มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 7 (2) วันเวลาที่หายไป

ทั้งวันตลอดคืนหญิงสาวหมดเวลาไปกับอ่านหนังสือเรียน หลังขาดเรียนมาหลายวันจนให้อภัยตัวเองไม่ได้ กับการกินนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง นอกจากหายดีแล้วยังมีอาการปวดท้องเล็กน้อย เธอลุกมากินยาตามเวลาตามแพทย์สั่ง ไม่ทันไรได้ยินเสียงโต้เถียงกันข้างนอกจึงตามไปดู พื้นที่ทำครัวขนาดเล็กสองคนเถียงกันไปมา

“จะฆ่าพี่สาวผมรึไง ถึงให้กินอาหารแช่แข็ง บ้านเราไม่กินอาหารขยะ” กันต์ดึงกล่องอาหารแช่แข็งไปจากมือ รติรสกระทืบเท้าไม่พอใจแย่งกล่องอาหารกลับ “ขยะอะไร ใครๆ ก็กินกันทั้งนั้น ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”

“ไม่ได้ เพราะกินทุกวันนี่ไง คนอย่างพี่ถึงมีเยอะไง”

“อย่างฉัน ฉันมันแบบไหน” ถึงคราวรติรสเป็นฝ่ายโกรธ ไล่ตบหัวเด็กพูดจาไม่เข้าหู ช่างดูถูกหยาบคายไม่เคารพผู้ใหญ่ทั้งที่วันก่อนเธอใช้แผ่นหลังนี้ไว้ซบน้ำตาแท้

“พอแล้วๆ ทั้งคู่นั้นแหละ” กานติศาแย่งกล่องอาหารแช่แข็งมาเข้าไปโครเวฟด้วยตัวเอง เป็นการตัดปัญหาชวนปวดหัวนี้เสียที

“แต่พี่ป่วยไม่ควรกินของพวกนี้ เดี๋ยวผมทำอาหารให้เอง พี่ไปนอนเถอะครับ” กันต์ไม่ยอมแพ้
“การเป็นห่วงเกินเหตุนี่ไงจะทำพี่กลายเป็นคนป่วยจริงๆ หรือแกอยากมีพี่สาวนอนติดเตียง” เธอตอบไม่เพียงแค่นั้นรติรสยังลุกขึ้นมาตบมือเป็นฉากหลัง

“ได้ยินว่าหาที่ติวสอบได้แล้ว แกจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไร ไม่กลับบ้านไม่เตรียมตัวอ่านหนังสือสอบ” เธอรู้ดีว่าทั้งสองเป็นห่วงมาก ผลัดทำหน้าที่ดูแลคนไข้ได้ดีไม่เคยตกบกพร่อง แต่ล่วงผ่านมาหลายวันแล้วถึงเวลาทุกคนกลับไปใช้ชีวิตเป็นปกติ ส่วนเธอตั้งใจกลับไปเรียนพรุ่งนี้ “แกกลับบ้านได้แล้ว”

ถึงแก่เวลาส่งกันต์กลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ พวกท่านโทรเป็นห่วงถึงได้รู้ว่าน้องชายไม่ได้เล่าเรื่องวันเข้าโรงพยาบาลให้ฟัง คล้อยหลังกันต์กลับบ้านไปได้สักครู่ กานติศายังมีอาการปวดท้องไม่หายจึงต้องทานยาเพิ่มอีกหนึ่งเม็ด รติรสเห็นถึงอดเป็นห่วงไม่ได้ “ปวดท้องเหรอ ไปพบหมอไหม”

สาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ ไม่อยากกลับไปที่โรงพยาบาลนั้นอีกแล้ว แค่นี้สร้างความกังวลเดือดร้อนให้กับทุกคนมากพอแล้ว “ใกล้จะถึงวันนั้นของรอบเดือนด้วย รส คืนนี้ช่วยนอนเป็นเพื่อนกานหน่อยสิ”

“ทำไมล่ะ” ตั้งแต่เป็นรูมเมทกันมา เพื่อนไม่เคยออกปากขอร้องสักครั้งยกเว้นการเฝ้าไข้

“กานเหงานะ”

พระจันทร์สีเหลืองนวลไร้ม่านเมฆบดบัง โดนเด่นอยู่นอกหน้าต่าง ราวกับปลอบชโลมเป่าปัดความเปล่าเปลี่ยวที่ก่อตัวมากขึ้นทุกวัน เคยมีความคิดอยากจบชีวิตตัวเองขึ้นมาชั่วขณะ หรือเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่เหลือค้างอยู่ โชคดีเหลือเกินที่เธอมีรติรสนอนเป็นเพื่อน หากไม่มีพวกเขาเธออาจจะพลั้งมือจบชีวิตตนเองก็เป็นไปได้ สายตาสองคู่มองไปที่ดวงจันทร์ดวงเดียวกัน “พระจันทร์สวยจัง”

แต่อาจจะไม่สวยเท่าที่นั้น

“พรุ่งนี้จะไปเรียนไหวเหรอ” รติรสหันไปถามเพื่อนซึ่งมีใบหน้าค่อนข้างขาวซีด ความสดใสเหมือนดาวที่มีแสงในตัวเองในตัวกานติศาคนเดิมหายไป “แกยังดูไม่ไม่ค่อยโอเค อย่าเพิ่งไปพรุ่งนี้เลยนะ”

“กานไปไหวนะ ไม่อยากทำตัวอุดอู้อยู่ในแต่ห้องเสียการเรียน”

สาวเผลอจิกเล็บมือให้แน่ใจว่าสิ่งรอบตัว ทั้งสถานที่ ทั้งผู้คนที่เจอมาวันนี้ ตามสัญชาตญาณมันยากจะเชื่อว่าพวกเขาคือของจริง หาใช่ความฝันตามหลอกหลอนอยู่ จนกว่าเธอจะรู้สึกเจ็บนิ้ว ยิ่งเจ็บมากเท่าไรยิ่งเป็นตอกย้ำว่าพวกเขาเป็นของจริง หาใช่จินตนาการ

ตลอดเวลาอยู่กับเขาในโลกความฝัน ทุกอาการบาดเจ็บที่สัมผัสได้ ทำไมพวกเขาเหมือนของจริงเหลือเกิน

“แล้วเธอยังคิดถึงเขาหรือเปล่า คนที่แกเล่าให้ฟัง”

ใช่ เธอได้เล่าเรื่องในความฝันให้รติรสฟัง ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เฉพาะรายละเอียดรูปลักษณ์เกี่ยวกับตัวเขาคนนั้น บุคลิก ทุกการเคลื่อนไหวละเอียดหยิบจนรติรสสรุปว่าเป็น ผู้ชายในจินตนาการของเธอผู้เดียว

“ไม่ได้คิดถึงบ่อยขนาดนั้น”

“ถ้าพี่ต้นเข้ามาได้ยินเข้า คงเสียใจแย่” รติรสอดแซวเพื่อนไม่ได้

คงเสียใจนั้นแหละ กานติศากลับไม่ตลกด้วย

“ว่าแต่ผู้ชายที่แกเล่า รสเองอยากลองเจอเขาดูบ้าง ฟังดูเป็นคนวิเศษมาก”

“ไม่วิเศษอะไรขนาดนั้น เขาโหดน่ากลัวจะตาย อยากได้นักก็จินตนาการสร้างขึ้นมาเองสิ”

หากเป็นไปได้ เธออยากจะย้อนเวลากลับไปที่โรงพยาบาล ไม่เล่าเรื่องผู้ชายในจินตนาการ หรือความฝันใดๆ ให้ใครฟังอีก อยากเก็บเรื่องราวนี้ซ่อนไว้ที่ก้นบึ้งในความจำ ไม่รื้อฟื้นขึ้นมาอีก “กานไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกแล้ว”
เธออยากจะลืมความฝันทั้งหมด

สองสาวนอนหลับเคียงข้างกัน โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งตั้งตารอคอยจนกว่าอีกคนหนึ่งหลับ กานติศาแอบจับมือรติรสเคลื่อนย้ายมาวางแนบอกตนอย่างใจนึกกลัวว่าหากหลับตาลง มันจะพาไปโลกนั้นอีก



นานเข้าวันอาการปวดท้องเล่นงานหญิงสาวตัวงอ ค่อยๆ นั่งลงรีบกินยาแก้ปวด เนื้อหาที่เรียนวันนี้ไม่เข้าหัวแม้แต่วิชาเดียว จากความตั้งใจการเรียนในตอนแรก กลายเป็นการทนทรมานจากอาการปวด กานติศามั่นใจว่าไม่ใช่การปวดท้องประจำเดือนแน่นอน เมื่อคลำหาตำแหน่งต้นต่อความปวดที่ท้องได้ ฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปช่วยเบาเทาอาการดีขึ้น แต่คงอยู่ได้ไม่นาน กานติศาตัดสินใจขออนุญาตอาจารย์กลับก่อนเวลา เพื่อนคนสนิทกลับไม่ปล่อยง่ายๆ

“อย่ากลับคนเดียวเลยนะ งั้นรสไปด้วย” เพื่อนสาวเตรียมคว้ากระเป๋าพร้อมกลับด้วยแต่ถูกปฏิเสธ

“ไม่ต้อง เรียนไปเถอะ กานแค่อยากกลับไปนอนเท่านั้นเอง”

“ถึงอย่างไรกานไม่ควรกลับคนเดียว ให้พี่ต้นไปส่งเถอะนะ”

กานติศาทราบดีว่าถ้าไม่ทำตามเพื่อนบอก รติรสไม่มีวันปล่อยให้กลับบ้านคนเดียว จึงพยักหน้าตอบรับคำแนะนำ เอาเข้าจริงแล้วเธอโกหก ไม่ได้ไปหาพี่ต้นเพื่อขอให้พาไปส่ง เธอก้าวลงบันไดอาคารเรียนไม่เหลียวมองหาใคร เดินดุ่มๆ มุ่งมายังหอพัก

เวลานี้อยากอยู่คนเดียว ใครๆ ก็อย่าเข้ามายุ่งกับเธอเลย

แทนที่จะสบายใจแต่กลับน่ากังวลยิ่งกว่าเดิม รติรสปิดหนังสือเรียนไม่สนใจฟังเนื้อหาที่อาจารย์กำลังสอน ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลสังเกตเพื่อนเธอค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเป็นคนละคน จากคนช่างพูดเป็นคนพูดน้อยนับคำ กลายเป็นคนเก็บตัวไม่เข้าสังคม การเจริญอาหารกลายเป็นพฤติกรรมคนเบื่ออาหาร ใช้ส้อมเขี่ยข้าวไปมาไม่ยอมกินอ้างว่าปวดท้อง สิ่งเห็นได้ชัดที่สุดคือดวงตาแดงเหมือนคนอดนอน รติรสไม่รู้จะอธิบายความผิดปกติอย่างไรดี

เสียงเรียกจากโทรศัพท์มือถือยี่ห้อผลไม้รุ่นล่าสุด เมื่อเห็นชื่อผู้พยายามโทรเข้ามา รติรสถึงกับมองบน เบ้หน้าใส่ปฏิเสธการรับสาย “น่ารำคาญ”

“เฮ้ย มันกล้าตัดสายด้วยวะ” กันต์มองโทรศัพท์อย่างกับเป็นของประหลาด ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องฉุกเฉินเขาคงไม่พยายามโทรซ้ำ เขานึกเป็นห่วงพี่สาวเนื่องจากโทรไปเท่าไรก็ไม่รับ หนนี้กลับหัวเสียเพราะเพื่อนพี่สาวอีกคน

น้ำไหลอย่างสิ้นเปลืองจากก๊อกน้ำที่เปิดทิ้งเอาไว้ กานติศาทิ้งตัวลงข้างๆ อาการปวดท้องกลับมาเล่นงานหนักกว่าเดิม ทั้งที่เพิ่งทานยา ความไม่เข้าใจจนหงุดหงิด เผลอยกกำปั้นทุบท้องตัวเองให้เจ็บ ตำแหน่งต้นต่อความเจ็บปวดมีก้อนแข็งตุงขึ้นมา มือลูบคลำรอบบริเวณเป็นวงกลม จึงลองกดจนมันยุบจมหายไปในท้อง เกิดอาการคลื่นไส้จนอยากอาเจียน เธอพยายามจะขย้อนออกมา กินเวลานานจนสาวน้ำหูน้ำตาไหลกว่าจะคายออกมาได้ในที่สุด

สาวแทบลมจับเสียตรงนั้น มองไปที่ผลงานของตัวเองด้วยความตะลึง ก้อนเลือดกับซากแมงมุมขายาวหนึ่งตัว สายพันธุ์เดียวกับกองทัพแมงมุมมาจากกระท่อมร้างที่เธอบุกรุกเข้าไป พวกมันคลานออกมาจากซากศพรุกรานเข้าไปในตัวเธอ และได้รับการรักษาจากคุณป้าทันเวลาพอดี เรื่องควรตัดจบเสียแต่ตอนนั้น

“เป็นไปไม่ได้ ทำไมมันมาอยู่ที่นี่ได้” ความสับสนกับการเผชิญความจริงหลายอย่างถาโถมเข้ามาตีสมองจนมึนหัว หญิงสาวอยากหัวเราะเสียสติเป็นบ้าเสียตรงนั้น สลับกับร้องไห้อย่างบ้าคลั่งรับความจริงไม่ได้

ฝันร้ายมีชีวิต เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ

สาวนั่งตัวสั่นภายในห้องน้ำไม่รู้จะจัดการตัวเองอย่างไร คงไม่มีใครปักเชื่อหากเธอเล่าเหตุการณ์ในความฝันให้ฟัง ทุกคนจะหาว่าเธอโกหกหรือเป็นบ้า เพราะตัวเธอเองยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง
จะให้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาด เธอจะเผลอนอนหลับอย่างจริงจังไม่ได้แล้ว ไม่มั่นใจเลยว่าการนอนหลับในคืนนี้ ในคืนต่อไป มันจะพาเธอไปท่องโลกประหลาดนั้นอีก

เช้าของอีกหลายวันถัดมารติรสแปลกใจกับพฤติกรรมรับประทานอาหารเช้าแสนไม่ธรรมดา กานติศาไม่แตะอาหารเช้าที่เตรียมไว้ให้ กลับซดกาแฟดับเบิ้ลช็อตอย่างกับน้ำเปล่า ชงกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลใส่กระติกน้ำเตรียมไปเรียน สาวรูมเมทเปิดตู้เย็นพบว่าเพื่อนหล่อนชงกาแฟ ตุนเครื่องดื่มชูกำลังไว้จำนวนมาก “ถ้ารสเข้าใจไม่ผิด แกกำลังติดคาเฟอีนเหมือนคนติดยา ควรเพลาๆ หน่อย”

“อือ หันมาดื่มกาแฟจริงจังแล้ว” เพื่อให้มีสติตลอดเวลาแม้กระทั่งยามหลับ

รติรสไม่อยากเชื่อหู กานติศาไม่ใช่คอกาแฟ ดื่มแค่ถ้วยเดียวก็บ่นใจสั่น เวียนหัวแล้ว นอกจากเพื่อนทำตัวประหลาดเข้าไปทุกที สภาพหล่อนเหมาะจะไปอยู่โรงพยาบาลทางจิตมากกว่า “ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองสิ ขอบตาดำไปหมดแล้ว”

“ฮะๆ โถ...แค่นี้เอง ไม่ต้องสนใจหรอก” หัวเราะขบขันเป็นเรื่องตลก จึงถูกเพื่อนลากตัวไปที่กระจกบานใหญ่ ดูเงาสะท้อนในกระจก “ดูแกสิ ยังจะหัวเราะออกมั้ย สภาพอย่างกับคนบ้า”

กานติศามองตัวเองในกระจก เงาสะท้อนเธอเหมือนคนอดหลับอดนอนมาานาน ผมเผ้ายุ่งรุงรัง ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า ผิวพรรณเคยกระจ่างใสกลับมีผดสิวขึ้นตามทั่วใบหน้า ที่สำคัญเธอยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ติดกระดุมเสื้อผิดตำแหน่ง ใส่กระโปรงกลับด้าน กานติศาแค่นหัวเราะต่อไปไม่ออกเหมือนกัน

“ฉันจะได้ไม่สวยไปกลบรัศมีแก ความสวยของแกอย่างที่ต้องการนี่ ไปไหนกับคนที่ด้อยกว่าเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสูงส่งไงล่ะ” เปลี่ยนคำสรรพนามใหม่สร้างกำแพงระยะห่าง

“กาน ทำไมพูดแบบนี้ เหมือนไม่ใช่กานเลยนะ”

“ไปหาหมอเถอะนะ” รติรสคิดว่าเพื่อนต้องเป็นบ้าไปแล้ว ยอมเสียสละเวลามีค่าพาไปพบแพทย์ จินตแพทย์หมอหน้าไหนก็ตามช่วยดึงสติกานติศากลับมาเป็นผู้เป็นผู้คน แต่เจ้าตัวกลับไม่ยินดีสะบัดมือออกราวถูกสิ่งรังเกียจเข้า

“ไม่ไป ถึงตายก็ไม่ไปที่นั้นอีก” เธอส่งรอยยิ้มแต่ดวงตากลับไม่ยิ้มตาม “อย่ามาสนใจเลย รส แกสนใจเรื่องเรียนของตัวเองเถอะ”

“กาน แกเป็นบ้าอะไร ไม่เคยเป็นแบบนี้” มือเขย่าร่างเพื่อนหวังให้ได้สติ จนเป็นฝ่ายถูกผลักไสซะเอง

“ใช่ กำลังเป็นบ้า บ้าไปแล้ว ปล่อยให้กานเป็นบ้าคนเดียวเถอะ ส่วนแกจะไปไหนก็ไป” สาวกลัวแทบบ้า ความจริงอยู่ตรงต่อหน้า ทำใจยอมรับความจริงไม่ได้ เป็นใครก็ตามตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับเธอต้องเป็นบ้าทุกคน

“แต่นี่คือ รส เพื่อนแกนะ” ไม่ว่าเพื่อนเจอปัญหาอะไรมา รติรสยินดีรับฟังเช้ายันเย็น ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาไม่เคยเจอพฤติกรรมก้าวร้าว จึงเข้าสวมกอดแน่นความหวังสุดท้ายดึงสติกลับมา “ปล่อยฉัน อย่ามาแตะต้องตัวฉัน”
รติรสไม่มีวันเข้าใจสิ่งที่เธอเจอมา ความจริงเหมือนกัดกินเธอทั้งเป็น

“อย่า มา ยุ่ง กับ ฉัน”

ความหวังสุดท้ายถูกทำลายป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี ตามด้วยปิดประตูเสียงดังโครม รติรสถึงกับเขาอ่อนหมดแรงไร้แรงการต่อกร ตัดสินใจโทรศัพท์หาพี่ต้น ทิ้งเวลานานเข้าก็หัวเสียที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับสาย จึงเปลี่ยนเป็นโทรหาอีกหนึ่งคนที่เธอไม่อยากติดต่อมากที่สุด กริ๊งดังครั้งเดียวตอบรับสายทันที



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2561, 11:40:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2561, 11:40:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 564





<< บทที่ 7 (1) วันเวลาที่หายไป   บทที่ 8 (1) เมื่อความฝันทวงคืน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account