -> My privilege แล้วรับสิทธิ์เลย

2. ถ้าซื้อจาก ookbee หรือ hytexts แคปหน้าจอการสั่งซื้อ ระบุอีเมลที่ใช้ login ส่งมาที่กล่องข้อความของเพจสิริณ

สิริณจะยืนยันกลับเฉพาะท่านที่ได้รับสิทธิ์นะคะ

เฉพาะอีบุ๊ก แจก 100 ชิ้นค่ะ ครบเมื่อไหร่ ปิดการแจกทันที




สั่งซื้อฉบับหนังสือ https://goo.gl/HA1QWz

100 คนแรก จัดส่งฟรี + รับที่คั่นนกฟลามิงโกเพิ่มพิเศษ

หรือซื้อฉบับหนังสือจากร้านออนไลน์ชื่อดัง

ร้านนิยายรัก https://goo.gl/uPTdCs

สะดวกช่องทางไหนสั่งซื้อเลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังรักและเมตตากันเสมอนะคะ



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2561, 22:58:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2561, 22:58:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 640





<< ตอนที่ 23   ตอนที่ 25 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account