+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ

แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์

นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้

นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา

โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก

ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว

แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ

สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D


ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ

สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ

ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน

ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555

Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน

ตอน: ตอนที่ 32

‘สีชัง ชังแต่ชื่อ เกาะนั้นหรือจะชังใคร ขอแต่แม่ดวงใจ อย่าชังชิงพี่จริงจัง [1] ’

เสียงเพลงลอยตามลมทำให้สาวัชเผลอยกมุมปากขึ้นมากกว่าปกติจนเกือบเป็นรอยยิ้ม ตั้งแต่นั่งเรือข้ามจากท่าเรือเกาะลอยศรีราชา เช่ารถสามล้อไปยังศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ชมวิวยังช่องเขาขาด และมาจบลงที่พระจุฑาธุชราชฐาน อิงอรุณฮัมเพลงสีชังติดปากทุกครั้งที่เผลอ บอกให้รู้ว่าเธอกำลังอยู่โหมดผาสุกโดยแท้

“คนรุ่นคุณรู้จักเพลงแบบนี้ได้ยังไง” เขาถามอย่างอดไม่ได้

“ตอนเด็ก ๆ คุณตาเปิดเพลงคุณชายถนัดศรีทุกวัน ถ้าไม่รู้จักก็แปลกแล้ว” อิงอรุณเฉลยชื่นมื่นภูมิใจที่รู้จักเพลงเก่าโบราณซึ่งคนยุคใหม่น้อยนักจะเคยได้ยิน

มันคงเป็นความลำเอียงที่ทำให้สาวัชคิดว่าเธอน่ารัก!

“ถึงจะชื่อสีชัง แต่ที่นี่กลับเป็นเกาะแห่งรัก” ตามประสาอาจารย์เขาจึงอดบรรยายเหมือนมาทัศนศึกษาไม่ได้

“เกาะแห่งรักเลยเหรอ ยังไงคะ”

“สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ เคยเสด็จแปรพระราชฐานที่นี่ พระ-อัครมเหสีของพระองค์ท่าน ขณะดำรงพระอิสริยยศพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระวรราชเทวีในพระองค์ เคยเสด็จมาประทับรักษาพระอาการประชวร แถมยังมีพระประสูติกาลเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ที่นี่ ส่วนเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ พระเชษฐาของเจ้าฟ้าจุฑาธุชก็เคยเสด็จมาพักฟื้นที่นี่เหมือนกัน เขาก็เลยมีคำกล่าวกันว่าที่ใดมีรักของบุรุษที่ยิ่งใหญ่ ที่นั่นย่อมเต็มไปด้วยพลังแห่งความรัก

“ถ้าอยากเติมความหวานให้ชีวิตรักต้องมาชมแสงแรกของวันตรงปลายสะพานแห่งรักด้วยกัน หรือไปอธิษฐานขอพรที่กลางช่องเขาขาดตอนพระอาทิตย์ตกเพื่อทำให้ความรักยืนยาว”

“โรแมนติกเว่อร์อะ” อิงอรุณตื่นเต้น รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกเสียง จดรายละเอียดสำคัญลงในแท็บเล็ต และถ่ายรูปจำนวนมาก

หลังสาวัชพาชมอาคารอาไศรยสฐานทั้งสามหลัง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่าเรือนวัฒนา เรือนผ่องศรี และเรือนอภิรมย์ ตามพระนามของพระบรมราชเทวี พระวรราชเทวี และอัครชายาเธอทั้งสามพระองค์แล้ว ชายหนุ่มนำลูกทัวร์ไปยังสะพานอัษฎางค์ อันเป็นสะพานไม้สีขาวทอดยาวลงไปในทะเล มีศาลาพักอยู่ที่ต้น กลาง และสุดปลายสะพานจุดละหนึ่งหลัง

สายลมพัดพากลิ่นคาวไอเค็มจากทะเล แต่ฆานประสาทของเขากลับได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อน ๆ ที่ฉมกระจายอยู่รอบตัวอิงอรุณมากกว่า

สาวัชทอดสายตาไปตามเรือประมงน้อยใหญ่ที่ลอยเท้งเต้งอยู่ไม่ไกล แล้วเบือนหน้ามาทางสตรีข้างกาย จับตามองเธอด้วยหัวใจสุขสงบ อิงอรุณยืนตัวตรงสองมือเกาะราวสะพานไม้สีขาว เชิดหน้าขึ้นนิด ๆ หลับตาพริ้ม รอยยิ้มแต้มประดับใบหน้า แสงแดดฉาดฉานให้ดวงหน้าเธองามจรัส เดรสแขนยาวสีขาวพิมพ์ลายตัวหลวมที่ชายระอยู่เหนือเข่าเล็กน้อยปลิวไปตามสายลมแนบเรือนร่างบอบบาง

“เดี๋ยวผิวก็ไหม้หมดหรอก” เขาเตือน เมื่ออิงอรุณไม่มีทีท่าจะหลบแดด

“อิงลงกันแดดมาอย่างดี รับรองว่าไม่มีปัญหาค่ะ” ดวงตากลมโตลืมขึ้นมามองเขาตาใสแจ๋ว “ว่าแต่อิง แล้วคุณสาวัชเหอะค่ะ ทากันแดดมาหรือเปล่า”

“ผู้ชายไม่ต้องทาหรอก”

อิงอรุณเบ้ปาก “รังสียูวีมันเลือกเหรอคะ ว่าคนนี้ผู้หญิงคนนี้ผู้ชาย ฉันจะโดนแต่ตัวผู้หญิงเท่านั้นน่ะ”

ไม่บ่อยที่สาวัชต้องรบกับคนช่างประชด และจะว่าไปอิงอรุณก็...มีเหตุผล!

“เอาเถอะ ครั้งหน้าผมจะทาละกัน”

“โอ้โห...คุณสาวัชกินยาผิดสำแดงหรือเปล่าคะเนี่ย นอกจากจะไม่ตอกกลับให้อิงหงายแล้ว วันนี้มีโหมดยอมให้อิงง่าย ๆ ด้วย”

“คิดว่ายังไงล่ะ”

“ก็คิดว่าดีจังเลยน่ะสิคะ”

“ทำไมถึงดี” หัวใจเขาเต้นระรัวเร็ว มือเย็นจนรู้สึกได้ สาวัชเสวางมือบนราวรั้วกำแน่นเพื่อซ่อนอาการประหม่าและระบายความตื่นเต้น

“ต้องมีเหตุผลด้วยเหรอคะ” ดวงตาอิงอรุณมีรอยระยิบเป็นประกายสดใส

ชายหนุ่มเบาใจว่าเธอก็คงคิดไม่ต่างกัน เพราะตลอดเวลาที่รู้จักกัน ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยแสดงความเป็นกันเองเฉกที่กระทำต่อเขากับผู้อื่น

“ผมยังต้องมีเหตุผลเลย”

“เหตุผลอะไรเหรอคะ”

“คุณเคยรู้สึกดี ๆ กับใครสักคนไหม”

“ก็ต้องเคยสิคะ แหม...ถามแปลกจัง”

“แต่ผมไม่เคย” สาวัชจริงจัง

คู่สนทนาของเขาเอียงศีรษะแสดงความฉงน

ชายหนุ่มสบตาอิงอรุณนิ่ง ๆ แต้มยิ้มบางเบา ขณะเอ่ยช้า...ชัดเจนทีละคำ

“ผมไม่เคยรู้สึกดีกับใครมาก่อน จนกระทั่ง...ผมรู้จักคุณ! ”



“คุณสาวัชอำอิงใช่ไหมคะ บอกเลยว่าไม่สำเร็จหรอกน่า” อิงอรุณหัวเราะเบา ๆ ราวกับขบขันเต็มที ขณะหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเป็นจังหวะแปลก ๆ

สาวัชยิ้มนิด ๆ ไม่เอ่ยอะไร

อิงอรุณมือเย็นเฉียบ สังหรณ์ใจว่าเขา...พูดจริง! สาวัช ปรเมศวร์ ‘รู้สึกดี’ กับเธองั้นเหรอ หัวใจหญิงสาวแล่นระเริงโหมลั่นราวกลองศึก รู้สึกละม้ายมีแมลงตัวเล็ก ๆ โบยบินอยู่ในหัวใจจนรู้สึกคันยุกยิก กระทั่งแสงแดดที่แผดเผาอยู่ตามเนื้อตัวกลับให้ความรู้สึกอบอุ่น ชื่นบาน อ่อนหวาน...

เพียงเสี้ยวนาทีที่ปล่อยใจไปกับความรู้สึกอันแสนงดงาม หญิงสาวก็ได้สติ

บ้าไปละอิงอรุณ เธอไม่มีสิทธิ์รับความรู้สึกของใครแล้วนะ เพราะเธอกำลังจะเข้าพิธีหมั้น! นี่เขาคงไม่เชื่อที่เธอพูดวันนั้น ไม่งั้นคงไม่คิดเกินเลยกับเธออย่างนี้

สาวัชกะพริบตาช้า ๆ เป็นกิริยาที่เธอเริ่มคุ้นตาว่าเขากำลังพึงใจอะไรสักอย่าง ดวงตาพราวระยับ คิ้วคมเข้มยักยกขึ้นนิด ๆ ละม้ายต้องการแหย่เย้า

อิงอรุณสะดุ้ง เขาทำหน้าล้อเลียนใส่เธอ โอย...หญิงสาวอยากเป็นมาริโอนัก จะได้ทุบสาวัชให้กลายเป็นเห็ดเหมือนในวิดีโอเกมที่เคยเล่นตอนเด็ก ๆ หรือไม่ก็แปลงร่างเป็นแวมไพร์กัดคอคนหน้าเป็นตรงหน้าให้หนำใจ!

เดี๋ยว! คนหน้าเป็นเนี่ยนะ นั่นเป็นคำจำกัดความที่ตรงข้ามกับดอกเตอร์สาวัช

ปรเมศวร์ ที่สุดในโลก ไม่มีทางที่ผู้ชายขรึม ๆ หน้านิ่งยังกับใส่หน้ากากจะทำสีหน้าแบบนั้นใส่เธอจากความรู้สึกแท้จริงเด็ดขาด

“คุณสาวัชแกล้งอิงนี่คะ” เธอกำลังถ่วงเวลา พยายามหาวิธีบอกเขาเรื่องการแต่งงาน จะปล่อยให้เขา ‘รู้สึก’ อย่างนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด

“หิวน้ำหรือเปล่า ที่เรือนไม้ริมทะเลมีร้านกาแฟ ถ้าคุณอยากได้เครื่องดื่มสักแก้ว ผมจะเดินไปซื้อให้” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องดื้อ ๆ จนอิงอรุณตามไม่ทัน แม้มันจะทำให้มือเย็นเฉียบอุ่นลงทีละนิด หัวใจเต้นตูมตามค่อยสงบลงด้วย แต่เธอก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ทำไมเขาถึงไม่เชื่อว่าเธอกำลังจะแต่งงานนะ!

“เงียบแปลว่าอะไร”

“เอ่อ....คือ...อิงกำลังอยากได้โกโก้เย็น ๆ สักแก้วพอดีเลย แต่เราเดินไปด้วยกันก็ได้” หญิงสาวจำใจตามน้ำไปก่อน รอสบโอกาสเหมาะ ๆ ค่อยบอกละกัน

“คุณอยู่นี่แหละ แดดร้อน! ” สั่งเสร็จเขาก็หมุนตัวแยกไปทันที

อิงอรุณทอดสายตาไปทางทะเลอีกครั้ง ครานี้สายลมสดชื่นและไอเค็มกลับไม่อาจพัดพาความหนักใจจากเธอได้เลย ครั้นได้ยินเสียงโทรศัพท์ เธอซึ่งยังหมกมุ่นอยู่จึงรับสายโดยไม่ดูชื่อคนโทร.

“นี่อิงก็กำลังปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถอยู่นะ ไม่ได้ทำเล่น ๆ สักหน่อย” เธอทำเสียงจริงจัง หงุดหงิดนิด ๆ

ครั้นปลายสายเอ็ดมายาวเหยียด เธอจึงปลอบตัวเองให้สงบลง เสียงก็อ่อนลงเช่นกัน “อิงทุ่มสุดตัวขนาดนี้แล้ว อย่าลืมส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซนต์ของอิงละกัน”

เธอฝืนกระเซ้าคู่สนทนาอีกหลายประโยคก่อนวางสาย เมื่อหันมาก็เห็นสาวัชยืนอยู่เบื้องหลัง น่าจะนานพอดูแล้ว เขายื่นแก้วพลาสติกบรรจุโกโก้ปั่นมาให้เธอ

รอจนอิงอรุณรับเครื่องดื่มไป เขาจึงกะการณ์ “ผมโทร.เรียกรถสกายแล็ปละ เดี๋ยวเราไปดูหาดถ้ำพังกันต่อดีกว่า หาดที่นั่นลงเล่นน้ำได้ ลูกค้าคุณน่าจะชอบ”

“ดีจัง เริ่มทริปด้วยการไหว้พระขอพร ชมพระราชวัง แล้วก็เดินเล่นริมทะเล ก่อนนั่งเรือกลับศรีราชา” พอเขาวกไปเรื่องงาน อิงอรุณก็ลืมความอึมครึมในใจ

“เดินไหวไหม แดดร้อนนิดนึงนะ คนขับจะวกรถมารับเราที่เดิม”

“ไหวค่ะ ที่นี่อากาศดี ลมแรง แต่แดดก็จัดอยู่เหมือนกัน” อิงอรุณชวนคุย

“คุณอาจต้องเตรียมร่ม หมวก แล้วก็ครีมกันแดดไว้แจก”

“อุ๊ย! คุณสาวัชไอเดียดี” อิงอรุณควักแท็บเล็ตออกมาจดข้อความ สาวัชรีบแย่งดึงแก้วโกโก้ไปช่วยถือ

“คุณสาวัชก็ชักสนุกกับการเป็นผู้ช่วยกามเทพแล้วเหมือนกันใช่ไหมคะ” เธอถามทั้งที่ยังก้มหน้าจดโน้ต

“ผมแค่ช่วยคิด ไม่ได้สนุกสักหน่อย”

“โอเค ๆ เชื่อก็ได้ นี่เห็นว่าเป็นคุณสาวัชหรอกนะเนี่ย” อิงอรุณเงยขึ้นส่งยิ้มให้เขา เธอเก็บแท็บเล็ตแล้วรับแก้วเครื่องดื่มคืนพร้อมกับพึมพำขอบคุณ

“ตรงนี้หอมจัง” หญิงสาวทำจมูกฟุดฟิด เหลียวมองรอบตัว

“ลีลาวดีไง” เขาชี้ไม้ยืนต้นที่ปลูกเป็นทิวตลอดแนวขนานกับเขื่อนริมทะเล

“ลีลาวดีมีกลิ่นด้วยเหรอคะ ไม่เคยรู้เลย”

สาวัชก้มลงไปเก็บดอกลีลาวดีที่ร่วงอยู่บนพื้นและยังมีสภาพสวยงามยื่นมาตรงหน้าหญิงสาว “ดมดูสิ”

มือเล็ก ๆ แบออกรอรับดอกไม้ ทว่าชายหนุ่มส่ายหน้า พยักพเยิดไปยังมือตัวเอง ยืนกรานด้วยกิริยาแทน

หญิงสาวก้มลงไปสูดกลิ่นดอกลีลาวดีสีขาว กลิ่นหอมอ่อนหวานเย็น ๆ ทำให้ผ่อนคลาย ชื่นมื่น รู้สึกละม้ายก้าวผ่านประตูไปสู่ดินแดนที่แสนสงบสุข

“หอมมากเลยค่ะ อิงนึกออกละว่าตอนเข้าสปาก็ได้กลิ่นนี้บ่อย ๆ ตอนนั้นยังคิดว่าเป็นน้ำหอมซะอีก เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าเป็นกลิ่นดอกลีลาวดี”

“ขออนุญาตนะ” สาวัชพึมพำแล้วไม่รอคำตอบ เขาตั้งใจทัดดอกไม้ที่หูให้เธออย่างอ่อนโยน

หญิงสาวตัวแข็ง หน้าร้อนผ่าว หัวสมองว่างเปล่านึกไม่ออกว่าควรมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไร ตกใจน่ะของแน่ แต่เธอมั่นใจว่ามิได้โกรธเกรี้ยวที่เขาเข้าถึงตัวใกล้ชิดเพียงนี้!

“ที่มีคนบอกว่าผู้หญิงทุกคนบนโลกนี้เหมาะกับดอกไม้ ท่าจะจริง”

“คะ?” อิงอรุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าร้อนฉ่าเพราะแสงแดด เพราะคำพูดนั่น หรือเพราะความอ่อนหวานที่ยังทิ้งเหลือไว้จากการทัดดอกไม้ให้เธอ

ดวงตาสองคู่สบสานกันชั่วขณะ สายตาที่สาวัชทอดมองมาทำให้อิงอรุณขาสั่นรู้สึกเหมือนจะยืนไม่ไหวขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่อยากเชื่อว่าดวงตาคู่นึงจะส่งความรู้สึกทั้งอ่อนหวานและร้อนแรงมาได้พร้อมกันเช่นนี้!

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดจังหวะ สาวัชถอนสายตาไปอย่างอ้อยอิ่ง อิงอรุณเพิ่งรู้ตัวว่ากลั้นหายใจอยู่จึงผ่อนลมหายใจแผ่วเบาด้วยความโล่งอก นึกขอบคุณระฆังที่ดังขึ้นก่อนเธอจะทำเรื่องน่าอายให้สาวัชเห็นมากไปกว่านี้ ทั้งคู่ล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาพร้อมกัน พลันหญิงสาวกลับอมยิ้มอีกครั้งเมื่อพบว่าไม่ใช่สายของเธอ เขายังไม่เปลี่ยนเสียงเรียกเข้า

“ขอตัวรับสายนี้นะ” เมื่อเห็นชื่อผู้โทร.เข้า สาวัชหน้าถอดสี ร่องรอยผ่อนคลายเมื่อครู่ปรับเป็นโหมดเคร่งเครียดระดับสิบในพริบตา! แล้วเขาก็แยกตัวไป

อิงอรุณเห็นเขาวางสายแล้ว แต่กลับยืนนิ่งราวกับก้อนหิน หญิงสาวจึงเดินเข้าไปหา สีหน้าเขาไม่ใช่แค่ไม่ดี ต้องบอกว่ามันเผือดซีด มีความกังวลวางอยู่ทุกตารางนิ้ว

หญิงสาวมัวแต่เป็นห่วงจนลืมคำนึงถึงความเหมาะสม เธอบีบแขนเขา เน้นประโยคนั้นเสียงเข้ม “เกิดอะไรขึ้นคะคุณสาวัช”

“รถพยาบาลเพิ่งไปรับพ่อผมที่บ้าน กำลังพาไปส่งห้องฉุกเฉิน” น้ำเสียงเขาเย็นชาเหมือนครั้งแรกที่พบกันเปี๊ยบ

“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ ท่านอาจจะแค่ตกใจเหมือนตอนมีข่าวไฟไหม้ไงคะ”

สาวัชพยักหน้าขรึมนิ่งเงียบราวกับไม่เหลือคำพูดในพจนานุกรม

“คุณสาวัชอย่าเพิ่งคิดมาก เครียดไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น” อิงอรุณให้กำลังใจ ครั้นเห็นรถสกายแล็ปจึงบอก “รถมาแล้ว เรารีบไปกันเถอะ”

สาวัชยืนนิ่งเท้าทั้งคู่ขยับไม่ออกคล้ายยังไม่หายจากตกตะลึง หญิงสาวตบท่อนแขนเขาเบา ๆ หวังว่าเขาจะยืนหยัดผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี

“ทำใจสบาย ๆ ค่ะคุณสาวัช” น้ำเสียงนุ่มนวลของเธอทลายกำแพงความเข้มแข็งซึ่งสาวัชกางกั้นไว้สูงท่วมศีรษะจนภิณท์พังในพริบตา ทั้งยังหอบความอบอุ่นใจเข้ามาถมในใจเขาให้เต็มตื้นขึ้นพร้อม ๆ กัน

สาวัชก้มลงมาสบตากับเธอ พลางแต้มยิ้มบาง ๆ “ขอบคุณครับที่เตือนสติ”

เธอมัวแต่กระวนกระวายแทนคนข้างกาย จึงไม่ทันสังเกตว่ารอยยิ้มของชายหนุ่มอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความรู้สึกเพียงใด อิงอรุณรุนหลังให้สาวัชขึ้นรถก่อน แล้วสั่งคนขับไปท่าเรือให้เร็วที่สุด

โชคร้ายที่เรือเที่ยวก่อนหน้าเพิ่งออกไป ต้องรออีกสามสิบนาทีกว่าเรือเที่ยวถัดไปจะมา อิงอรุณจึงติดต่อหาเรือเช่าเหมาลำกลับเข้าฝั่ง โดยยอมจ่ายไม่อั้น จัดการราวเหตุด่วนธุระร้อนนี้เป็นเรื่องของตน

หญิงสาวสาละวนวิ่งวุ่น จนลืมสนิทว่าดอกไม้ที่ทัดหูอยู่ปลิวหล่นไปตั้งแต่เมื่อใด และเพียงเธอคล้อยหลัง นักท่องเที่ยวกลุ่มถัดมาก็เหยียบย่ำจนกลีบบางยับเยินอยู่กลางดิน

ไม่ต่างกับความรู้สึกดี ๆ ที่คนสองคนมอบให้กัน เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดความสนใจ ความงดงามของความสัมพันธ์นั้นก็พร้อมจะถูกเหยียบย่ำจนแหลกสลาย กลายเป็นเพียงเศษทรายและปลิดปลิวไปกับสายลมในท้ายที่สุด!



มันเป็นสองชั่วโมงที่ยาวนานราวนิรันดร์ กว่าสาวัชจะขับรถกลับจากชลบุรีมาถึงโรงพยาบาล เมื่อก้าวเข้ามาในห้องฉุกเฉินซึ่งเต็มไปด้วยเสียงโอดโอยและผู้คนคลาคล่ำ แต่สายตาเขากลับมองเห็นเพียงจุดเดียวราวกับมีแสงไฟส่องนำทาง

มุมด้านในสุดซึ่งมีม่านกางบังไว้ ที่เก้าอี้นั่งคอยไม่ไกลกัน วัชระและพยาบาลกำลังปฐมพยาบาลดารณี เสียงพูดคุยหึ่ง ๆ ดังอยู่รอบตัว ทว่าชายหนุ่มกลับได้ยินแต่เพียง...ความเงียบ

ริสานั่งนิ่งประหนึ่งหุ่นยนต์อยู่หน้าม่าน เธอลุกขึ้นยืน ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา ดวงตาแดงก่ำ พี่สาวต่างมารดาเข้ามาหาเขาแล้วเอ่ยแค่... “ไปลาเตี่ยซะ”

สาวัชรู้สึกมือเท้าชาดิก ข้างในตัวว่างเปล่า เขาอ้อมผ้าม่านไป จึงเห็นสาวิตรีซวนซบกับอยู่กับเตียงสะอื้นร่ำไห้ราวกับจะขาดใจ ดวงตาเขาจับจ้อง ณ ร่างที่ทอดยาวอยู่บนเตียงคลุมผ้าสีขาวตลอดทั้งตัวจรดศีรษะ

ธนาเสียชีวิตแล้ว! เขามาช้าเกินไป!

ชายหนุ่มยื่นมือไปตลบเปิดผ้าผืนนั้นออก ผ้าบางเบาแต่กลับทิ้งถ่วงน้ำหนักอยู่ในใจราวศิลาสลัก เขามองร่างบิดาที่นอนนิ่งไม่มีลมหายใจอยู่เบื้องหน้า ดวงหน้าซีดขาวไร้สีเลือดนั้นดุจเป็นเพียงคนแปลกหน้า มิใช่ผู้ชายที่เขาเคยเห็นมาตลอดทั้งชีวิต สาวัชจับมือที่วางแนบร่างไร้วิญญาณ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเย็นชืดแข็งเกร็งไร้ความรู้สึกนั้นมาจากมือของเขาเอง หรือจากมือที่อยู่ในอุ้งมือเขากันแน่

สมองเขาว่างเปล่าดุจบรรจุด้วยโพรงว่างมหึมา ความเงียบบรรเลงมโหรีจนไม่เหลือสรรพสำเนียงใด ๆ ชายหนุ่มวางมือธนาคืนที่อย่างนุ่มนวล เขาทรุดลงคุกเข่าตรงปลายเตียง ก้มกราบแนบศีรษะซบกับเท้าของธนา เนิ่นนานกว่าจะลุกขึ้นหมุนกายเดินออกจากห้องเชื่องช้า เพิ่งรู้ว่าการยกขาแต่ละก้าว...ยากเย็นได้ถึงเพียงนี้

ตรงหน้าเขามีแต่หมอกม่านพร่ามัวดุจทุกสิ่งเลือนราง เปล่าดาย จับต้องไม่ได้ ภาพจากอดีตทวนผ่านเข้ามาให้ระลึกถึง ทุกบทตอนที่เคยเกิดขึ้นกลับกลายเป็นฉากเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยรู้ว่าสามารถเห็นมันในแง่มุมใหม่ได้แค่เสี้ยววินาที

ทุกเรื่องราวตั้งแต่จำความได้เลื่อนผ่านเข้ามาในความทรงจำ มือที่ผลักไสเขาขึ้นรถไปโรงเรียนวันแรก ไม้เรียวที่หวดฟาดลงมาเมื่อเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ถ้อยคำตำหนิยามเห็นคะแนนในสมุดพก น้ำเสียงเกรี้ยวกราดด่าทอตอนท่านทราบว่าเขาสอบชิงทุนไปต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งคำสั่งห้วน ๆ ที่เขาได้รับไม่ว่าจะยามอยู่ใกล้หรือไกลกัน

แน่หรือ...ว่าทั้งหมดนั้นคือความเฉยชา ไร้หัวใจ

แน่หรือ...ว่าทั้งหมดนั่นมิใช่ความรัก

สาวัชเซซังไร้จุดหมาย ผลักประตูบานแรกที่เห็น มุ่งมาดเพียงจะไปให้พ้นจากสภาวะตรงหน้า ชายหนุ่มก้าวไปตามช่องบันไดแคบ ๆ และทรุดลงนั่งไร้เรี่ยวแรง

กระบอกตาร้อนผ่าวจนแห้งผาก เมื่อแจ้งแก่ใจว่าตนเองตื้นเขินเพียงใด ที่เขาเคยคิดว่าไม่มีความรักความผูกพันของพ่อลูกอยู่ในระยะห่างระหว่างคนสองคน บางทีอาจเพราะเขามืดบอดต่อความรักนั้นเองต่างหาก ธนาไม่ใช่พ่อที่จูงมือเขาไปสวนสนุก สอนเขาทำการบ้าน หรือแนะนำวิธีมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยในวันย่างรุ่นหนุ่ม แต่ท่านก็รักเขาในแบบของตัวเอง

เขาเย็นชามองข้าม ไม่เปิดใจสัมผัสความรักเหล่านั้น ไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุขกับทุกสิ่งที่พ่อทำให้ สาเหตุเพียงเพราะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของความเจ็บช้ำที่ ‘บ้านใหญ่’ ได้รับ เขาเมินมองความปรารถนาดีที่ธนามอบให้

เพียงเพื่อหลอกตัวเองว่าเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์ของสามแม่ลูก!

ศีรษะที่เคยตั้งตรงด้วยความหยิ่งทะนงเอนซบกับผนังด้านข้าง ลมหายใจที่แผ่วเบาจนแทบไม่อยากรับรู้ถึงมันแผดเผาจนแสบร้อนโพรงจมูก

แม้มั่นใจว่าที่ผ่านมาเขา ‘ไม่เคย’ ทำให้พ่อผิดหวัง ไม่เคยนำเรื่องหนักใจหรือปัญหามาให้ เขาทำแต่เรื่องที่ท่านภาคภูมิใจ ชื่นชม และยินดี แต่สาวัชก็ตระหนักดีว่ายังคงมีหลายสิ่งที่เขายังมิได้ทำให้ธนา ยังมีอีกหลายคำพูดที่เขาปรารถนาจะบอกท่าน แต่โอกาสเหล่านั้นผ่านไปแล้ว และจะไม่มีวันหวนย้อนคืนกลับมา

สัมผัสนุ่มนวลอบอุ่นทาบทับมาบนหลังมือ สาวัชมองไปเพื่อจะพบมือเล็ก ๆ กำลังกุมมือเขาไว้ ครั้นไล่สายตาไปตามแนวแขนบอบบาง เขาจึงเห็นอิงอรุณนั่งอยู่เคียงข้างที่บันไดขั้นเดียวกัน ดวงตากลมโตแวววามด้วยหยาดน้ำตา เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มปลอบโยน แม้จะยากเย็นก็ตามที

พริบตานั้น...อิฐทุกก้อนที่เขาเคยใช้ก่อเป็นกำแพงเพื่อกางกั้นมิให้ตนเองก้าวออกสู่โลกภายนอก ทรายทุกเม็ดที่แทรกอยู่ในเนื้อกำแพงเพื่อให้มันแข็งแกร่งพอจะกีดกันมิให้ผู้ใดบุกรุกเข้ามา กลับรานสลายพังทลายกลายเป็นเพียงละอองเถ้าธุลี

ไม่ว่าหญิงสาวจะอยู่ตรงนั้นด้วยความสงสาร สมเพช หรือความเวทนาก็ตาม มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

สาวัชรวบตัวอิงอรุณเข้ามากอด เอนศีรษะซบลงที่บ่าบอบบาง หยดน้ำตารินพร่างลงมาจากดวงตาที่ร้อนผ่าวแผดเผา ชายหนุ่มปลดทุกเกราะกำบังออก วางหน้ากากแห่งความเย็นชาไร้หัวใจทิ้ง ปล่อยให้ความอ่อนแอรุกคืบออกมาแสดงตัวต่อหน้าอิงอรุณ เปลือยให้เธอเห็นเนื้อแท้ในหัวใจของเด็กชายคนหนึ่งที่โหยหาความรัก ปรารถนาความเข้าใจ และไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของใครเลย...แม้แต่คนเดียว

นั่นเป็นวินาทีที่สาวัชได้เติบโตเป็นใครอีกคนหนึ่ง...ซึ่งไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป!


[1] บทเพลง สีชัง คำร้องโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำนองโดย สง่า อารัมภีร ขับร้องโดย ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์



-----------------------------------------------------------

ประกาศ

เรื่องนี้จะลงให้อ่านฟรีจนจบ

หลังลงครบทุกตอน

จะลบ 5/6 ของเล่มนะคะ

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า

มีเฉพาะในฉบับตีพิมพ์และอีบุ๊คเท่านั้นค่ะ

ตามไปจิกหมอน+ฟินกันในเล่มได้เลย


หนังสือและอีบุ๊คพร้อมจำหน่ายแล้วนะคะ

สั่งซื้อฉบับหนังสือ https://goo.gl/HA1QWz

หรือซื้อจากร้านนิยายรัก https://goo.gl/uPTdCs



E-Book

mebmarket >>https://goo.gl/o9FXn6

ookbee >>https://goo.gl/rf274b

Hytexts >>https://goo.gl/KcekzB



สะดวกช่องทางไหนสั่งซื้อเลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังรักและเมตตากันเสมอนะคะ




สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2561, 21:22:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2561, 16:50:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 663





<< ตอนที่ 31   ตอนที่ 33 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account