+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ

แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์

นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้

นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา

โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก

ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว

แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ

สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D


ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ

สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ

ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน

ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555

Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน

ตอน: ตอนที่ 31

รถญี่ปุ่นกลางเก่าแล่นตะบึงไปบนถนนบางนา-ตราดด้วยความเร็วสม่ำเสมอ เครื่องปรับอากาศเป่าไอเย็นกระจายไปทั่วห้องโดยสาร

“คุณสาวัชขับรถนาน ๆ จะง่วงแย่ เดี๋ยวอิงนั่งคุยเป็นเพื่อนเอง” คนพูดหมายมั่นปั้นมือ “อ้อ...อิงไม่อยากตะเบ็งคุยแข่งกับเพลง งั้นเราอย่าเปิดวิทยุเลยเนอะ”

“ผมอยากฟังเพลง”

“เดี๋ยวอิงร้องให้ฟังเอง”

“งั้นคุณคุยเถอะ” เขาเลือกออพชันแรก เพราะน่าจะปลอดภัยกว่า

อิงอรุณหัวเราะ “อิงร้องเพลงเก่งนะ ได้ทั้งไทย สากล ญี่ปุ่น หรือจีนก็ร้องได้”

“คุณเนี่ยนะร้องเพลงจีน”

“ร้องได้แบบนกแก้วนกขุนทองน่ะค่ะ ไม่เข้าใจความหมายหรอก” เธอชะงักไปเล็กน้อย “คุณสาวัชเป็นคนจีนนี่นา คุณพูดภาษาจีนได้ไหมคะ”

ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าเธอจะวกมาถามเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เขานิ่งไปนานจนบรรยากาศในรถอึดอัดเล็กน้อย สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างเย็นชา “ผมพูดฟังอ่านเขียนไม่ได้สักอย่าง เพราะผมเคยเกลียดที่ตัวเองเกิดมาเป็นคนจีน! ”

“คะ?” อิงอรุณอุทานเสียงหลง บอกให้รู้ว่าตกใจแท้จริง

“ตอนเด็ก ๆ ผมอายที่เกิดเป็นลูกคนจีน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียกพ่อว่าเตี่ย เรียกคุณปู่คุณย่าว่าอากงอาม่า แถมที่บ้านยังมีคุณนายใหญ่ มีเจ้กับเฮีย เป็นครอบครัวที่ไม่เหมือนเพื่อน ๆ เลย” เขาถอนใจ “ความอายนั่นสะสมไปเรื่อย จนวันนึงผมก็คิดได้ว่าผมไม่ได้อายหรอก ผมเกลียดครอบครัวตัวเองต่างหาก”

ชายหนุ่มทำใจว่าคงต้องถูกเหยียดหยัน รังเกียจ หรืออาจถึงขั้นดูถูก เพราะคนที่เดียดฉันท์ชาติกำเนิดตัวเอง ก็คู่ควรกับความรู้สึกด้านลบแบบนี้ทั้งนั้น

ทว่าจากปลายหางตา อิงอรุณกลับยิ้มสดใส มองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความชื่นชม “คุณเก่งมากที่กล้ายอมรับความจริงแบบนี้”

สาวัชเต็มตื้นในใจ จะมีสักกี่คนบนโลกที่ให้กำลังใจเขาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แค่อยู่ตรงนี้ รับฟังเขา ไม่ดูถูก ไม่หยามหยัน แค่ยอมรับและเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น

“ผมดิ้นรนสอบชิงทุนเพื่อหนีไปให้พ้นจากบ้านพิลึก ๆ จนวันที่ไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าไกลจากแผ่นดินเกิดคนละซีกโลก ผมถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วผมภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของตัวเองแค่ไหน”

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ แหม...คุณสาวัชเล่าช้าจัง ไม่ทันใจวัยรุ่นเลย”

“ละครที่ไหนเปิดเรื่องมาก็พีคเลย ต้องปูพื้นก่อนสิ” เขาค่อน

“พอเลย ๆ ไม่ต้องอารัมภบทแล้วค่ะ เข้าเรื่องเลยสิ อิงอยากรู้แล้วนะ”

“ผมไปสเตทส์ตอนเกรดสิบ ถูกบังคับเรียนประวัติศาสตร์อเมริกาซึ่งไม่มีความท้าทายเลยสักนิด ประเทศที่มีประวัติศาสตร์แค่สองร้อยปี สู้ไทยไม่ได้เลย กรุงศรีอยุธยาเคยเป็นราชธานีตั้งสี่ร้อยสิบเจ็ดปี กรุงธนบุรี แล้วยังมากรุงรัตนโกสินทร์อีกสองร้อยกว่าปี สเตทส์น่ะขี้ฝุ่นชัด ๆ นี่ยังไม่พูดถึงประวัติศาสตร์จีนตั้งห้าพันปีนั่นนะ”

“อยู่เมืองไทยเป็นสิบปี คุณเกลียดครอบครัวตัวเองเกลียดความเป็นคนจีน แต่ไปเมืองนอกปุ๊บ คุณกลายเป็นคนชาตินิยมจ๋าขึ้นมาเลยเหรอ กลับขั้วเร็วจัง”

“ผมมีฝรั่งรอบตัวอยู่ทุกลมหายใจตั้งแต่ตื่นยันเข้านอนตั้งหลายปี ยิ่งเราถูกบีบจากรอบตัวเท่าไหร่ ความเป็นไทยก็จะยิ่งซึมเข้าไปในตัวเรามากขึ้นเท่านั้น ก็เหมือนเวลาใช้แรงดันสูง ๆ อัดแก๊สและน้ำหวานให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันนั่นแหละ”

“คุณสาวัชไม่น่าเรียนประวัติศาสตร์เลย บอกว่าเรียนการตลาด อิงยังจะเชื่อมากกว่า เอะอะก็ขายซูเปอร์โคลาลูกเดียวเลย”

“ผมเคยเชื่อว่าการแยกตัวไปไกล ๆ จะทำให้คนทางบ้านสบายใจ โล่งใจที่ไม่ต้องเจอ ไม่ต้องเผชิญหน้ากัน แต่ในอีกมุม มันก็สามารถมองว่าผมทิ้งภาระ ทิ้งกิจการของครอบครัวไว้ให้พ่อและพี่ ๆ โดยไม่เคยแยแสเลยสักนิด”

“เราทุกคนต่างก็มีเหตุผลของตัวเองนี่คะ”

“คนอื่นคงคิดว่าผมเห็นแก่ตัวที่ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ แต่ไม่เคยถามคุณหยงหรือคุณฮกเลยว่าเขาอยากใช้ชีวิตแบบไหน ผมแค่เดินออกมา ปล่อยให้เขารับผิดชอบบริษัท ทั้งที่บางทีเขาอาจไม่ต้องการอย่างนั้นก็ได้”

“คุณสาวัชพูดซะอิงรู้สึกผิดไปด้วยเลย เพราะอิงก็เป็นคนนึงที่ไม่ยอมไปทำงานที่บริษัทของพ่อ”

“ลึก ๆ ในใจคุณก็ถามตัวเองแบบนี้อยู่บ่อย ๆ ต่างหาก แค่อะไรมากระทบนิดนึง คุณก็เลยรู้สึกรู้สาไปด้วย” เขายักไหล่ “คิดว่าผมเป็นเด็กมีปัญหาหรือเปล่า”

“เด็กมีปัญหาที่รู้ตัวว่ามีปัญหา เราไม่เรียกว่ามีปัญหาค่ะ คนที่มีปัญหาจริงคือคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีปัญหามากกว่า” เธอหัวเราะ “พูดเอง อิงว่าอิงจะงงเองละ”

สาวัชเผลอยกมุมปากขึ้นนิด ๆ ด้วยความเอ็นดู รอฟังเธอพูดต่อ แต่แล้วจู่ ๆ คนช่างซักกลับเงียบไปเฉย ๆ เขาเหลียวไปมองสตรีเคียงข้างแวบนึง

ภาพที่เห็นเป็นสิ่งที่เขามิได้คาดไว้ก่อนเลย เมื่ออิงอรุณนั่งหลับตา พนมมือ ปากขมุบขมิบพึมพำแผ่วเบา พอจับใจความได้ว่าเป็นบทแผ่เมตตา เขาคอยจนเสียงงึมงำจางแล้ว จึงถามขึ้นโดยไม่ละสายตาจากท้องถนน “มีอะไรหรือ”

“เห็นศพหมาที่ข้างทางน่ะค่ะ อิงเลยแผ่เมตตาให้ เขาจะได้พ้นทุกข์ รับบุญกุศลแล้วไปเกิดใหม่ในภพภูมิที่ดีกว่า”

คำตอบของเธอทำให้เขารู้สึกละม้ายมีสำลีฟู ๆ กองใหญ่หล่นลงมาในใจ ความนุ่มนวลบางประการค่อย ๆ แทรกกำแพงหนาหนักเข้าไปเกาะกุมหัวใจ รู้สึกละม้ายดอกไม้กำลังโปรยปรายลงมารอบบรรยากาศในรถ กลีบบอบบางไปล่ปลิวมาแตะแต้มที่หน้าอกเบื้องซ้าย และทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ตรงนั้น...เนิ่นนาน

“คุณใจดี ไม่กลัวว่าเที่ยวอุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ตามรายทางอย่างนี้ สักวันบุญของคุณจะหมดเหรอ”

“หลวงปู่สอนว่าการอุทิศบุญให้คนอื่น ด้วยจิตอันเป็นกุศลที่เราอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ทำให้บุญของเราเพิ่มขึ้น เปรียบเหมือนเรามีคบไฟอยู่ เวลาเอาไฟของเราไปต่อให้กับคนอื่น ไฟของเราก็ไม่ได้หายไปหรือดับไป แต่กลับทำให้สว่างมากขึ้น ๆ ”

“จริงจังมากเลยนะเนี่ย” สาวัชเห็นจากปลายตาว่าอิงอรุณตวัดค้อนมาอย่างฉุน ๆ ดูท่าทางแล้วเธอคงอยากทุบเขามากกว่า

ชายหนุ่มจึงตั้งคำถามต่อ “การเป็นคนธรรมะธัมโมเป็นคุณสมบัติข้อนึงของผู้ช่วยกามเทพหรือเปล่า”

“ไม่เลยค่ะ อิงต้องหาคอร์สทำบุญไว้พาลูกค้าไปไงคะ ก็เลยต้องเข้าวัดบ่อยมาก แรก ๆ อิงแค่ติดสอยห้อยตามแม่ไปวัดพอให้มีความรู้ติดตัว แต่พอไปบ่อยเข้าก็ชักติดใจค่ะ ทีนี้เวลาสงสัยอะไรก็ไปกราบเรียนถามหลวงปู่ ยิ่งถามก็ยิ่งรู้สึกว่ายังมีเรื่องที่อิงไม่รู้อีกเพียบเลย” หญิงสาวเล่าเกร็ดเล็กน้อยที่พบเจอด้วยตัวเองอย่างเพลิดเพลิน ลงท้ายแทบทุกประโยคด้วยการบอกว่าต้องไปทำบุญเพื่อความสบายใจ แม้ไม่อาจแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ก็ตาม

“อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ” สาวัชผุดรอยยิ้มที่มุมปาก คาดไม่ถึงว่าประเด็นทางศาสนาจะน่าฟังถึงเพียงนี้ เพียงเพราะคู่สนทนาของเขาคืออิงอรุณ!



เพียงรถแวะจอดหน้าร้านสะดวกซื้อในสถานีน้ำมัน สาวัชก็หันมาบอก “พักรถสักครู่ คุณจะได้ยืดเส้นยืดสายที่ต้องอุดอู้ในรถเล็ก ๆ แล้วก็เข้าห้องน้ำก่อนเดินทางต่อ”

“ไม่เห็นจะอุดอู้เลย รถคุณเบาะนุ่ม เลกรูมก็กว้างยืดขาได้สบาย แถมแอร์ก็เย็นฉ่ำ อิงน่ะสบายจนเกือบหลับเลยนะ” เธอยู่หน้าบอกสารถีจำเป็นมองไปนอกรถด้วยความสนใจ “ปั๊มนี้ของกินเยอะจัง เลือกไม่ถูกเลย”

“ถ้าคุณหิวเดี๋ยวผมแวะร้านอาหารให้ดีกว่า”

“ไม่เอาอะค่ะ ตรงนี้ก็มีของกินเยอะแยะ ทั้งฮอตดอก ลูกชิ้นทอด หมูปิ้งข้าวเหนียว อุ๊ย! ตรงนั้นมีขนมครกด้วย แหม...นี่ถ้ามีไอติมปิดท้ายด้วยก็แจ่มเลย” เธอร่ายเมนู พลันมีสีหน้าตื่นเต้น ชี้ไปยังรถเข็นคันที่อยู่ค่อนข้างไกล

“โอ๊ย! พรหมลิขิตหรือเปล่าเนี่ย นั่นวาฟเฟิลฮ่องกงนี่นา” เธอหันไปทางสาวัช “อิงอยากกินมาตั้งหลายวันละ ใครจะเชื่อเนี่ยว่ามาไกลจากกรุงเทพฯ ขนาดนี้ ยังอุตส่าห์มีวาฟเฟิลฮ่องกงให้กินด้วย”

“พรหมลิขิต?” สาวัชทวนคำคิ้วขมวดมุ่น “วาฟเฟิลฮ่องกงเนี่ยนะ”

“ช่าย เพราะอิงกับคนขายร้านนี้มีวาสนาต่อกัน เคยทำบุญมาด้วยกัน โชคชะตาก็เลยหมุนให้อิงได้มาเจอกับวาฟเฟิลฮ่องกงสมใจไงคะ”

“ประเทศไทยมีสามจีแล้วนะ คุณยังจะปล่อยชีวิตไปตามโชคชะตาอีกเหรอ”

อิงอรุณค้อน “คุณสาวัชนี่ไม่โรแมนติกเลย ต่อให้เราใช้สี่จีได้ทั่วประเทศแล้ว คุณก็ต้องหัดเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นบ้างนะคะ พระเจ้าออกแบบชีวิตมนุษย์ให้มีทั้งอารมณ์ เหตุผลและสิ่งเร้าต่าง ๆ อีกมากมาย เราต้องรื่นรมย์กับทุกด้านของชีวิต ใช้อารมณ์สลับกับเหตุผลหรือบางทีก็ไม่ต้องใช้อะไรเลย เสี่ยงหัวก้อยประมาณเนี้ย ชีวิตจะได้มีเรื่องสนุก ๆ ให้แปลกใจบ้าง”

อิงอรุณลงจากรถมุ่งไปยังร้านขนมที่หมายตา

ชายหนุ่มล็อกรถแล้วรีบก้าวตามไปข้าง ๆ “เสี่ยงหัวก้อยเนี่ยนะ คุณจบปริญญามาจริงหรือเปล่า พูดจาเหมือนสาวช่างฝันชั้นมัธยมเลย”

“ไม่โกรธค่ะ ถือว่าเป็นคำชมนะ การปล่อยให้ความเป็นเด็กในตัวเราได้โลดแล่นบ้าง ดีจะตาย” อิงอรุณยักคิ้ว

“เด็กตะกละน่ะสิ ขืนซื้อรายการที่คุณไล่มาเมื่อกี้ทุกอย่าง รถผมคงไม่พอใส่”

“ตะกละที่ไหนคะ เขาเรียกเด็กกำลังโตต่างหาก”

“ยังดีนะที่คุณไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่แตะโน่นนิดนี่หน่อย ไม่กล้ากินอะไรสักอย่าง”

“ดียังไงคะ” เธอหยุดเดิน หันมาถามเขาด้วยสีหน้าสนเท่ห์

“ผู้หญิงแบบนั้นน่ารำคาญ”

“งั้นก็หาแฟนกินเก่ง ๆ แบบอิงนะคะ คนไหนที่เห็นแววว่าจะมีข้อเสียที่คุณไม่ชอบ ก็รีบชิงตัดใจก่อนเลย จะได้ไม่ต้องถลำใจลึกเกินไป”

“รอให้ผมรักผู้หญิงคนนั้นแล้วค่อยรู้ข้อเสียของเธอดีกว่า เพราะแบบนั้นไม่ว่าจะมีอะไรรออยู่ แต่คนอย่างผมถ้ารักแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจโดยเด็ดขาด”

คนฟังเบ้ปาก “หาว่าอิงเป็นเด็ก คุณสาวัชน่ะไร้เดียงสากว่าเด็กอนุบาลอีก”

“คุณพูดจาแบบนี้กับวิทยากรของบริษัทได้ยังไง” ชายหนุ่มดุเสียงเข้ม แต่สีหน้าไม่ยักเคร่งขรึม ริมฝีปากดูจะมีรอยยิ้มนิด ๆ ด้วยซ้ำ

อิงอรุณชักสงสัยว่าคนที่มาด้วยกันวันนี้คงเป็นสาวัชตัวปลอมแน่ ๆ เพราะนัยน์ตาเขา ‘ยิ้ม’ ได้! แถมยังพูดเยอะคำขึ้นจนเธอเลิกนับไปแล้ว “วันนี้เรามาสำรวจสถานที่สำหรับคอร์สใหม่กัน เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของอิงต่างหาก”

“งั้นวันนี้ให้ผมเลี้ยงขนมเพื่อนร่วมงานละกัน” เขาสรุปดื้อ ๆ

“อิงกินเก่งนะคะ”

“ผมเลี้ยงไหว” สาวัชเน้นประโยคเสียงหนัก

“งั้นสั่งวาฟเฟิล แล้วไปซื้อหมูปิ้งกับลูกชิ้นทอดไว้กินบนรถ ระหว่างรอก็เข้ามินิมาร์ทซื้อไอศกรีมกินฆ่าเวลา” หญิงสาวกะการณ์

สาวัชพยักหน้าว่าง่าย พร้อมกับผายมือให้เธอนำทาง

อิงอรุณช็อปปิ้งของกินสนุกสนาน ไม่รู้ตัวเลยว่าที่เจริญอาหารจนรับประทานหมดเกลี้ยง สาเหตุเพราะอร่อยถูกปากจริง ๆ หรือเพราะทุกเรื่องราวที่ได้กระทำกับสาวัชล้วนดีงาม และควรค่าแก่การฉกฉวยความสุขเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุดกันแน่!



เสียงไอแหบ ๆ ที่ดังลอดมาจากในห้อง ทำให้ริสาขมวดคิ้วด้วยความกังวล หญิงสาวเคาะประตูแล้วผลักเข้าไปในห้องทำงานของบิดาโดยไม่รอฟังคำอนุญาต

ภาพตรงหน้าทำให้หงุดหงิดได้เช่นทุกครั้ง เมื่อธนานั่งอยู่บนโซฟากำลังอ่านนิตยสารการเงิน โดยมีสาวิตรีซุกตัวอยู่ใกล้ ๆ

ครั้นเห็นเธอเต็มตา ‘ผู้หญิงของพ่อ’ ก็ขยับตัวนั่งตรงอย่างเชื่องช้า

ธนาเงยขึ้นเสียที “หยงเองเหรอ วันนี้วันอาทิตย์ ลื้อไม่ไปไหนหรือ”

“หยงเคลียร์งานน่ะค่ะ” เธอรีรอ เห็นอาการของบิดาแล้วชักอยากให้ท่านพักผ่อน มากกว่าเอาเรื่องมารกใจ

“อึกอักอย่างนี้มีอะไรจะคุยกับเตี่ยหรือเปล่า” เสียงธนาแหบแห้งจนเธอกังวล

“นิดหน่อยค่ะ แต่เอาไว้วันหลังก็ได้”

“ไม่ต้องวันหลังหรอก มีอะไรก็พูดมา”

เธอปรายตาไปทาง ‘คนนอก’ กดเสียงให้สุภาพ “ขอคุยกับเตี่ยตามลำพังค่ะ”

สาวิตรีอิดออดเล็กน้อย ครั้นธนาไม่แย้ง ฝ่ายนั้นจึงลุกออกไปอย่างไม่เต็มใจ

“อย่าคุยนานนักนะคะ เสี่ยหายใจไม่ค่อยสะดวก น้าอยากให้พักมากหน่อย” สาวิตรีทำทีห่วงใยธนาชนิดที่เธออยากให้ตุ๊กตาทองนักแสดงยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

ยิ่งเธอเต้นเร่าโกรธกริ้วก็มีแต่จะเข้าทางอีกฝ่ายให้สะใจไปเท่านั้น ในเมื่อเสแสร้งมา เธอก็ทำเป็นรู้ไม่ทันให้อีกฝ่ายผิดหวังนั่นแหละดีที่สุด!

“หยงห่วงท่านไม่แพ้ใครในบ้านนี้หรอกค่ะ”

ริสาเข้าไปนั่งข้างบิดา แตะแขนท่านด้วยความเป็นห่วง “ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เตี่ยหอบหนักจัง ตัวบวมด้วย ไปให้หมอเช็กปอดดูหน่อยไหมคะ”

ธนาโบกมือ “เตี่ยแค่...บวมน้ำเอง ลื้ออย่ามายัดเยียดโรคให้เตี่ย ลื้อมีเรื่องอะไรจะคุยก็ว่ามา”

ริสาจดไว้ในใจว่าธนาพูดได้สองสามคำก็ต้องหยุดหายใจ แถมยังทำท่าราวกับหายใจไม่ค่อยเข้าด้วย เธอเห็นท่านพูดแล้วทรมานแทนเลยทีเดียว

เดี๋ยวต้องลองถามเพื่อนที่เป็นหมอดูหน่อยว่าอาการแบบนี้อันตรายหรือเปล่า

“หยงไปพบคุณสุพจน์ เทียมสุบรรณ ประธานกรรมการบริหารของสยามดริ๊งค์คอร์ปอเรชันมาค่ะ คุณสุพจน์อยากเสนอให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินกับปรเมศวร์เทรดดิ้ง แลกกับการขอแจมใช้สายส่งของเรากระจายสินค้าค่ะ”

“ไม่รับ” ธนาตอบทันควัน สีหน้ายโสภาคภูมิ “เราไม่ได้ลำบาก ถึงขนาดต้องรับความช่วยเหลือจากใคร”

“คุณสุพจน์แค่อยากเป็นพันธมิตรทางธุรกิจค่ะเตี่ย เขาพูดทำนองว่าวันหน้าบริษัทเราจะเติบโตกว่านี้ อาจต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น” ริสาเอ่ยอย่างระมัดระวัง ครั้นเห็นบิดาไม่มีทีท่าว่าจะอารมณ์ขึ้น จึงหยั่งเชิงด้วยการ “หยงคิดว่าเขาพูดถึงวันที่ราคาหุ้นเราจะขึ้นไปแตะ ๔๒ บาทค่ะ”

ธนาไอโขลกจนตัวน้ำตาไหล หอบจนเธอตกใจ

แต่สุดท้ายธนาก็ฝืนเอ่ย “ทำไมถึงต้องเป็นสี่สิบสองบาท”

ริสาเม้มปากชั่งใจ สุดท้ายจึงตอบตามตรง “ตอนที่รู้ว่าซูเปอร์โคลาจะทำเทน-เดอร์ออฟเฟอร์ สาวัชเสนอให้จ้างบริษัทที่ปรึกษาประเมินราคาหุ้นของเราเผื่อไว้ใช้ตอบโต้กับสเปน ตอนนี้ผลการประเมินออกมาแล้ว ที่ปรึกษาทางการเงินระบุว่าราคาหุ้นพีอาร์เอ็มควรจะซื้อขายกันที่ราคาสี่สิบสองบาท ถึงจะเป็นมูลค่าที่เหมาะสมค่ะ”

“สยาม...ดริ๊งค์ฯ?” ท่านถามสั้นเพราะเหนื่อยหอบมากขึ้นทุกที

“หยงค่อนข้างแน่ใจว่าข้อมูลจากที่ปรึกษาทางการเงินของเราหลุดไปถึงมือสยามดริ๊งค์ฯ แล้วค่ะ”

“ช่วย...หรือ...ซื้อ”

“ถึงคุณสุพจน์จะมีชื่อเสียงว่าบ้าดีเดือด ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่หยงเชื่อว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้นกับเรา ใครก็รู้ว่าปรเมศวร์เทรดดิ้งเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวเรา ยังไงเตี่ยก็ไม่มีวันยอมให้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นอยู่แล้ว”

ธนาพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นหอบอย่างหนักจนตัวงอดูทรมาน ริสาหน้าเสีย

“เตี่ยไม่เป็นอะไร” ธนาโบกมือ “ไปเถอะ เรียกสามาด้วยนะ เดี๋ยวเขาโกรธ”

ริสากัดริมฝีปากน้อยใจ ขนาดอาการเพียบอย่างนี้ ธนายังมีแก่ใจห่วงความรู้สึกผู้หญิงคนนั้นมากกว่าตัวเอง ทว่าเท่าที่เธอทำได้กลับมีเพียงลุกขึ้นยืน บอกเสียงเรียบแค่ “งั้นหยงขอตัวนะคะ เดี๋ยวจะเรียกคุณสาเข้ามาให้ค่ะ”

หญิงสาวคอเชิดแข็งเมื่อผลักประตูออกมาแล้วพบว่าสาวิตรียืนเตร่อยู่ไม่ห่าง ทั้งยังถลันเข้าไปในห้องโดยไม่รอฟังใด ๆ ทั้งสิ้น ริสาปรายตาสังเกตในห้อง ก็พบว่าสาวิตรีกุลีกุจอผวาเข้าไปลูบหลังลูบไหล่ให้บิดาของเธออย่างรู้ใจ

ซีอีโอคนล่าสุดของปรเมศวร์เทรดดิ้งกำมือแน่น เมื่อเห็นชัดตาว่าธนาเอนพิงโซฟาส่งยิ้มซีดเซียวให้ผู้หญิงคนนั้น ยิ้ม...ที่เธอกับแม่ไม่เคยได้รับเลยตลอดทั้งชีวิต!



-----------------------------------------------------------

ประกาศ

เรื่องนี้จะลงให้อ่านฟรีจนจบ

หลังลงครบทุกตอน

จะติดเหรียญ 5/6 ของเล่มนะคะ



ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า

มีเฉพาะในฉบับตีพิมพ์และอีบุ๊คเท่านั้นค่ะ

ตามไปจิกหมอน+ฟินกันในเล่มได้เลย







หนังสือและอีบุ๊คพร้อมจำหน่ายแล้วนะคะ

สั่งซื้อฉบับหนังสือ https://goo.gl/HA1QWz

100 คนแรก จัดส่งฟรี + รับที่คั่นนกฟลามิงโกเพิ่มพิเศษ

หรือซื้อจากร้านนิยายรัก https://goo.gl/uPTdCs



E-Book

mebmarket >>https://goo.gl/o9FXn6

ookbee >>https://goo.gl/rf274b

Hytexts >>https://goo.gl/KcekzB



โหลดอีบุ๊คพยศดอกฟ้าภายใน 31 พ.ค.61

รับที่คั่นลายนกฟลามิงโกจัดส่งถึงบ้าน

อีก 100 รางวัลจ้ะ จัดกันไปเน้นๆ

บอกให้รู้ว่าจะซื้อเล่มหรืออีบุ๊ก ก็รักเท่ากันนะจ๊ะ



วิธีการรับของรางวัล อ่านกันดีๆ ค่ะ

1. ถ้าซื้อจาก Meb ไปที่ My Account -> My privilege แล้วรับสิทธิ์เลย

2. ถ้าซื้อจาก ookbee หรือ hytexts แคปหน้าจอการสั่งซื้อ ระบุอีเมลที่ใช้ login ส่งมาที่กล่องข้อความของเพจสิริณ

สิริณจะยืนยันกลับเฉพาะท่านที่ได้รับสิทธิ์นะคะ

เฉพาะอีบุ๊ก แจก 100 ชิ้นค่ะ ครบเมื่อไหร่ ปิดการแจกทันที



สะดวกช่องทางไหนสั่งซื้อเลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังรักและเมตตากันเสมอนะคะ




สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2561, 23:03:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2561, 16:49:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 678





<< ตอนที่ 30   ตอนที่ 32 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account