มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร
Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก
ตอน: บทที่ 5 (2) ความลับของเอเดรียน
เส้นทางเป็นที่ราบโล่งประกอบเสียงน้ำไหลเชี่ยวกรากดังขึ้น แสดงว่าเข้าใกล้ปลายทางน้ำตก กานติศากับรองเท้าคู่ใหม่จึงไม่ช่วยสาวชินชากับการเดินป่าเสียที บ่อยครั้งที่เธอสะดุดหกล้มหน้าคว่ำเพราะกะระยะพื้นที่ต่างระดับไม่ถูก ล่าสุดเธอล้มกลิ้งเป็นลูกบอลไหลไปตามทางลาด เหมือนมีใครจงใจขุดหลุมแกล้งไว้ เขาวิ่งตามลูกบอล
เอเรียนคว้าเข่าสาวยกขึ้นมาเพื่อสำรวจดูบาดแผลใหม่ขึ้นสองสามแห่ง มือคลำหัวเข่าถลอกก่อนรุกล้ำเข้าหาความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เกือบถึงผิวเนื้อด้านในมากเกินความจำเป็น จึงถูกสาวตีเข้า
“แผลแค่นี้ ไม่ถึงกับต้องจับตรงนั้นตรงนี้” กานติศาหวาดผวาเมื่อถูกสัมผัสเกินความจำเป็น รีบเอาผ้าคลุมปิดเข่าเป็นเครื่องอาภรณ์ชิ้นเดียวบนตัวเธอ ถ้าเอเดรียนเป็นผู้ชายน่ากลัวน้อยกว่านี้ เธอจะประทับตรารอยฝ่ามือบนใบหน้าหล่อให้หนำใจ เขากล้ามาแตะต้องเธออย่างไร คนถูกตีถึงกับนิ่งไป
“แค่อยากตรวจให้แน่ใจว่ากระดูกไม่เป็นอะไร ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป ข้ายิ่งลำบาก”
ลำบากก็ทิ้งฉันไป ใครจะอยากไปกับคุณ แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดไปตามใจคิด ถ้าเกิดถูกทิ้งขึ้นมากานติศากลายเป็นคนหลงป่าแทบทันที งดหาเรื่องใส่ตัวลำบากไปมากกว่านี้ หลีกเลี่ยงทำตัวเป็นภาระหญิงสาวพยายามลุกยืนขึ้น
“ใครให้เจ้าซุ่มซ่ามล่ะ” เขาช่วยดึงสาวลุกขึ้น
กานติศาได้ยินถึงกับหน้าแดง เหมือนโดนของร้อนลวก ทั้งอับอายทั้งไม่พอใจที่เขามาต่อว่าเธอเช่นนี้
“ก็ฉันไม่แข็งแรง ไม่ได้ใส่รองเท้าเหมือนคุณ เสื้อผ้าก็ไม่มี ใครให้คุณเผาเสื้อผ้าฉัน”
เอเดรียนมองสาวตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน การที่เขากำจัดเสื้อผ้าเพื่อช่วยชีวิตเธอ วินาทีแรกที่เห็นสาวกำลังหายใจรวยรินรอความตาย หากเขาไม่ลงมือช่วย ทั้งผายปอด เสียสละร่างกายมอบความอบอุ่นให้ตอนนั้น คงไม่มาทำกิริยาอวดเก่งพูดฉอดเถียงกับเขาอย่างนี้
“ผ้าคลุมคุณหนักมากจริงๆ ” สาวทำเป็นขี้บ่น
ราวกับว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากก่อน ความทรงจำสีขาวว่างเปล่าเป่ากระซิบในหัว เอเดรียนมีอาการมึนเล็กน้อยกับความแปลกพิกล ภาพผู้หญิงเลือนรางปรากฎ รูปร่างแตกต่างสาวปากดีอย่างกานติศากำลังบ่นพึมพำ
สาวผมยาวที่เขานึกเห็นเมื่อครู่เป็นใครกันแน่
เขาจมอยู่กับความคิดสักพักก็พบว่าสาวที่เดินทางมาด้วยกันได้หายตัวไปแล้ว เขาใจหายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เอเดรียนวิ่งปรูดเข้าไปในป่า แทบทุกพื้นที่เท่าที่เข้าถึง ตะโกนเรียกชื่อ กานติศา เท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ประกายจุดไฟแห่งความโกรธ ไฟโชกโชนเผาดวงตากลายเป็นสีเข้ม เขาโกรธตัวเองที่ปล่อยให้กานติศาคลาดสายตา หล่อนเป็นความหวังหนึ่งเดียว ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ครั้งต่อไปเขาต้องรอนานอีกแค่ไหน
“เอเดรียน ฉันเจออะไรบางอย่างด้วยล่ะ” เสียงใสแจ๋วมาพร้อมร่างตัวเล็กโผล่มาจากช่องว่างระหว่างต้นไม้สองต้น เอ่ยไม่ทันจบประโยค ข้อมือเธอถูกกระชากอย่างรุนแรง ไปกระแทกกับแผงอกใต้ชุดเกราะ เจอใบหน้าเกรี้ยวกราดขึ้นมาชั่วขณะ
“เจ้าหายไปไหน ทำไมไม่บอกข้า” เขาเขย่าร่างคนตัวเล็ก
“คุณเป็นอะไร ทำไมต้องโกรธ” เธอเห็นคนตรงหน้ามีอาการโกรธจนตัวสั่น ยกมือตบไหล่เขาให้ใจเย็นลง ไม่พร้อมเจอพายุอารมณ์คนป่าเถื่อนเล่นงานอีกครั้ง เอเดรียนตั้งสติได้ว่าทำให้กลัว เหยื่ออาจจะวิ่งหนีเตลิดไปอีก จึงสูดหายใจลึกๆสงบอารมณ์ “เจ้าหายไป กลัวว่าจะเกิดอะไรกับเจ้า”
นี่เขากำลังเป็นห่วงเธอหรือ
“จริงสิ ฉันเจออะไรบางอย่างที่ซอกหินด้วยล่ะ” พร้อมส่งหลักฐานในมือ ไข่นกกระจอกเทศฟองโตเป็นสีชมพูแต้มลวดลายสีแปลกตา กานติศาอุ้มใบไข่ไว้ในอ้อมแขน“แม่นกคงลืม ทิ้งเอาไว้”
“เจ้าเลยคิดรับเลี้ยงมันไว้แทนหรือ ทั้งที่เจ้าเอาชีวิตให้รอดในป่ายังไม่ได้เลย เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
กานติศามองถุงมือเหล็กยืนมาอย่างลังเล ขืนมอบใบไข่ให้ผู้ชายนิสัยใจร้ายมีหวังทุบใบไข่ให้แตกละเอียดแน่นอน “คุณคิดจะทำร้ายมัน ฉันไม่หลงกล ไม่ให้คุณหรอก”
เจ้าแม่หวงไข่ยิ่งกว่าลูกในไส้จนผู้ร่วมทางหมั่นไส้ขึ้นมา คาดว่าความเห่อเหมือนเจอของเล่นชิ้นใหม่ของนางคงอยู่ไม่นาน คงพลาดท่าทำไข่แตกเข้าสักวันหนึ่ง เพราะตลอดทางเส้นขรุขระเป็นไปด้วยความยากลำบาก ไข่ใบนั้นกลายเป็นภาระต่อนาง กานติศากัดฟันไม่ท้อถอย มือประคมประหงมรักษาใบไข้อย่างระมัดระวัง แม้แต่ตอนนอนหลับนางนอนกอดให้ความอบอุ่นเสมือนแม่ลูกอ่อน นานเข้าวันเอเดรียนถอนหายใจยอมพ่ายแพ้ในความมานะของนางอย่างจริงจัง
ราวกับท้องฟ้ามีตา เอเดรียนหยิบยื่นน้ำใจสละผ้าผืนหนึ่งให้นางทำเป็นถุงผ้าคล้องไหล่บรรจุใส่ ขณะที่พวกเขาต้องก้าวเหยียบก้อนหินกระจัดกระจายข้ามลำคลอง เจอวันฝนตกเขาใช้ร่างสูงใหญ่บังกานติศากับไข่จนไข้หวัดเล่นงานนางเข้า จึงอาสาสะพายย่ามใส่ไข่มาดูแลแทนจนถึงวันนี้
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายมาดเย็นชาแต่ราศีจับอย่างเขา
“ฉันเจอกระท่อมหลังหนึ่งอยู่ทางนั้น คุณต้องไปกับฉันนะคะ” หญิงสาวเผลอจับมือพาเขาไปตามทาง
“กระท่อม?” ถึงเขาจำไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน แต่ก็อยู่มานานพอแน่ใจว่าจะไม่มีบ้านหรือกระท่อมอยู่บริเวณนี้
“อาจจะเป็นกับดัก ข้าไม่ไป”
เอเดรียกชูดาบสายโลหิตเป็นหลักประกัน ว่าต่อให้ม้าหรือช้างมาฉุดลากยังไงเขาก็ไม่มีวันขยับเขยื้อน สัมผัสจากมือเล็กแสนนิ่มค่อยฉุดรั้งดึงไปมา
“อย่าลืมสิ ฉันต้องการเสื้อผ้า รองเท้า และอาหาร เราต้องมีอาหารกินนะคะ”
กานติศาทั้งรบเร้าทั้งอ้อนออด จนเขาเกือบเผลอทำดาบหลุดมือ สุดท้ายใจยอมโอนอ่อนผ่อนตามสาวร่างเล็กอย่างไม่เคยนึกมาก่อน
“คุณก็รู้ว่าฉันกินเนื้อแปลกๆ ไม่ค่อยได้ ในกระท่อมคงมีอะไรฉันพอกินได้ เพื่อความสบายใจ ฉันไปหาเสื้อผ้า รองเท้า คุณไปหาเสบียง จากนั้นเราก็รีบออกจากกระท่อม เดินทางให้เร็วที่สุด ดีไหมคะ”
เอเดรียนเดินตามหญิงสาวไปในป่า ใบไม้แห้งกรุ่ยทางเหมือนทางเดิน ต้นไม้หนาทึบบดบังแสงอัสดง ความต้องการหาเสบียงสำหรับกินระหว่างการเดินทาง เขาสังเกตว่าผู้ร่วมเดินทางปฏิเสธไม่กินเนื้อที่เขาตามล่า หันมากินซุปผักตลอด จนร่างกายที่เคยมีน้ำนวลกลับลูบผอมลง เมื่อตอนลงบ่อน้ำเพื่ออาบน้ำ เขาสามารถนอนนับซี่โครงร่างเปลือยได้เป็นอันว่าเล่น นั้นทำให้เขายอมให้กานติศาจูงมือไปที่กระท่อม ท่องความในใจ
ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอีก เด็ดขาด
ชีวิตเจ้าเป็นของข้า กานติศา
บ้านกระท่อมใจสภาพเก่าทรุดโทรมร้างมานานนับปี หลังคากระเบื้องแตกหลุดจากฐานเป็นชิ้นๆ ประตูไม้ถูกทำร้ายเป็นรูโหว่ อาจจะเป็นกับดักตามที่เอเดรียนบอก ข้อมือบอบบางถูกรั้งไว้
“ข้าเปลี่ยนใจ”
“ไม่ได้นะ เรามาถึงนี้แล้ว ข้างในไม่มีอะไรหรอก” อย่างน้อยกานติศาบอกตัวเองอย่างนั้น จะมีอะไรน่ากลัวมากกว่าคนตัวใหญ่ตอนที่ระเบิดอารมณ์ขึ้นมา มือบางดันร่างใหญ่เข้าไป ภายในกระท่อมดูดีกว่าสภาพภายนอก
บ้านกระท่อมที่ดูเหมือนเล็กเกินไปสำหรับชายร่างตัวใหญ่อย่างเอเดรียน ทันทีเขาเข้ามาจับจองพื้นที่จำกัด เธอก็เคลื่อนกายไปไหนมาไม่สะดวก จึงไปที่บันไดชั้นสองทอดลงมาสู่ชั้นล่างในสภาพดูไม่แข็งแรง
“ฉันจะขึ้นไปดูข้างบนสักหน่อย” หญิงสาวปีนป่ายบันไดทรุดโทรมแล้วยกมือห้ามทันทีเอเดรียนทำท่าจะตามมาด้วย
“บันไดเก่าๆ รับน้ำหนักคุณไม่ไหวหรอก ฉันขึ้นไปดูแปบเดี๋ยว ลองค้นหาเสบียงในตู้ด้านหลังสิ” สาวชี้นิ้วสั่งอย่างไม่รู้ตัว เอเดรียนเพิ่งรับประสบการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่เคยมีใครมาชี้นิ้วสั่งเยี่ยงเจ้านายมาก่อน แต่เอเดรียนก็ลงมือควานหาของในตู้โดยดี
ห้องใต้หลังคาชั้นสองของบ้านกระท่อมดูเหมือนจะเป็นห้องนอนเล็กๆ สภาพไม่เรียบร้อย กานติศารีบวิ่งเข้าหาตู้เสื้อผ้าทำจากไม้ รอยยิ้มมีความหวัง ในที่สุดเธอหาเสื้อผ้ามาใส่แทนผ้าคลุมสีดำหนักเหมือนก้อนหินได้แล้ว กานติศามองตัวเองในกระจกเงา เสื้อผ้าทะมัดทะแม่งเหมาะกับการเดินทาง กางเกงขาบานเนื้อผ้าฝ้ายเหมือนชาวไร่ เสื้อแขนยาวตัวหลวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีตุน ยิ่งกว่าได้โบนัสเธอได้สวมรองเท้าบู้ทหนังที่ขนาดพอดีกับเท้าเป๊ะ
เสื้อผ้าของใครนะ เหมือนถูกผลิตมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
ความฝัน เธอสามารถจินตนาการรายละเอียด ทั้งเนื้อผ้า รอยตะเข็บ แบบรองเท้าที่อยากใส่
ไม่ทันไรหางตาเห็นเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวสะท้อนกระจกบานใหญ่ จึงรีบหันไปดูอีกฝั่งหนึ่งของปลายเตียงอย่างใจระทึก มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่มุมห้องที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง นึกถึงฉากหนึ่งในหนังสยองขวัญ บรรยากาศอึมขรึมน่ากลัวเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ผิด ผีมุมห้อง ผีข้างตู้เสื้อผ้า ถ้าเธอเป็นคนขวัญอ่อนคงรีบโดดหน้าต่างหนีไปแล้ว แต่กานติศาก้าวเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิม พบร่างผู้หญิงกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกำแพงนิ่งไม่ไหวติง มีผ้าคลุมตาข่ายปิดหน้าจรดถึงเอว ยากจะเดาสัญญาณชีวิต เธอมั่นใจว่าเห็นการขยับในกระจกแน่นอน มือค่อยๆ คลี่ผ้าคลุมปิดหน้าออก นาทีสุดท้ายกระชากผ้าคลุมออก
กานติศาก้าวถอยกรูดหนีกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งมาจากร่างศพจนสาวต้องรีบยกมือปิดจมูกหนีทันที เป็นศพสาวแก่ผมยาวสีขาวแห้งกร้าน เลือดเนื้อหดหายจนเกือบเห็นกระดูก ลูกตาหลุดออกนอกเบ้าข้างหนึ่ง ลำตัวเหมือนถูกผ่าควักเครื่องในออกมา
“นะ เนื้อ เนื้อสาว”
เธอคิดว่าหูฝาดไป เห็นนิ้วมือกระดุกกระดิกขยับไปขยับมา กานติศาพยายามเพ่งเล็งมองดวงตาที่ห้อยลงมา และดวงตาสีซีดกลอกตากลับมามองมายังเธออีกด้วย
“เนื้อเจ้า ท่าทางอร่อย”
ริมฝีปากถูกแหว่งหายไปจนเห็นเหงือกฟันเน่าค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้างจนฉีกขาด ศพกระตุกเคลื่อนไหวเหมือนผีดิบ กานติศาตกใจจนพูดไม่ออก ก่อนจะวิ่งหนีซากศพดึงกระชากปลายเส้นผมจนเธอหงายหลังตึง มันคลานเข้าคร่อมตัวเธอแลบลิ้นยาวเหยียดคลอเคลียดวงหน้าใส ส่งกลิ่นเหม็นน่าคละคลุ้ง ราวกับมีระเบิดเวลาซ่อนอยู่ข้างใน เมื่อหมดเวลาซากศพระเบิดเป็นลูกโป่ง เผยแมงมุมนับพันตัวที่ถูกอัดแน่นคลานออกมาอย่างอิสระ ขายาวยั้วเยี้ยพุ่งไต่มาที่ตัวเธอทันทีราวกับพบแหล่งอาหารแห่งใหม่
เอเดรียนเพิ่งเสร็จจากการค้นหาในตู้บานสุดท้าย เขาเจอก้อนชีสขึ้นรา ขวดเหล้าหอมเครื่องเทศ ถั่วสารพัดชนิด และสมุนไพรชนิดที่เขารู้จักเหมาะนำมาทำซุปให้กานติศาทาน นอกจากนั้นเขาเจออาหารเน่า ขนมปังแข็งเป็นก้องหิน เนื้อเน่าก่อสารพิษไม่สามารถกินได้
ใครเป็นเจ้าของบ้านกระท่อมหลังนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะกานติศาคะยั้นคะยอ เขาเลือกจะไม่เข้ามาอยู่แม้แต่วินาทีเดียว เห็นหม้อใบโตพลิกคว่ำอยู่ในเตาผิง ซึ่งมันใหญ่มากพอจะต้มเนื้อโทรลล์โง่ๆได้ และโต๊ะกลางใช้เตรียมอาหารมีเศษอาหารเน่าทิ้งอยู่ระเกะระกะ เหมือนผ่านสงครามอาหาร ร่องรอยความเป็นอยู่ของคนหลายคนเคยพักอยู่อาศัย แล้วพวกเขาหายไปไหน ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ข้อศอกกระแทกโต๊ะด้วยความบังเอิญ มีหนังสือเล่มหนึ่งตกหล่นมา
เอเดรียนเห็นตัวหนังสือแปลกๆ ภาษาที่อ่านไม่ออก ประกอบกับภาพวาดที่บรรจงวาดด้วยดินสอคล้ายอธิบายขั้นตอนวิธีการทำอาหารพิสดาร การเสกมนต์ปรุงอาหาร วิถีท่องคาถา การเลี้ยงดูแลแมลงอย่างแมงมุม เขาพลิกหน้าหนังสือเกือบถึงหน้าสุดท้าย ภาพกองทัพแมงมุมตัวไต่ตัวเข้าหาทวารทั้งเก้าของร่างกายเพื่อกัดกินและวางไข่ ฟักไข่ออกเป็นตัวประหลาดที่เขาไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูด
บ้านกระท่อมหลังนี้ควรเป็นที่สุดท้าย ที่เธอและเขาแวะเข้ามา
เสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นสอง เอเดรียนดึงดาบสายโลหิตออกมา ก้าวกระโดดบันไดทีละสามขั้นไปตามเสียงแสดงถึงความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ทันทีเข้าไปในห้องเขาต้องไม่เชื่อสายตา แมงมุมขายาวจำนวนมากกระจายไปทั่วห้องอย่างวุ่นวาย และกานติศานอนดิ้นกับพื้นเอาชีวิตรอด มีแมงมุมจำนวนมากกำลังไต่ยั้วเยี้ยบนตัวเธอ จำนวนหนึ่งกำลังไต่มาที่ขาเขา ซึ่งเธอใกล้หมดเรี่ยวแรงต่อต้าน จึงใช้สันดาบตีพื้นข้างรุนแรงจนแมงมุมตกใจกระเด็นกระดอนโดดไปเกาะที่อื่น คงเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานมันก็กลับมาบนตัวกานติศาอีก นับว่าเป็นการเสียแรงเปล่าประโยชน์ แมงมุมมีจำนวนมากเกินไปกว่าเขาจะปกป้องกานติศาได้
เขาตัดสินใจตีมันอีกครั้ง จนพวกมันโดดไปเกาะติดผ้าม่าน รีบเข้าอุ้มร่างหญิงสาวที่นอนนิ่งไปขังไว้ในอ้อมแขน มือปัดแมงมุมเกาะอยู่บนใบหน้าซีดหน้าเซียวรวดเร็วแต่อ่อนโยน ใช้ผ้าคลุมหนังของตัวเองปกคลุมร่างสาวไว้ เขาใช้น้ำมันจากตะเกียงหัวเตียงราดใส่พวกมันก่อนราดไปทั้งห้อง กับเศษไม้จากการทำลายตู้เสื้อผ้าเพื่อจุดไฟ ไม่นานเปลวไฟลุกลามจนเกินแรงดันกระจกหน้าต่างแตกทุกบาน ความร้อนกระจายตัวอย่างรวดเร็วเข้ามาแทนที่อากาศหายใจ ด้วยเวลาเหลือน้อยเขากระชับอ้อมแขนกระโดดออกทางหน้าต่างในจังหวะพวกมันถูกแผดเผาทรมานทุรนทุรายตายไปพร้อมกับบ้านกระท่อมจมอยู่ในกองเพลิง
เขาพาตัวเองในสภาพเปื้อนปอนไปด้วยเศษขี้เถาวางร่างบางบนที่ราบโล่ง เบื้องหน้าพวกเขามีบ่อน้ำใสสะอาดเหมาะกับการชำระร่างกาย แต่เขาไม่สนใจ มือปัดพวกซากแมงมุมเกาะติดตามตัวกานติศา ดวงหน้าซีดเป็นไข่ต้ม ปากเป็นสีม่วง
“กานติศา ลืมตามองข้าสิ” มือตบหน้าเรียวเบาๆ
เสียงทุ้มต่ำของผู้ช่วยชีวิตครั้งแล้วครั้วเล่าปลุกเธอลืมตาตื่น แต่ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ทันที นอกจากพยายามอ้าปากพะงาบ ลิ้นจุกปาก มือกุมลำคอตัวเอง เอเดรียนตีความได้ทันที มีอะไรบางทีทำให้กานติศาหายใจไม่ออก รอยคราบดำๆ ติดตามซอกฟัน แมงมุมอยู่ข้างในตัวเธอกำลังกัดกินร่างกายสร้างความทรมาน เอเดรียนมองเหยื่อสาวที่ดิ้นอย่างทุรนทุรายด้วยสายตาเจ็บใจ นี่เขาต้องทนดูกานติศาเจ็บปวดโดยไม่สามารถทำอะไรได้หรือ ภาพแมงมุมที่กัดกินเนื้อและฟักไข่ ฟักตัวออกเป็นตัวประหลาดในหนังสือเล่มนั้น
วิธีเดียวเท่านั้นที่เขาอาจจะช่วยได้ แต่อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับกานติศา เขาหยิบกระเพาะสัตว์บรรจุน้ำกรอกใส่ปาก ร่างสาวสะดุ้งเมื่อปริมาณน้ำไหลลงคอต่อเนื่องไม่มีหยุด กระทั่งหาจังหวะหายใจไม่ได้กลายเป็นสำลัก เมื่อน้ำหมดเกลี้ยงเขาจึงจับโยนร่างบางทุ่มใส่บ่อน้ำ เขาไม่สนใจทีท่าการต่อต้าน กางเล็บคมข่วนหน้าเขาจนเลือดซิบ มือไม้ทั้งทุบทั้งดึงข่วนอย่างเอาชีวิตรอด และสายน้ำเย็นยังคงไหลเข้าปากเธอต่อเนื่อง หากมีการต่อต้านไปมากกว่านี้เขาต้องจับเธอกดน้ำถึงก้นบ่อไปจนกว่าหมดแรง ไร้การต่อต้าน หมดสติเขาถึงปล่อย ออกแรงกำปั้นต่อยเข้าที่ท้องน้อยสองครั้ง กานติศาถึงฟื้นสะดุ้ง อาเจียนของเหลวออกมาพร้อมซากแมงมุมจำนวนหนึ่งลอยอืด และเลือดสีแดงปะปนอยู่ด้วย
“กานติศา ข้าขอโทษที่รุนแรงกับเจ้า” เป็นเพราะความสงสารหรือเปล่า เขาถึงเผลอโอบกอดสาวไว้ในอ้อมแขน ร่างบางนอนสลบไสล
‘ข้าช่วยเจ้า ทั้งที่สุดท้ายเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี’
เอเดรียนสะกดความสับสนที่ก่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัวซ่อนไว้เบื้องลึกสุด หันไปสนใจร่างบางนอนหนุนตักตน ตาไวเห็นร่างเล็กซ่อนแอบดูพวกเขา เป็นผู้หญิงแก่แต่งตัวซอมซอ ใบหน้ามีหูด จมูกงุ้มเหมือนแม่มด แอบซุ่มดูพวกเขาอีกด้านหนึ่งของบ่อน้ำ “เจ้าเป็นใคร”
“ข้าต่างหากที่ต้องถาม พวกเจ้ากำลังบุกรุกที่ของข้า”
“บ้านกระท่อมนั้นของเจ้ารึ” เขาชี้นิ้วไปทางผลงานในกองเพลิง
“ไม่ใช่ นั้นของเพื่อนข้าที่ตายไป” หญิงชราออกมาพร้อมกับไม้เท้าพยุงร่างกาย เขาเห็นว่านางพิการมีขาเดียว เสียงละเมอในอ้อมกอดทำให้ผู้ใหม่หันมาสนใจ เอเดรียนใช้ร่างตนบังไม่ให้เห็น ตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
“นางดูไม่สบาย เพราะพิษแมงมุมล่ะสิ” หันไปทางซากศพลอยอืดที่บ่อน้ำ
“แค่นี้ไม่ทำให้หายหรอก พิษมันฝังกายนางแล้ว ตามข้ามาสิ” หญิงชรานำทางไปในป่าอีกด้าน แต่เอเดรียนลังเลใจจะตามไป
“เดี๋ยวนางก็ตายหรอก” เสียงลอยมาจากข้างในหมู่ต้นไม้ เขายอมตามไปในที่สุดเพราะร่างบางมีอาการหนาวสั่นต้องชดเชยด้วยความอบอุ่นต่างหาก
มือทาบหน้าผากสัมผัสอุณหภูมิสวนทางกับร่างกายเขาโดยสิ้นเชิง เอเดรียนจับจ้องมองหญิงชรากำลังง่วนกับการปรุงยาภายในกระท่อมอีกหลัง สายตาคมดุกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อต้องกับแสงเปลวไฟ น้ำยาในหม้อดินเผาเดือดปุดทบทวนความหลังโหดร้ายในอดีต
“ท่านจ้องข้าจนตัวแข็งหมดแล้ว ข้าไม่กัดหรอก” มือเหี่ยวคนยาในหม้อต่อ ร่างบางนอนอยู่บนเตียงไม้ตั้งอยู่ขั้นกลางระหว่างเขากับเจ้าของกระท่อม มือจับด้ามดาบไว้ตลอดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการก่อพิรุธ
“แล้วทำไมถึงช่วยพวกเรา”
“เพราะสายตาท่านหวังดีต่อนาง ข้าจึงอยากช่วย”
เอเดรียนถึงกับไปต่อไม่ถูก ไม่เข้าใจความหมายหญิงชราพูดเมื่อครู่นี้ สาวแก่รีบตักน้ำยาสีเขียวเข้มใส่โถยืนต่อหน้าเอเดรียน
“รีบให้นางดื่มยานี้โดยเร็วที่สุด ขืนรอช้ามากกว่านี้นางจะตาย และข้าคงโดนท่านบั้นคอขาดทันที” เหมือนเรื่องจะตลกแต่ก็ไม่ตลก เอเดรียนป้อนยาแต่กานติศาก็ไม่ยอมกลืน ปล่อยยาน้ำสีเขียวกลิ่นประหลาดไหลออกทางมุมปาก
“โธ่ ไม่น่าเลย ท่านต้องบังคับนางดื่มให้หมด”
เอเดรียนตัดสินใจดึงร่างกานติศาขึ้นมาพิงอก ตามด้วยการยกดื่มน้ำยาใส่ปาก มือบีบขากรรไกรนางให้เปิดปากก่อนก้มลงประทับริมฝีปาก ใช้ปากเปิดทางเพื่อป้อนยาผ่านริมฝีปากเขาโดยตรง
หญิงชราเจ้าของกระท่อมถึงกับนั่งคุกเขาสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ราวกับมีแรงโน้มถ่วงเหวี่ยงไปมาอย่างกับเป็นลูกข่าง พาไปตกอยู่ในที่หนึ่งแต่เธอยังไม่สามารถเบิกตาได้เต็มที่ ร่างกายอ่อนแรงไร้น้ำหนัก กลิ่นแอลกอฮอลล์กระแทกเข้าจมูก กับแสงไฟนีออนเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บนเส้นทางยาวที่ไม่มีวันสิ้นสุด ประโยคสนทนาน้ำเสียงคุ้นเคยของคนหลายคนห้อมล้อมอย่างวุ่นวาย
“หมอครับ ช่วยเข็นให้เร็วกว่านี้ได้ไหมครับ”
นั้นคือเสียงพวกเขาจากโลกจริง กานติศาอยากกระโดดโลดเต้นดีใจแต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ แม้แต่ตอนอ้าปากเรียกชื่อพวกเขา เหมือนถูกฝันร้ายกลั่นแกล้งสร้างกำแพงไม่ให้ติดต่อกับพวกเขา หลอดไฟเหนือหัวเธอดับลง หายไปพร้อมกับเงาของคนหลายคน กานติศากลับสู่ความมืดเงียบอีกครั้งตามเสียงสวดมนต์ดังเข้ามา
“นางจะหายไหม” เอเดรียนถามหญิงชรา
“ถ้าพ้นคืนนี้ไป นางจะรอด”
กลางคืนนั้นเอเดรียนนั่งเฝ้าดูร่างบนเตียงนอนกระสับกระส่ายจากพิษไข้ หลังจากห่มผ้าให้ เขานั่งเก้าอี้ข้างเตียงมือลูบใบไข่ฟองสีชมพูไว้อย่างทะนุถนอม จึงเจอรอยปริแตกบ่งบอกถึงเวลาการเกิดของสิ่งมีชีวิตใหม่
“รีบตื่น ข้ามีข่าวดีอยากบอก เจ้าต้องดีใจมากแน่”
โน้มลงกระซิบกับหูนาง หวังว่านางจะได้ยินรีบตื่นขึ้นมาโดยไว แต่นางก็ไม่ตื่นจมอยู่กับความนิ่งเงียบ เอเดรียนผิดหวังจึงออกไปสูดอากาศเย็นข้างนอกกระท่อม ท้องฟ้าแห่งรัตติกาลกว้างไพศาลเผยทางช้างเผือก ความงดงามที่ไม่เคยแม้แต่สนใจ หรือเจียดเวลาเงยหน้าขึ้นชมวิวทัศน์ ทุกวันหมดเวลาไปกับการเฝ้ารอ สาวงามจากต้นไม้ เพื่อตามล่าเอาชีวิต ทำให้ลืมความงดงามของธรรมชาติบนผืนฟ้าไปโดยสิ้นเชิง เอเดรียนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด สบายใจราวถูกเติมเต็มชิ้นส่วนหายไปในชีวิต
บทสวดมนต์ดังตามมา หญิงชราคุกเข่าสวดมนต์ภาษาที่ไม่เคยได้ยิน ต่อหน้าแผ่นหินแกะสลักลวดลายตามความศรัทธา เงาดำของนางถูกเหยียบย้ำจากผู้ลอบเข้ามาด้านหลัง
“คิดเปลี่ยนใจเอาชีวิตข้าแทน หรือว่านางนั้นตายเสียแล้ว” นางรู้ถึงการมาของผู้ใหม่ เอเดรียนกระชับดาบระมัดระวัง
“นางยังอยู่ดี เจ้าช่วยชีวิตนาง แต่ยังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าเจ้าเป็นใครมาอยู่ที่นี่ ดูจากความชำนาญในการปรุงยา ขั้นตอนการรักษาจึงแน่ใจว่าไม่ใช่ชาวบ้านชาวช่องธรรมดา”
“ข้าเคยเป็นหนึ่งในนักบุญปรุงยาในพระราชวังในวิสตาร์เรีย มาจากที่เดียวกับท่านใช่มั้ย ท่านเอเดรียน”
‘วิสตาร์เรีย’ ในที่สุดเขาเพิ่งนึกออก สถานที่เขาจากมาดินแดนที่คุกรุ่นไปด้วยความเกลียดชัง การรุมประชาทัณฑ์เพื่อการเอาชีวิตรอดถึงขั้นมีการเนรเทศขับไล่พวกนอกรีต สร้างตราบาปและบทลงโทษตราบชั่วชีวิต สาเหตุที่เขาต้องออกตามล่า
“เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร”
มือเหี่ยวชี้ไปที่สร้อยนาฬิกาโลหะสีทองอย่างรู้ทัน เอเดรียนใช้จังหวะนี้รีบซ่อนนาฬิกาเข้าไปในเสื้อ
“ทีแรกข้าไม่แน่ใจหรอก พอเห็นสร้อยสีทองมันทำให้นึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต ผู้ครองสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าท่านคือผู้นั้น ผู้แบกความหวังเพื่อความอยู่รอดของวิสตาร์เรีย แต่พวกเขากลับทรยศครอบครัวท่าน ข้ากลับนิ่งเฉยไม่สามารถช่วยพวกท่านอะไรได้เลย ท่านเอเดรียน ข้าทนทรมานรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตข้าหวังว่าสักวันหนึ่งได้เจอท่าน ขอร้องท่านลงโทษเอา ฆ่าข้าเพื่อให้สาสมกับบาปกรรมที่ควรได้รับชดเชย”
หญิงชราน้ำตาไหลคุกเข่าก้มศีรษะติดพื้นอย่างจำนน เอเดรียกระชากดาบสะอาดออกมาเพื่อได้ชิมเลือดในวันนี้ นางรู้ชะตากรรมชีวิตตนเองดี และจะไม่ยอมหนี “ก่อนลงมือ ข้าอยากทราบเรื่องหนึ่งก่อน”
“ว่ามา”
นางรู้ดีว่าต่อให้มีเวทมนต์ ความสามารถปรุงยา ติดตัวมากแค่ไหนก็ยากต่อกร ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งมีดาบสายโลหิตเป็นอาวุธพิเศษถูกเนรมิตสร้างขึ้นมาพร้อมผู้แบกรับภาระแห่งโชคชะตาโดยเฉพาะ ภารกิจกอบกู้เพื่อการปลดปล่อยให้วิสตาร์เรียเป็นอิสระจากคำสาป ซึ่ง แลกมาด้วยกับชีวิตหนึ่งเป็นไปตามคำทำนาย
“ข้าไม่แน่ใจในเรื่องความรู้สึกท่านที่มีต่อนาง นางคือเครื่องบูชายัญเพื่อความอยู่รอดของวิสตาร์เรีย ท่านจะฆ่านางตามพวกเขาต้องการหรือไม่”
“เจ้ารู้ได้ไง ว่านางคือ...” เขาแน่ใจว่าไม่เคยหลุดปากบอกใครเรื่องนี้
“ตอนข้าสำรวจร่างนางเพื่อการรักษา บังเอิญเห็นสัญลักษณ์บนตัวนาง ดูเหมือนนางยังไม่รู้ตัว หน้าที่ของท่านคือต้องจับนางส่งตัวให้ท่าน...” ก่อนเอ่ยชื่อใครคนหนึ่ง เอเดรียนกลับตวาดให้หุบปาก
“อย่าเอ่ยชื่อหมอนั้น”
หญิงชราเข้าใจดี ไม่ควรเอ่ยชื่อนามผู้หนึ่งในอดีต ผู้นำก่อกบฏ ฆ่าล้างบางทุกชีวิตในครอบครัวจนเหลือเพียงท่านเอเดรียนผู้เดียว อีกในแง่หนึ่งไม่สามารถฆ่าเอาชีวิตได้เพราะ ท่านเอเดรียนคือผู้ถูกเลือก
“ท่านเอเดรียน แน่นอนว่าท่านต้องเคียดแค้นที่สุด แต่ความอยู่รอดของท่านต้องมาก่อนอยู่ดี ทำไมไม่รีบจับนาง ถ้าข้ามองไม่ผิดว่าท่านมีความรู้สึกกับนางฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง สายตาท่านไม่ได้มองนางฐานะเครื่องบูชายัญ”
เอเดรียนผ่อนดาบลง ทบทวนสิ่งที่หญิงชราพูดกับเขา แววตาเริ่มไม่แน่ใจว่าตนต้องทำอะไร อะไรคือสิ่งที่ต้องการ
“ข้าไม่รู้”
เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายอึ้งคำตอบที่หลุดปากไป ทั้งที่ตั้งใจแนวแน่ไว้ตั้งแต่ต้น ความสับสนเกิดขึ้นอย่างไรก็ตามเขาไม่มีวันหนีจากภารกิจ ความจริงที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตดาบยักษ์เล่มนี้ในมือเขาจะต้องได้ดื่มเลือดกานติศา
“ท่านจะลังเลไม่ได้นะ นั้นเท่ากับท่านหักหลังทรยศพวกเขา”
“นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ อย่าลืมสิว่าพวกเขาหักหลังข้าก่อน แน่นอนว่าไม่ลืมภารกิจตัวเองหรอก ข้าต้องการพาเครื่องบูชายัญไปที่นั้น ก่อนจะฆ่านางเอาเลือดชำระล้างตราบาป พวกมันต้องคุกเข่าอ้อนวอน ขอร้องข้าหยุดประวิงเวลาเพื่อลงมือ หลังจากที่ข้าจะนั่งเฉยดูพวกมันต้องทนทรมานจนตายภายใต้คำสาป เพราะข้าคือผู้ถูกเลือกมีสิทธิเลือกจะทำหรือไม่ทำ...” เอ่ยอย่างคลุ้มคลั่ง ความโกรธแค้นสะสมกลายเป็นความเกลียดชังมีมากเกินกว่าสรรหาคำไหนมาพูด
“นี่คือการแก้แค้น” หากหญิงชราผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อกบฏ เขาจะฟันนางให้ขาดเป็นสองท่อนโดยมิต้องสงสัย
“ถ้าไม่ลงมือทำ บทลงโทษจะเอาชีวิตท่านเหมือนกัน ท่านกับนางจะอยู่รอดไปตลอดฝั่งไม่ได้”
“นั้นเป็นปัญหาของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เขาหมุนตัวกลับไปที่กระท่อม
“ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ ยิ่งปล่อยไว้นานท่านยิ่งมีแต่ลำบากมากขึ้น ”
คำทำนายได้กำหนดไว้แล้ว ชีวิตเขาผูกไว้กับชีวิตของนาง
ดวงไฟหนึ่งโชกโชนมากเท่าไร ยิ่งกลืนกินไฟอีกชีวิตหนึ่งมีแต่มอดดับลงในที่สุด
ชะตากรรมได้เริ่มเล่นงานเขาแล้ว เอเดรียนสำลักจนอ้วกออกมาเป็นน้ำสีดำเคลื่อนไหวราวมีชีวิตก่อนหายกลืนไปกับพื้น ทีท่าเมินเฉยมุ่งมาหาผู้นอนหลับบนเตียงไม้ กานติศาพ้นขีดอันตรายแล้ว ใจเขากลับโล่งใจหมดกังวล เขาปลดชุดเกราะออกเหลือเพียงชุดด้านใน สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกัน หย่อนกายลงนอนเคียงข้าง กานติศาหลับนอนในท่วงท่าสบายเสียจนไม่อยากเข้าไปรบกวน กะว่าจะเปลี่ยนใจเคลื่อนย้ายไปนั่งงีบบนเก้าอี้ตัวนั้นแทนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะคำพูดหญิงชรารบกวนจิตใจ แต่ใจทรยศไร้ควบคุมอยากใกล้ชิดกานติศา
หากมีใครจักถามเขาว่าทำอะไรอยู่ เอเดรียนก็ตอบไม่ได้
มือบางเหมือนรับรู้คุ้นเคยความอบอุ่นที่มอบให้ จึงคว้าหมับเสื้อไว้แน่นไม่ปล่อย ร่างบางเข้าหาอ้อมอกอุ่นเป็นที่พึ่งตามสัญชาตญาณ ยกแขนอ้าโอบล้อมรอบเอว เรียวขากระหวัดรัดท่อนขาด้วยความเคยชิน สภาพโดนรัดกอดนิ่งเป็นหมอนข้างใบหนึ่ง เขาได้แต่ตะลึงไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน ถูกสะกดสายตาด้วยใบหน้าใสหลับปุ๋ยไร้เดียงสา
เพราะเขาเป็นนักล่า ไม่ควรตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
โดยเฉพาะกับเครื่องบูชายัญ
อาการเพ้อละเมอดึงความสนใจ เขาต้องก้มเงี่ยหูเข้าไปใกล้หน้ากานติศา เพื่อฟังจับใจความ
“พี่ต้น”
เอเรียนคว้าเข่าสาวยกขึ้นมาเพื่อสำรวจดูบาดแผลใหม่ขึ้นสองสามแห่ง มือคลำหัวเข่าถลอกก่อนรุกล้ำเข้าหาความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เกือบถึงผิวเนื้อด้านในมากเกินความจำเป็น จึงถูกสาวตีเข้า
“แผลแค่นี้ ไม่ถึงกับต้องจับตรงนั้นตรงนี้” กานติศาหวาดผวาเมื่อถูกสัมผัสเกินความจำเป็น รีบเอาผ้าคลุมปิดเข่าเป็นเครื่องอาภรณ์ชิ้นเดียวบนตัวเธอ ถ้าเอเดรียนเป็นผู้ชายน่ากลัวน้อยกว่านี้ เธอจะประทับตรารอยฝ่ามือบนใบหน้าหล่อให้หนำใจ เขากล้ามาแตะต้องเธออย่างไร คนถูกตีถึงกับนิ่งไป
“แค่อยากตรวจให้แน่ใจว่ากระดูกไม่เป็นอะไร ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป ข้ายิ่งลำบาก”
ลำบากก็ทิ้งฉันไป ใครจะอยากไปกับคุณ แน่นอนว่าเธอไม่ได้พูดไปตามใจคิด ถ้าเกิดถูกทิ้งขึ้นมากานติศากลายเป็นคนหลงป่าแทบทันที งดหาเรื่องใส่ตัวลำบากไปมากกว่านี้ หลีกเลี่ยงทำตัวเป็นภาระหญิงสาวพยายามลุกยืนขึ้น
“ใครให้เจ้าซุ่มซ่ามล่ะ” เขาช่วยดึงสาวลุกขึ้น
กานติศาได้ยินถึงกับหน้าแดง เหมือนโดนของร้อนลวก ทั้งอับอายทั้งไม่พอใจที่เขามาต่อว่าเธอเช่นนี้
“ก็ฉันไม่แข็งแรง ไม่ได้ใส่รองเท้าเหมือนคุณ เสื้อผ้าก็ไม่มี ใครให้คุณเผาเสื้อผ้าฉัน”
เอเดรียนมองสาวตรงหน้าเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน การที่เขากำจัดเสื้อผ้าเพื่อช่วยชีวิตเธอ วินาทีแรกที่เห็นสาวกำลังหายใจรวยรินรอความตาย หากเขาไม่ลงมือช่วย ทั้งผายปอด เสียสละร่างกายมอบความอบอุ่นให้ตอนนั้น คงไม่มาทำกิริยาอวดเก่งพูดฉอดเถียงกับเขาอย่างนี้
“ผ้าคลุมคุณหนักมากจริงๆ ” สาวทำเป็นขี้บ่น
ราวกับว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากก่อน ความทรงจำสีขาวว่างเปล่าเป่ากระซิบในหัว เอเดรียนมีอาการมึนเล็กน้อยกับความแปลกพิกล ภาพผู้หญิงเลือนรางปรากฎ รูปร่างแตกต่างสาวปากดีอย่างกานติศากำลังบ่นพึมพำ
สาวผมยาวที่เขานึกเห็นเมื่อครู่เป็นใครกันแน่
เขาจมอยู่กับความคิดสักพักก็พบว่าสาวที่เดินทางมาด้วยกันได้หายตัวไปแล้ว เขาใจหายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เอเดรียนวิ่งปรูดเข้าไปในป่า แทบทุกพื้นที่เท่าที่เข้าถึง ตะโกนเรียกชื่อ กานติศา เท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ประกายจุดไฟแห่งความโกรธ ไฟโชกโชนเผาดวงตากลายเป็นสีเข้ม เขาโกรธตัวเองที่ปล่อยให้กานติศาคลาดสายตา หล่อนเป็นความหวังหนึ่งเดียว ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ครั้งต่อไปเขาต้องรอนานอีกแค่ไหน
“เอเดรียน ฉันเจออะไรบางอย่างด้วยล่ะ” เสียงใสแจ๋วมาพร้อมร่างตัวเล็กโผล่มาจากช่องว่างระหว่างต้นไม้สองต้น เอ่ยไม่ทันจบประโยค ข้อมือเธอถูกกระชากอย่างรุนแรง ไปกระแทกกับแผงอกใต้ชุดเกราะ เจอใบหน้าเกรี้ยวกราดขึ้นมาชั่วขณะ
“เจ้าหายไปไหน ทำไมไม่บอกข้า” เขาเขย่าร่างคนตัวเล็ก
“คุณเป็นอะไร ทำไมต้องโกรธ” เธอเห็นคนตรงหน้ามีอาการโกรธจนตัวสั่น ยกมือตบไหล่เขาให้ใจเย็นลง ไม่พร้อมเจอพายุอารมณ์คนป่าเถื่อนเล่นงานอีกครั้ง เอเดรียนตั้งสติได้ว่าทำให้กลัว เหยื่ออาจจะวิ่งหนีเตลิดไปอีก จึงสูดหายใจลึกๆสงบอารมณ์ “เจ้าหายไป กลัวว่าจะเกิดอะไรกับเจ้า”
นี่เขากำลังเป็นห่วงเธอหรือ
“จริงสิ ฉันเจออะไรบางอย่างที่ซอกหินด้วยล่ะ” พร้อมส่งหลักฐานในมือ ไข่นกกระจอกเทศฟองโตเป็นสีชมพูแต้มลวดลายสีแปลกตา กานติศาอุ้มใบไข่ไว้ในอ้อมแขน“แม่นกคงลืม ทิ้งเอาไว้”
“เจ้าเลยคิดรับเลี้ยงมันไว้แทนหรือ ทั้งที่เจ้าเอาชีวิตให้รอดในป่ายังไม่ได้เลย เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
กานติศามองถุงมือเหล็กยืนมาอย่างลังเล ขืนมอบใบไข่ให้ผู้ชายนิสัยใจร้ายมีหวังทุบใบไข่ให้แตกละเอียดแน่นอน “คุณคิดจะทำร้ายมัน ฉันไม่หลงกล ไม่ให้คุณหรอก”
เจ้าแม่หวงไข่ยิ่งกว่าลูกในไส้จนผู้ร่วมทางหมั่นไส้ขึ้นมา คาดว่าความเห่อเหมือนเจอของเล่นชิ้นใหม่ของนางคงอยู่ไม่นาน คงพลาดท่าทำไข่แตกเข้าสักวันหนึ่ง เพราะตลอดทางเส้นขรุขระเป็นไปด้วยความยากลำบาก ไข่ใบนั้นกลายเป็นภาระต่อนาง กานติศากัดฟันไม่ท้อถอย มือประคมประหงมรักษาใบไข้อย่างระมัดระวัง แม้แต่ตอนนอนหลับนางนอนกอดให้ความอบอุ่นเสมือนแม่ลูกอ่อน นานเข้าวันเอเดรียนถอนหายใจยอมพ่ายแพ้ในความมานะของนางอย่างจริงจัง
ราวกับท้องฟ้ามีตา เอเดรียนหยิบยื่นน้ำใจสละผ้าผืนหนึ่งให้นางทำเป็นถุงผ้าคล้องไหล่บรรจุใส่ ขณะที่พวกเขาต้องก้าวเหยียบก้อนหินกระจัดกระจายข้ามลำคลอง เจอวันฝนตกเขาใช้ร่างสูงใหญ่บังกานติศากับไข่จนไข้หวัดเล่นงานนางเข้า จึงอาสาสะพายย่ามใส่ไข่มาดูแลแทนจนถึงวันนี้
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายมาดเย็นชาแต่ราศีจับอย่างเขา
“ฉันเจอกระท่อมหลังหนึ่งอยู่ทางนั้น คุณต้องไปกับฉันนะคะ” หญิงสาวเผลอจับมือพาเขาไปตามทาง
“กระท่อม?” ถึงเขาจำไม่ได้ว่าเขาอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน แต่ก็อยู่มานานพอแน่ใจว่าจะไม่มีบ้านหรือกระท่อมอยู่บริเวณนี้
“อาจจะเป็นกับดัก ข้าไม่ไป”
เอเดรียกชูดาบสายโลหิตเป็นหลักประกัน ว่าต่อให้ม้าหรือช้างมาฉุดลากยังไงเขาก็ไม่มีวันขยับเขยื้อน สัมผัสจากมือเล็กแสนนิ่มค่อยฉุดรั้งดึงไปมา
“อย่าลืมสิ ฉันต้องการเสื้อผ้า รองเท้า และอาหาร เราต้องมีอาหารกินนะคะ”
กานติศาทั้งรบเร้าทั้งอ้อนออด จนเขาเกือบเผลอทำดาบหลุดมือ สุดท้ายใจยอมโอนอ่อนผ่อนตามสาวร่างเล็กอย่างไม่เคยนึกมาก่อน
“คุณก็รู้ว่าฉันกินเนื้อแปลกๆ ไม่ค่อยได้ ในกระท่อมคงมีอะไรฉันพอกินได้ เพื่อความสบายใจ ฉันไปหาเสื้อผ้า รองเท้า คุณไปหาเสบียง จากนั้นเราก็รีบออกจากกระท่อม เดินทางให้เร็วที่สุด ดีไหมคะ”
เอเดรียนเดินตามหญิงสาวไปในป่า ใบไม้แห้งกรุ่ยทางเหมือนทางเดิน ต้นไม้หนาทึบบดบังแสงอัสดง ความต้องการหาเสบียงสำหรับกินระหว่างการเดินทาง เขาสังเกตว่าผู้ร่วมเดินทางปฏิเสธไม่กินเนื้อที่เขาตามล่า หันมากินซุปผักตลอด จนร่างกายที่เคยมีน้ำนวลกลับลูบผอมลง เมื่อตอนลงบ่อน้ำเพื่ออาบน้ำ เขาสามารถนอนนับซี่โครงร่างเปลือยได้เป็นอันว่าเล่น นั้นทำให้เขายอมให้กานติศาจูงมือไปที่กระท่อม ท่องความในใจ
ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอีก เด็ดขาด
ชีวิตเจ้าเป็นของข้า กานติศา
บ้านกระท่อมใจสภาพเก่าทรุดโทรมร้างมานานนับปี หลังคากระเบื้องแตกหลุดจากฐานเป็นชิ้นๆ ประตูไม้ถูกทำร้ายเป็นรูโหว่ อาจจะเป็นกับดักตามที่เอเดรียนบอก ข้อมือบอบบางถูกรั้งไว้
“ข้าเปลี่ยนใจ”
“ไม่ได้นะ เรามาถึงนี้แล้ว ข้างในไม่มีอะไรหรอก” อย่างน้อยกานติศาบอกตัวเองอย่างนั้น จะมีอะไรน่ากลัวมากกว่าคนตัวใหญ่ตอนที่ระเบิดอารมณ์ขึ้นมา มือบางดันร่างใหญ่เข้าไป ภายในกระท่อมดูดีกว่าสภาพภายนอก
บ้านกระท่อมที่ดูเหมือนเล็กเกินไปสำหรับชายร่างตัวใหญ่อย่างเอเดรียน ทันทีเขาเข้ามาจับจองพื้นที่จำกัด เธอก็เคลื่อนกายไปไหนมาไม่สะดวก จึงไปที่บันไดชั้นสองทอดลงมาสู่ชั้นล่างในสภาพดูไม่แข็งแรง
“ฉันจะขึ้นไปดูข้างบนสักหน่อย” หญิงสาวปีนป่ายบันไดทรุดโทรมแล้วยกมือห้ามทันทีเอเดรียนทำท่าจะตามมาด้วย
“บันไดเก่าๆ รับน้ำหนักคุณไม่ไหวหรอก ฉันขึ้นไปดูแปบเดี๋ยว ลองค้นหาเสบียงในตู้ด้านหลังสิ” สาวชี้นิ้วสั่งอย่างไม่รู้ตัว เอเดรียนเพิ่งรับประสบการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่เคยมีใครมาชี้นิ้วสั่งเยี่ยงเจ้านายมาก่อน แต่เอเดรียนก็ลงมือควานหาของในตู้โดยดี
ห้องใต้หลังคาชั้นสองของบ้านกระท่อมดูเหมือนจะเป็นห้องนอนเล็กๆ สภาพไม่เรียบร้อย กานติศารีบวิ่งเข้าหาตู้เสื้อผ้าทำจากไม้ รอยยิ้มมีความหวัง ในที่สุดเธอหาเสื้อผ้ามาใส่แทนผ้าคลุมสีดำหนักเหมือนก้อนหินได้แล้ว กานติศามองตัวเองในกระจกเงา เสื้อผ้าทะมัดทะแม่งเหมาะกับการเดินทาง กางเกงขาบานเนื้อผ้าฝ้ายเหมือนชาวไร่ เสื้อแขนยาวตัวหลวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีตุน ยิ่งกว่าได้โบนัสเธอได้สวมรองเท้าบู้ทหนังที่ขนาดพอดีกับเท้าเป๊ะ
เสื้อผ้าของใครนะ เหมือนถูกผลิตมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
ความฝัน เธอสามารถจินตนาการรายละเอียด ทั้งเนื้อผ้า รอยตะเข็บ แบบรองเท้าที่อยากใส่
ไม่ทันไรหางตาเห็นเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวสะท้อนกระจกบานใหญ่ จึงรีบหันไปดูอีกฝั่งหนึ่งของปลายเตียงอย่างใจระทึก มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่มุมห้องที่แสงสว่างส่องไปไม่ถึง นึกถึงฉากหนึ่งในหนังสยองขวัญ บรรยากาศอึมขรึมน่ากลัวเหมือนสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ผิด ผีมุมห้อง ผีข้างตู้เสื้อผ้า ถ้าเธอเป็นคนขวัญอ่อนคงรีบโดดหน้าต่างหนีไปแล้ว แต่กานติศาก้าวเดินเข้าไปใกล้กว่าเดิม พบร่างผู้หญิงกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงกำแพงนิ่งไม่ไหวติง มีผ้าคลุมตาข่ายปิดหน้าจรดถึงเอว ยากจะเดาสัญญาณชีวิต เธอมั่นใจว่าเห็นการขยับในกระจกแน่นอน มือค่อยๆ คลี่ผ้าคลุมปิดหน้าออก นาทีสุดท้ายกระชากผ้าคลุมออก
กานติศาก้าวถอยกรูดหนีกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งมาจากร่างศพจนสาวต้องรีบยกมือปิดจมูกหนีทันที เป็นศพสาวแก่ผมยาวสีขาวแห้งกร้าน เลือดเนื้อหดหายจนเกือบเห็นกระดูก ลูกตาหลุดออกนอกเบ้าข้างหนึ่ง ลำตัวเหมือนถูกผ่าควักเครื่องในออกมา
“นะ เนื้อ เนื้อสาว”
เธอคิดว่าหูฝาดไป เห็นนิ้วมือกระดุกกระดิกขยับไปขยับมา กานติศาพยายามเพ่งเล็งมองดวงตาที่ห้อยลงมา และดวงตาสีซีดกลอกตากลับมามองมายังเธออีกด้วย
“เนื้อเจ้า ท่าทางอร่อย”
ริมฝีปากถูกแหว่งหายไปจนเห็นเหงือกฟันเน่าค่อยๆ ฉีกยิ้มกว้างจนฉีกขาด ศพกระตุกเคลื่อนไหวเหมือนผีดิบ กานติศาตกใจจนพูดไม่ออก ก่อนจะวิ่งหนีซากศพดึงกระชากปลายเส้นผมจนเธอหงายหลังตึง มันคลานเข้าคร่อมตัวเธอแลบลิ้นยาวเหยียดคลอเคลียดวงหน้าใส ส่งกลิ่นเหม็นน่าคละคลุ้ง ราวกับมีระเบิดเวลาซ่อนอยู่ข้างใน เมื่อหมดเวลาซากศพระเบิดเป็นลูกโป่ง เผยแมงมุมนับพันตัวที่ถูกอัดแน่นคลานออกมาอย่างอิสระ ขายาวยั้วเยี้ยพุ่งไต่มาที่ตัวเธอทันทีราวกับพบแหล่งอาหารแห่งใหม่
เอเดรียนเพิ่งเสร็จจากการค้นหาในตู้บานสุดท้าย เขาเจอก้อนชีสขึ้นรา ขวดเหล้าหอมเครื่องเทศ ถั่วสารพัดชนิด และสมุนไพรชนิดที่เขารู้จักเหมาะนำมาทำซุปให้กานติศาทาน นอกจากนั้นเขาเจออาหารเน่า ขนมปังแข็งเป็นก้องหิน เนื้อเน่าก่อสารพิษไม่สามารถกินได้
ใครเป็นเจ้าของบ้านกระท่อมหลังนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะกานติศาคะยั้นคะยอ เขาเลือกจะไม่เข้ามาอยู่แม้แต่วินาทีเดียว เห็นหม้อใบโตพลิกคว่ำอยู่ในเตาผิง ซึ่งมันใหญ่มากพอจะต้มเนื้อโทรลล์โง่ๆได้ และโต๊ะกลางใช้เตรียมอาหารมีเศษอาหารเน่าทิ้งอยู่ระเกะระกะ เหมือนผ่านสงครามอาหาร ร่องรอยความเป็นอยู่ของคนหลายคนเคยพักอยู่อาศัย แล้วพวกเขาหายไปไหน ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ข้อศอกกระแทกโต๊ะด้วยความบังเอิญ มีหนังสือเล่มหนึ่งตกหล่นมา
เอเดรียนเห็นตัวหนังสือแปลกๆ ภาษาที่อ่านไม่ออก ประกอบกับภาพวาดที่บรรจงวาดด้วยดินสอคล้ายอธิบายขั้นตอนวิธีการทำอาหารพิสดาร การเสกมนต์ปรุงอาหาร วิถีท่องคาถา การเลี้ยงดูแลแมลงอย่างแมงมุม เขาพลิกหน้าหนังสือเกือบถึงหน้าสุดท้าย ภาพกองทัพแมงมุมตัวไต่ตัวเข้าหาทวารทั้งเก้าของร่างกายเพื่อกัดกินและวางไข่ ฟักไข่ออกเป็นตัวประหลาดที่เขาไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูด
บ้านกระท่อมหลังนี้ควรเป็นที่สุดท้าย ที่เธอและเขาแวะเข้ามา
เสียงกรีดร้องดังมาจากชั้นสอง เอเดรียนดึงดาบสายโลหิตออกมา ก้าวกระโดดบันไดทีละสามขั้นไปตามเสียงแสดงถึงความหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ทันทีเข้าไปในห้องเขาต้องไม่เชื่อสายตา แมงมุมขายาวจำนวนมากกระจายไปทั่วห้องอย่างวุ่นวาย และกานติศานอนดิ้นกับพื้นเอาชีวิตรอด มีแมงมุมจำนวนมากกำลังไต่ยั้วเยี้ยบนตัวเธอ จำนวนหนึ่งกำลังไต่มาที่ขาเขา ซึ่งเธอใกล้หมดเรี่ยวแรงต่อต้าน จึงใช้สันดาบตีพื้นข้างรุนแรงจนแมงมุมตกใจกระเด็นกระดอนโดดไปเกาะที่อื่น คงเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่นานมันก็กลับมาบนตัวกานติศาอีก นับว่าเป็นการเสียแรงเปล่าประโยชน์ แมงมุมมีจำนวนมากเกินไปกว่าเขาจะปกป้องกานติศาได้
เขาตัดสินใจตีมันอีกครั้ง จนพวกมันโดดไปเกาะติดผ้าม่าน รีบเข้าอุ้มร่างหญิงสาวที่นอนนิ่งไปขังไว้ในอ้อมแขน มือปัดแมงมุมเกาะอยู่บนใบหน้าซีดหน้าเซียวรวดเร็วแต่อ่อนโยน ใช้ผ้าคลุมหนังของตัวเองปกคลุมร่างสาวไว้ เขาใช้น้ำมันจากตะเกียงหัวเตียงราดใส่พวกมันก่อนราดไปทั้งห้อง กับเศษไม้จากการทำลายตู้เสื้อผ้าเพื่อจุดไฟ ไม่นานเปลวไฟลุกลามจนเกินแรงดันกระจกหน้าต่างแตกทุกบาน ความร้อนกระจายตัวอย่างรวดเร็วเข้ามาแทนที่อากาศหายใจ ด้วยเวลาเหลือน้อยเขากระชับอ้อมแขนกระโดดออกทางหน้าต่างในจังหวะพวกมันถูกแผดเผาทรมานทุรนทุรายตายไปพร้อมกับบ้านกระท่อมจมอยู่ในกองเพลิง
เขาพาตัวเองในสภาพเปื้อนปอนไปด้วยเศษขี้เถาวางร่างบางบนที่ราบโล่ง เบื้องหน้าพวกเขามีบ่อน้ำใสสะอาดเหมาะกับการชำระร่างกาย แต่เขาไม่สนใจ มือปัดพวกซากแมงมุมเกาะติดตามตัวกานติศา ดวงหน้าซีดเป็นไข่ต้ม ปากเป็นสีม่วง
“กานติศา ลืมตามองข้าสิ” มือตบหน้าเรียวเบาๆ
เสียงทุ้มต่ำของผู้ช่วยชีวิตครั้งแล้วครั้วเล่าปลุกเธอลืมตาตื่น แต่ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ทันที นอกจากพยายามอ้าปากพะงาบ ลิ้นจุกปาก มือกุมลำคอตัวเอง เอเดรียนตีความได้ทันที มีอะไรบางทีทำให้กานติศาหายใจไม่ออก รอยคราบดำๆ ติดตามซอกฟัน แมงมุมอยู่ข้างในตัวเธอกำลังกัดกินร่างกายสร้างความทรมาน เอเดรียนมองเหยื่อสาวที่ดิ้นอย่างทุรนทุรายด้วยสายตาเจ็บใจ นี่เขาต้องทนดูกานติศาเจ็บปวดโดยไม่สามารถทำอะไรได้หรือ ภาพแมงมุมที่กัดกินเนื้อและฟักไข่ ฟักตัวออกเป็นตัวประหลาดในหนังสือเล่มนั้น
วิธีเดียวเท่านั้นที่เขาอาจจะช่วยได้ แต่อาจจะโหดร้ายเกินไปสำหรับกานติศา เขาหยิบกระเพาะสัตว์บรรจุน้ำกรอกใส่ปาก ร่างสาวสะดุ้งเมื่อปริมาณน้ำไหลลงคอต่อเนื่องไม่มีหยุด กระทั่งหาจังหวะหายใจไม่ได้กลายเป็นสำลัก เมื่อน้ำหมดเกลี้ยงเขาจึงจับโยนร่างบางทุ่มใส่บ่อน้ำ เขาไม่สนใจทีท่าการต่อต้าน กางเล็บคมข่วนหน้าเขาจนเลือดซิบ มือไม้ทั้งทุบทั้งดึงข่วนอย่างเอาชีวิตรอด และสายน้ำเย็นยังคงไหลเข้าปากเธอต่อเนื่อง หากมีการต่อต้านไปมากกว่านี้เขาต้องจับเธอกดน้ำถึงก้นบ่อไปจนกว่าหมดแรง ไร้การต่อต้าน หมดสติเขาถึงปล่อย ออกแรงกำปั้นต่อยเข้าที่ท้องน้อยสองครั้ง กานติศาถึงฟื้นสะดุ้ง อาเจียนของเหลวออกมาพร้อมซากแมงมุมจำนวนหนึ่งลอยอืด และเลือดสีแดงปะปนอยู่ด้วย
“กานติศา ข้าขอโทษที่รุนแรงกับเจ้า” เป็นเพราะความสงสารหรือเปล่า เขาถึงเผลอโอบกอดสาวไว้ในอ้อมแขน ร่างบางนอนสลบไสล
‘ข้าช่วยเจ้า ทั้งที่สุดท้ายเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี’
เอเดรียนสะกดความสับสนที่ก่อขึ้นอย่างไม่รู้ตัวซ่อนไว้เบื้องลึกสุด หันไปสนใจร่างบางนอนหนุนตักตน ตาไวเห็นร่างเล็กซ่อนแอบดูพวกเขา เป็นผู้หญิงแก่แต่งตัวซอมซอ ใบหน้ามีหูด จมูกงุ้มเหมือนแม่มด แอบซุ่มดูพวกเขาอีกด้านหนึ่งของบ่อน้ำ “เจ้าเป็นใคร”
“ข้าต่างหากที่ต้องถาม พวกเจ้ากำลังบุกรุกที่ของข้า”
“บ้านกระท่อมนั้นของเจ้ารึ” เขาชี้นิ้วไปทางผลงานในกองเพลิง
“ไม่ใช่ นั้นของเพื่อนข้าที่ตายไป” หญิงชราออกมาพร้อมกับไม้เท้าพยุงร่างกาย เขาเห็นว่านางพิการมีขาเดียว เสียงละเมอในอ้อมกอดทำให้ผู้ใหม่หันมาสนใจ เอเดรียนใช้ร่างตนบังไม่ให้เห็น ตอนนี้เขาไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น
“นางดูไม่สบาย เพราะพิษแมงมุมล่ะสิ” หันไปทางซากศพลอยอืดที่บ่อน้ำ
“แค่นี้ไม่ทำให้หายหรอก พิษมันฝังกายนางแล้ว ตามข้ามาสิ” หญิงชรานำทางไปในป่าอีกด้าน แต่เอเดรียนลังเลใจจะตามไป
“เดี๋ยวนางก็ตายหรอก” เสียงลอยมาจากข้างในหมู่ต้นไม้ เขายอมตามไปในที่สุดเพราะร่างบางมีอาการหนาวสั่นต้องชดเชยด้วยความอบอุ่นต่างหาก
มือทาบหน้าผากสัมผัสอุณหภูมิสวนทางกับร่างกายเขาโดยสิ้นเชิง เอเดรียนจับจ้องมองหญิงชรากำลังง่วนกับการปรุงยาภายในกระท่อมอีกหลัง สายตาคมดุกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อต้องกับแสงเปลวไฟ น้ำยาในหม้อดินเผาเดือดปุดทบทวนความหลังโหดร้ายในอดีต
“ท่านจ้องข้าจนตัวแข็งหมดแล้ว ข้าไม่กัดหรอก” มือเหี่ยวคนยาในหม้อต่อ ร่างบางนอนอยู่บนเตียงไม้ตั้งอยู่ขั้นกลางระหว่างเขากับเจ้าของกระท่อม มือจับด้ามดาบไว้ตลอดเวลาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการก่อพิรุธ
“แล้วทำไมถึงช่วยพวกเรา”
“เพราะสายตาท่านหวังดีต่อนาง ข้าจึงอยากช่วย”
เอเดรียนถึงกับไปต่อไม่ถูก ไม่เข้าใจความหมายหญิงชราพูดเมื่อครู่นี้ สาวแก่รีบตักน้ำยาสีเขียวเข้มใส่โถยืนต่อหน้าเอเดรียน
“รีบให้นางดื่มยานี้โดยเร็วที่สุด ขืนรอช้ามากกว่านี้นางจะตาย และข้าคงโดนท่านบั้นคอขาดทันที” เหมือนเรื่องจะตลกแต่ก็ไม่ตลก เอเดรียนป้อนยาแต่กานติศาก็ไม่ยอมกลืน ปล่อยยาน้ำสีเขียวกลิ่นประหลาดไหลออกทางมุมปาก
“โธ่ ไม่น่าเลย ท่านต้องบังคับนางดื่มให้หมด”
เอเดรียนตัดสินใจดึงร่างกานติศาขึ้นมาพิงอก ตามด้วยการยกดื่มน้ำยาใส่ปาก มือบีบขากรรไกรนางให้เปิดปากก่อนก้มลงประทับริมฝีปาก ใช้ปากเปิดทางเพื่อป้อนยาผ่านริมฝีปากเขาโดยตรง
หญิงชราเจ้าของกระท่อมถึงกับนั่งคุกเขาสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ราวกับมีแรงโน้มถ่วงเหวี่ยงไปมาอย่างกับเป็นลูกข่าง พาไปตกอยู่ในที่หนึ่งแต่เธอยังไม่สามารถเบิกตาได้เต็มที่ ร่างกายอ่อนแรงไร้น้ำหนัก กลิ่นแอลกอฮอลล์กระแทกเข้าจมูก กับแสงไฟนีออนเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว บนเส้นทางยาวที่ไม่มีวันสิ้นสุด ประโยคสนทนาน้ำเสียงคุ้นเคยของคนหลายคนห้อมล้อมอย่างวุ่นวาย
“หมอครับ ช่วยเข็นให้เร็วกว่านี้ได้ไหมครับ”
นั้นคือเสียงพวกเขาจากโลกจริง กานติศาอยากกระโดดโลดเต้นดีใจแต่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ แม้แต่ตอนอ้าปากเรียกชื่อพวกเขา เหมือนถูกฝันร้ายกลั่นแกล้งสร้างกำแพงไม่ให้ติดต่อกับพวกเขา หลอดไฟเหนือหัวเธอดับลง หายไปพร้อมกับเงาของคนหลายคน กานติศากลับสู่ความมืดเงียบอีกครั้งตามเสียงสวดมนต์ดังเข้ามา
“นางจะหายไหม” เอเดรียนถามหญิงชรา
“ถ้าพ้นคืนนี้ไป นางจะรอด”
กลางคืนนั้นเอเดรียนนั่งเฝ้าดูร่างบนเตียงนอนกระสับกระส่ายจากพิษไข้ หลังจากห่มผ้าให้ เขานั่งเก้าอี้ข้างเตียงมือลูบใบไข่ฟองสีชมพูไว้อย่างทะนุถนอม จึงเจอรอยปริแตกบ่งบอกถึงเวลาการเกิดของสิ่งมีชีวิตใหม่
“รีบตื่น ข้ามีข่าวดีอยากบอก เจ้าต้องดีใจมากแน่”
โน้มลงกระซิบกับหูนาง หวังว่านางจะได้ยินรีบตื่นขึ้นมาโดยไว แต่นางก็ไม่ตื่นจมอยู่กับความนิ่งเงียบ เอเดรียนผิดหวังจึงออกไปสูดอากาศเย็นข้างนอกกระท่อม ท้องฟ้าแห่งรัตติกาลกว้างไพศาลเผยทางช้างเผือก ความงดงามที่ไม่เคยแม้แต่สนใจ หรือเจียดเวลาเงยหน้าขึ้นชมวิวทัศน์ ทุกวันหมดเวลาไปกับการเฝ้ารอ สาวงามจากต้นไม้ เพื่อตามล่าเอาชีวิต ทำให้ลืมความงดงามของธรรมชาติบนผืนฟ้าไปโดยสิ้นเชิง เอเดรียนสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด สบายใจราวถูกเติมเต็มชิ้นส่วนหายไปในชีวิต
บทสวดมนต์ดังตามมา หญิงชราคุกเข่าสวดมนต์ภาษาที่ไม่เคยได้ยิน ต่อหน้าแผ่นหินแกะสลักลวดลายตามความศรัทธา เงาดำของนางถูกเหยียบย้ำจากผู้ลอบเข้ามาด้านหลัง
“คิดเปลี่ยนใจเอาชีวิตข้าแทน หรือว่านางนั้นตายเสียแล้ว” นางรู้ถึงการมาของผู้ใหม่ เอเดรียนกระชับดาบระมัดระวัง
“นางยังอยู่ดี เจ้าช่วยชีวิตนาง แต่ยังไม่ได้ตอบข้าเลยว่าเจ้าเป็นใครมาอยู่ที่นี่ ดูจากความชำนาญในการปรุงยา ขั้นตอนการรักษาจึงแน่ใจว่าไม่ใช่ชาวบ้านชาวช่องธรรมดา”
“ข้าเคยเป็นหนึ่งในนักบุญปรุงยาในพระราชวังในวิสตาร์เรีย มาจากที่เดียวกับท่านใช่มั้ย ท่านเอเดรียน”
‘วิสตาร์เรีย’ ในที่สุดเขาเพิ่งนึกออก สถานที่เขาจากมาดินแดนที่คุกรุ่นไปด้วยความเกลียดชัง การรุมประชาทัณฑ์เพื่อการเอาชีวิตรอดถึงขั้นมีการเนรเทศขับไล่พวกนอกรีต สร้างตราบาปและบทลงโทษตราบชั่วชีวิต สาเหตุที่เขาต้องออกตามล่า
“เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร”
มือเหี่ยวชี้ไปที่สร้อยนาฬิกาโลหะสีทองอย่างรู้ทัน เอเดรียนใช้จังหวะนี้รีบซ่อนนาฬิกาเข้าไปในเสื้อ
“ทีแรกข้าไม่แน่ใจหรอก พอเห็นสร้อยสีทองมันทำให้นึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต ผู้ครองสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าท่านคือผู้นั้น ผู้แบกความหวังเพื่อความอยู่รอดของวิสตาร์เรีย แต่พวกเขากลับทรยศครอบครัวท่าน ข้ากลับนิ่งเฉยไม่สามารถช่วยพวกท่านอะไรได้เลย ท่านเอเดรียน ข้าทนทรมานรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตข้าหวังว่าสักวันหนึ่งได้เจอท่าน ขอร้องท่านลงโทษเอา ฆ่าข้าเพื่อให้สาสมกับบาปกรรมที่ควรได้รับชดเชย”
หญิงชราน้ำตาไหลคุกเข่าก้มศีรษะติดพื้นอย่างจำนน เอเดรียกระชากดาบสะอาดออกมาเพื่อได้ชิมเลือดในวันนี้ นางรู้ชะตากรรมชีวิตตนเองดี และจะไม่ยอมหนี “ก่อนลงมือ ข้าอยากทราบเรื่องหนึ่งก่อน”
“ว่ามา”
นางรู้ดีว่าต่อให้มีเวทมนต์ ความสามารถปรุงยา ติดตัวมากแค่ไหนก็ยากต่อกร ในเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งมีดาบสายโลหิตเป็นอาวุธพิเศษถูกเนรมิตสร้างขึ้นมาพร้อมผู้แบกรับภาระแห่งโชคชะตาโดยเฉพาะ ภารกิจกอบกู้เพื่อการปลดปล่อยให้วิสตาร์เรียเป็นอิสระจากคำสาป ซึ่ง แลกมาด้วยกับชีวิตหนึ่งเป็นไปตามคำทำนาย
“ข้าไม่แน่ใจในเรื่องความรู้สึกท่านที่มีต่อนาง นางคือเครื่องบูชายัญเพื่อความอยู่รอดของวิสตาร์เรีย ท่านจะฆ่านางตามพวกเขาต้องการหรือไม่”
“เจ้ารู้ได้ไง ว่านางคือ...” เขาแน่ใจว่าไม่เคยหลุดปากบอกใครเรื่องนี้
“ตอนข้าสำรวจร่างนางเพื่อการรักษา บังเอิญเห็นสัญลักษณ์บนตัวนาง ดูเหมือนนางยังไม่รู้ตัว หน้าที่ของท่านคือต้องจับนางส่งตัวให้ท่าน...” ก่อนเอ่ยชื่อใครคนหนึ่ง เอเดรียนกลับตวาดให้หุบปาก
“อย่าเอ่ยชื่อหมอนั้น”
หญิงชราเข้าใจดี ไม่ควรเอ่ยชื่อนามผู้หนึ่งในอดีต ผู้นำก่อกบฏ ฆ่าล้างบางทุกชีวิตในครอบครัวจนเหลือเพียงท่านเอเดรียนผู้เดียว อีกในแง่หนึ่งไม่สามารถฆ่าเอาชีวิตได้เพราะ ท่านเอเดรียนคือผู้ถูกเลือก
“ท่านเอเดรียน แน่นอนว่าท่านต้องเคียดแค้นที่สุด แต่ความอยู่รอดของท่านต้องมาก่อนอยู่ดี ทำไมไม่รีบจับนาง ถ้าข้ามองไม่ผิดว่าท่านมีความรู้สึกกับนางฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง สายตาท่านไม่ได้มองนางฐานะเครื่องบูชายัญ”
เอเดรียนผ่อนดาบลง ทบทวนสิ่งที่หญิงชราพูดกับเขา แววตาเริ่มไม่แน่ใจว่าตนต้องทำอะไร อะไรคือสิ่งที่ต้องการ
“ข้าไม่รู้”
เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายอึ้งคำตอบที่หลุดปากไป ทั้งที่ตั้งใจแนวแน่ไว้ตั้งแต่ต้น ความสับสนเกิดขึ้นอย่างไรก็ตามเขาไม่มีวันหนีจากภารกิจ ความจริงที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตดาบยักษ์เล่มนี้ในมือเขาจะต้องได้ดื่มเลือดกานติศา
“ท่านจะลังเลไม่ได้นะ นั้นเท่ากับท่านหักหลังทรยศพวกเขา”
“นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ อย่าลืมสิว่าพวกเขาหักหลังข้าก่อน แน่นอนว่าไม่ลืมภารกิจตัวเองหรอก ข้าต้องการพาเครื่องบูชายัญไปที่นั้น ก่อนจะฆ่านางเอาเลือดชำระล้างตราบาป พวกมันต้องคุกเข่าอ้อนวอน ขอร้องข้าหยุดประวิงเวลาเพื่อลงมือ หลังจากที่ข้าจะนั่งเฉยดูพวกมันต้องทนทรมานจนตายภายใต้คำสาป เพราะข้าคือผู้ถูกเลือกมีสิทธิเลือกจะทำหรือไม่ทำ...” เอ่ยอย่างคลุ้มคลั่ง ความโกรธแค้นสะสมกลายเป็นความเกลียดชังมีมากเกินกว่าสรรหาคำไหนมาพูด
“นี่คือการแก้แค้น” หากหญิงชราผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อกบฏ เขาจะฟันนางให้ขาดเป็นสองท่อนโดยมิต้องสงสัย
“ถ้าไม่ลงมือทำ บทลงโทษจะเอาชีวิตท่านเหมือนกัน ท่านกับนางจะอยู่รอดไปตลอดฝั่งไม่ได้”
“นั้นเป็นปัญหาของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เขาหมุนตัวกลับไปที่กระท่อม
“ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ ยิ่งปล่อยไว้นานท่านยิ่งมีแต่ลำบากมากขึ้น ”
คำทำนายได้กำหนดไว้แล้ว ชีวิตเขาผูกไว้กับชีวิตของนาง
ดวงไฟหนึ่งโชกโชนมากเท่าไร ยิ่งกลืนกินไฟอีกชีวิตหนึ่งมีแต่มอดดับลงในที่สุด
ชะตากรรมได้เริ่มเล่นงานเขาแล้ว เอเดรียนสำลักจนอ้วกออกมาเป็นน้ำสีดำเคลื่อนไหวราวมีชีวิตก่อนหายกลืนไปกับพื้น ทีท่าเมินเฉยมุ่งมาหาผู้นอนหลับบนเตียงไม้ กานติศาพ้นขีดอันตรายแล้ว ใจเขากลับโล่งใจหมดกังวล เขาปลดชุดเกราะออกเหลือเพียงชุดด้านใน สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกัน หย่อนกายลงนอนเคียงข้าง กานติศาหลับนอนในท่วงท่าสบายเสียจนไม่อยากเข้าไปรบกวน กะว่าจะเปลี่ยนใจเคลื่อนย้ายไปนั่งงีบบนเก้าอี้ตัวนั้นแทนก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะคำพูดหญิงชรารบกวนจิตใจ แต่ใจทรยศไร้ควบคุมอยากใกล้ชิดกานติศา
หากมีใครจักถามเขาว่าทำอะไรอยู่ เอเดรียนก็ตอบไม่ได้
มือบางเหมือนรับรู้คุ้นเคยความอบอุ่นที่มอบให้ จึงคว้าหมับเสื้อไว้แน่นไม่ปล่อย ร่างบางเข้าหาอ้อมอกอุ่นเป็นที่พึ่งตามสัญชาตญาณ ยกแขนอ้าโอบล้อมรอบเอว เรียวขากระหวัดรัดท่อนขาด้วยความเคยชิน สภาพโดนรัดกอดนิ่งเป็นหมอนข้างใบหนึ่ง เขาได้แต่ตะลึงไม่เคยตกอยู่ในสภาพนี้มาก่อน ถูกสะกดสายตาด้วยใบหน้าใสหลับปุ๋ยไร้เดียงสา
เพราะเขาเป็นนักล่า ไม่ควรตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
โดยเฉพาะกับเครื่องบูชายัญ
อาการเพ้อละเมอดึงความสนใจ เขาต้องก้มเงี่ยหูเข้าไปใกล้หน้ากานติศา เพื่อฟังจับใจความ
“พี่ต้น”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2561, 21:42:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2561, 21:42:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 660
<< บทที่ 5 (1) ความลับของเอเดรียน | บทที่ 6 (1) สับสน >> |