มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 6 (2) สับสน

เมื่อเข้าสู่ห้วงความเงียบมืดมิด ทั้งสองแยกตัวนอนคนละมุม ตำแหน่งห่างเหินเกินกว่าเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง กานติศามองท้องฟ้ารัตติกาลประดับแสงดาวล้านดวงต่างแข่งขันเปล่งแสงสว่าง เธอหาได้สนใจไม่ ในหัวเธอกำลังระลึกเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอกับเขา เอเดรียนพูดน้อยนับคำ นัยน์ตาสีเขียวหลีกเลี่ยงการสบตามอง และเธอไม่ชอบความรู้สึกถูกหมางเมิน

ว่าแล้วเขาจะต้องโกรธเธออย่างแน่นอน

กานติศาคาดว่าเป็นเพราะเธอมาล้มป่วยทำให้เขาต้องเสียเวลาอยู่กระท่อมอยู่หลายวันแทนที่จะเดินทางไปยังถึงจุดหมาย หากเธอไม่ล้มป่วยป่านนี้เธออาจจะได้กลับบ้านไปแล้ว เขาคงมองเธอเป็นคนไร้ประโยชน์ เป็นตัวถ่วง หากเธอเป็นเขาก็อยากทอดทิ้งตัวเธอเองเหมือนกัน

ไม่นะ เธอจะไม่ยอมถูกทิ้ง ต้องได้กลับบ้าน รีบไปที่ต้นวิสเทอร์เรียสีม่วงต้นนั้นให้ได้

รอยปริแตกบนเปลือกไข่สีชมพูขยายเป็นบริเวณกว้าง จนเธอสังเกตได้ตะโกนโห่ร้องดีใจเรียกเอเดรียนมาดู นั้นทำให้เห็นรอยยิ้มปรีด์ดีใจของนางเป็นครั้งแรกของวัน หลังจากทั้งคู่ตกอยู่ในความอมทุกข์ ความสดใสร่าเริงราวฤดูใบไม้ผลิเข้าชโลมล้างความสับสนไปโดยสิ้นเชิง

“จะว่าไปฉันยังไม่รู้ว่าเป็นไข่อะไร ใช่ไข่นกหรือเปล่าคะ”

“นี่เจ้าเก็บมาเลี้ยงดู โดยที่ไม่รู้เป็นไข่อะไรหรือ ต่อให้ข้ารู้ก็ไม่บอก” เขาไม่ยอมถูกสะกดด้วยความใสซื่อของนาง หรือด้วยรอยยิ้มสว่างไสว

สาวถูกเมินอีกแล้วได้แต่มองค้อนคนตัวใหญ่ตีหน้าดุลับหลัง ต้องรีบทำอะไรเข้าสักอย่างเพื่อซื้อใจเขาคนนั้นให้ได้

กลิ่นหอมอ่อนปลุกคนตัวใหญ่ เอเดรียนเพิ่งตื่นนอน อาการงัวเงียของเขาเป็นตัวเร่งความพยายามของผู้ปรุงทำอาหาร มือจับกิ่งไม้คนน้ำซุปให้เข้ากัน เขาแปลกใจกับภาพตรงหน้า ผู้ทำหน้าที่ปรุงอาหารควรเป็นเขา กลับกลายเป็นกานติศา กับรอยยิ้มแหย มือถือใบไม้พัดเร่งการเผาไหม้ของฟืนใช้ทำน้ำแกงหอมกรุ่น

“เจ้ากำลังทำอะไร”

“ทำอาหารเช้าให้คุณไงคะ” เธอลงทุนตื่นตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นจากพื้นดินออกไปหาฟืน กับพืชสีเขียวใส่น้ำแกง มือตักน้ำแกงสีใสใส่ถ้วยชามกระเบื้องที่เธอได้มาจากคุณป้า

“ชิมสิค่ะ ฝีมือฉันพอทานได้ไหมคะ”

การไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นภาระ นั้นคือเธอควรทำตัวให้มีประโยชน์ควรแสดงให้เอเดรียนเห็น จะได้ไม่ผุดแผนทิ้งเธอไว้กลางทางเพราะความไร้ประโยชน์

“ใส่อะไรลงไปบ้าง” สันจมูกเรียวโด่งก้มลงสูดกลิ่น ใช่ว่าเขาจะไม่วางไว้ใจเธอ ที่นี่มีสมุนไพรมากมายมีทั้งคุณและโทษ

“ใส่แบล็กชาร์ส สมุนไพรสีดำอุดมไปด้วยสารอาหารให้พลังงาน ออกฤทธิ์เร็วเหมาะกับการเดินทางอย่างที่คุณเคยสอน และฉันใส่พืชสีเขียวไปสองชนิดแทนใยอาหาร เด็ดได้จากมุมต้นไม้ต้นนั้นค่ะ” เธอชี้ต้นไม้ให้เขาดูพร้อมอธิบายเพิ่มความมั่นใจ

“ฉันได้ตรวจสอบใบพืชพบร่องรอยการกัดกินของแมลง พืชไม่มีพิษแน่นอนค่ะ”

“แล้วกลิ่นหอม?” เขาเผลอซดน้ำแกงเข้าปากโดยไม่รู้ตัว

“เครื่องเทศเล็กน้อยของขวัญจากคุณป้า”

‘คุณป้า’ ทำเอาเขาสะดุดกึก หยุดซดน้ำแกง มองเข้าไปดวงตากลมใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาอย่างที่คุณป้ากล่าวไว้ ประโยคท้าทายทำเขาไม่สบอารมณ์ก้องขึ้นมาในห้วงคำนึง

‘ท่านไม่คิดครอบครองนางไว้แทนหรือ’

‘นางเป็นผู้หญิงที่ประเสริฐ’

เอเดรียนไม่ปฏิเสธความจริง กานติศาเป็นผู้หญิงมีความมุมานะ มุ่งมั่นพยายามไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค นางแสดงให้เห็นตลอดเวลาทั้งสองร่วมเดินทาง หลายอย่างที่เขาไม่คิดว่านางจะทำได้ และนางแสดงว่าทำได้จริง เพราะมีความกล้าบ้าบิ่นเป็นจุดแข็ง นางพยายามเรียนรู้ทุกสถานการณ์ ปรับตัวได้เร็ว ที่สำคัญกานติศาไม่กลัวเขา
อุปนิสัยช่างแตกต่างกับผู้หญิงนางอื่น ในอดีตเคยสนุกกับการแสวงหาความสุขบนเรือนร่างพวกนาง กานติศากลับแตกต่าง
ภาพสาวผู้หญิงผมดำผมยาว เขาพยายามรื้อใบหน้านางเท่าไรก็ไม่สามารถมองเห็นชัด ไม่เคยพบนางมาก่อน เอเดรียนแนวแน่ไม่ปลอยสภาพจิตใจตนโอนอ่อนผ่อนตามไปกับผู้หญิงหน้าไหนอีก

ในเมื่อตั้งปนิธานอยู่และทำภารกิจตามคำทำนาย กานติศาต้องตายในน้ำมือเขา

“ข้าไม่กินแล้ว” เทน้ำแกงทิ้ง กานติศามองชายหนุ่มลุกจากไปดื้อๆ

“เททิ้งได้ไง ฉันอุตส่าห์...”

เขาไม่แม้แต่จะหันหน้ามาตอบเดินดุ่มเข้าไปด้านหลังต้นไม้ต้นใหญ่ ช่วงกลางดึกเขาไม่โผล่หน้ามาจนอีกฝ่ายหลับไป กองไฟถูกกลบทรายจนดับไปทำให้มองไม่เห็นเงาร่างคนตัวใหญ่ยืนค้ำหัวกานติศา ยกมือทั้งสองข้างหมายจะรัดบีบต้นคอระหงให้หมดสติ เพื่อเดินตามแผนอย่างที่ควรเป็นเสียที เขาต้องจับนางพาไปที่นั้นโดยเร็วก่อนบทลงโทษจะพรากเอาชีวิตไป แต่สาวกลับนอนกอดใบไข่หลับสบายใจไม่รับรู้ภัยอันตรายกำลังมาถึง

“ทำไมมันยากเย็นอย่างนี้”

แน่นอนว่ากิจกรรมล่าสัตว์ด้วยความเร็วสูง ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เป็นที่สิ่งเขาถนัดฝีมือช้ำชองไม่น้อยกว่าใคร กลับจัดการผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ สะท้อนใจตนใกล้พบพานความล้มเหลว สิ่งที่เขาควรชนะมากที่สุดไม่ใช่คำทำนาย ภารกิจ หรือกานติศา แต่เป็นใจตนเองต่างหากที่เขาต้องก้าวพ้นข้ามไปให้ได้เสียก่อน

กานติศาตื่นมาไม่พบใคร เปิดกระเป๋าผ้าใบใหม่หยิบอุปกรณ์วาดรูปได้รับมาจากคุณป้าใจดี แบ่งสินน้ำใจให้สิ่งของตรงตามลิสต์ที่เธอต้องการไม่ว่าจะเป็น กระดาษ แท่งถ่าน เสื้อผ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกอีกหลายอย่าง ที่เธอคาดว่าเอเดรียนจำเป็นต้องใช้ สาวดี๊ด๊าตื่นเต้นได้วาดรูปเสียที ประหนึ่งไม่ได้จับพู่กันมานานนับปี
จึงเริ่มต้นการวาดภาพเหมือนง่ายๆอย่างเช่นก้อนหิน แมลงเกาะดอกไม้ ไม่นานสาวรื้อฟื้นความสามารถคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว ท้าทายอยากวาดภาพซับซ้อนและยากกว่านี้ พลัดก็ได้ยินเสียงกระเซ็นของสายน้ำ สาวลุกไปตามฟังต้นต่อที่มาของเสียงอย่างสนอกสนใจ

พุ่มไม้ทำหน้าที่เป็นฉากกั้น ก้อนหินรายรอบบ่อน้ำจากเสียงเมื่อครู่นี้ จึงแน่ใจว่ามีการเคลื่อนไหวภายในบ่อน้ำ เธอปรายตามองกลุ่มเสื้อผ้าถอดทิ้งเอาไว้หลายชิ้น รวมทั้งชุดเกราะถูกปลดออกระเกะระกะราวถูกพายุพัดป่าราบ ประกอบกับเสียงกระเซ็นของสายน้ำตูมใหญ่ อะไรดลใจพาเธอเข้าหลบซ่อนหลังก้อนหินเข้าทันที นึกขำตัวเองเป็นผู้หญิงหน้าไม่อาย กับความคิดถ้ำมองดูผู้ชาย

ฉากในบ่อน้ำเล่นงานสาวหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก ร่างกายกำยำเขาโผล่พ้นจากผิวน้ำระดับบั้นเอว บรรจงขัดถูร่างกายด้วยดินสมุนไพรทำหน้าที่แทนสบู่หอม ชำระล้างความเหนียวเหนอะผลพ่วงความเหนื่อยจากการเดินทาง สรีระร่างกายสมส่วนงดงามราวกับรูปปั้นนักรบกรีกโบราณ รูปภาพผลงานประติมากรรมหินอ่อนผ่านตามากมาย ระหว่างที่เรียนประวัติศาสตร์ศิลปะ เป็นวิชาที่สาวๆ มีอาการกระชุ่มกระชวยใคร่จะเรียนเกี่ยวกับศิลปะโบราณ ให้ความสำคัญความงามของบุรุษเพศเป็นหลัก

ดีที่เธอไม่ลืมหยิบอุปกรณ์ติดมือมาด้วย กระดาษเปลือกไม้กับแท่งถ่าน ค่อยๆ บรรจงรางภาพด้วยแท่งถ่าน เหลาปลายเหลม สลับกับใช้นิ้วถูไปกับกระดาษเพื่อสร้างน้ำหนักแรเงา ไม่นานลายเส้นประกอบรูปเป็นร่างขึ้นมา ความคล่องแคล่วในเวลาสั้นสาสมกับที่เรียนมา เหลือเพียงลงรายละเอียดเท่านั้น

แผ่นหลังหนาเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งเก่าและใหม่ ประหนึ่งรอยสักเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านรอยแผลแห่งความเจ็บปวด

เอเดรียน เขามีชีวิตผ่านมาแบบไหนนะ ถึงมีรอยแผลเต็มแผ่นหลังขนาดนี้

ปลายแท่งถ่านถึงกับสะดุดกึกหยุดวาดกะทันหัน เมื่อร่างต้นแบบพยุงตัวขึ้นพ้นผิวน้ำ ปีนขึ้นไปบนก้อนหินต่างระดับ หมายความว่ารายละเอียดบนสรีระร่างกายงดงายกระแทกเข้าตาอย่างจัง ความดันโลหิตเธอไม่เคยอยู่สูงระดับนี้มาก่อน ใจสั่นดุจดื่มคาเฟอีนหลายสิบแก้ว หากส่องกระจกจะพบว่าหน้าเธอกลายเป็นสีแดงเข้ม มือไม้สั่นเทาลงรายละเอียดอย่างใจกล้าๆ กลัวๆ ขณะที่แววตาของสัตว์ร้ายคืบคลานเข้ามาใกล้ ลำตัวเปลี่ยนสีกลมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อม รอซุ่มโจมตีเหยื่อระยะประชิด

กานติศาไม่ได้สังเกตเพราะมัวตั้งใจลงแสงเงาบริเวณสะโพกสอบ และกล้ามเนื้อหน้าท้องเป็นล่อนไต่ระดับลงมาที่ตำแหน่งที่วาดให้สมจริงยากที่สุดของร่างกายบุรุษ หูได้ยินเสียงขู่ฟ่อๆ จึงหันไปสบแววตาดุร้ายเข้า จังหวะเดียวกับมันอ้าปากกว้างกระโจนพุ่งเข้าใส่ที่ลำคอ โชคดีที่กานติศาครองสติได้ดียกกระดาษบังพอดี ร่างกายกลับเสียหลักเพราะรอบก้อนหินเป็นดินโคลนชุ่มน้ำ ร่างสาวพุ่งตัวไถลไหลเป็นสไลเดอร์ตกน้ำตูมใหญ่

เอเดรียนยืนพิงใต้ชะง่อนหินผาปล่อยสายน้ำตกขนาดเล็กไหลผ่านความชันราดหัวเขา สยายเส้นผมให้เย็นลง ชำระล้างอารมณ์ไม่รักดีออกไป ไม่ทันได้สงบสุขก็ได้ยินเสียงการตกน้ำรบกวนก่อน คาดว่าการรุกรานของศัตรูที่แอบซุ่มทำร้ายเข้ามา เขากระโดดพุ่งตัวไปลงน้ำ แหวกว่ายหมายเอาชีวิต เจอร่างกานติศาว่ายเข้ามาถึงตัวก่อน กอดรัดตัวเขาเกาะเป็นลูกลิง

“เจ้า” ทำไมเป็นกานติศาไปได้

“ช่วยด้วย มีตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่ในน้ำ มันกระโดดตามมา”

แววตาเกรงกลัวอย่างไม่ปิดบัง เขาจึงยกร่างกานติศาให้พ้นจากน้ำ ขณะที่เรียวขาเล็กยังเกาะรัดรอบเอวสอบ ไม่สนใจสภาพทั้งคู่อยู่ในสภาพล่อแหลมไปมากกว่าสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ใต้น้ำ เงาสิ่งมีชีวิตสีดำว่ายตวัดว่องไวไปมาหาจังหวะฉกใต้น้ำโจมตี

“กอดข้าแน่นๆ ” เสียงทุ้มนุ่มลึกเตือนสติกานติศากระชับอ้อมกอดทำตามคำสั่ง ทั้งที่ภายในหัวใจเต้นแรงแทบทะลุออกมาด้วยความเคอะเขินมีมากพอๆ กับความกลัว

เอเดรียนจับจังหวะสัตว์ร้ายพุ่งกระโจนออกมาจากใต้น้ำได้ ออกแรงกำปั้นชกเข้าที่กรามขากรรไกรจนกระดูกแตกผิดรูปตายคาที่ กานติศามองซากสัตว์ลักษณะคล้ายงู ลวดลายสีดำแปลกตา รอบลำตัวมีครีบเหมือนปลา มีสี่ขางอกออกมา ดวงตาโปนหลุดออกจากเบ้าข้างหนึ่ง ยังมีสัตว์ประหลาดเหลืออะไรที่ยังไม่ได้พบอีก

เขากลับไปที่กำแพงหินผาอีกครั้ง สายน้ำเย็นราดลงหัวเขา ปล่อยมันไหลตามรูปทรงสัดส่วนกล้ามเนื้อแข็งแรง และกานติศายังคงไม่ไปไหน เธอบังคับสายตามองไปทางอื่น หลีกเลี่ยงสบตาสีเขียวโดยตรงโดยไม่รู้ว่าเอเดรียนลอบสังเกตกระดาษเปียกในมือเธอ เสียมารยาทฉกฉวยดึงมาดู

“อย่า”

กานติศาอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ด่าทอตัวเอง โง่ไม่รู้จังหวะทำลายหลักฐานก่อน ดันหยิบติดมากับมือ เขาไม่สนใจคำร้องทักท้วง กวาดสายตาคมมองไปทั่วกระดาษ แทนที่จะโกรธกลับผุดรอยยิ้มภูมิใจด้วยซ้ำ

ใครจะไปนึกว่าศัตรูแอบลอบซุ่มมอง ที่แท้เป็นกานติศานั้นเอง

เขาเอ่ยประโยคต่อมาทำเอาเธอเขินหน้าแดง อยากกลายร่างเป็นผงธุลีหายไปจากโลกความฝันเสียที

“ทำไมไม่วาดต่อจนจบล่ะ”

กานติศาเผลอเหลือบมองของจริงส่วนยังวาดไม่เสร็จโดยไม่ตั้งใจจึงยกมือรีบปิดตา เสียงหัวเราะเกิดขึ้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาแรกที่มองส่วนนั้นของเขา

“ฉันไม่อยากคุยด้วย คุณแก้ผ้าโทงๆ ไม่พูดคุยด้วย”

เธอไม่เคยได้ยินเอเดรียนหัวเราะเสียงดังเท่านี้ ดุจดั่งสายน้ำเปล่งประกายมีชีวิตชีวา

“ฝีมือการวาดของเจ้า ไม่เลวนี้” เอเดรียนในเครื่องแต่งกายครบถ้วนสมบูรณ์ออกปากชมเชย
หากเป็นคนอื่นที่เอ่ยคำชมคำเดียวกัน กานติศาคงไม่ยืดอกภูมิใจมากเท่าคำชอบจากคนที่วันๆ เอาแต่ใช้แต่ดาบถึงกับยอมรับความสามารถเธอ “แน่นอน ฉันขยันมั่นฝึกวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก จะไม่เก่งระดับนี้ก็กระไรอยู่”

“จริงหรือ” แตกต่างจากเขา ชอบอ่านหนังสือกับการนอนงีบเป็นกิจกรรมยามว่าง

“น่าจะเก่งพอๆ กับคุณใช้ดาบ เก่งกว่าฝีมือทำอาหารของคุณ”

“อาหารกับรูปภาพมันเทียบกันไม่ได้หรอกมั้ง” ชมไปนิดเดียว ใครมันเหลิงพูดโอ้อวดไม่หยุด

“เทียบได้สิ มันก็คือศิลปะเหมือนกันแหละ”

กานติศาทำเขาแปลกใจ พบเสี้ยวของเรื่องราวในชีวิตนาง มีความสามารถกาวาดภาพ ปากช่างพูดช่างโต้เถียงเขาได้ทั้งวันทั้งคืน ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายเงียบก่อน แต่ทุกกครั้งที่ได้พูดคุย เจื้อยแจ้ว กิริยาท่าทางและสายตานางช่วยปัดเป่าความทุกข์ ความเบื่อหน่าย ความเหงาสะสมมานานทยอยหายไปทีละนิด

สาวงามผู้เกิดมากับต้นไม้ มีนามชื่อว่า กานติศา เอเดรียนนึกอยากรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับนางมากกว่านี้

กานติศา เจ้ามาจากไหน บ้านเจ้าอยู่ที่ไหน ครอบครัวทำอาชีพอะไร

ชอบความสงบ รักการอ่านหนังสือเหมือนเขาหรือเปล่า

ความอยากรู้อยากเห็น หลายคำถามถาโถมโจมตีเข้ามาจนใจร้อนอยากดึงตัวมาเผชิญหน้ากับเขา เสียดายที่เขามีเวลากับนางเหลืออยู่ไม่มาก วันหนึ่งจำเป็นใช้คมดาบแทงทะลวงร่างสาวหมายเอาชีวิต ก่อนอื่นเขาต้องขจัดความคาค้างในใจให้ได้ก่อน

“พี่ต้น คนที่เจ้าเรียกหา เขาเป็นใคร”

เบื้องหน้าพวกเขามาถึงน้ำตกขนาดยักษ์ เสียงน้ำกระทบกำแพงภูพากลบเสียงทุ่มต่ำของเขา เสียงน้ำกระฉอกตกลงมาดังพอๆ กับการเต้นหัวใจก้องสนั่นอก เธอแน่ใจว่าตนได้ยินเชื่อเรียกบุคคลภายนอกมาจากปากเขา บุคคลที่เธอเพรียกหาด้วยความคิดถึง ไม่ใช่พี่ต้นคนเดียว รวมไปถึงครอบครัว

ฟังปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชื่อผู้ชาย นางมีใครบางคนที่รออยู่ พี่ชาย เพื่อน หรือแม้แต่คนที่นางรัก

“ฉันเรียกหาเขาเหรอคะ”

“คืนนั้น เจ้าละเมอหาเขาไม่หยุด” ต้องกัดฟันทนฟังครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นดวงแก้มกลายเป็นสีแดงแสดงความเขินอายกับความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับคนที่เรียกหา เห็นได้ชัดว่ากานติศามีใจให้

เธอจะอธิบายให้เอเดรียนฟังอย่างไรดี ชื่อนามบุคคลจากโลกจริง จะให้เอเดรียนรู้ความจริงไม่ได้ว่าเขามาจากจินตนาการที่เธอสร้างขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวเขาเป็นเพียงความฝัน เขาจะรับความจริงได้หรือ

“เอ่อ เขาเหมือนพี่ชาย เราสนิทด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ กับน้องชาย”

นี่เธอเพิ่งทำอะไรลงไป ไม่ควรดึงเขามารับรู้ความจริงว่าเขามาจากโลกในจินตนาการที่สร้างขึ้น ทุกสิ่งรอบตัวเขาเป็นความฝัน ไร้ความสมจริง เอเดรียนคือผู้ไม่มีตัวตน

กานติศาไม่เห็นสีหน้าเอเดรียนเพราะเขาชิงหลบหน้าหนีไปก่อน ทำไมเขาหยิบเรื่องนี้มาถาม จากนี้ไปเธอต้องระวังปากอย่าหลุดคำไหนออกมาอีก โลกของเธอซึ่งเหมือนตัวทำลายความจริงที่โลกเอเดรียนอาศัยอยู่พังทลายลงในพริบตาหากได้รู้ว่าไม่ใช่ของจริง

“ข้าจะปีนเขาขึ้นไป” เอเดรียนพูดสีหน้าเคร่งเครียด หากมาคนเดียวสามารถปีนภูเขาลูกนี้ได้สบาย แต่หนนี้มีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมอยู่ด้วย

“ปีน? ข้างบนมีอะไรคะ” ดูจากกำแพงภูเขาขนาดมหึมา ปีนด้วยมือเปล่าแม้แต่มนุษย์คนเก่งยังทำได้ยาก เขาต้องล้อเธอเล่นแน่

“จุดเริ่มเต้นของพวกเรา” เขาตอบอย่างจริงจังไม่ได้ล้อเล่นอย่างที่ใจคิด เมื่อตอนกระโดดฆ่าตัวตาย เธอยังจำเสียงสายน้ำเชี่ยวกรากได้

“ไม่ไหวหรอก ยังไงเราปีนกำแพงไม่ไหว ส่วนคุณเองก็ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย” ส่ายหน้าปฏิเสธ ก้าวถอยร่นห่างจากเขา เธอเพ่งเล็งมองหาคำแหน่งความสูงสุดของกำแพงนี้ยังไม่เจอ ต้องใช้เวลาปีนกี่ชั่วโมงกี่วันไปถึง หรืออาจจะหมดเรี่ยวแรงก่อนตกลงมา

“เจ้าไม่เชื่อใจข้ารึ มานี่สิ” เอเดรียนไม่รีรอ ปักดาบสายโลหิตเสียบเข้าช่องว่างตามซอกหิน วางเท้หาาที่มั่นคงเตรียมท่าจะปีน “ขี่หลังข้า”

“คุณล้อเล่นแน่ๆ ”

“จะขึ้นไปพร้อมกับข้า หรือให้ทิ้งเจ้าตรงนี้”

สายตามุ่งมั่นอันแนวแน่ของเขา คำพูดใดๆ คงไม่สามารถหยุดรั้งเหนี่ยวไว้ได้ กานติศาต้องตัดสินใจในเสี้ยววินาทีสุดท้าย วางมือตนลงบนอุ้งมือหนา ขึ้นขี่หลัง เขาใช้เชือกเถาวัลย์ผูกเอวระหว่างเขากับเธอป้องกันความเสี่ยง อุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง ความเสี่ยงทำเธอกลัวจนมือไม้สั่น แขนกอดรัดคอเขาแน่นจนออกปากเตือน “ข้าหายใจไม่ออก ผ่อนคลายไว้”

“น้ำหนักฉันไม่ใช่น้อยๆ ไม่มีทางอื่นแล้วหรือคะ ” พยายามสรรหาคำพูดมาหยุดการกระทำ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่มีวันล้มเลิก

“มีแต่วิธีนี้เท่านั้น ข้าไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยนเส้นทางอีก”

เขากำลังเร่งรีบอะไรขนาดนี้

ในเมื่อเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ เธอจำใจหลับตา กอดคอเขาไว้แน่น ลมหายใจเป่ารนมือเธอคลายปลอบใจตัวเอง โย่งไปนึกตอนสมัยเด็ก สมัยขี่หลังพี่ต้นวิ่งไล่จับน้องชาย

“กานติศา เกาะข้าแน่นๆ ” เขาตบมือเธอที่วางบนแผงอกให้กำลังใจ ให้วางใจเขาไม่มีอะไรต้องกลัว

จากนั้นเธอรู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงรอบตัวเปลี่ยนไปตามความเร็วเต็มพิกัด การดีดตัวกระโดดสูงเกินขีดความสามารถมนุษย์คนไหนเท่าที่ทำได้ กานติศากรีดเสียงหลงเมื่อมองลงไปข้างล่าง พื้นดินที่เธอเพิ่งเหยียบย่ำหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว ราวกับนั่งรถไฟเหาะพุ่งทะยานความเร็วสูงสุด

หนึ่งในความสามารถพิเศษ เขาสามารถกระโดดตัวลอย ตัวเบาเหมือนขนนก พุ่งทิศไปตามทางต้องการอย่างชำนาญ ไต่กำแพงอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็วปานนักปีนเขามืออาชีพกับอุปกรณ์เพียงชิ้นเดียว ดาบโลหิตในมือหาจังหวะปักดาบเข้าไปในช่องว่างในซอกหินเพื่อผ่อนน้ำหนัก วางเท้าลงบนฐานมั่นคงเพื่อหยุดพัก หลับตาปริบสูดอากาศบริสุทธิ์

ภาพวิวทัศน์กว้างสุดลูกหูลูกตายิ่งงดงามขึ้นไปอีก เมื่อต้องแสงอาทิตย์อัสดงจวนลับขอบฟ้า ท้องฟ้ากลายเป็นสีชมพู เป็นภาพในความฝันที่สวยงามที่สุด

“ท้องฟ้าสวยจังเลย” พร้อมชี้นิ้วไปที่กลุ่มนกบินผ่านพวกเธอไป

“ใช่” ทว่าเขากลับไม่ได้มองภาพวิวทัศน์ รอยยิ้มฉีกกว้างรับแสงอัสดง ขับใบหน้าผิวขาวชมพูผ่องใสต้องตา ความสุขที่ทำให้ต้องเผลอยิ้มตาม และมิอาจละสายตา

ประหนึ่งใจอยากให้อยู่ ใจหนึ่งอยากให้จากไป

ไม่ว่าเขาจะชี้ทางไปทางไหน ทำอะไรตามแนวทางที่ต้องการ กานติศาไม่เคยเฉลียวใจจะปฏิเสธ ตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง ถึงแม้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นความตายสำหรับเธอผู้เดียว ความตั้งใจและแรงปณิธานถูกทำให้สั่นคลอนไปกับความจริงที่ว่านางไว้ใจเขามากเสียเกินไป ตามเขาไปตลอดเข้าแผนอุบายหลอกล่อที่วางไว้

คำทำนายหรืออะไรก็ช่าง เขาอยากทำตามใจที่อยากทำกับคนตรงหน้าเสียที

กานติศาสัมผัสถึงความเงียบผิดปกติ สายตาคมของเขาลอบมองหน้าเธอ ราวกับถูกมนต์สะกด บรรยากาศเป็นใจ ริมฝีปากหนาเม้มปากเข้าหากันอย่างลังเล หน้าคมโน้มลงมาอย่างห้าวหาญ เหมือนเธอจะตาลายหูอื้อไม่ได้ยินอะไรอีก นับว่ายังมีสติดีพอจึงเบี่ยงหน้าหนี จึงโดนหอมเข้าที่ข้างขมับแทน

เหมือนเขากลายร่างเป็นคนแปลกหน้า แสดงกิริยาเชิงชู้สาวกับเธอได้อย่างไร ในเมื่อต่างคนต่างมีคนในใจ
“ไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวคุณไดอาน่าจะเสียใจ”

สาวอาศัยเศษเสี้ยวความกล้าดันแผงอกกำยำให้ถอยห่าง เขาแปลกใจที่ถูกปฏิเสธไม่เท่ากับชื่อผู้หญิงที่เพิ่งได้ยินครั้งแรก “เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ”

บรรยากาศหวานเมื่อครู่ถูกทำลายลงเข้าแทนที่ด้วยสถานการณ์ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสีหน้าอึดอัดของทั้งคู่

“ไดอาน่า คือใคร” เขาปั้นหน้าเข้มดุ

“ไม่ใช่ฉันคนเดียวละเมอเรียกหา คุณเองก็ละเมอหาเธอ ไดอาน่า คนรักของคุณ”



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2561, 21:41:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2561, 21:41:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 618





<< บทที่ 6 (1) สับสน   บทที่ 7 (1) วันเวลาที่หายไป >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account