มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 8 (1) เมื่อความฝันทวงคืน

8 เมื่อความฝันทวงคืน

อาการงัวเงียจนเผลอหลับ สาวกึ่งนั่งกึ่งนอนคอตกก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตามสัญชาตญาณ โล่งใจพบว่าตนยังอยู่ในห้องนอน กานติศาเผลอหลับอีกแล้ว ฝืนสังขารมาดื่มกาแฟที่เหลืออยู่ก้นขวด จากการลุกจากที่นอนเร็วเกินไปจนเกิดอาการเวียนหัวศีรษะ ภาพหมุนคว้าง เธออาเจียนออกมามีแต่น้ำกับกาแฟที่เพิ่งดื่มเข้า สารคาเฟอีนมีมากเกินกว่าร่างกายรับไหว เครื่องดื่มชูกำลังก็ทำใจสั่น หมดหนทางหาวิธีครองสติตัวเองไม่ให้หลับนอน

กลัวเหลือเกิน หากสักวันหนึ่งเธอไม่ตื่นขึ้นมาอีก

จึงหาวิธีจัดการจิตใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องที่ไม่มีทางออก หันมาทำกิจกรรมยามว่างที่ชื่นชอบ กานติศาให้กำลังใจตัวเอง หยิบกระดาษกับดินสอถ่าน ก่อนรางภาพตั้งคำถามตัวเองขึ้นมาเล่นๆ ว่า อยากวาดภาพอะไรมากที่สุดภายในใจผุดคำตอบชัดเจน จนเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ จิตใจกำลังทรยศ น้ำตาไหลเป็นสาย กลืนก้อนเสียงสะอื้นลงไป เก็บตัวใช้สมาธิลงมือวาดภาพ

ธรณินทร์ล้มเลิกส่งข้อความอยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีการตอบกลับมา แม้โมโหที่ไม่ได้รับความสนใจจากรุ่นน้อง แต่ความสำคัญของโปรเจคมัดตัวเขาและทุกคนไม่สามารถปลีกตัวไปพักผ่อนได้ ทุกเวลาทุกนาทีมีค่า ส่งผลต่อความสำเร็จ คณะกรรมการลงทุนจำนวนเงินมหาศาลให้กับภาพยนต์หนังเรื่องใหม่

“ทำไมพี่ติดต่อกานไม่ได้ ส่งข้อความไปเท่าไรก็ไม่ตอบ” เขาตัดสินใจโทรหาน้องชายเธอ ใส่อารมณ์ลงไปในน้ำเสียง เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยกับการต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาเธอ เมื่อก่อนไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ในสายตาเขามีกานติศาเป็นฝ่ายรอเขา ต่อให้ใช้เวลานานแค่ไหนเธอยังมั่นอยู่เดิม รออย่างใจเย็นกับรอยยิ้มส่งมาให้กำลังใจเสมอ

“มีอะไรเกิดขึ้นแล้วไม่ได้บอกพี่ใช่มั้ย”

การประสบผลความสำเร็จมาถึงเมื่อไร วันที่เขากลายเป็นที่รู้จัก มีชื่อเสียงในวงกว้างมากขึ้น บริษัทต่างชาติต่างเข้ามาจองคิวสัมภาษณ์ ดึงตัวเขาไปทำงานพร้อมกับทีมงาน นั้นหมายความว่าเขาขีดระยะห่างของความสัมพันธ์ระหว่างกับกานติศายาวขึ้น เฝ้ารอตั้งแต่เด็กสาวโตเป็นสาวสะพรั่ง แต่เขาไม่มีสิทธิ์เอาความสำเร็จของตัวเองไปขวางเส้นทางอนาคตของเธอ กานติศาควรเดินเส้นทางมีชีวิตของตัวเอง ระหว่างนี้เขาจะประคองต่อไปให้นานที่สุด จนกว่าเขาพร้อมเดินหน้าความสัมพันธ์เสียที

“โธ่เอ๊ย โทรหาใครก็ไม่รับ วันนี้เป็นวันอะไรกันวะ” กันต์โมโห ทันทีวางสายจากพี่ต้น อีกฝ่ายเอาแค่คาดคั้นเอาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งพี่สาวและรติรส ต่างคนต่างไม่รับสาย

นางประพิมพรรณ มารดายกของว่างและนมอุ่นเข้ามาในห้อง ตาสำรวจห้องนอนลูกชาย พอใจภายในห้องจัดเป็นระเบียบ “ดึกแล้ว รีบกินก่อนจะได้นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปโรงเรียนไม่ไหว”

“ครับแม่” เขาเกือบชูมือแสดงอาการดีใจที่มารดาออกเกือบพ้นออกนอกประตู เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้วนเข้ามานั่งบนเก้าอี้โซฟาแทน เขาเริ่มวางตัวต่อหน้าท่านไม่ถูก

“ได้ติดต่อพี่ลูกหรือเปล่าจ๊ะ เขาสบายดี?”

“ครับ พี่สบายดี” กันต์ตีหน้าซื่อปล่อยคำโกหก แต่ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกแน่นแฟ้นทำให้นางรู้จักดีว่าลูกชายกำลังโกหก “งั้นโทรบอกพี่ลูกหน่อยสิ ว่าเสาร์อาทิตย์นี้แม่จะเข้าไปเยี่ยม”

แรงกดดันมหาศาลทำกันต์ข่มตานอนไม่หลับ ทำไมทุกคนต้องคาดคั้นเขาเอาคำตอบ รติรสดูเหมือนไร้การให้ความร่วมมือ หายตัวไปไม่รับโทรศัพท์ จากการติดต่อครั้งสุดท้ายเสียงร้องไห้ทำให้เขาเครียด เป็นผู้ฟังช่วยแบ่งเบาความทุกข์ พวกเขาได้ทะเลาะกันถึงขั้นร้องไห้ใส่โทรศัพท์จนพล่อยหลับไป

รติรสบอกว่าว่าจิตใจพี่สาวไม่ปกติ ราวกับไม่ใช่กานติศาคนเดิม เขาเริ่มเป็นห่วงอาการพี่สาวมากที่สุด หากกลับไปเยี่ยมตอนนี้คงโดนตะเพิดไล่กลับบ้านแบบครั้งที่แล้ว แต่การที่ไม่อะไรเลยทำให้เขาทนอยู่ไม่ได้เช่นกัน

“เอาไงก็เอาว่ะ” มือหยิบโทรศัพท์มาไล่เช็กดูข้อความ เข้าแอพพลิเคชั่นโซเชี่ยลโลโก้น้ำเงินที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก เขาเห็นการอัพเดทสถานะของสาวคนหนึ่ง

ดื่มให้กับชีวิตพังๆ ไม่เมาไม่กลับบ้าน

กับการโพสต์วิดีโอสั้น ภาพเบลอไม่ค่อยชัด รติรสแต่งตัวประหยัดผ้า นุ่งห่มน้อย กำลังเต้นสุดเหวี่ยงไปกับเสียงเพลง ท่ามกลางหมู่คนวัยรุ่น บรรยากาศสถานที่ดูเหมือนไนท์คลับ เขาสังเกตว่ามีการเช็คอินที่อยู่ด้วน ไนท์คลับชื่อดังอยู่ย่านพระรามเก้า หล่อนมาเที่ยวกลางคืนแล้วพี่สาวอยู่กับใคร “ปั๊ดโธ่เอ๊ย”

กันต์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ใช้หมอนข้างซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มสร้างตัวหลอก ให้ทุกคนเชื่อว่าเขานอนห่มผ้าคลุมโปง หากไม่สำเร็จเขาจะกลับมาขอขมาพวกท่านทีหลัง เขาปีนหน้าต่างลงจากชั้นสอง วิ่งออกจากไปบริเวณบ้านอย่าใจร้อนรน

ด้วยความเร่งรีบกับการนั่งแท็กซี่ตีนผีพาเขามถึงไนท์คลับภายในเวลาสั้นๆ นึกเป็นห่วงสาวใช้ชีวิตกลางคืนกับสถานที่เยี่ยงนี้ แทนที่ควรกลับไปอยู่ดูแลพี่สาว หน้าสถานที่มีผู้ชายร่างล่ำ หน้าตาดุเหมือนมาเฟียทำหน้าที่ตรวจตรายืนขวางเขาระหว่างกับประตู กั้นมือไม่ให้เข้าไป

“ผมสิบเก้าแล้ว ไม่เชื่อก็ดูบัตรสิครับ” พร้อมยื่นบัตรประชาชนเป็นหลักฐาน

ลำแขนเต็มไปด้วยรอยสักยันหน้าอกไม่ยอมให้เข้าไปอยู่ดี “มาครั้งแรกสินะ กฎหมายที่นี่ต้องยี่สิบปีขึ้นไป”

“โธ่! แค่ปีเดียวเองพี่ ปล่อยผมสักครั้งไม่ได้เหรอครับ” เขาอ้อนวอน

“ถอยไป ไอ้หนู กลับบ้านไปนอนไป”

“แต่ว่าผม...ไม่ตั้งใจจะมาดื่มจริงๆ นะครับ เพื่อนผมอยู่ข้างใน ผมมาพาเพื่อนกลับบ้าน” สิ้นคำเขาถูกผู้ชายอีกสองคนเข้ามาประชิดตัวหิ้วปีกแล้วลากเขาออกไปจากตรงนั้น

“ใครๆ ก็มามุขนี้ กูเจอมาเยอะแล้วโว้ย กลับบ้านไปกินนมแม่ไป”

เมื่อเจอความล้มเหลว และไม่ใช่คนประเภทคอตกยอมแพ้กลับบ้านง่ายๆ กันต์เดินวนเวียนแถวประตูหลัง มีไว้เข้าออกสำหรับพวกพนักงานและการขนส่งสินค้า ในหัวมีแผนวางไว้แล้ว ยิ้มมุมปากเมื่อเห็นรถขนเบียร์แล่นมาถึงที่ตามแผนเป๊ะ เขาฉวยจังหวะพวกเขากำลังขนลังเบียร์เข้าๆ ออกๆ ไนท์คลับ โดยการทำตัวเนียนเป็นคนงานขนลังเบียร์เข้าไปข้างใน เวลากลางคืนมืดๆยิ่งมองหน้ายากว่าใครเป็นใครอยู่แล้ว

ไฟ แสง สี โดยเฉพาะยิงไฟเลเซอร์ทำให้เขาตาพร่าเวียนหัว เดินโซเซเหมือนคนตาบอดเข้าไปในหมู่คนกำลังเต้นส่ายตัวส่ายสะโพกคลอเสียงเพลงทำเอาหูหนวกได้เหมือนกัน มีสาวคนหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาโอบลำคอชายหนุ่มด้วยลีลาเต้นยั่วยวนของหล่อน หากเป็นเวลาปกติเขาคงยินดีปรีดาเต้นร่วมด้วย แต่เป้าหมายคือหาตัวรติรสให้เจอและพาออกไปจากที่นี่ กันต์เอ่ยคำขอโทษอย่างสุภาพแล้วปลีกตัวออกมา กวาดสายตามองหาเป้าหมาย

เขานึกยิ้มโชคดีที่หาตัวได้ไม่ยาก รติรสเป็นคนสวย ชอบเป็นที่สนใจทำตัวโดดเด่นกลางสายตาผู้คน หญิงสาวคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนแท่น เต้นส่ายสะโพกไปมา ยิ่งเต้นแรงเท่าไรยิ่งเรียกเสียงโห่มากขึ้น หากเขาปล่อยนานกว่านี้อาจจะถึงขั้นเสียสติเต้นเปลื้องผ้าก็เป็นไปได้ เขากลัวว่าประวัติเธอจะด่างพร้อยจึงรีบดึงตัวหล่อนลงมา

รติรสสภาพมึนเมาแทบไม่ได้สติ เมื่อเห็นว่าใครดึงตัวเธอลงมาก็หัวเราะ ส่วนเขาจวนมึนหัวเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์มาจากปากเธอนี่แหละ “เรากลับกันเถอะนะ”

“ไม่ได้ยินอ่ะ”

ที่นี่เสียงดังเกินไป กันต์จึงพารติรสไปหลบบริเวณหน้าห้องน้ำ และระหว่างที่กำลังจะพูด สาวตรงหน้าบ่นว่าอยากจะอาเจียนออกมา ดึงตัวเขาเข้าไปในห้องน้ำผิดห้อง สาวกึ่งนั่งกึ่งนั่งกอดโถสุขภัณฑ์ในห้องน้ำชายและมีชายหนุ่มอย่างเขาค่อยลูบหลัง “นี่เรากลับบ้านเถอะนะ พี่กานไม่ควรอยู่คนเดียว”

“อ้อ” สาวอ้อแอ้พูดไม่เป็นภาษา เพราะระดับแอลกอฮอล์ในเลือดคงสูงทะลุเพดานแล้ว เขาตัดสินใจจะประคองคนเมาออกมาจากห้องน้ำ แต่กลับมีกิจกรรมเสียงดังในห้องติดกันขัดจังหวะก่อน ตีหน้าเครียดเมื่อได้ยินเสียงครางราวกับขาดใจ วางตัวไม่ถูกกับเสียงกิจกรรมหาความสุขกับเพศเดียวกัน ถึงกลายเป็นเรื่องปกติของสมัยนี้ แต่กันต์อดตำหนิติเตียนไม่ได้

“ตำรวจมา ตำรวจมา” เสียงโหวกเหวกจากข้างนอกมาพร้อมเปิดหวอของรถตำรวจ ทุกคนในไนท์คลับต่างตกใจแตกตื่น กระจายตัวอย่างวุ่นวายอลหม่าน รวมถึงภายในห้องน้ำ กันต์หน้าซีดเผือด เนื่องจากยังไม่บรรลุนิติภาวะลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย เขาจะปล่อยหน้าหล่อของตัวเองไปโผล่หนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งไม่ได้ อนาคตสวยงามปูทางรอเขาอยู่ หากโดนตำรวจจับไม่ใช่เขาคนเดียวที่เสียชื่อ ครอบครัวเขาจะต้องเสียหน้า พ่อเป็นอดีตตำรวจประดับยศต้องเอาเขาตายแน่

กันต์ให้รติรสเมาไม่ได้สติขึ้นขี่หลังแทน เขามองเห็นทางออกจึงปีนหน้าต่างห้องน้ำออกไปด้วยความทุลักทุเล เพราะน้ำหนักสาวคนเมาไม่ใช่น้อยๆ ทันทีพ้นหน้าต่างลงไป เป็นจังหวะเดียวกับหน้าอกกระแทกกับหลังเขาให้รู้ความลับว่าหน้าอกใหญ่หล่อนผ่านศัลยกรรมด้วยการเสริมซิลิโคน


กันต์ปล่อยร่างคนเมานอนคว่ำบนพื้นในห้องเหมือนคนนอนตายในฉากฆาตกรรมก็ดูใจร้ายไป จึงเปลี่ยนมาอุ้มร่างสาววางนอนที่โซฟาแทน เกือบเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชายถ้าไม่โดนฉุดกระชากล้มทับบนร่างคนเมา โชคดีที่มือยันไว้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้าเขาคงจมลงไประหว่างภูเขาสองลูก ท่องตัวเลขหนึ่งถึงร้อยเป็นครั้งที่สามค่อยๆ ถอยห่างออกมา ตัวรู้สึกร้อนเหงื่อแตกราวกับไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลมา

“นะ นาย เป็นคราย” สาวเสียงอ้อยตาปรือ

“ใครซะที่ไหน กันต์ไง”

“นะ นาย ไม่ใช่กันต์ นายคือ...” เหมือนคำขาดห้วง กันต์โน้มหัวลงเงี่ยหูฟัง

“ผู้ชายในจินตนาการของรสต่างหาก”

พูดเสร็จสาวกระดกหัวขึ้นมาประกบปากขโมยจูบแรกเขาไป กันต์ตาโตจนตัวแข็งปล่อยให้หล่อนหลงระเริงไปกับการสัมผัสริมฝีปาก ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาเป็นอิสระง่ายๆ จึงดึงสติตนกลับมาแล้วผลักหล่อนออกไป ทว่าหาได้รู้ไม่ว่าชื่อเสียงกระฉ่อนของรติรส เมื่อต้องใจอะไรเข้าจะไม่มีวันปล่อย นั้นเป็นสาเหตุที่หล่อนพยายามปีนขึ้นไปบนตัวเขาให้ได้ แรงผู้ชายย่อมมีเยอะกว่าเขาจึงดันร่างเป็นฝ่ายพลิกแทน และโดนหล่อนฉกริมฝีปากไปอีกหนึ่งที เมื่อสาแก่ใจแล้วหล่อนถึงคราวนอนหลับอย่างสงบสุข เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทั้งที่เขายังช็อคกับเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ กระชับเสื้อเข้าหากันหลังจากมือหล่อนพยายามดึงทึ้งเสื้อผ้า ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนโดนรังแกข่มเหง อยากจะร้องไห้วิ่งไปฟ้องแม่เหมือนเด็กห้าขวบเสียเดี๋ยวนี้ ตกใจแทบสิ้นสติไม่รู้สึกถึงบุคคลที่สามย่างสามขุมเข้ามาตบหัว “นี่แกกำลังทำอะไร”

“เปล่านะ ผมไม่ได้...” สายไปเสียแล้ว มือเขาดันซวยไปวางบนหน้าอกรติรสโดยไม่ตั้งใจ มันชวนเข้าใจผิดขึ้นไปอีก กานติศาโมโหหน้าแดงจับไม้กวาดไล่ตีน้องชาย มองเผินทั้งคู่เหมือนเล่นวิ่งไล่จับในช่วงปิดเทอม “ไอ้เด็กเปรต แม่ไม่ได้สอนแกมาแบบนี้”

“เจ็บนะ! ไม่ใช่แล้ว พี่เข้าใจผมผิดแล้ว” กันต์หลบลูกหวดไม้ที่สาม ผ่านหน้าเขาอย่างฉิวเฉียด ขืนโดนอย่างนี้ต่อไปเขาอาจจะเสียหน้าหล่อ

“แกจะทำอะไรรส คิดทำมิดีมิร้ายกับคนนอนหลับ”

“หลับอะไรพี่ ดูสิครับ หล่อนเมาต่างหาก เห็นอ้วกบนเสื้อผมมั้ย” กันต์ชูรอยเปื้อนบนเสื้อให้พี่สาวดูด้วยความจำเป็น “พี่ครับ ถึงผมเกเรแค่ไหนแต่ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินว่า ผมไม่เคยคิดจะล่วงเกิน ถ้าโกหกขอให้โดนฟ้าผ่าตาย”

ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก เมื่อพี่สาวลดไม้กวาดลง เข้าหาเพื่อนสนิทนอนสลบไสลไม่ได้สติ กลิ่นเหล้าหึ่งต้องย่นจมูกเป็นหลักฐานบอกว่าน้องชายพูดจริง

“ผมเจอเธอที่ไนท์คลับ เมาอ้วกตลอดทาง กว่าจะลากมาถึงที่นี่ทำเอาผมเกือบตายเหมือนกัน”

“พี่ขอบคุณกันต์มาก ที่ช่วยดูแลรสแทนพี่” กานติศาห่มผ้าให้เพื่อนอย่างรู้สึกผิด เธอได้รับการดูแลที่ดีจากหล่อนมากมาย แต่เธอกลับไม่ได้ตอบแทนสิ่งเดียวกัน เป็นฝ่ายผลักไสด้วยซ้ำ “รสกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะพี่”

“เกิดอะไรกับพี่ หน้าพี่ไปโดนอะไรมา” เป็นครั้งแรกที่กันต์มองสำรวจสภาพพี่สาวอย่างจัง ต้องอุทานในใจ นับตั้งแต่กลับบ้าน พี่สาวเขาเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน มองเผินๆ เกือบหลงเชื่อว่าผู้หญิงสาวตรงหน้าไม่ใช่พี่สาว แต่เป็นคนบ้าสติไม่ประสมประกอบหลงเข้ามา

กานติศาเหมือนรู้ตัวดีว่าตนกลายเป็นที่รังเกียจ รวมมัดผมพันกันยุ่งเหยิงเป็นก้อนจุกเล็กๆ เดินอ้อมเขาไปที่ครัวเพื่อเทเหยือกกาแฟดำใส่แก้ว กันต์คว้าแก้วออกไปจากมือพี่สาว “ใครเขาดื่มกาแฟตอนกลางคืนกัน”

“เอาแก้วมาให้พี่นะ”

“ไม่ครับ จนกว่าพี่จะบอกผม”

เขาตื่นตะลึงพี่สาวยกเหยือกดื่มกาแฟจนหมดเกลี้ยง พฤติกรรมประหลาดนึกสงสัย “พี่ไม่ได้นอนมากี่วันแล้ว”

คำถามน้องชายน่าสนใจ กานติศาไม่ตอบเพราะจำวันไม่ได้เหมือนกัน “แกควรรีบกลับบ้านไปดีกว่า ก่อนพ่อแม่รู้ตัวเอาพี่ตายแน่”

กันต์เดินตามพี่สาวเข้ามาในห้องนอน ทันทีเห็นสภาพห้องถึงกับทรุดลงไปนอน เหมือนหลงเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง แผ่นกระดาษจำนวนมากปลิวกะเรี่ยกะราดเต็มพื้น แม้แต่บนที่นอนเต็มไปด้วยกระดาษจนหาลายผ้าปูแทบไม่เจอ และพี่สาวนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวในห้อง ลงมือตั้งอกตั้งใจวาดรูปมาก เหมือนอาศัยอยู่คนเดียวในโลกของศิลปิน

เขาหยิบผลงานวาดรูปมาดูทีละแผ่นอย่างนึกอดสงสัยไม่ได้ อะไรคือสาเหตุเปลี่ยนพี่สาวเป็นคนละคนขนาดนี้ ภาพพืชสมุนไพรหลากหลายชนิด พี่สาวเขาบรรจงวาดด้วยดินสอถ่าน ความชำนาญด้านศิลปะทำเขาทึ่งอยู่เสมอ แผ่นต่อมาวาดสัตว์รูปร่างประหลาด เคยพบแต่ในโลกนิยาย นกเหยี่ยวสยายปีก ปลายขนนกมีหนามแหลมคม สัตว์เลื้อยคลานคล้ายงูมีขางอกทั้งสี่ขา ลำตัวมีครีบเหมือนปลา เขาไล่ดูไปจนกระดาษแผ่นสุดท้าย แมงมุมขายาวแม้แต่ประเภทสัตว์เกลียดที่สุดยังลงมือวาด “พี่ครับ”

ไม่หันมาตามเสียงเรียก จึงเข้าไปใกล้ๆ พี่สาวกำลังวาดดวงตาคู่หนึ่ง กันต์มองไปรอบๆ สังเกตว่าผลงานส่วนใหญ่เป็นภาพมนุษย์ คล้ายนักรบในอิริยาบถต่างๆ ภาพเหล่านี้เป็นของคนๆ เดียวกัน สิ่งโดดเด่นคือดวงตาคมดุดัน กับอาวุธดาบยักษ์ ดินสอถ่านถูกแย่งไปจากมือ “พอแล้ว พี่ต้องนอนนะครับ”

“ไม่ นอนไม่ได้หรอก พี่ต้องวาดรูป” ดึงดินสอถ่านกลับคืนมาวาดต่อ กันต์ย่อตัวนั่งเป็นห่วงพี่สาว รติรสพูดถูก พี่สาวเขาไม่เหมือนเดิม “ทำไมพี่วาดรูปแต่นักรบคนนี้ เขาเป็นใคร”

ได้ผล...กานติศาชะงักหยุดวาดรูปทันที สีหน้าเธอเหมือนเกือบจะร้องไห้

“พี่ก็อยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่รู้...ว่าทำไมพี่วาดรูปเขาเท่านั้น จิตใจพี่ถึงสงบ” เป็นครั้งแรกที่เธอได้เปิดใจพูดสิ่งที่กักเก็บมานาน เมื่อหลุดออกมาคำหนึ่ง ยิ่งยากเก็บความในใจต่อไป ไหลพรูออกมาเหมือนน้ำหล่นแก้ว

“ขะ เขาคือคนที่อยู่ในความฝัน ต้นไม้และสัตว์เหล่านี้ มาจากจินตนาการของพี่เอง ทุกครั้งที่พี่นอนหลับ ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ในอีกโลกหนึ่ง”

“ดังนั้นพี่จะเผลอนอนหลับไม่ได้ พี่กลัวมาก กลัวกลับไปที่นั้นอีก”

“ที่นั้น โลกที่พี่หมายถึง ในความฝันเหรอครับ” พี่สาวพยักหน้าเป็นคำตอบ รู้สึกโชคดีที่คนตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นน้องชายคนแรกที่เธอเปิดใจ “กันต์ต้องเชื่อพี่นะ”

“แต่ว่า นี่เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้นเอง” คำพูดจากน้องชายเหมือนตีตราหน้าเธอเป็นคนบ้า เป็นขี้โกหกสร้างเรื่องลวง รวมทั้งสายตามองเธอเหมือนสัตว์ประหลาด

“พี่ไม่ได้บ้านะ ไม่ได้บ้าจริงๆ กันต์ต้องเชื่อพี่นะ” หากเป็นคนอื่นที่ได้ยินคงจับเธอเข้าโรงพยาบาลจิตเวช ปากยิ่งพูดว่าไม่ได้บ้า ยิ่งถูกตราหน้าเป็นคนบ้า สาวน้ำตาร่วงเผาะๆ “ไม่ได้นะกันต์ อย่าให้พวกเขาเอาตัวพี่ไปนะ พี่ไม่ใช่คนบ้า”

“กันต์ต้องเชื่อพี่นะ พี่ขอร้อง” กานติศาจับตัวน้องชายราวกับเป็นที่ยึดมั่นสุดท้าย สภาพพี่สาวร้องไห้อย่างน่าเวทนา

“ผมเชื่อพี่” ไม่สิ เขาบังคับใจตนให้เชื่อพี่สาวเท่านั้น

“พี่ต้องนอนพักผ่อนนะครับ อย่าทำให้ตัวเองต้องลำบากแบบนี้เลย ผมกับพี่รสเป็นห่วงพี่มากนะครับ”

“แต่ว่า...ถ้าหลับแล้วไม่ตื่นเหมือนวันนั้น ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา” เธอยังจำความเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อร่างกายกระแทกกับพื้น รู้สึกถึงอวัยอวะถูกกระชากแยกออกจากกัน เหมือนมีเส้นบางขีดแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย ไม่อยากย้อนรอยกลับไปรู้สึกแบบนั้นอีก

“ผมไม่มีวันปล่อยพี่เป็นอะไร ไม่ยอมให้พวกเขาเอาตัวพี่ไป” กันต์ดันพี่สาวลงนอนบนเตียง “พี่ต้องนอนพักผ่อนนะครับ”

“ถ้าหลับเมื่อไร ต้องปลุกพี่ให้ได้นะ” ความจริงเธอรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทน อยากพักผ่อนเต็มที่

“ผมจะอยู่เคียงข้าง ไม่ไปไหน” กันต์นั่งลงข้างเตียง

ร่างกายผ่อนคลาย ลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอเมื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา กานติศานอนตะแคงหลับอย่างสงบเงียบ ใบหน้าซีดไร้การดูแลกลับแต้มคล้ายรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว ความขัดแย้งในใจที่เจ้าตัวมิอาจปฏิเสธได้

เหตุผลหนึ่งเดียวยอมกลับไป คือการได้เจอเขา

สำหรับกันต์ที่ยังอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน คนที่ถ่างตาทั้งคืนกลับตระหนักคิดความไม่ชอบพากล หากเขาไม่ใช่น้องชายกานติศาหรือหล่อนไม่ใช่พี่สาวเขา เป็นใครได้ยินเข้าคงหัวเราะเยาะราวกับเป็นเรื่องแหกตา เขาหันไปดูพี่สาวนอนบนเตียงอีกครั้ง ซึ่งนอนหลับสงบอยู่ที่เดิมไม่หายไปไหน

แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้เล่า นอกจากนั่งเฉยๆ เฝ้าติดตามอาการหรือ



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2561, 15:51:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2561, 15:51:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 766





<< บทที่ 7 (2) วันเวลาที่หายไป   บทที 8 (2) เมื่อความฝันทวงคืน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account