มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 7 (1) วันเวลาที่หายไป

7 วันเวลาที่หายไป

‘ไดอาน่า’

รอยต่อชิ้นส่วนของภาพปริศนาในห้วงคำนึงปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง สาวผมยาวหยักศกสีเข้ม เธอมีดวงตาสีแพลทินัม ขับดวงหน้ารูปไข่โดดเด่น รอยยิ้มเด่นสว่างจ้าต้อนรับเขาเหมือนเป็นโลกทั้งใบของเธอ ริมฝีปากสีชมพูเคยบอกรักและตอบรับจูบจากเขาทุกครั้ง ทุกวันทุกนาทีตลอดเวลาทั้งสองเต็มไปด้วยความรัก มีพบก็ต้องมีจาก ราวกับเขาเคยสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่โลกทั้งใบได้มอบให้เธอคนนั้น

เอเดรียนสับสนระหว่างความจริงกับมโนภา เขาไม่เคยได้ยินชื่อไดอาน่าหรือรู้จักเธอมาก่อน

สร้อยนาฬิกาสีทอง เสมือนตัวตอกย้ำเรื่องคำทำนาย ชะตากรรมของ ‘วิสตาร์เรีย’ ที่เขาต้องรับผิดชอบด้วยการแลกมาด้วยลมหายใจของกานติศา ดวงตากลมโตใสซื่อมองเข้าไปในดวงตาเขาเช่นกัน
ทุกสรรพสิ่งมีชีวิต พระอาทิตย์และพระจันทร์กำลังจับตาดูพวกเขาทุกอิริยาบถ

ข้าจักต้องพรากชีวิตเจ้า เพื่อทวงทุกสิ่งทุกเคยเป็นของข้ากลับคืนมา

ข้าจะทำได้จริงหรือ

จังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงรวดเร็วกว่าการรัวกลอง จนเกรงว่าเขารู้สึกสัมผัสได้ เขาออกแรงปีนผาต่อโดยไม่มีการพูดคุยอะไรกับเธออีก เหมือนตกอยู่ในความคิด กานติศาจึงพิงตัวเขาไม่เป็นการรบกวน

ถ้าเกิดว่าเธอไม่เบี่ยงหน้าหนี เขาคงได้ครองริมฝีปาก ขโมยจูบแรกไปโดยไม่ต้องสงสัย

ทั้งคู่ได้ยินเสียงลมมาจากการกระพือปีกของสัตว์ปีกขนาดใหญ่ซึ่งบินล้อมดักพวกเขาไว้ทุกด้าน กานติศามองเข้าไปในดวงตาเหยี่ยวสีทอง ขนนกสีแปลกตาประดับตัว นกเหยี่ยวที่มีขนาดใหญ่เท่าเครื่องบินที่กางปีกอย่างมีชีวิต หมายจ้องขย้ำตะครุบเหยื่อ

“สงสัยเราจะเป็นอาหารเย็นให้พวกมัน เกาะข้าให้แน่นๆ ”

เธอเกือบจะไม่ได้ยินเสียงเขาอีก เพราะฝูงเหยี่ยวยักษ์ส่งเสียงดังมาก การสื่อสารวางแผนไล่ตะครุบเหยื่ออย่างไรดี เขาปีนพาไปที่ความชันของภูเขา การกัดกร่อนของกำแพงหินจึงพบทางเลียบเส้นแคบมากพอให้พวกเขายึดเป็นที่มั่นได้ เอเดรียนดันเธอให้อยู่ด้านหลัง มือถือดาบโลหิตตั้งท่าเตรียมพร้อมสู้ เหยี่ยวยักษ์ตัวหน้าสุดไม่รีรอบินพุ่งเข้าหาพวกเธอด้วยความเร็วปานงูฉกเหยื่อ แต่น่าเสียดายที่เอเดรียนทำความเร็วได้ดีกว่า ตวัดดาบฉับเพียงครั้งเดียวฟันเข้าลำคอมันจนฉีกขาดตายร่วงตกลงไป จนพวกที่เหลือเสียกระบวนระส่ำระสายส่งเสียงดังขึ้น หลังจากสูญเสียสมาชิกร่วมชาติทำให้พวกมันโกรธกว่าเดิม กระพือตีปีกยกใหญ่

“เอเดรียน เราจะทำยังไงดี” สาวด้านหลังกระซิบถาม

“หลบหลังข้าไว้ ข้าจะปกป้องเจ้าเอง” มือจับดาบ อีกข้างหนึ่งหมายป้องกานติศาเอาไว้

ถัดมานกเหยี่ยวยักษ์เดินแผนบุกด้วยวิธีการเดิม บินพุ่งมาทีเดียวถึงสามตัวคละทิศทาง หวังจัดการจับเหยื่อได้ง่ายขึ้น สำหรับเขาจำต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ตลอดเวลาอยู่คนเดียวเขามักฝึกควงดาบหนักซึ่งเป็นภาระตอนจับถือครั้งแรก ให้คล่องมือพัฒนาจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง เอเดรียนวาดลวดลายฝีดาบประหนึ่งจอมยุทธคล่องแคล่วราวจับดาบไร้น้ำหนัก ฟันเข้าที่คอพวกมันตายร่วงไปสองตัวติดกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการณ์ล่อของพวกมันเอง เพราะเหยี่ยวยักษ์อีกหนึ่งตัวบินอยู่เหนือหัวใช้กรงเล็บเซาะกำแพงภูเขาเกิดรอยแตก เศษหินร่วงลงมายังตำแหน่งที่พวกเธอยืนอยู่พอดี กานติศายืนตัวแข็งมองกลุ่มก้อนหินถล่มไถลลงมา จนเอเดรียนต้องผลักสาวกระเด็นออกไปอีกด้านหนึ่ง

พวกมันฉลาด คิดแผนแยกพวกเขาออกจากกันสำเร็จ

เป้าหมายผู้หญิงย่อมถูกกำจัดได้ง่ายกว่า พวกเหยี่ยวยักษ์ซึ่งหมายตากานติศา แต่เอเดรียนไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น เขาวิ่งกระโดดหลบจะงอยปากนกเหยี่ยวตัวแรก ประหนึ่งร่างกายเขาไร้น้ำหนักวิ่งขึ้นไต่กำแพงทะลุช่องว่างระหว่างขนนกกับปีกอย่างเหมาะเจาะ มันพยายามสะบัดปีกตีเขาให้ตาย เหยี่ยวยักษ์ตัวถัดไปกำลังอ้าปากคาบตัวกานติศาก่อนร่วงตายเพราะคมดาบรัวแทงข้าที่ลูกตาอย่างหนักหน่วง

“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”

“ค่ะ แต่คุณเลือดออก” สาวถูกช่วยชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นใบหน้าหล่อมีรอยขีดเป็นทางยาว

เอเดรียนใจผู้ไม่ยอมแพ้ ต่อให้สู้กับพวกมันตราบเท่าที่สังขารยังไหว จนพวกมันเหลือจำนวนน้อยเต็มทน คร้านจะหาวิธีใหม่จนเป็นฝ่ายยอมแพ้บินหนีจากไป

“พวกมันไปกันหมดแล้ว” กานติศาช่วยพยุงร่างเหนื่อยหล้าผ่านการต่อสู้ ใบหน้าเอเดรียนเปรอะไปด้วยเลือดนกสีแดงเข้มกับเลือดจากตัวเขาเอง เธอใช้ผ้าเปียกน้ำหมาดมาเช็ดหน้าให้ ทีท่าตั้งอกตั้งใจของนางเหมือนเป็นยิ่งกว่ารางวัลจากการแข่งขัน มือไม้เธอสัมผัสตัวและใบหน้าเขาอย่างอ่อนโยน

ใจเขาห่างหายจากความอบอุ่นนี้มานานเหลือเกิน

“ข้าไม่เป็นอะไร เรายังต้องไป...” พูดยังไม่จบเอเดรียนคลื่นไส้อยากอาเจียน คายสายน้ำสีดำออกมาต่อหน้าต่อตา กานติศาไม่เคยเห็นมวลของเหลวสีดำเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิตก่อนหายกลืนไปกับพื้นหิน ไม่ทิ้งร่องรอยหลงเหลือเป็นหลักฐาน

น้ำสีดำประหลาดมันคืออะไรกัน เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าไม่ดีเท่าไรยังดื้อดึงไปต่อ

“ไม่ได้ค่ะ คุณควรพักก่อน และดาบคุณแตกหมดแล้ว” ดาบโลหิตถูกจิกกัดทำร้ายกลายเป็นดาบทื่อธรรดมา ปลายแหลมถูกตัดขาด เขาไม่น่าสร้างดาบขึ้นมาใหม่ด้วยสภาพร่างบอบช้ำ เอเดรียนเคยบอกไว้ว่าหากร่างกายบาดเจ็บมากเท่าไรแผลยิ่งหายช้าขึ้น อาจจะกินเวลาเป็นวัน เรื่องใช้พลังสร้างดาบเล่มใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

“เอเดรียน”

เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที ร่างกานติศาถูกกระชากออกไปจากตัวทันที เขาเหมือนถูกแช่งแข็ง มองเธอตัวลอยจากไป สาวถูกจองจำภายในกรงเล็บเรียวคม นกเหยี่ยวยักษ์ตัวสุดท้ายของฝูงแอบซุ่มดู รอจังหวะมาตั้งแต่ต้น

“กานติศา” เขาเรียกหาเธอตลอดจนหายไปกับความสูงท้องฟ้าเปลี่ยนสี

ภาพเอเดรียนลับสายตา ทิ้งเธออยู่เพียงคนเดียวถูกกักขังภายในกรงเล็บ จิกรัดรอบเอวเสื้อผ้าฉีกขาด มันบาดเข้าเนื้อเยื่อ ความเจ็บทนอยู่เฉยไม่ได้ มันจะพาเธอไปหาลูกพวกมันแทะกัดกินเป็นอาหารเย็น

เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

เพิ่งนึกได้ว่ามีอาวุธเดียวติดตัวมาด้วย จึงหยิบมีดสั้นเล่มเก่าออกมาจากด้านหลังเสื้อ อาวุธที่เอเดรียนมอบให้ไว้ป้องกันตัว พร้อมสอนวิธีใช้ เธอใช้มันแทงที่เนื้อเหยื่อส่วนที่น่าจะเป็นจุดอ่อน วิธีนี้ได้ผลดี นกเหยี่ยวถึงกับเสียหลักบินส่ายไปมาพร้อมส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด มีดแทงซ้ำเข้าที่เดิมจนได้เลือด มันทนเจ็บปวดไม่ไหวจึงกางกรงเล็บออกปล่อยเหยื่อสาวเป็นอิสระตกลงมาข้างล่างด้วยความเร็วไม่น่ากลัวเท่าความสูงจากพื้นดิน

เงาร่างหนึ่งดิ่งพสุธาไร้สิ่งพยุงชีวิต เธอหลับตาปี๋เปิดรับผลที่ตามมา ความตายมาถึงทันทีร่างตกลงมากระแทกพื้นดินเหมือนของแข็ง กระดูกหักแหลกสลาย ไปพร้อมกับอวัยวะภายในฉีกขาดออกจากกัน

สาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดร้าวรานตั้งแต่หัวจรดปลายกระดูกนิ้วเท้ากระชากดึงเธอตื่นขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายภายในห้องสี่เหลี่ยม สายท่อห้อยระโยงระยางไปมาน่ารำคาญ ความทรมานเหมือนกระดูกหักเป็นชิ้นๆ ส่งผลต่อพฤติกรรมอาละวาด มือดึงสายท่อออก เกิดการปะทะกระทบกันระหว่างคนไข้บนเตียงกับแพทย์และนางพยาบาล “คนไข้กำลังคลุ้มคลั่ง”

“ไดอะซีแพม* สิบมิลลิกรัม”

แพทย์ต้องใช้ผู้ช่วยพยาบาลสามคนมาช่วยจับตัวคนไข้ให้อยู่นิ่งก่อนฉีดยาเข้าที่แขนเพื่อให้ออกฤทธิ์เร็วที่สุด ไม่นานอาการคลุ้มคลั่งมีทีท่าสงบลง ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เตียง ลมหายใจอ่อนแรง สายตาเบลอของคนไข้แสดงอาการภายใต้ฤทธิ์ยา แพทย์และคนอื่นถึงกับต้องปาดเหงื่อ นับว่าแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดี

หากมองไม่ผิด นั้นคือแสงจากหลอดไฟนีออน ไม่ใช่ดวงอาทิตย์

เธอได้กลับบ้านแล้ว




สายตาเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างๆอย่างไร้จุดหมาย คนไข้อยู่ในภาวะสงบนิ่ง ไม่ใช่ภาพที่ทุกคนวาดไว้ว่าจะได้เห็น ผิดกับสาวตัวเล็กมีบุคลิกสดใสอารมณ์ดี อาการซึมเศร้าภายใต้ฤทธิ์ยาตามคำอธิบายของนางพยาบาล รติรสเป็นฝ่ายเข้าหาคนไข้ตามด้วยกันต์ “สวัสดี จำพวกเราได้มั้ย”

กลิ่นยาและแอลกอฮอล์ยังฉุนจมูก หูอื้อตาลายจนมองภาพไม่ค่อยชัด กานติศาขยี้ตาปรับจุดโฟกัสใหม่ จึงพบว่าไม่ได้อยู่คนเดียว มีเพื่อนรักกับน้องชายที่ไม่ได้พบเจอมานาน ด้วยความคิดถึงมีมากเสียจนกลั้นก้อนสะอื้นไม่อยู่ สาวน้ำตาร่วงพรู กางแขนคว้ากอดไว้ทั้งสองคน คนถูกสวมกอดตกใจเล็กน้อย ต่อมน้ำตาทำงานอีกครั้งตามฉบับสาวเจ้าน้ำตา รติรสสวมกอดเพื่อนตอบ “นึกว่าจะจำไม่ได้ กานร้องไห้ทำไม เป็นความผิดของรสเอง”

ทั้งคู่กอดกันร้องไห้จนตัวโยน คนนอกอย่างกันต์ไม่รู้จะเข้าแทรกกลางอย่างไรดี ถึงเป็นผู้ชายไม่ใช่ว่าเขาจะร้องไห้ไม่เป็น กันต์ถึงกับพริบตามองไปทางอื่น

“รสขอโทษ ที่ทำให้แกเสียใจ วันนั้นรสพูดไม่ดี”

“ไม่หรอก กานลืมไปหมดแล้ว” กานติศาถึงกับถอนหายใจ ไม่ติดใจกับเหตุการณ์ทะเลาะกันวันนั้นอีก

“แกหลับไปตั้งสองวัน ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น ก็เลยคิดว่าแกคิดสั้น...”

“สองวัน” กานติศามองทุกคนเหมือนเห็นผี

เป็นไปไม่ได้ เธออยู่ในโลกความฝันมาหลายวัน อาจจะเป็นเดือน ภาพเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตอนนอนหลับเพียงสองวัน ตลอดเวลาอยู่กับเขาคนนั้นเหลือเชื่อเกินกว่าเป็นเพียงแค่ความฝัน เธอจะอธิบายแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้คนตรงหน้าฟังอย่างไรดีโดยไม่ให้ทุกคนหาว่าเธอเป็นบ้า

“พี่ไม่ใช่คนคิดสั้น ไม่ทำร้ายตัวเองเพราะเรื่องเล็กๆ นี้หรอก” กันต์พูดแทรกเข้ามาปกป้องพี่สาว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ผมว่าเรื่องนี้ไม่ปกติ ตอนอยู่ที่บ้านวันก่อนพี่ก็มีอาการแบบนี้” สีหน้ากันต์จริงจัง จนรติรสสงบปากสงบคำหันมาฟัง

กานติศาคิดตามน้องชายบอก ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งสองครั้ง ปรากฎการณ์วิปลาสเคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอคิดว่าเป็นเพียงการฝันหลับๆ ตื่นๆ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ครั้งล่าสุดมันรุนแรงกว่าหลายครั้งที่ผ่านมารวมกันเสียอีก “เป็นเพราะพี่ฝัน”

“ฝัน?” คำตอบฟังดูกลลวงไม่ค่อยน่าเชื่อ

“เหมือนการฝันที่ยาวนานจนหาทางกลับบ้านไม่ได้ ถึงได้หลับไปตั้งสองวัน โชคที่ตื่นขึ้นมาซะก่อน ไม่งั้นพี่คงตายแน่ๆ ” เสียงหัวเราะคล้ายคนเสียสติ หากไม่ตื่นขึ้นมาเธอคงนอนตายหัวแบะสมองไหลตรงนั้น

“พี่พูดไม่ตลกนะ ผมไม่ขำด้วย ทำให้ผมเป็นห่วงแทบตาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ จะให้บอกพ่อแม่ยังไง” กันต์พูดเสียงดังจนรติรสยกมือขึ้นตีไหล่เขาให้เบาเสียง เกรงเป็นการรบกวนคนไข้ท่านอื่น

“ก็เห็นๆ อยู่กานไม่ได้เป็นอะไรแล้ว นายควรดีใจนะ ทำไมนายต้องอารมณ์เสียด้วย”

“ผมไม่เชื่อ”

“เอาน่าๆ ทั้งสองคน” กานติศาต้องยกมือห้ามทัพก่อนจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ “พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว ใครๆ ก็ฝัน เป็นเรื่องธรรมดา หมอเองก็บอกว่าพี่นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ความหล้าสะสม ผลเลือดเป็นปกติ ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว”

“แล้วนายไม่เคยรึไง กานเล่าว่านายแอบหลับตอนเรียนออกจะบ่อย น่าจะเคยฝันถึงสาวๆ บ้าง เช่น สาวทรงโตในภาพโปสเตอร์”

กันต์ตาโตหันไปมองพี่สาว กานติศาส่ายหน้าปฏิเสธไม่ได้เป็นผู้คายความลับ แล้วสาวขี้แยไปรู้เข้าได้ไง

“งั้นผมไปดีกว่า ไปทำเอกสารโรงพยาบาล โทรบอกข่าวพี่ต้นซะหน่อย” เขารีบลุกก่อนจะโดนย่ำเละ

เมื่อได้ความเป็นส่วนตัว ทั้งคู่ก็สวมกอดกันดีใจ ราวกับเพื่อนไม่ได้พบเจอหน้ากันมานาน ยิ้มมุมปากใส่กัน ต่อมความรู้อยากเห็นเริ่มทำงาน รติรสยิงคำถามใส่เพื่อน “เล่าความฝันแกให้ฟังหน่อยสิ ฝันถึงใคร เขาหล่อเหมือนผู้ชายปกนิยายโรมานซ์มั้ย”

แพทย์ยอมเซ็นเอกสารอนุญาตคนไข้ออกจากโรงพยาบาลให้กลับบ้าน หลังจากมั่นตรวจเช็คอาการคนไข้พบว่าหายดีเป็นปกติแล้ว สำหรับอาการหลับปลุกไม่ตื่นเหมือนเจ้าหญิงนิทราทางโรงพยาบาลแจ้งว่าไม่สามารถตรวจสอบหาสาเหตุได้ หากอาการเหล่านี้กลับมาอีกค่อยแจ้งโรงพยาบาลอีกครั้ง แทนที่สร้างความสบายใจให้กับทุกฝ่าย กลับตีหน้าเครียดกว่าเดิมเพราะไม่ทราบโอกาสกลับมาเป็นอีกเมื่อไร กานติศาดูไม่กังวลเท่าไรนัก ออกจะดีใจด้วยซ้ำไปที่ความฝันได้จบลงแล้ว จากการทดลองนอนหลับในคืนนั้น รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาปลอดภัยดี ไม่กลับไปที่โลกนั้นอีก เป็นคืนได้นอนหลับลึกอย่างมีความสุข

“ผมจะไปเรียกแท็กซี่” กันต์ออกไปโบกเรียกแท็กซี่พาพวกเขากลับบ้าน ไร้เงาพี่ต้น ธรณินทร์ ซึ่งหาเวลาเข้ามาเยี่ยมรุ่นน้องไม่ได้เพราะติดงานสำคัญ เขาได้โทรเข้ามาสอบถามอาการ หญิงสาวอธิบายไปตามอาการและไม่มีอะไรต้องห่วงอีก เธอแสดงความยินดีที่โปรเจคของเขาผ่านไปด้วยดี คณะกรรมการชื่นชอบมากยินดีร่วมลงทุน

เผอิญเก้าอี้รถเข็นที่กานติศานั่งอยู่ไปชนขาผู้ชายเดินสวนทางเข้า ชายหนุ่มหล่อมาดเข้มในชุดสูทสากล เอกสารในมือร่วงลงมากระจัดกระจายเต็มพื้น รติรสยกมือไหว้ขอโทษพร้อมลงมาช่วยเก็บเอกสารให้ แต่ชายผู้นั้นไม่ยินดีรับการช่วยเหลือ ดึงเอกสารจากมือหล่อนอย่างหยาบคาย

“ไม่ต้องช่วย ผมเก็บเอง” เสียงดุไม่แคร์ว่าจะทำลายความมั่นใจผู้ฟังแค่ไหน กลับสบตาหญิงสาวนั่งเก้าอี้รถเข็นผ่านแว่นกรอบเหลี่ยม ทั้งคู่ประสานตาด้วยความบังเอิญ

“ผู้ชายอะไรออกจะหล่อ แต่หยาบคายเป็นบ้า” รติรสบ่นเป็นหมีกินผึ้งขณะที่เข็นรถไปที่รถแท็กซี่จอดรอรับพวกเขา อะไรดลใจให้กานติศาเหลียวหลังไปมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งกำลังเดินไปที่ลิฟต์มีสาวสวยขายาวผู้หนึ่งยืนรออยู่ด้วย



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2561, 22:21:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2561, 22:21:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 558





<< บทที่ 6 (2) สับสน   บทที่ 7 (2) วันเวลาที่หายไป >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account