+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ

แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์

นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้

นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา

โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก

ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว

แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ

สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D


ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ

สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ

ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน

ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555

Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน

ตอน: ตอนที่ 33

แสงตะวันสุดท้ายลาลับยอดไม้ไปแล้ว สายลมโชยชายมาเป็นระยะช่วยบรรเทาความอบอ้าวไปได้บ้าง ศาลาสวดอภิธรรมคลาคล่ำด้วยผู้คน เก้าอี้เรียงรายล้นออกมาด้านนอก พวงหรีดถูกจัดวางรอบศาลา ส่งกลิ่นหอมเศร้าอวลตลบ

หีบศพไม้จำปาสีน้ำตาลแดงวางเด่นอยู่กลางศาลา ช่อมาลีสีสดจัดประดับไว้ใต้รูปถ่ายที่อัดขนาดใหญ่พิเศษ บุรุษในรูปอวดยิ้มแจ่มใสให้กับทุกคนที่เข้ามาแสดงความคารวะเป็นครั้งสุดท้าย

ดารณี ริสา และวัชระ สวมชุดผ้าดิบไว้ทุกข์ตามประเพณีจีนคอยต้อนรับแขกเหรื่อด้านหน้า ส่วนสาวิตรีถูกกีดกันให้แต่งชุดดำปกติปะปนกับหมู่ญาติ มิได้รับอนุญาตให้ออกมาทำหน้าที่ ‘เจ้าภาพ’ ดังคนอื่นในครอบครัว

อิงอรุณทักทายสามแม่ลูก จากนั้นแยกตัวเข้าไปในศาลา พลันก็มองหาคนที่เธอเป็นห่วงทันที จึงพบว่าสาวัชในเครื่องแต่งกายแบบเดียวกับ ‘บ้านใหญ่’ คุกเข่าอยู่หน้าตั่ง คอยจุดธูปส่งให้แขกที่มาเคารพศพ

หญิงสาวกราบพระพุทธ แล้วจึงมาคุกเข่าหน้าหีบเพื่อรอรับธูปจากชายหนุ่ม อิงอรุณพนมมือบอกกล่าวผู้วายชนม์ในใจอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากปักธูปแล้วจึงมาคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ สาวัช ช่วยเขาส่งธูปให้แขก

เธอพินิจอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย ใบหน้าสาวัชซูบเซียว หนวดเคราเป็นแนวเขียวครึ้มรอบปากและคางทำให้ดูทรุดโทรมกว่าที่พบครั้งสุดท้าย

“คุณโทรมมากเลย โอเคไหมคะ” อิงอรุณพึมพำถามพอให้ได้ยินกันสองคน

ชายหนุ่มลูบหน้า “ตามธรรมเนียมจีน ช่วงไว้ทุกข์เขาห้ามโกนหนวดน่ะ นอกนั้นผมโอเคดี ขอบคุณมาก”

คนฟังโล่งใจ นึกว่าเขาจะระทดท้อหมดอาลัยจนไม่ยอมดูแลตัวเองเสียอีก “แล้วนี่คุณทานอะไรบ้างหรือยังคะ”

“ผมยังไม่หิว คุณล่ะ”

“เดี๋ยวจะรอทานพร้อมคุณสาวัชค่ะ” อิงอรุณมัดมือชกกันดื้อ ๆ

ภาพสาวัชที่โรงพยาบาลติดตาจนเธอแทบหลับไม่ลง หลังฟังข่าวร้ายและเข้าไปกราบแทบเท้าธนาเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มกลายเป็นเด็กชายเล็ก ๆ ในพริบตา เขาเซซังราวนกปีกหักออกจากห้องฉุกเฉิน ดวงตาเหม่อลอยคลอด้วยหยาดน้ำตา เดินลากขาวนไปมาอยู่ที่เดิมซ้ำ ๆ ดุจคนหลงทางอยู่นาน สุดท้ายจึงผลักประตูหลบไปซ่อนตัวที่บันไดหนีไฟ

หญิงสาวไม่ต้องพยายามทำอะไรให้เบามือเลย เพราะสาวัชปิดรับการรับรู้ทุกอย่างจากภายนอก ขนาดเสียงประตูหนีไฟดังก้องยังไม่อาจทำให้เขาสะดุ้งสะเทือน ชายหนุ่มนั่งกอดเข่าซุกกายที่สั่นเทาเบียดแนบกับผนังดุจกำลังหาที่พึ่งพิง

อิงอรุณทรุดกายลงข้าง ๆ หมายเพียงกุมมือของอีกฝ่ายไว้ ทว่าสาวัชกลับรวบตัวเธอเข้าไปกอด มันรวดเร็วจนเธอไม่ทันเตรียมใจ หะแรกหญิงสาวตัวแข็งด้วยความตกใจ พลันที่หยดน้ำร้อน ๆ ซึมผ่านเสื้อมาแต้มผิวตรงบ่า สัมผัสถึงอาการสั่นเทาของคนในอ้อมแขน อิงอรุณเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าชีวิตของเธอจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลย

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอผู้ชายร้องไห้ แต่เป็นครั้งที่สะเทือนอารมณ์อิงอรุณที่สุด ทั้งยังทำให้เธอเจ็บร้อนราวกับเป็นเรื่องตัวเอง เมื่อผู้ชายเย็นชาไม่แคร์โลก บุคลิกแข็งกร้าวจนเหมือนก้อนหิน จู่ ๆ เธอกลับได้เห็นช่วงเวลาที่เขาไม่ใช่แค่อ่อนแอ แต่รานสลาย ไม่เหลือเค้าดอกเตอร์สาวัช ปรเมศวร์ ที่น่าเกรงขามให้เห็นเลย

อิงอรุณประจักษ์ว่าสาวัช ‘ไว้ใจ’ เธอมากเพียงใด เธอก้าวข้ามกำแพงสูงเข้าไปสู่ตัวตนแท้จริงของเขา ตัวตนที่เต็มไปด้วยบาดแผลในหัวใจ เปราะบาง และหวาดกลัวการสูญเสีย ภาพภายนอกเขาสมบูรณ์แบบทุกคุณลักษณะ ทว่าลึกลงไปในหัวใจ สาวัชกลับขาดไร้ไปเสียทุกสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ความรัก

ตลอดทั้งชีวิตอิงอรุณไม่เคยอยากเป็นหรืออยากมีอะไร เพราะเธอมีเธอเป็นทุกสิ่งดังปรารถนาเสมอ ทว่าวินาทีนั้นเองหญิงสาวเพิ่งตระหนักว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน...การได้ปกป้องห่วงใยใครสักคน และเธอไม่เคยอยากปกป้องห่วงใยใครมากเท่าที่กำลังรู้สึกอยู่ต่อหน้าสาวัชในตอนนั้นเลย!

การสวดอภิธรรมเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทุกครั้งเมื่อพระจะเริ่มสวดมนต์จบใหม่ สาวัชต้องลุกไปจัดกระดาษเงินกระดาษทองเผาตามประเพณี อิงอรุณจึงลุกไปช่วยเขาเงียบ ๆ ไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มอยู่ตามลำพัง

แต่แล้วแขกที่เพิ่งเข้ามาในศาลาสวดอภิธรรมก็ทำให้เธอร้อนตัว แพรวเพชรมีสีหน้าเรียบเฉยรับธูปจากเธอไปเคารพศพ แล้วส่งให้สาวัชปักธูป จากนั้นเพื่อนก็ถดตัวมาพับเพียบอยู่ข้าง ๆ

“ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

อิงอรุณหันไปบอกสาวัช แล้วคลานเข่านำหุ้นส่วนออกมานอกศาลา

“แม่ก็กลับไปแล้ว ทำไมอิงยังไม่กลับ”

อิงอรุณหน้าเหรอ “แม่อิงมางานด้วยเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ เราสวนกับท่าน ตอนมาถึงพอดี”

หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่เห็นรู้เลยว่าแม่มาด้วย อิงไปเผากระดาษกับคุณสาวัช เพิ่งกลับเข้ามาในศาลาเมื่อกี้เอง คงคลาดกันมั้ง” อิงอรุณอธิบาย ทว่ายังไม่หายแปลกใจ เพราะเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามารดารู้จักกับครอบครัวปรเมศวร์ด้วย

“แล้วเทพนั่งอยู่ไหนเหรอ ทำไมเราไม่เห็นเลย” แพรวเพชรมองเข้าไปในศาลา

อิงอรุณกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น เธอลืมชวนพันเทพเสียสนิท! “คือ...เห็นเทพยุ่ง ๆ เลยไม่ได้ชวนน่ะ”

“อิงกับเทพนี่รักและให้เกียรติ เชื่อใจกันดีเนอะ ไม่กวนอีกฝ่าย ให้อิสระกันเต็มที่ดีจัง สงสัยเพราะยิ่งใกล้งานหมั้น ก็เลยรักกันมากขึ้นใช่ไหม” แพรวเพชรยิ้มนิด ๆ ทำให้เธอไม่กล้าฟันธงว่าเพื่อนประชดหรือเปล่า

“เพชรมายังไงเหรอ แล้วจะกลับยังไง หมอยังไม่ให้ขับรถนี่นา”

“คุณการุณขับรถให้น่ะ นี่รออยู่ที่รถ แล้วอิงล่ะกลับยังไง ให้เราไปส่งไหม”

“ไม่เป็นไร วันนี้อิงให้น้าชมมาส่งแล้วก็รอรับกลับด้วยน่ะ” อิงอรุณเหลียวซ้ายแลขวา “เข้าไปนั่งฟังพระสวดกันไหม เดี๋ยวอิงไปนั่งเป็นเพื่อน”

แพรวเพชรสบตาเธอนิ่ง ๆ ทำท่าเหมือนจะพูดบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ เดินนำกลับเข้าไปในศาลาสวดอภิธรรมเงียบ ๆ

อิงอรุณเดินตามหุ้นส่วนไปด้วยความหนักใจ แพรวเพชรฉลาดเสมอ แม้ไม่คาดคั้นให้ตอบ แต่เพื่อนคงมั่นใจว่าเธอต้องเก็บไปคิดแน่นอน

กว่าแขกจะทยอยลากลับก็เกือบสองทุ่ม สาวัชยังคงทำหน้าที่เดิม และนั่งหน้าหีบศพมองรูปถ่ายของธนานิ่ง ๆ ไม่พูดจากับใคร

อิงอรุณไปส่งแพรวเพชรที่รถ แล้วกลับมานั่งข้างสาวัชโดยไม่สนใจสายตาคน

“อิงหิว ไปทานข้าวเป็นเพื่อนอิงหน่อยสิคะ” หญิงสาวชวนดื้อ ๆ ด้วยรู้ว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะ ‘บังคับ’ ให้อีกฝ่ายยอมกินข้าว

“เมื่อกี้คุณไม่ได้กินข้าวต้มปลาเหรอ” เขาหมายถึงอาหารที่เจ้าภาพจัดเลี้ยงแขกระหว่างพักสวดอภิธรรม

“ไม่ได้กินค่ะ อิงรอทานพร้อมคุณสาวัช คุณจะอยู่ตรงนี้อีกนานเหรอคะ”

อิงอรุณรู้คำตอบอยู่แล้วว่าชายหนุ่มไม่มีวันยอมลุกไปไหนเด็ดขาด เพราะเขาเชื่อว่าการทำทุกอย่างในงานนี้ให้ดีงามที่สุด คือหนทางสุดท้ายเพื่อทดแทนแก่บิดาผู้วายชนม์ ทั้งยังเป็นวิธีเดียวที่จะชดเชยวันเวลาซึ่งเขาและธนาไม่เข้าใจกันในอดีต

ซึ่งอิงอรุณคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่จะทรมานสังขารร่างกายตัวเองเพื่อคนที่จากไปแล้ว ที่สำคัญเธอรู้แก่ใจว่าในหีบศพนั้นคือความว่างเปล่า หลังธนาหมดลมหายใจ แพทย์แจ้งว่าการเสียชีวิตของเขามีเหตุน่าสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงอายัดศพไว้ ทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตจำต้องนำโลงเปล่าที่เตรียมไว้มาประกอบพิธีทางศาสนาแทน

อิงอรุณไม่รู้รายละเอียดมากนัก แต่พอเดาได้ว่าเรื่องยุ่งยากกำลังคอยอยู่ข้างหน้า หากสาวัชไม่ดูแลตัวเองให้ดี เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม วันที่มรสุมลูกใหม่พัดพาเข้ามา เขาคงซวนเซจนไม่อาจดำรงตนได้ดังที่ผ่านมา

“ผม...” ได้ยินเขาเริ่มประโยค เธอก็รู้แล้วว่าเดาไม่ผิด

อิงอรุณจำต้องแทรกขึ้นทั้งที่เสียมารยาท “คุณแม่และพี่สาวพี่ชายคุณก็กำลังจะกลับแล้ว คุณจะอยู่ทำไมคะ”

“ผมจะคอยจุดธูปให้เตี่ย” เขาชี้กระถางธูป ซึ่งต้องจุดธูปใหญ่หนึ่งดอกให้ติดไฟไว้ตลอดห้ามดับเด็ดขาด

“จ้างเด็กวัดสิคะ เตี่ยคุณทราบเข้าคงไม่ชอบใจหรอก ใช้คนไม่ถูกประเภทเลย เอางี้...เดี๋ยวอิงไปหาคนมาทำให้นะ คุณจะได้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนอิง” เธอเล่นบทผู้หญิงเอาแต่ใจคล่องแคล่วสุด ๆ

เพียงสาวัชมีท่าทีละล้าละลัง เธอจึงแตะแขนเขา ออดเสียงอ่อย “นะคะ”

ชายหนุ่มนิ่งคิดครู่เดียว สุดท้ายจึงพยักหน้าอย่างสิ้นท่า

“งั้นเดี๋ยวอิงไปหา...”

“ไม่ต้อง ผมจัดการเอง” สาวัชตบหลังมือเธอเบา ๆ “คุณอยู่นี่แหละ”

อิงอรุณมองตามชายหนุ่มไปอย่างเบาใจ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากิริยาทั้งหมดของเธอถูกใครคนหนึ่งจับตามองทุกฝีก้าว และรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาอย่างละเอียด ไม่ตกหล่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว!



“ผมบอกคนขับรถคุณให้กลับไปแล้ว เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเอง” สาวัชบอกขณะกลับไปที่รถด้วยกัน

“ขอบคุณค่ะ คุณสาวัชเหนื่อยไหมคะ”

“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยถามตัวเองอย่างนั้นสักที”

“งั้นวันนี้ก็ลองถามดูสิคะ” อิงอรุณคงพยายามงัดปากเขาให้พูด เขาเหลือบมองด้วยปลายตา เห็นได้ชัดว่าเธอก็มองเขาอยู่เช่นกัน อิงอรุณ...เป็นห่วงเขา!

“ไม่เหนื่อยครับ” ตอบตามตรงขณะมาที่ฝั่งข้างคนขับจะเปิดประตูให้เธอ

“ตรงนี้มีแอ่งน้ำ รอก่อน เดี๋ยวผมขยับรถให้ รองเท้าคุณจะได้ไม่เปื้อน”

อิงอรุณดื้อพอดู เพราะเพียงเขาอ้อมรถไปอีกฟากและไขกุญแจ เธอก็ย่ำแอ่งน้ำตื้น ๆ นั้นเข้าไปเปิดประตู ก้าวขึ้นรถทันที “บ้าจัง! เลอะจนได้”

เสียงอุทานนั้นทำให้สาวัชเผลอยกมุมปากขึ้นจนเป็นเส้นโค้ง เขาเข้ามานั่งประจำที่คนขับ แล้วเอื้อมไปเปิดลิ้นชักด้านหน้าหญิงสาว หยิบซองทิชชูมาส่งให้เธอ ครั้นเห็นของชิ้นอื่นในนั้น ชายหนุ่มก็รีบยกเก๊ะงับเข้าที่ทันที

“เอ๊ะ! นั่นมัน...” อิงอรุณปลดสลักเปิดลิ้นชักอีกครั้ง หยิบผ้าสีขาวมีด้ายสีฟ้าเดินเป็นลวดลายออกมา “นี่ผ้าเช็ดหน้าของอิงนี่คะ มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ชายหนุ่มทำเป็นไม่ได้ยิน เสสอดกุญแจติดเครื่องและประคองรถออกช้า ๆ

“คุณสาวัชคะ” เธอเซ้าซี้ไม่เบา และคงรู้ตัวด้วยว่าเอ่ยแค่นั้นก็สำเร็จแล้ว

สาวัชตอบเสียงอ่อน “คุณทิ้งไว้ที่ไหน ผมก็เก็บมาจากที่นั่นแหละ”

“อิงเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน แล้วก็ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือคะ ทำไมอิงจำไม่ได้เลย”

“วันที่ถูกกระชากกระเป๋า คุณใช้มันห้ามเลือด พอไปถึงโรงพยาบาล เขาแกะผ้าออกแล้วทำแผลให้ใหม่ พยาบาลกำลังจะเอาไปทิ้ง ผมเลย...เก็บมาน่ะ ผมซักแล้วกะว่าจะเอาไปคืนคุณ แต่ก็ลืมทุกที” ชายหนุ่มตั้งใจมองท้องถนน ไม่กล้าเหลียว

ไปดูปฏิกิริยาของคนข้าง ๆ “คุณเห็นวันนี้ก็ดีแล้ว รับคืนไปเลยสิ”

อิงอรุณงับลิ้นชักปิด “ในเมื่อคุณเก็บได้ ก็ถือว่าเป็นของคุณแล้วค่ะ”

หากเมื่อครู่หัวใจเขาเต้นวอลซ์แผ่ว ๆ เนิบ ๆ รอลุ้นคำตอบ บัดนี้มันก็เปลี่ยนจังหวะเป็นรุมบ้าครื้นเครงในพริบตา อิงอรุณช่างมีอิทธิพลกับหัวใจเขาอย่างประหลาด เพราะแม้ในวันที่หัวใจหม่นมัวที่สุด เขากลับไม่หวาดกลัวหรือหดหู่ เพียงแค่มีเธออยู่เคียงข้าง โลกก็ดูจะไม่โดดเดี่ยวและเดียวดายเหมือนที่ผ่านมา

หญิงสาวคงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นที่รายล้อมอยู่รอบกายเช่นกัน เธอจึงเสเปลี่ยนเรื่อง “อ้อ...เกือบลืมบอกคุณสาวัชแน่ะ พรุ่งนี้รถอิงซ่อมเสร็จแล้วนะคะ จากนี้อิงคงไม่ต้องรบกวนให้คุณคอยรับส่งแล้ว”

“ผมไม่ได้ลำบาก”

“ถึงคุณไม่ลำบาก แต่อิงก็เกรงใจค่ะ”

“แล้วคุณต้องไปเอารถเองหรือเปล่า”

“น้าชมต้องพาคุณแม่ไปงานสมาคม อิงเลยกะว่าจะนั่งแท็กซี่ไปค่ะ”

“ไปแท็กซี่อันตราย เลิกงานแล้วเดี๋ยวผมพาไปเอง” เขาบอกลอย ๆ

“แต่ว่าคุณต้องไปงานศพคุณพ่อนะคะ”

“งั้นไปรับรถตอนบ่ายละกัน คุณได้รถแล้ว ผมค่อยไปงานศพ”

อิงอรุณขอบคุณด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง ทำให้คนฟังปลื้มจัด สาวัชจึงเปิดประเด็นใหม่เพราะกลัวบรรยากาศดี ๆ จะทำให้หัวใจเขาเต้นพลัดออกมานอกอก!

“แล้วคุณอยากกินอะไร คิดไว้หรือยัง”

“ดึกขนาดนี้ร้านอาหารคงปิดเกือบหมดแล้ว ไปตรงสำราญราษฎร์ไหมคะ แถวนั้นมีก๋วยจั๊บน้ำใสอร่อยมาก ทานอาหารร้อน ๆ จะได้คล่องคอหน่อย”

หญิงสาวบอกทางให้สาวัชจอดรถไว้ริมฟุตปาธ ข้ามถนนมานั่งยังโต๊ะเหล็กสีแดงซึ่งตั้งอยู่บนทางเท้า หลังจากสั่งอาหารเสร็จ ท่านผู้นำก็ชี้ไปยังจุดที่เขาจอดรถไว้

“ก๋วยจั๊บร้านนี้ขายแต่ตอนกลางคืน ส่วนขนมจีบซาลาเปานี่มีทั้งวัน ตอนกลางวันขายฝั่งโน้น พอกลางคืนก็มาขายรวมกับก๋วยจั๊บ ตีหนึ่งก็ปิดร้านแล้ว รับรองว่าอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างจนคุณสาวัชทึ่งแน่นอน” อิงอรุณโฆษณาประหนึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเจ้าของร้าน

“คุณเลิกขมวดคิ้วแล้ว เห็นแบบนี้อิงค่อยเบาใจหน่อย”

ชายหนุ่มชะงักกับข้อสังเกตนั้น ความใส่ใจห่วงใยเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอทำให้เขารู้สึกละม้ายมีละอองสีทองโปรยปรายลงมารอบตัว เป็นยิ่งกว่าเชื้อเพลิงชั้นดีที่เป่าให้หัวใจเขาพองโตด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณทำไมคะ?”

สาวัชส่ายศีรษะ ปฏิเสธที่จะอธิบายความรู้สึกของตัวเอง

“บางทีอิงก็รู้สึกเหมือนว่าอิงไม่รู้จักคุณเลย ทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าคุณชอบทำตัวขรึม คงแก่เรียน ยโส ไว้ตัว แต่หลายครั้งอิงก็คิดว่าคุณไม่ได้มีแต่แง่มุมแบบนั้นอย่างเดียวสักหน่อย”

“ผมก็เป็นเหมือนคนอื่นทั่วไป เป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนนึง”

“คนที่เป็นดอกเตอร์แถมยังประสบความสำเร็จขนาดนี้ เรียกว่าธรรมดาไม่ได้หรอกค่ะ” อิงอรุณทำตาโต ยังคงไม่ละความพยายามที่จะงัดปากให้เขาพูดคุย เผื่อจะลืมเรื่องร้าย ๆ ได้ชั่วคราว เธอช่างใส่ใจและแสนดีจนเขาไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาใช้ขอบคุณได้แม้เพียงเสี้ยวของสิ่งที่รู้สึกอยู่

ชายหนุ่มสบตาเธอขณะเอ่ยช้า ๆ “ผมเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนนึงที่บังเอิญหัวดื้อและดันทุรังเรียนจนจบปริญญาเอกเท่านั้นเอง ถ้าวัดจากสิ่งที่ผมได้รับมาและเสียไป เรียกว่าประสบความสำเร็จไม่ได้หรอก ต้องบอกว่าผมล้มเหลวด้วยซ้ำ”

“คุณกำลังจะซ้ำเติมแล้วก็ตำหนิตัวเองเรื่องคุณพ่อหรือคะ” เธอยื่นมือข้ามโต๊ะมากุมมือเขาไว้ “ไม่ว่าเราจะทำดีกับพ่อแม่มากแค่ไหน แต่วันที่ท่านจากไป เราก็จะพบว่ามันยังไม่พอ เรายังทำดีได้มากกว่านี้อีก ทุกคนเป็นแบบนี้หมด อิงอาจไม่เข้าใจความรู้สึกของคุณ เพราะอิงไม่เคยประสบกับความสูญเสียแบบนั้น แต่อิงบอกได้อย่างนึงว่าการซ้ำเติมตัวเองไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย คุณกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ การปล่อยตัวเองให้อยู่กับความทุกข์ในช่วงเวลาแบบนี้เป็นเรื่องง่ายมากนะคะ แต่การยืนหยัดเข้มแข็ง อยู่กับปัจจุบันโดยไม่ทุกข์ต่างหากที่ยากกว่า จะเลือกเส้นทางที่ยากหรือง่าย ก็อยู่ที่คุณคนเดียวนะคะ”

“ผมไม่อยากเลือกสักอย่าง”

“คุณพ่อคุณไม่อยู่แล้ว แต่คุณสาวัชก็ยังมีแม่ ตอนนี้ท่านคงจะเสียขวัญไม่น้อย คุณต้องเป็นหลักประคับประคองให้คุณแม่ผ่านเหตุการณ์นี้ไปให้ได้นะคะ”

“คนอย่างผมน่ะเหรอจะเป็นหลักประคับประคองให้ใครได้”

“คนอย่างคุณน่ะเป็นหลักประคับประคองใครก็ได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง ยังกล้าพูดว่าตัวเองล้มเหลวอีก อย่างนี้น่ะที่บ้านอิงเรียกว่าประสบความสำเร็จแล้วนะคะ” เธอทำเสียงกระแทกกระทั้น

“คุณลำเอียงเข้าข้างผมน่ะสิ” สาวัชบอกเสียงเรียบ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง “แล้วคุณล่ะ ความสำเร็จของคุณคืออะไร”

เธอนั่งเท้าคางสายตาเหม่อมองไปไกลราวกับกำลังชะลอภาพมาให้เขาได้เห็นตามไปด้วย ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นทำให้เขานึกถึงคำเพียงคำเดียว...ความสุข!

“อิงคิดถึงความสำเร็จไว้สองแบบค่ะ ถ้าไม่เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ หาคนมาถือหุ้นพร้อมกับจ้างคนบริหาร อีกทางก็คืออิงจะปิดบริษัท” ริมฝีปากบางเม้มแน่นเพื่อกลั้นยิ้มเมื่อเอ่ยจบ “แปลกใจใช่ไหมคะ”

เขาพยักหน้าขรึม ๆ “เพราะคุณตอบคำถามโดยไม่หยุดคิด และผมก็คาดไม่ถึงด้วยว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้”

“ครั้งแรกที่คุยเรื่องนี้กับเพชร อิงก็แปลกใจค่ะ” เธอยอมรับโดยดุษณี “แต่อิงตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ นะ ถ้าถึงจุดที่อิงอยากเกษียณแล้ว อิงคงปิดบริษัท เพราะไม่เคยคิดอยากจะส่งต่อบริษัทนี้ให้ลูกหลานของอิงเลย”

“เหตุผลล่ะ”

“คิวปิดแอสซิสแทนซ์เป็นความภาคภูมิใจของอิงค่ะ มันเป็นบริษัทที่ทำให้คนเป็นเจ้าของมีความสุขมาก ๆ เวลาเห็นความรัก เห็นคนรักกัน เห็นแง่มุมดี ๆ และการเริ่มต้นของคู่รักหลาย ๆ คู่ แต่ลูกหลานของอิงอาจไม่ได้มีความสุขเวลาเห็นสิ่งเหล่านี้ก็ได้ พ่ออนุญาตให้อิงทำตามความฝันโดยไม่ต้องยึดติดกับสยามดริ๊งค์ฯ นั่นเป็นของขวัญที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อจะมอบให้อิงได้ วันหน้าอิงก็อยากจะส่งต่อของขวัญแบบนั้นให้ลูกของอิงบ้าง ให้เขาได้ใช้ชีวิตได้เลือกเส้นทางของตัวเอง ไม่ต้องยึดติดกับสิ่งที่ตกทอดไปจากอิง ด้วยวิธีนั้นมันจะทำให้เขามีความสุขมากกว่า ยกเว้นว่าเขาอยากเป็นผู้ช่วยกามเทพ นั่นแหละ...อิงจะยกบริษัทให้เขาโดยไม่ลังเลเลย”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความทึ่ง ผู้หญิงคนนี้คิดอะไรลึกซึ้งกว่าท่าทางเอาแต่ใจภายนอกจนแทบจะสุดขั้ว

“แล้วความสำเร็จของคุณสาวัชล่ะคะ คืออะไร”

สาวัชทอดสายตามองไกลไปบนฟ้า “ผมอยากได้ครอบครัวแบบโนบิตะ”

“คุณอยากมีโดราเอมอนเป็นของตัวเองเหรอคะ”

สาวัชเยาะหยัน เขาไม่ได้ต้องการเจ้าแมวหุ่นยนต์กับกระเป๋าวิเศษนั่นสักนิด

“ผมเลือกครอบครัวที่เกิดมาไม่ได้ แต่ผมเลือกครอบครัวของตัวเองได้ วันข้างหน้าครอบครัวของผมจะมีแค่พ่อ แม่ แล้วก็ลูก เหมือนครอบครัวของโนบิตะ” สีหน้าเขาหมองลงโดยไม่รู้ตัว เพราะความคิดนี้เองที่ผูกเขาไว้กับความรู้สึกผิด จนผลักไสบิดาออกไป กว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้อง ก็สายเกินไปเสียแล้ว เขาจะยอมให้ตัวเองเสียใจเพียงครั้งเดียว จากนี้เขาจะไม่ทำผิดซ้ำที่เรื่องเดิมอีก

อิงอรุณพูดถูก เขายังมีแม่เหลืออยู่ จากนี้เขาต้องใช้ชีวิตให้ต่างไป จะปฏิบัติกับสาวิตรีอย่างที่ลูกคนหนึ่งสมควรปรนนิบัติมารดา จะได้ไม่ต้องมารู้สึกผิดอีก

“คุณสาวัชก็ต้องเปิดใจกว้าง ๆ จะได้เจอคนที่จะมาสร้างครอบครัวกับคุณ”

นั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม เขาจึงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

“คุณสาวัชถูกใจใครบ้างหรือยังคะ” เธอถามทันควันอันเป็นคำถามมาตรฐานของผู้ช่วยกามเทพเป๊ะ แต่กลับเป็นคำถามที่เขาไม่อาจตอบในตอนนี้

“ต้องเป็นความรู้สึกแบบไหนถึงจะเรียกว่าถูกใจ ผมไม่เคยมีแฟน ไม่เคยคบใครแบบนั้น ผมก็เลยไม่รู้ว่าการถูกใจใครสักคนมันต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง”

“จะไปยากตรงไหนคะ คนที่ถูกใจก็หมายถึงใครสักคนที่เวลาไม่ได้เจอกัน เราจะอยากเห็นหน้าคนนั้นตลอดเวลา เห็นอะไรก็อยากแบ่งปันให้เขาฟัง แต่พออยู่ใกล้เข้าจริง ๆ กลับตื่นเต้น นึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรดี สมองมันว่างเปล่าไปหมด กังวล คาดหวัง กลัวอีกฝ่ายจะเบื่อหรือไม่อยากคุยกับเรา จะพูดแต่ละคำก็คิดแล้วคิดอีก อยากให้คนฟังรู้สึกดีที่สุด เป็นคนที่คุณสบายใจตอนอยู่ใกล้ ๆ อยากรู้เรื่องราวของเขา แล้วก็ไม่อายที่จะเปิดเผยตัวเองให้เขารู้จัก ทำนองนี้น่ะค่ะ”

สาวัชนึกภาพตามที่อิงอรุณบอกช้า ๆ ภาพใครคนหนึ่งผุดขึ้นในใจเขาตามแต่ละประโยคของเธอ เพิ่งจะไม่นานมานี้เองที่เขาพบว่าตัวเองมีนิสัยประหลาด เขานับวินาทีคอยให้ถึงตอนเช้าและเวลาเลิกงานไว ๆ เพื่อจะได้ทำหน้าที่ที่เพียรบอกตัวเองว่าน่าเบื่อทั้งยังเป็น ‘ภาระ’ รำคาญใจที่สุดในโลก

หน้าที่...ขับรถรับ-ส่งอิงอรุณ!

ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนพักกลางวันเขายังชอบไปยืนตรงริมหน้าต่างมองไปยังสำนักงานข้าง ๆ หวังให้ ‘ใครคนหนึ่ง’ เพิ่งก้าวออกจากอาคารกำลังจะไปรับประทานอาหารกลางวันพอดี หากวันไหนมีเหตุบังเอิญเช่นนั้น เขาจะรู้สึกว่ามันเป็นวันดี และหากเธอกำลังยิ้มอยู่ นั่นคือโชคดีทวีคูณ

เขาไม่เคยสนใจอยากรู้ว่าไฉนตัวเองถึงทำเรื่องแปลก ๆ เช่นนั้น เพิ่งมั่นใจก็ตอนที่อิงอรุณนั่งอยู่ตรงหน้าเขา!

ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก รอยยิ้มแต้มบนใบหน้าเชื่องช้า นี่เอง...คำอธิบายของความรู้สึกประหลาดล้ำที่เกิดขึ้นในใจ เธอพูดมันได้ถูกต้องหลายส่วน แต่ไม่ทั้งหมด

สาวัชเอ่ยขึ้นบ้าง “ไม่ว่าใครคนนั้นจะทำอะไร เราก็รู้สึกว่าถูกต้อง ดีงาม น่าชื่นชมไปหมด ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยอยู่เสมอว่าเราคงดีไม่พอ คงไม่คู่ควรกับเธอคนนั้น ทำให้เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่านี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เผื่อว่าใครคนนั้นจะมีสายตาเหลียวมามองเราบ้าง ผมพูดถูกไหม”

คนฟังพยักหน้าสีหน้าตื่นเต้น ทำท่าจะถามต่อ แต่แล้วกลับชะงัก ดวงหน้าขาวกระจ่างซ่านเป็นสีจัด

สาวัชยังไม่ทันปล่อยให้ตัวเองสุขใจกับภาพตรงหน้า พลันอิงอรุณกลับหน้าถอดสี คิ้วมุ่นขมวด ทั้งยัง...ถอนหายใจ!

เธอหลบตาเขา ยิ้มเจื่อนและเปลี่ยนเรื่อง “ก๋วยจั๊บเย็นแล้วรีบกินเถอะค่ะ”

สาวัชประหลาดใจ แต่ปัดความสงสัยทิ้ง นึกขันอิงอรุณที่กำลังก้มหน้าก้มตาตักก๋วยจั๊บรับประทาน สงสัยคงหิวมากจริง ๆ

ดวงตาคมทอดมองเธอด้วยความอ่อนโยน ไม่เร่งเร้าเรียกร้องให้อิงอรุณสำรวจความรู้สึกตัวเอง ยังมีเวลาให้เธอทำความรู้จักและคุ้นเคยกับเขาไปอีกแสนนาน ไม่ว่าเส้นทางนี้จะไปจบลงตรงไหน เขาก็อยากให้ทั้งหมดเริ่มต้น...จากวันนี้



อิงอรุณยืนอยู่หน้าห้องทำงานของบิดา ละล้าละลังไม่แน่ใจว่าการขอเข้าพบสุพจน์กลางดึกจะเป็นความคิดที่ดีจริงหรือไม่

‘ผมไม่เคยรู้สึกดีกับใครมาก่อน จนกระทั่ง...ผมรู้จักคุณ!’

สิ่งที่สาวัชพูดตอนอยู่ที่เกาะสีชังคล้ายเกิดขึ้นเมื่อแสนล้านปีก่อน ทว่าเพียงนึกถึงกลับทำให้หัวใจเธอโหมลั่นได้ดุจเดิมไม่แผก ยิ่ง...สายตาและกิริยาที่เขาทอดมองมาล้วนแล้วแต่ทำให้เธอยิ่งเข้าใจความรู้สึกของตัวเองแจ่มชัดขึ้น

ปัญหาก็คือ...เธอกำลังจะเข้าพิธีหมั้นกับพันเทพอยู่สัปดาห์หน้านี้แล้ว! บิดาของพันเทพไม่ยอมให้ยกเลิกงานหมั้นแน่ ๆ ครั้นจะเดินหน้าทำทุกอย่างตามกำหนดเดิม ตัวเองก็ไม่อยากทำเช่นนั้น และยังห่วงความรู้สึกของสาวัชไม่แพ้กัน

ขณะยังคิดไม่ตก พลันเสียงเปรมิกาก็ดังขึ้นด้านหลัง “น้องอิงมาทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปนอน”

อิงอรุณสะดุ้งโหยง รีบหันไปเกาะแขนมารดายิ้มประจบ

“แม่ละคะ ทำไมยังไม่นอน” เธอเลี่ยงการตอบคำถาม เพราะเดาไม่ถูกเลยว่าถ้าเล่าปัญหาทั้งหมดให้แม่ฟังแล้ว จะได้ความช่วยเหลือหรือถูกซ้ำเติม

“เกือบห้าทุ่มแล้ว แม่จะมาเตือนคุณพ่อให้เข้านอนน่ะสิ พักนี้ทำงานดึกทุกวันเลย สุขภาพก็ไม่ใช่ว่าจะดีนัก”

“มีงานอะไรมากมายหรือคะ ก็เห็นเทพมาช่วยคุณพ่อแล้วนี่นา”

“มาช่วยทำให้งานเยอะขึ้นน่ะสิ แทนที่จะได้พัก พ่อน้องอิงต้องเอาเวลาไปสอนงานแล้วก็ตรวจงานของพันเทพเพิ่มขึ้นต่างหาก”

เกริ่นมาแบบนี้ ขืนเธอขอคำแนะนำเรื่องสาวัชกับมารดา มีหวัง...

แต่แม่ก็คือแม่ ถ้าไม่ปรึกษาปัญหาหัวใจกับแม่ แล้วจะปรึกษาใครล่ะ!

“แม่คะ อิงมีเรื่อง...”

เริ่มยังไม่ถึงครึ่งประโยค พลันประตูห้องก็เปิดออก เสียงสุพจน์กลั้วหัวเราะ “อ้าว! สองแม่ลูกมายืนคุยอะไรกันตรงนี้ ทำไมไม่เข้าไปในห้องล่ะ”

“ใครว่ามายืนคุยคะ ฉันมาตามคุณไปนอนต่างหาก” เปรมิกาค้อนสามี

“ก็กำลังจะไปนอนอยู่นี่ไงล่ะ วันนี้ปวด ๆ ตรงคอยังไงไม่รู้ นี่ว่าจะขึ้นไปให้คุณช่วยนวดยาให้หน่อย” สุพจน์อ้อนภรรยาแล้วหันมากอดลูกสาว “แล้วน้องอิงล่ะลูก มีอะไรหรือเปล่า หรือจะมาตามพ่อไปนอนเหมือนกัน”

อิงอรุณลังเล พ่อเพิ่งออกจากโรงพยาบาลไม่นาน ทั้งยังทำงานค่อนข้างหนัก วันนี้ก็ปวดเนื้อตัวอีก แทนที่จะเอาเรื่องไปรกใจ ให้ท่านพักผ่อนก่อนน่าจะดี ส่วนเรื่องของเธอ รอพรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยไปขอคำปรึกษาก็ยังทัน

เมื่อคิดตกแล้ว อิงอรุณจึงส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อิงเห็นไฟห้องทำงาน เลยตั้งใจว่าจะมาชวนพ่อขึ้นนอน ก็บังเอิญเจอแม่ที่หน้าห้องพอดี”

สุพจน์ลูบศีรษะเธอ “โอเค งั้นพ่อไปนอนละ ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะลูก”

อิงอรุณมองพ่อแม่เดินเคียงข้างห่างไป ขณะเสียงแม่บ่นพ่อดังมาแว่ว ๆ

หญิงสาวลูบหน้าอย่างอ่อนล้าเมื่อนึกถึงเรื่องของตัวเอง

เงื่อนนี้เธอผูกได้ แต่กลับแก้เองไม่ได้ จะทำฉันใดดี...



-----------------------------------------------------------

ประกาศ

เรื่องนี้จะลงให้อ่านฟรีจนจบ

หลังลงครบทุกตอน

จะติดเหรียญ 5/6 ของเล่มนะคะ

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า

มีเฉพาะในฉบับตีพิมพ์และอีบุ๊คเท่านั้นค่ะ

ตามไปจิกหมอน+ฟินกันในเล่มได้เลย



หนังสือและอีบุ๊คพร้อมจำหน่ายแล้วนะคะ

พยศดอกฟ้า หนา 600 หน้า ราคา 450 บาท จัดส่งฟรีแบบลงทะเบียน

สั่งซื้อฉบับหนังสือ https://goo.gl/HA1QWz

หรือซื้อจากร้านนิยายรัก https://goo.gl/uPTdCs



E-Book

mebmarket >>https://goo.gl/o9FXn6

ookbee >>https://goo.gl/rf274b

Hytexts >>https://goo.gl/KcekzB



สะดวกช่องทางไหนสั่งซื้อเลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนที่ยังรักและเมตตากันเสมอนะคะ




สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2561, 21:20:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2561, 21:20:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 671





<< ตอนที่ 32   ตอนที่ 34 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account