มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 6 (1) สับสน

6

“น่าจะรู้ว่ากานเกลียดแมงมุมที่สุด ก็ยังซื้อมาอีกนะ ถ้าตื่นขึ้นมาตกใจล่ะก็น่าดู”

“เป็นแค่ลายการ์ตูน จะเอาอะไรมากมาย ไม่มีร้านไหนเปิดขายเวลาตีสาม” ทั้งสองคนยืนเถียงกันหน้าห้องประตูฉุกเฉิน กันต์ถูกวานออกไปซื้อข้าวของพวกเช่นผ้าขนหนูเช็ดตัว ยาสีฟัน สบู่ เครื่องใช้ยามจำเป็น ร้านรวงต่างปิดเพราะเลยเวลาการขาย นอกจากร้านสะดวกซื้อเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง

“ถึงเป็นแค่ลาย กานก็เกลียด” ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ รติรสไม่มายืนเถียงฉอดๆ กับเด็กมัธยมปลาย เพื่อนเธอเกลียดแมงมุมยันเงา แม้แต่วินาทีเดียวที่เห็นกานติศาแทบสิ้นสติ

“พี่สาวผมไม่รู้ตัวหรอก พี่เอาผ้าไปเช็ดตัวเถอะนะ ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่ตอนตีสาม ผมต้องนอน” กันต์ยัดผ้าใส่มือเพื่อนพี่สาว ใครจะมีแรงไปเถียงไหว รติรสมองน้องชายเพื่อนอย่างไม่พอใจทีมาทำกิริยาหยาบคาย แล้วเธอเปิดประตูก้าวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พื้นที่แบ่งออกเป็นสัดส่วนขนาดกะทัดรัดตามจำนวนเตียงผู้เตียง มีม่านรูดสีหวานเป็นฉากกั้น

ต้น ธรณินทร์นั่งอยู่บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินไม่ไกลจากพวกเขา นิ้วจิ้มคีย์บอร์ดนั่งทำงาน ตาปรือจวนใกล้หลับฟุบหน้าจอ ดีที่มีถ้วยกาแฟกระดาษยื่นมาให้ทำให้เขาขยี้ตาจนสว่าง เอ่ยปากขอบคุณ

“ทานกาแฟสิครับ”

รุ่นพี่รับกาแฟถ้วยที่เท่าไรแล้วในคืนนี้ น้องชายคนนี้ช่างรู้ใจเขาดีเสียจริง เหลือเวลาน้อยเต็มทนถ้าเขาทำงานที่เหลือไม่ทันก่อนพบคณะกรรมการเพื่อนำเสนอโปรเจคที่ทุกคนร่วมใจลงมือทำ ซึ่งจะเกิดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาควรเริ่มฝึกซ้อมการพรีเซนต์ ท่องเนื้อหาเพื่อนำเสนอแต่เหตุการณ์ดันเกิดขึ้นเสียก่อน

“ทำไมพี่ไม่งีบสักนาทีล่ะครับ พี่รสเข้าไปดูพี่กานแล้ว”

“คุณหมออาจจะออกมาบอกความคืบหน้าเมื่อไรก็ได้ พี่ไม่อยากพลาด” ยิ่งเมื่อตอนเห็นดวงหน้าใสกลับซีดเซียวถูกเข็นเตียงเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ใจเขาเต้นแรงราวกับมันอยากกระโดดออกจากอกตามไป กันต์เองก็ดูเหมือนเข้าใจดี “พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็หลับไม่ลงเหมือนกัน”

ทั้งคู่เห็นพ้องกันเมื่อนึกถึงตอนแรกที่เข้ามาในโรงพยาบาล เขาทั้งสามคนช่วยกันเข็นเตียงคนไข้เข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมคุณหมอและเจ้าหน้าที่พยาบาล

“หมอครับ ช่วยเข็นให้เร็วกว่านี้ได้ไหมครับ”

สิ้นเสียงจากพี่ต้น ทุกคนเร่งความเร็วเข็นรถเข้าไปในห้องในที่สุด รติรสปาดเหงื่อซวนเซคล้ายจะเป็นลม ไวเท่าความคิด กันต์พาไปนั่งเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน พัดกระดาษให้อากาศหายใจสะดวกมากขึ้นพร้อมยื่นยาดม ขณะที่ธรณินทร์ยังยืนหัวโด่คนเดียว ราวกับถูกแช่งแข็งในห้องเย็น สองขายืนอยู่นานสองนาน

“กันต์ นายคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับกาน” รตริสมีสตินั่งตัวสั่นถาม

“ไม่รู้สิครับ ผมไม่เคยอ่านที่ไหน เจออาการแบบนี้มาก่อน” ผิดปกติสำหรับคนเรานอนวันละแปดถึงสิบชั่วโมง ดูจากนาฬิกาที่กำแพงอีกสิบนาทีเท่านั้นพี่สาวเขาไม่ฟื้นมาครบยี่สิบสี่ชั่วโมง ยังไม่มีที่ท่าว่าจะตื่นขึ้นมาได้ง่าย คงต้องปล่อยเป็นหน้าที่ของแพทย์ เสียงสะอื้นรบกวนสมาธิ กันต์ไม่อยากจะเชื่อว่าสาวขี้แยร้องห่มร้องไห้จะเป็นคนเดียวกับสาวมั่นในตอนแรกพบ

“พี่กานถึงมือหมอแล้ว จะต้องไม่เป็นอะไรครับ” อย่างน้อยเขาควรเชื่ออย่างนั้น มือตบหลังปลอบใจรติรสแทนที่จะเป็นหลังเขามากกว่า

“นายจะไปรู้อะไร ก็อีแค่เด็กม.ปลาย นายไม่เข้าใจว่าฉันรู้สึกผิดแค่ไหน” กลับกลายเป็นการสะอื้นมากกว่าเดิม ร้องไห้จนตัวโยน นึกถึงคำพูดแสนโหดร้ายเมื่อตอนทะเลาะกับกานติศา

“ครั้งสุดท้ายที่เจอกาน รู้มั้ย ฉันพูดว่าไง เธอไม่น่าเป็นเพื่อน ฉันเกลียดกานที่สุด ถ้ากานเป็นแบบนี้เพราะฉัน”

“ไม่เกี่ยวหรอกครับ อยู่บ้านผมเองทะเลาะกับพี่กานแทบทุกวันเป็นเรื่องปกติ อย่าคิดมากสิครับ”

“ใช่ กานจะต้องไม่เป็นอะไร” ธรณินทร์ที่ได้ยินมาตลอดพูดแทรกเข้ามา

แล้วบานประตูห้องฉุกเฉินเปิดอ้าให้ความหวังตามด้วยแพทย์ท่านหนึ่งเข้ามาสมทบพวกเขาที่เหลือ สีหน้าหมอยากจะตีความ อ้ำอึ้งพูดไม่ออกด้วยจนใจและจนปัญญา แต่ต้องพูดความจริงตามหน้าที่

“เธอเป็นอย่างไรบ้างครับ” พี่ต้นถามเป็นคนแรก

“คุณกานติศาไม่ได้เป็นอะไรครับ ตามที่หมอตรวจเบื้องต้นไม่เจออะไรผิดปกติ ยกเว้นการนอนหลับไม่ฟื้นอย่างที่พวกคุณแจ้งเข้ามา”

“หมายความว่าไงครับ”

แพทย์กระชับแว่นตาขึ้นเล็กน้อย เรียบเรียงคำอธิบายอย่างไรดีเพื่อให้ครอบครัวคนไข้เข้าใจง่ายโดยเร็วที่สุด
“ตามคำวินิจฉัย อาการคนไข้เบื้องต้น สัญญาณชีพดี หัวใจเต้นจังหวะเป็นปกติ ไม่มีไข้ หมอส่องไฟไปที่ตาพบว่ารูม่านตาขยายแสดงร่างกายตอบสนองเป็นปกติ หมอเลยส่งไปเอ็กซเรย์ที่หัว พบว่าไม่มีอะไรแตกหักหรือบอบช้ำ ตามตำราแพทยศาสตร์ นี่คืออาการคนไข้ที่มีสุขภาพที่ดีเยี่ยม ไม่ควรเข้ามาในห้องฉุกฉิน ”

“แล้วทำไมปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น” กันต์สงสัย ตามคำเล่าจากนางพยาบาลท่านหนึ่งเล่าว่า ขนาดให้สูดดมสารแอมโมเนีย พี่สาวเขายังไม่มีการตอบสนอง

“นั้นต้องรอผลเลือดครับ ระหว่างนี้หมอจะส่งคนไข้ไปตรวจเช็คให้ละเอียดขึ้นเพื่อหาสาเหตุนะครับ”

ไม่นานผลเลือดออกมาแพทย์คนเดิมก็ยังแปลกใจที่ไม่เจอความผิดปกติของตัวเลขรายละเอียดผลเลือด รวมถึงรายงานผลจากเอ็มอาร์ไอ จึงคาดเดาว่าเป็นอาหารที่มีสิ่งแปลกปลอมที่กินเข้าไป ธรณินทร์ยืนยันอีกเสียงว่าเขากับกานติศากินอาหารเมนูเดียวกันที่ร้านอาหารเกาหลี แต่เขาไม่ได้เป็นอะไร เจอทางตันแพทย์ก็ไม่หาสาเหตุอะไรได้อีก นอกจากสุขภาพแข็งแรงดี อาจจะเป็นเพราะอาการเหนื่อยล้า จากการพักผ่อนไม่เพียงพอสะสมมานาน ยิ่งเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายยอมเจอความกดดัน เรียนหนัก มีความเครียดเกิดจากการพักผ่อนน้อย อาการง่วงนอนมากยิ่งเท่าไรจะมีการสะสมสารเคมีภายในสมองที่เรียกว่า อะดีโนซีน ทุกคนฟังคำอธิบายจากแพทย์ก็เข้าใจและเห็นด้วย เพราะอาการที่กานติศาเป็นตอนนี้ใกล้เคียงกับอาการที่แพทย์วินิจฉัยมากที่สุด

“หมอจะให้คุณกานติศานอนให้น้ำเกลือรอดูอาการไปก่อน ถ้าไม่ฟื้นภายในห้าหกชั่วโมง นางพยาบาลจะตามหมอมาดูอาการให้นะครับ”

นาฬิกาเคาะเวลาตีสี่พอดี กันต์สะดุ้งตื่นมาเจอพี่ต้นนอนหลับฟุบหน้าคอมไปแล้ว ข้างในยังไม่มีข่าวความคืบหน้าอะไรอีก พวกเขาทำได้แต่นั่งรอเวลาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือคิดตามเข้าไปดูอาการด้วยตัวเอง รติรสนั่งหลับข้างเตียง พี่สาวยังนอนหงายหลับสนิท มือบางถูกแทงสายให้น้ำเกลือ กันต์ทำได้เพียงเม้มปากด้วยความสงสาร ส่งแรงใจภาวนาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้พี่สาวฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เขายังเด็กเกินไปที่จะแจ้งข่าวร้ายให้พ่อแม่ทราบ เมื่อคืนนี้เขาได้ทำบาปโกหกพวกท่านไปแล้วครั้งหนึ่ง ในเมื่อพวกท่านโทรเข้ามาที่มือถือส่วนตัว

ขอให้อย่ามีการโกหกครั้งที่สองเลย

อาการนอนหลับสงบมีอันต้องสะดุด กลายเป็นคนนอนหลับตัวเกร็ง กัดฟัน มือเท้าจิกที่นอน กำมือแน่นจนเส้นเอ็นปรากฎชัดเจน ดวงตากลอกไปมาสับสนขณะที่เปลือกตายังปิดอยู่ ได้ยินเสียงฟันกระทบกัน กันต์มองซ้ายมองขวาหาคนมาช่วย แม้แต่นางพยาบาลเฝ้าเวรยังหายไปในเวลาอันสำคัญ จึงเข้าจับเขนทั้งสองข้างพี่สาวไม่ให้เกิดอาการแย่ไปมากกว่านี้ “พี่ครับ ฟื้นสิครับ”

กานติศายังไหวต่อเสียงเรียกชื่อตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนคนพยายามตื่นขึ้นมาเท่าไรยิ่งจมอยู่ในห้วงนิทรา ไม่สามารถปลุกตื่นได้ด้วยตัวเอง

“นี่กันต์เอง ได้ยินผมมั้ยครับ พี่กาน”

เหมือนอาการฝืนสังขารตัวเองไม่ไหว พี่สาวดิ่งจมลงสู่ความเงียบอีกครั้ง มือไม้เท้าผ่อนกำลังลง กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเช่นเดิม กันต์ไม่เชื่อสายตาจึงถอยหลังจนชนกำแพงรบกวน ปลุกอีกคนหนึ่งจนตื่น

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ กันต์” เป็นเสียงรติรสที่เพิ่งลืมตางัวเงีย บิดขี้เกียจ

กันต์เพิ่งนึกได้ว่านี่ไม่ใช่อาการแปลกเกิดขึ้นครั้งแรก พี่สาเคยมีอาการแลปกเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในบ้านพวกเขานั้นเอง วันนั้นที่เขาเจอพี่สาวนอนหลับสนิทในห้อง ปลุกแทบตายกว่าจะตื่นขึ้นมา มั่นใจเต็มร้อยว่าอาการผิดปกติครั้งนี้ต้องเกี่ยวพันกับเหตุการณ์วันนั้น





คำเพ้อละเมอหาชื่อบุคคลที่สามส่งผลให้คนตัวใหญ่สร้างกำแพงระยะห่าง หลบหน้าหลีกเลี่ยงการสบตาเธอหลังฟื้นจากพิษไข้แมงมุม กานติศาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอเดรียน เขาไม่มองหน้าหรือแม้แต่ย่างก้าวเฉียดเข้ามาใกล้ ใบหน้าบูดบึ้งดุดันน่ากลัว บวกกับสายตาคมดุกว่าเดิม ปล่อยเป็นหน้าที่หญิงชรา มือเหี่ยวยื่นเข้ามาอังหน้าผากตรวจอุณหภูมิ คุณป้าเจ้าของกระท่อมดูท่าทางใจดีและห่วยใยมากผิดกับรูปลักษณ์น่ากลัว สาวสะดุดตาเม็ดหูดขึ้นบริเวณระหว่างคิ้ว จมูกงุ้มเป็นตะขอ จนเธออยากมอบตำแหน่งแม่มดให้กับมือ

“รีบทานซุปตอนยังร้อนๆ นี่สิ จะได้รีบหาย ไปจากบ้านข้าเสียที”

“ขอบคุณค่ะ คุณป้า” กานติศายิ้มรับถ้วยซุปมาทาน

“รีบทานให้หมดซะนะ ข้าทนสายตาเพชรฆาตไม่ไหว” นางบุ้ยปากไปทางคนด้านหลัง สายตาคมกริบจับตามองทั้งสองคนตลอดเวลา

วันถัดมากานติศาหายดีเกือบเป็นปกติ นอกจากยังมีอาการปวดท้องนิดหน่อย คุณป้ายังใจดีแบ่งยาไว้ให้ส่วนหนึ่งสำหรับการเดินทาง เอเดรียนตีหน้ายักษ์ไม่พูดไม่จากับเธอเหมือนเดิม ขณะที่สะพายย่ามบรรจุไข่สีชมพูไว้เองลืมคืนเธอ กานติศาเองก็ไม่มีจังหวะถามไถ่พูดคุย ความผิดหวังคุกรุ่นในใจตลอดคืน ความห่างเหินและความเย็นชาไม่แม้แต่ไต่ถามอาการป่วยของเธอด้วยซ้ำ แม้มีความเย็นชาอยู่แต่เขายังช่วยคลุมผ้าผืนใหม่ห่อร่างเธอเพิ่มความอบอุ่นก่อนออกเดินทาง

“คุณเป็นอะไรสีหน้าดูไม่ค่อยดี โกรธฉันหรือเปล่า” หากเป็นคนสนิทเธออยากช่วยคลี่เส้นผมยาวจัดให้เป็นทรง แต่น้ำเสียงกระแทกกระทั้นทำให้ไม่กล้าทำ

“ไม่ได้โกรธ ข้าอยากออกเดินทางเสียที เราเสียเวลากับที่นี่มากไป”

ในใจราวมีเปลวไฟโชกโชนอารมณ์โกรธอย่างที่กานติศาว่า แต่เขาไม่มีทางยอมรับความสับสนบ้าบอก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ในทางที่ดีเขาควรลากนางไปที่นั้นก่อนนางจะทำลายเขาไปมากกว่านี้ อีกคนสร้างความไม่สบอารมณ์มากที่สุดคุณป้าเจ้าของกระท่อมยิ้มมุมปากคล้ายเยาะเย้ย นางเหมือนรู้ทันดักเขาไว้ทุกอย่าง

“ท่านตัดสินใจอย่างไรข้าก็ไม่คิดจะขัดขวาง เพราะข้าไม่ใช่คนของวิสตาร์เรียอีกต่อไป ข้าถูกเนรเทศกลายเป็นพวกนอกรีต ไร้ที่อยู่ แต่ข้าจะจดจำท่าน ครอบครัวท่านแบบอย่างที่ควรเป็น เพียงท่านไว้ชีวิตข้า ดำรงอยู่ด้วยความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตข้า เป็นบาปกรรมที่ข้าสมควรได้รับ ” นางพยุงตัวให้สูงขึ้นด้วยปลายเท้า กระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน

“แต่กานติศา นางเป็นผู้หญิงประเสริฐ ถูกใจข้านัก เปลี่ยนใจไม่ใช้นาง ท่านไม่คิดครอบครองนางไว้แทน อยู่กับนางจนกว่าบทลงโทษเอาชีวิตท่านไปก็คุ้มค่า”

“พูดบ้าอะไร...” วันก่อนนางยุยงให้เขาจับนางเพื่อสังเวยฐานะเครื่องบูชายัญ ตอนนี้นางกลับทำสิ่งตรงกันข้าม

“ท่านได้ทั้งนางและแก้แค้น นี่สิทำให้แผ่นดินวิสตาร์เรียลุกเป็นไฟ”

อะไรทำให้เจ้าของกระท่อมถูกใจกานติศานัก

หญิงชรามีโอกาสได้กอดอำลากานติศาเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งคู่สนิทสนมภายในช่วงเวลาอันรวดเร็ว เพราะความน่ารักใสซื่อ ความไร้เดียงสาของกานติศา สักวันหนึ่งหลอมละลายน้ำแข็งความโกรธแค้น ความเกลียดชังกัดกร่อนจิตใจบางคนได้ นางมั่นใจและส่งยิ้มให้ ยกมือลูบผมสั้นกานติศาอย่างเอ็นดู

“ขอบคุณค่ะคุณป้า ที่ดูแลอย่างดีมาตลอด ฉันไม่มีวันลืมบุญคุณค่ะ”

ถึงคุณป้าเป็นเพียงหนึ่งในความฝันที่เธอสร้างขึ้น แต่ก็อดทึ่งไม่ได้กับความใจดี การดูแลเอาใสใจเธอเป็นเด็กคนหนึ่ง พล่อยนึกถึงคุณย่าล่วงลับไป

“ข้าต่างหากที่ต้องไม่ลืมเจ้า รู้ไหมเจ้าน่ารักทำให้ข้านึกถึงความสุขสงบในอดีต” ก่อนถูกทำลายด้วยการก่อกบฏของท่านผู้หนึ่ง นางขำสีหน้างุนงงของกานติศา ไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร หลังจากตัดสินใจหาทางหนีให้กลับถูกกานติศาปฏิเสธ

ผู้หญิงน่ารักใสซื่อ ปานลูกนกไร้เดียงสา หากเปรียบเทียบสิ่งของนางเหมือนผ้าสีขาวบริสุทธิ์ไร้การแต้มสี เสียงหัวเราไม่รู้เรื่องราวะและส่งยิ้มให้ทุกครั้งที่เจ้าของกระท่อมเข้ามาเยี่ยมเพื่อพูดคุยคลายเหงา เพราะอีกคนหนึ่งร่วมสนทนายากเหลือเกิน บ่อยครั้งที่หัวเราะขบขันไปกับมุขตลกของกานติศาร่วมแจมเข้ามาอย่างรู้จังหวะ ไร้การเสแสร้ง ความดีของนางทำให้จิตใจหญิงชรากระชุ่มกระชวยเหมือนเด็กสาวแม้วัยอายุเลยเจ็ดสิบปีก็ตาม

คิดไปก็อดเสียดายไม่ได้ ฟ้าเล่นตลก คำทำนายกำหนดนางเป็นเครื่องบูชายัญจริง ๆ หรือ นางอาจจะเป็นเพียงความสุขหนึ่งเดียวสามารถมอบรอยยิ้มแก่ทุกคน หลอมละลายหัวใจด้านชาเป็นน้ำแข็งในหัวใจของทุกคน หญิงชราตัดสินใจอยากรักษาสิ่งนี้ไว้ ช่างหัวคำทำนายปะไร

นางกระตือรือร้นเข้ามาคุยกับกานติศาในช่วงที่เอเดรียนเผลอไผล มือเก็บข้าวข้องใส่ถุงกระสอบอยากพากานติศาหนีไปจากที่นี่ จนสาวนอนบนเตียงสงสัยจึงถาม

“หนี? หนีจากใครคะ หรือคุณป้าหมายถึงเอเดรียน”

“ใช่ หนีจากเขานั้นแหละ” แล้วถุงกระสอบถูกดึงไป กานติศาส่ายหน้าปฏิเสธ

“ฉันจะไม่หนีจากเขาหรอกค่ะ เขาเป็นความหวังเดียวพาฉันกลับบ้านนะคะ”

“กลับบ้าน? ถึงแม้เขาอาจจะทำร้ายหรือฆ่าเจ้าก็ตาม เจ้ายังตัดสินใจเลือกไปกับเขาอย่างนี้หรือ”

ในตอนแรกกานติศาเหมือนลังเล แต่ตอบไปด้วยความจริงใจ ยกมือเข้ากุมมือเหี่ยวย่นตามอายุปลอบใจ

“ครั้งหนึ่งเขาเคยทำร้ายก็จริง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยช่วยชีวิตไว้เหมือนกัน และเขาช่วยเหลือมาตลอด ฉันหักห้ามน้ำใจแล้วแว่บหนีไปไม่ได้หรอกค่ะ” ไม่แตกต่าง เธอเองก็เคยทำร้ายเขาไว้เหมือนกัน ทุกคนมีความดีความเลวชั่วปะปนกัน ถึงอย่างนั้นเขายังเลือกดูแลรักษาเธอ ร่วมเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่มาตลอด

“หมายความว่าเจ้าเลือกไว้ใจเขาหรือ”

“ข้อนี้ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะ ฉันชินกับการอยู่ร่วมกับเขาซะแล้วแฮะ ไม่ถือโกรธใช่มั้ยคุณป้า”

“แต่เขาคือ...” นางเกือบบอกความลับสำคัญออกไป เมื่อนึกได้ว่าตนไม่ใช่ชาวเมือง วิสตาร์เรีย อีกต่อไปแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือจำเป็นต้องกังวลแทนผู้คนที่นั้นอีก

“รู้ว่าคุณป้าคิดยังไงกับเขา แต่เอเดรียนไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่คุณป้าคิดนะคะ เขาเป็นคนเก็บกด มีความหลังไม่ค่อยดีเท่าไร เชื่อว่าเวลาช่วยรักษาเขาได้ ไม่ต้องห่วงนะคะคุณป้า เขาไม่ทำร้ายฉันหรือใครๆ อีก”

สาวสูงวัยมองสาวงามผู้มากับต้นไม้อย่างไม่เชื่อสายตา นางไร้เดียงสาอย่างบริสุทธิ์ใจ ไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเอเดรียน ทั้งคู่นี้มีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงถึงกันที่ผู้นอกอย่างนางมิสามารถเข้าถึง สายตาของเขาตลอดเวลามองกานติศา นึกถึงข้อเท็จจริงธรรมชาติทุกหนแห่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง

“เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ดีเกินกว่าข้าคาดไว้ กับท่านเอเดรียนเจ้าช่วยกรุณาเข้าใจเขา ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะจำเป็นต้องลงมือ เจ้าอย่าถือโกรธแค้นเขาเลย”

“ค่ะ” ตอบรับไปขณะที่เธอยังไม่ค่อยเข้าใจที่คุณป้าพยายามสื่อ

“กานติศา จงมีความสุข ดูแลรักษาตัวเอง หวังว่าจะเจอหนทางกลับบ้านเร็วที่สุด”

สาวสูงวัยโบกมือทั้งไม้เท้าอำลาแขกทั้งสองเพิ่งจากไป ยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อเห็นสาวร่างเล็กยังโบกมือตอบกลับมา ทันทีพวกเขาหายเข้าไปในกลุ่มต้นไม้ นางรีบคุกเข่าอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สวดภาวนาให้สิ่งเบื้องบนฟ้าส่งพลังคุ้มครองพวกเขาไว้ทั้งสองคน

ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติที่มีการเปลี่ยนแปลง แต่นางศรัทธาความดีในตัวผู้หญิงคนนี้

บางทีคำทำนายส่งนางมาคลี่คลายปมปัญหาบรรดาทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2561, 14:53:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2561, 14:53:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 643





<< บทที่ 5 (2) ความลับของเอเดรียน   บทที่ 6 (2) สับสน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account