+ * + * + พยศดอกฟ้า (ผู้ช่วยกามเทพ รีโพสต์) + * + * +
นี่มันไม่ใช่แค่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก หรือราหูอมธรรมดาละ

แค่ดื้อกับแม่หน่อยเดียว อิงอรุณ เทียมสุบรรณ ถึงกับต้องโดนตัดเบี้ยเลี้ยงเลยเรอะ! แถมทางเดียวที่จะพ้นจากสถานการณ์ถังแตกได้ก็คือต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ชายเย็นชา ไร้หัวใจ อย่างสาวัช ปรเมศวร์

นับจากวินาทีแรกที่เจอกัน ชีวิตของสาวัชก็ไม่เหลือความสงบสุขอีกเลย เมื่อผู้หญิงเอาแต่ใจใช้ทุกวิถีทางบังคับให้เขาทำตามที่เธอต้องการ ทั้งข่มขู่ แบล็กเมล์ และรวบหัวรวบหาง!

ถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายอยู่ในใจ เขาคงไม่ยอมเดินเข้าไปในกับดักที่หญิงสาววางล่อไว้ง่ายๆ เช่นนี้

นายพรานสาวจอมเอาแต่ใจจะถูกเสือซ่อนลายปราบพยศได้หรือไม่ มหากาพย์เรื่องนี้ต้องดูกันยาวๆ เพราะที่เห็นถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เสือซุ่มอาจรอจังหวะตลบหลังกินรวบดอกฟ้าจอมยุ่งอยู่ก็ได้



+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +

เพื่อนๆ นักอ่านค้าาาาาา
เก๊ากลับมาแล้ว มาพร้อมกับข่าวดีที่หลายคนรอคอยด้วย
ม่ายยยย ไม่ใช่สิริณจะสละโสด
แต่ข่าวดีที่ว่าก็คือ ใครที่รอผู้ช่วยกามเทพอยู่
กำลังจะได้อ่านแบบเป็นเล่มกันแล้วนะค้าาาาา

โดยเรื่องนี้สิริณจะพิมพ์เองเลยจ้า เห็นเขาฮิตทำมือกัน เลยอยากทำมั่ง
เย้ยยย ม่ายช่าย เนื่องจากส่งสำนักพิมพ์ผ่านแล้ว
แต่สำนักพิมพ์เปลี่ยนไปแนวจีนแทน (รู้กันอยู่เนอว่า สนพ.ไหน 555)
ทำให้ถูกดองต้นฉบับอยู่เป็นปีต่างหาก

ตอนนี้ถอนต้นฉบับออกมาละ
ไม่ส่ง สนพ. อื่นด้วย เกรงจะต้องรออีกนาน
ตอนนี้สิริณรีไรท์จบแล้ว พร้อมพิมพ์แล้ววววววว

แต่จะเปลี่ยนชื่อเรื่องตอนตีพิมพ์นะคะ
โดย ชื่อเดิม : ผู้ช่วยกามเทพ
ชื่อใหม่ : พยศดอกฟ้า
ตั้งใจว่าจะเขียนเป็นซีรีส์ ดอกดอก 55555
สนิมดอกรัก -> พยศดอกฟ้า -> วิวาห์ดอกกระดาษ

สำหรับพยศดอกฟ้านี้
สิริณจะรีโพสต์ให้อ่านกันวันละหนึ่งตอน
โดยมีจำนวนตอนทั้งหมด 60 ตอน
จะลงให้อ่านจนจบ ไม่ทิ้งกันแน่นอน

ส่วนตอนพิเศษอีก 100 กว่าหน้า
จะมีเฉพาะในฉบับหนังสือและอีบุ๊กเท่านั้น
บอกเลยว่าเขียนเอง ยังเขินเอง
คนอ่านจะฟินขนาดไหน ไม่ต้องเดาเนอะ :D


ตอนนี้ปกเสร็จแล้ว เหลือเก็บงานอีกนิดหน่อย
ก็จะพร้อมเปิดให้จองกันแล้ว
อาทิตย์หน้าจะนำปกมาอวดกันนะคะ

สำหรับใครที่สงสัยว่าสิริณหายไปไหนมา
ไปแต่งงานหรือเปล่า (ใช่เรอะ! 5555)
ก็ขอตอบตรงนี้เลยว่าไปทำงานค่ะ
สิริณกลับไปเป็นสาวออฟฟิศได้เกือบสองปีแล้ว
โดยทำงานในบริษัทเครื่องสำอางระดับมหาชน
ตำแหน่งที่มาพร้อมความรับผิดชอบ
ทำให้แทบไม่มีเวลาพักเลย กลับดึกตลอด
จนเกือบลืมวิธีเขียนนิยายไปแระ

ตอนนี้สิริณพักร่างช่วงใหญ่
กำลังจะเปลี่ยนงาน
ก็เลยรีบมาทำภารกิจที่ติดค้างในใจให้จบก่อน

ใครยังไม่ได้กดไลค์เพจ รีบไปกดไว้นะคะ
www.facebook.com/SirinFC
สิริณใช้สิทธิ์พนักงานซื้อเครื่องสำอางไว้แจกเพียบบบบบ 555

Tags: สิริณ, อิงอรุณ, ผู้ชายเย็นชา, พระเอกซึน

ตอน: ตอนที่ 35

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงจุดหมาย เพียงเห็นรถกู้ภัยที่จอดอยู่หน้ารั้วบ้านเดี่ยวซึ่งยังสร้างไม่เสร็จ หญิงสาวก็รีบลงจากรถก้าวพรวดเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

สาวัชรีบตามไปติด ๆ ตลอดทางอิงอรุณไม่เล่าหรือเกริ่นให้ฟังเลยว่าต้องเจอกับอะไร แต่เดาจากบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่ดังเป็นระยะ ทำให้พอเดาได้ว่าน่าจะมีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นที่ ‘บ้าน’ มีคนบาดเจ็บ และกำลังอยู่ระหว่างการช่วยเหลือ

อิงอรุณนำไปทางด้านข้างของตัวบ้านอย่างคนชำนาญพื้นที่ และเพียงเห็นสวนด้านหลังชัด ๆ สาวัชก็ชะงัก คนข้างกายเขาผงะ ยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้อง หมุนตัวหันหลังรวดเร็วดุจต้องการเวลาทำใจกับภาพที่เพิ่งเห็น

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทั่วบริเวณ เธอสีหน้าเผือดซีด

สาวัชดึงผ้าเช็ดหน้าที่ยังไม่ได้ใช้ออกมาส่งให้ “เอาปิดจมูกไว้ เผื่อจะทำให้รู้สึกดีขึ้น คุณเข้าไปคอยในบ้านเถอะ ผมจะไปถามรายละเอียด เดี๋ยวไปเล่าให้ฟัง”

เขาคอยจนเธอแยกไปแล้ว จึงให้ความสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนขอบกำแพงหลังบ้าน ผู้ชายตัวเล็กแกร็นผิวกร้านเกรียมหมดสติคว่ำหน้าค้างอยู่บนนั้นโดยมีเหล็กปลายแหลมยาวเกือบสี่สิบเซ็นติเมตรเสียบทะลุหัวไหล่ข้างขวา มีผ้าขาวม้าคลุมหน้าและไหล่กันสะเก็ดไฟ กู้ภัยสี่คนยืนบนกองปูนชิดกำแพงรั้ว ช่วยกันยกตัวผู้เคราะห์ร้าย ขณะคนงานก่อสร้างใช้เครื่องตัดด้านล่างของแท่งเหล็กซึ่งเสียบคาอยู่อย่างระมัดระวังมิให้กระเทือนบาดแผล คนที่เหลือช่วยกันทยอยเคลียร์พื้นที่รอบ ๆ ให้ทีมกู้ภัยยืนสะดวก ๆ

เสียงสั่งการดังสลับเสียงเครื่องตัดเหล็กเสียดหู กลิ่นคาวเลือดปนกลิ่นเหม็นไหม้ของโลหะที่ถูกตัดชวนให้สะอิดสะเอียนอย่างยิ่ง

“เกิดอะไรขึ้นครับ” สาวัชถามเจ้าหน้าที่กู้ภัยซึ่งยืนสั่งการอยู่

“คุณเป็นใคร” ฝ่ายนั้นถาม ไม่ยอมให้ข้อมูลง่าย ๆ

“เจ้าของบ้านครับ” เขารับสมอ้างรวดเร็ว การแสดงตัวเช่นนี้จะเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือ และเพิ่มความปลอดภัยให้อิงอรุณมากกว่าบอกความจริงว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนี้สักอย่าง

“คนงานขึ้นไปทาสีบนหลังคาเรือนเล็ก แต่ลื่นตกลงมาไหล่เสียบรั้ว พวกผมเพิ่งมาถึงได้สักพัก”

“เหล็กเสียบทะลุอวัยวะสำคัญหรือเปล่า”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “น่าจะโดนแค่ไหล่ แต่เพราะเขาตกลงมาแรง ลงลึก แถมยังโดนเหล็กสองแท่ง เลยต้องเสียเวลาตัดเหล็กนานหน่อย ดูจากความชันของหลังคา ต้องบอกว่าโชคดีมากที่โดนไหล่ แล้วก็มีคนอยู่ด้วย ถึงมีคนโทร.ตามพวกผม และหาฐานสูง ๆ มารองให้คนเจ็บยืน แผลถึงไม่กระเทือนมาก”

“ถ้ามีอะไรที่ผมช่วยได้ ตะโกนเรียกเลยนะครับ ผมจะอยู่ตรงหน้าบ้าน”

เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยักพเยิด “เชิญครับ ดีแล้วที่ให้แฟนคุณออกไป เห็นแล้วจะติดตา จิตตกเปล่า ๆ ”

“แฟน?” เขารู้สึกคันยิบ ๆ ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

“คนงานบอกว่ากำลังสร้างเรือนหออยู่ ไม่น่าเกิดเรื่องอย่างนี้เลย ยังไงก็เอาใจช่วยให้เสร็จทันกำหนดนะครับ เฮ้ย ๆ กดปากแผลไว้หน่อย เลือดออกใหญ่แล้ว” ตอนท้ายเขาหันไปกำชับเพื่อนร่วมงาน ทั้งยังผละไปสมทบกับคณะกู้ภัย

ทว่าคนฟังกลับมึนงง ไม่เคยรู้สึกว่าสมองทำงานช้าเช่นนี้มาก่อนเลย เรือนหองั้นเหรอ! เรือนหอของใคร แล้วทำไมอิงอรุณต้องเป็นธุระมาดูแลอุบัติเหตุที่นี่

ลางสังหรณ์กรีดระงมในหัว ทว่าชายหนุ่มปัดมันทิ้งทันที ไม่หรอก! นี่ไม่ใช่เรือนหอของอิงอรุณ เธอแค่รับปากมาดูแทนเพื่อนสักคนเท่านั้น แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ลึกที่สุดในใจ สาวัชทำใจให้เชื่อสิ่งที่ย้ำไม่ได้ด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มย้อนกลับไปทางเดิมก็พบว่าอิงอรุณเดินกระวนกระวายอยู่หน้าบ้าน

“เขาจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” เธอถลันเข้ามาขยุ้มแขนเสื้อเขาแน่น

“ไม่โดนจุดอันตราย คิดว่าคงอาการไม่หนักมากหรอกครับ”

หญิงสาวถอนใจโล่งอก

“คนงานบอกว่าที่นี่จะสร้างเป็นเรือนหอ” สาวัชเปรยลอย ๆ

อิงอรุณอุบอิบเปลี่ยนเรื่อง “คุณสาวัชกลับเลยก็ได้นะคะ ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”

“ที่นี่เป็นเรือนหอของใคร” สาวัชไม่ยอมปล่อยผ่าน

“คุณสาวัชจะทราบไปทำไม” คนตอบเสียงอ่อย ผิดปกติอย่างยิ่ง

“เดาว่าคงไม่ใช่ของคุณ”

หญิงสาวหลบตาเขาทันที

“อิงอรุณ” การเอ่ยชื่อเธอครั้งนี้ ทิ้งรอยขม ๆ ไว้ในปากในคออย่างบอกไม่ถูก

กามเทพสาวช้อนสายตาอ้อนวอนขึ้นมาขอร้องไม่ให้เขาคาดคั้นไปมากกว่านี้

ชายหนุ่มจ้องตาเธอนิ่ง ๆ

ในที่สุดเธอจึงอุบอิบ “เรือนหอของอิงค่ะ อิงกำลังจะหมั้นอาทิตย์ที่จะถึงนี้”

สาวัชรู้สึกเหมือนเพิ่งถูกหินก้อนใหญ่ทุบศีรษะ สมองถูกโพรงว่างเปล่าขนาดมหาศาลพุ่งเข้ายึดกุมพื้นที่จนไม่เหลือไว้ให้ความคิดอ่านใดหลุดลอดออกมา สายตาที่ทอดมองอิงอรุณเต็มไปด้วยความงุนงงและประหลาดใจ

“อาทิตย์นี้งั้นเหรอ”

วิธีที่หญิงสาวหลบตาเขาบอกชัดกว่าการยอมรับตรง ๆ เสียอีก

ดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกละม้ายแข้งขาอ่อนแรงกะทันหัน เขายันมือกับผนังใกล้ตัวเพื่อเป็นหลักพยุง การหายใจ การหาคำพูดดูราวจะเป็นเรื่องยากที่สุดในตอนนี้

“แล้วที่เรา...” ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างร้าวราน ภาพความทรงจำระหว่างเขากับอิงอรุณทวนย้อนมาในหัวดุจสายน้ำหลาก ทุกเรื่องราวนับจากวันที่พบกันครั้งแรก ที่สถานีตำรวจ...เขารับหญิงสาวที่กำลังซวนเซไว้มิให้ล้ม โอบประคองพาเธอไปโรงพยาบาลครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงหัวเราะ รอยยิ้มรู้เท่าทัน ความฝัน ความลับมากมายที่แบ่งปันให้กัน รวมถึงอ้อมกอดที่เธอมอบให้ในวันที่มืดมิดที่สุดของชีวิต

ถ้าเธอกำลังจะหมั้น แล้วความอาทรเหล่านั้นคืออะไร! หรือที่ผ่านมา มีเพียงเขาที่ ‘รู้สึก’ ไปเองเพียงฝ่ายเดียว

หญิงสาวตาแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาสักหยด เธอยื่นมือมาตรงหน้าเขา สาวัชมองด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าอิงอรุณกำลังส่งผ้าเช็ดหน้าคืนมา ดวงตางามวาวคลอเป็นประกายเอ่ยขอโทษเขาด้วยสายตาคู่นั้น

ชายหนุ่มงุนงง ครั้นรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่น่ารำคาญบนใบหน้า สาวัชจึงปัดมันออกอย่างไม่ให้ความสนใจ พลันจึงเข้าใจว่าอิงอรุณเสนอผ้าเช็ดหน้าให้เขาทำไม

หยดน้ำวาวที่แต้มอยู่บนมือบอกแทนทุกอย่าง สาวัชมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา นี่น่ะหรือ...น้ำตา!

ชายหนุ่มเงยขึ้นสบตาอิงอรุณด้วยความหมองไหม้ ครั้นเธอเสหลบตา สาวัชจึงเลื่อนสายตาไปยังผ้าเช็ดหน้าในมือบอบบาง ไล่ขึ้นไปยังสร้อยข้อมือแพลทินัมที่ห้อยตุ้งติ้งเพชรแพรวพราว พลันความเข้าใจทั้งหมดก็กระจ่างแก่ใจ

ไม่ใช่ความรู้สึกดี ๆ ไม่ใช่ความเอื้ออาทรหรือเป็นความพิเศษที่มีให้กันหรอก มีแค่เขาที่หลงงมงายชื่นชมไปกับมิตรภาพที่เธอมอบให้ เพียงเพราะไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วอิงอรุณก็แค่...เวทนาเขาเท่านั้น!

“ที่แท้คุณก็สงสารผมนี่เอง”

อิงอรุณยื่นมือมาคว้าท่อนแขนเขาและกุมไว้ ส่ายศีรษะแรง ละล่ำละลักบอก “ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้น”

“ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น แล้วมันเป็นอย่างไหน คุณจะหมั้นอยู่อาทิตย์นี้นี่แล้ว แต่กลับไม่เคยบอกผมสักคำ จะรอให้ผมเห็นข่าวในคอลัมน์สังคมเองเหรอ”

“อิงเคยบอกคุณแล้ว” อิงอรุณตะกุกตะกัก สีหน้าใกล้ร้องไห้เต็มแก่ มือที่ยึดแขนเขากำแน่น “แต่คุณไม่เชื่อ อิงก็เลยไม่รู้จะทำยังไง”

“เคยบอกผมแล้ว” สาวัชทวนความทรงจำยากเย็น เธอเคยบอกเขาแล้ว “คุณหมายถึง...คุณจะหมั้นกับพันเทพ...งั้นเหรอ”

ศีรษะเล็ก ๆ ผงกเบา ๆ อย่างยอมจำนน

สาวัชกะพริบตาช้า ๆ เบือนหน้าไปทางอื่น คำพูดปลิวหายจากสมองกะทันหัน ความเสียดายรื้นขึ้นในใจ เขามองอิงอรุณด้วยความรู้สึกโหวงเหวงอันแสนประหลาด ชายหนุ่มรู้จักพันเทพมากกว่าที่ใครคิด รู้กระทั่งเรื่องส่วนตัวหรือรสนิยมของหมอนั่น แต่ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้จะไม่รู้อะไรเลย น่าเสียดายจริง ๆ

“แต่ว่าพันเทพ...” คำต่อไปติดอยู่แค่ปลายลิ้น มันไม่ถูกหากจะเอ่ยถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ เพราะพันเทพหมดโอกาสในการอธิบายตัวเองโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญก็คือเขาไม่มีวันใช้วิธีสกปรกเพื่อให้อิงอรุณหันมาหาเขาเด็ดขาด คนอย่าง สาวัช ปรเมศวร์ มีศักดิ์ศรีเกินกว่าจะทำเรื่องอย่างนั้น!

อิงอรุณหลากใจ พลันดวงตาเบิกกว้าง งึมงำเสียงพร่า “คุณจะพูดอะไร”

“ช่างมันเถอะ” สาวัชสะบัดศีรษะเบา ๆ หน้าเจื่อน ไม่ใช่ธุระที่เขาต้องเอาเรื่องส่วนตัวของใครมาโพนทะนา

ดวงตากลมวาวมีร่องรอยหวาดหวั่นฟุ้งกระจาย มือที่กำอยู่บนท่อนแขนจิกแน่นโดยไม่รู้ตัว “ช่างไม่ได้ คุณจะพูดอะไร ถ้าคุณเข้าใจผิด อิงจะได้อธิบายให้ฟัง”

“ผมเข้าใจไม่ผิดหรอก แต่มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ผมต้องไปก้าวก่ายกับเรื่องส่วนตัวของพันเทพอยู่ดี” เขาตัดบท

หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่ามีพิรุธ

สาวัชเริ่มเดาบางสิ่งได้ลาง ๆ

“อย่าบอกนะว่า...คุณรู้อยู่แล้วน่ะ” เขาตะกุกตะกัก ทั้งที่หัวใจห่อเหี่ยวเต็มที

หญิงสาวเม้มปากนิ่ง ๆ นานกว่าจะเอื้อนเอ่ยวจี “คุณทราบได้ยังไงคะ”

“คอนเนคติกัต” เขาตอบสั้น แต่เข้าใจได้ง่าย

อิงอรุณหลับตาซ่อนความรู้สึก ดวงตาที่ลืมขึ้นสบสานกันอีกครั้งมีร่องรอยสลด “เปิดเผยมากเลยเหรอคะ”

“ไม่มีใครรู้หรอก ผมแค่รู้โดยบังเอิญน่ะ” สาวัชขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“คุณคงไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง...ใช่ไหมคะ”

หากอารมณ์ตอนรู้ว่าเธอกำลังจะเป็นของผู้ชายคนอื่นเป็นศูนย์ ตอนนี้ก็เรียกว่าติดลบชนิดไร้ขีดจำกัด

น่าขัน เธอกลัวเขาเอาเรื่องของพันเทพไปป่าวประกาศให้ชาวโลกรู้ เขาไม่ทำตัวน่าสมเพชขนาดนั้นหรอก เธอต่างหากที่ทำเรื่องไม่เข้าท่าเลยสักนิด อิงอรุณต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เธอเป็นเจ้าของบริษัทจับคู่ได้ยังไง ถึงไม่รู้ว่าการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักตัวเองมันทรมานแค่ไหน

“มันไม่ใช่ธุระของผม คุณสบายใจได้ ผมไม่ใช่คนปากโป้ง”

หญิงสาวก้มหน้าเสหลบตาเขาละม้ายละอายใจ

สาวัชอยากรู้นักว่าเธอรู้สึกผิดที่มองเขาในแง่ร้าย หรือไม่กล้าสู้หน้าเพราะเขาบังเอิญรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของพันเทพโดยไม่ตั้งใจ

“คุณรักเขามากขนาดนั้นเลยเหรอ” น้ำเสียงเขาขมขื่น สิ้นหวังโดยไม่รู้ตัว

อิงอรุณเหลียวมองรอบตัว ทำท่าจะเดินหนี

สาวัชคว้าแขนรั้งหญิงสาวไว้ “อิงอรุณ”

เธอหันมาสบตาเขาช้า ๆ เสียงสั่นเครือ “อิง...อิงบอกไม่ได้ มัน...”

“ขอโทษ ผมลืมไปว่าไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคุณ” เขาปล่อยแขนเธอราวกับแตะต้องโดนเหล็กร้อนเผาไฟ

“คุณสาวัช...”



เสียงเฮที่ดังมาตามลมทำให้สาวัชก้มศีรษะให้เธอ “คนงานคงตัดเหล็กเสร็จแล้ว ผมจะไปดูว่าเป็นยังไง”

อิงอรุณมองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายห่างออกไปเรื่อย ๆ บังคับตัวเองมิให้วิ่งตามไปอธิบาย หรือขอโทษกับคำพูดคลุมเครือเมื่อครู่ หญิงสาวเสยผม หายใจเข้าลึก ๆ พยายามเข้าสู่โหมดเข้มแข็ง แล้วออกมาสังเกตการณ์หน้าบ้าน

เจ้าหน้าที่กู้ภัยยกเปลสนามซึ่งมีคนเจ็บนอนตะแคงอยู่บนนั้นออกมาตามทางเดิน อิงอรุณเบ้หน้าหวาดเสียวเมื่อเห็นว่าไหล่เขายังมีเหล็กแหลมเสียบคาอยู่ ปลายด้านหนึ่งแหลมเปี๊ยบ ส่วนอีกด้านเป็นรอยดำจากการถูกไฟเผาตัดจากกำแพง

อิงอรุณหยิบนามบัตรออกมาสลักข้อความลงวันที่ด้านหลัง แล้วถลันเข้าไปหาคนที่ดูมีอาวุโสกว่าเพื่อน “รบกวนส่งคนเจ็บไปที่โรงพยาบาลนี้เลยค่ะ” เธอระบุชื่อโรงพยาบาลเอกชนที่ตนและครอบครัวใช้บริการเป็นประจำ “ยื่นนามบัตรให้พยาบาลเลย ดิฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เดี๋ยวดิฉันจะโทร.แจ้งกับทางโรงพยาบาลไว้ล่วงหน้า แล้วส่งเลขาฯ ไปจัดการรายละเอียดที่เหลือ”

เจ้าหน้าที่รับนามบัตรไป แล้วตะโกนบัญชาการ ไม่ถึงสิบนาทีรถกู้ภัยก็เปิดสัญญาณขอทางจากไป อิงอรุณจึงโทร.สั่งเลขาฯ ไปดำเนินการต่อ หลังวางสายความเงียบจึงเข้ามาแทนที่พร้อมความอึดอัด...

นาน...กว่าสาวัชจะถามขึ้นตรง ๆ “คุณจะเชิญผมไปงานหมั้นหรือเปล่า”

อิงอรุณสบตาเขาอย่างค้นคว้า พยายามอ่านความหมายจากสายตาคู่นั้น

ความคิดที่จะขอให้บิดายกเลิกการหมั้น ดูจะช้าเกินไปเสียแล้ว ครั้นจะบอกสาวัชถึงแผนการในใจ ก็กลัวเป็นการสร้างฝัน เพราะหากสุพจน์ไม่มีทางออกที่ดีมอบให้ เธออาจทำให้เขาต้องผิดหวังซ้ำสอง หนทางเดียวที่ทำได้ก็คือตามน้ำไปก่อน

“อิงไม่ได้จัดงานใหญ่โตหรอกค่ะ แค่เชิญผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาเป็นเกียรติ สวมแหวนแล้วก็ฉลองกันนิดหน่อย ถ้าคุณสาวัชไม่รังเกียจ อิงก็เรียนเชิญค่ะ”

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากกว่าที่จะได้ไปแสดงความยินดีกับคุณ” ทว่าดวงตาเขากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง

หญิงสาวกัดริมฝีปากกลั้นอารมณ์ กะพริบตาถี่ ๆ บังคับน้ำตามิให้ไหล

ที่ผ่านมาเธอใกล้ชิดให้ความสนิทสนมกับผู้ชายคนนี้ เพลิดเพลินยามอยู่ใกล้ สนุกสนานและสบายใจ หลอกตัวเองว่ารู้สึกดี และมันคือมิตรภาพที่พึงมีให้สหายสักคน แต่วันนี้...เธอตระหนักชัดแก่ใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาคือสิ่งใดกันแน่ เป็นความรู้สึกที่มากมายกว่าความเป็นเพื่อนทบเท่าทวี เป็นความรู้สึกที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองถึงเพียงนี้

ที่สำคัญไฟกองนี้มิได้แผดเผาแค่ตัวเธอ แต่มันกำลังทำร้ายสาวัชด้วยเช่นกัน!



เสียงล้อรถบดถนนเสียดโสตดังขึ้นเรียกให้สองหนุ่มสาวหันไปทางต้นเสียงพร้อมเพรียงกัน เพียงเห็นรถที่นอกแนวรั้ว อิงอรุณก็หน้าเสียพึมพำ “เทพ...”

สาวัชยืดตัวตรง หัวคิ้วขมวดลึกกว่าเดิม สีหน้าเคร่งขรึม สุขุมและเก็บตัวโดยอัตโนมัติ เขาขยับตัวด้วยสีหน้าอึดอัด “คนของคุณมาแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่า”

“จะไม่อยู่คุยกับเทพก่อนหรือคะ”

สาวัชเกลียดตัวเองนักที่จับแววเว้าวอนในน้ำเสียงของเธอได้ครบถ้วน ทว่าวินาทีนี้เขาแทบไม่เหลือเศษเสี้ยวหัวใจไว้ให้เจ็บอีกแล้ว มันแหลกลาญไปตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรู้สึกดีกับเธอด้วยซ้ำ

“ผมต้องเตรียมตัวไปงานศพน่ะ” เขาลูบหน้าแรง ๆ เช็ดความรู้สึกจากสีหน้า

อิงอรุณพยักหน้าจนใจ “งั้นเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันที่งานนะคะ อิง...”

“อย่าไปเลย ใกล้ถึงงานหมั้นแล้ว คนกำลังจะเข้าพิธีมงคล คนจีนถือว่าไม่ควรไปงานศพ” หากเป็นสัปดาห์ก่อน สาวัชคงขันตัวเองที่พูดออกมาเต็มปากว่า ‘คนจีนถือ’ แต่วินาทีนี้เขากลับรู้สึกถึงความขมขื่นทวีคูณ ที่รังเกียจรากเหง้าของตนตลอดมาจนวันที่สายเกินไป

หญิงสาวคอตก ยอมรับคำแนะนำโดยดุษณี “คุณโกรธอิงหรือคะ”

“ผมไม่ได้โกรธ” แต่ผมเสียใจ! เขาทำได้แค่ละประโยคหลังไว้ในใจ ชายหนุ่มผายมือไปทางประตูเป็นเชิงเชิญให้เธอเดินนำ

เพียงทั้งคู่ก้าวพ้นชายคา พันเทพก็เปิดรั้ววิ่งรี่เข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ “อิง! เป็นยังไงบ้าง อ้าว...พี่วัช สวัสดีครับ” คนมาใหม่พุ่งเข้ามาแตะบ่าอิงอรุณด้วยสีหน้าห่วงใย จากนั้นหันมาทักทายเขาด้วยการก้มศีรษะ

“สวัสดี กู้ภัยพาคนเจ็บไปแล้ว ฉันกำลังจะกลับพอดี” เขาทักทาย ให้ข้อมูล และบอกลาในประโยคเดียว

“ขอบคุณมากครับพี่ อ้อ...ผมเห็นข่าวคุณพ่อพี่แล้ว เสียใจด้วยนะครับ”

สาวัชขอบใจหนุ่มรุ่นน้องแล้วจึงบอกลาอิงอรุณ เห็นดวงตากลมโตวาวคลอด้วยหยาดน้ำตา หญิงสาวกัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น พยักหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร

ชายหนุ่มหมุนตัวจากไปเงียบ ๆ รับรู้ถึงอาการบีบรัดหนักหน่วงที่หัวใจ เป็นความทรมานที่ไม่อาจเอ่ย และบอกใครไม่ได้แม้แต่คนเดียว!



เพราะบริษัทประกันภัยยืนยันว่าโรงงานผลิตซูเปอร์โคลาที่จังหวัดนครราชสีมาซึ่งเกิดอัคคีเพลิงจะได้รับสินไหมชดเชยเป็นมูลค่ากว่าหนึ่งพันเจ็ดร้อยล้านบาท กอปรกับบทสัมภาษณ์สั้น ๆ ของสาวัช ที่ยืนยันว่าบอร์ดบริหารอนุมัติการเปลี่ยนเครื่องจักรในโรงงานใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ผ่านมา และปรเมศวร์เทรดดิ้งได้สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ไปแล้ว รวมถึงริสานำหนังสือที่ธนาแต่งตั้งเธอเป็นซีอีโอมาแสดง

นักลงทุนจึงเกิดความเชื่อมั่นเฮโลกันเข้าถือหุ้นพีอาร์เอ็มจ้าละหวั่น ส่งผลให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้นไปแตะ ๓๒ บาทในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน

ทันทีที่ทราบข่าวริสาขับรถออกจากบริษัทตรงไปยังวัดทันที คนแรกที่เธออยากบอกข่าวดีนี้ให้ทราบก็คือ...ธนา!

ทว่าเธอมาช้าไป เบื้องหน้าหีบศพมิได้ว่างเปล่า กลับมีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปนั่งลงเคียงข้าง หันไปทางสาวัช

“เห็นรีบออกจากบริษัทฯ นึกว่าไปไหน ที่แท้ก็มาหาเตี่ยหรอกหรือ”

“คุณหยงก็มาเร็วนะครับ” เธอไม่ทันสังเกตว่าเขาเลี่ยงการตอบคำถาม

“ฉันมีข่าวดีมาบอกเตี่ยน่ะ” ริสายิ้มผาสุก “จุดธูปให้ฉันหน่อยสิ”

สาวัชมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่รีบปฏิบัติตาม เขาส่งธูปหนึ่งดอกให้เธอด้วยกิริยานุ่มนวล แม้ไม่ถึงกับนอบน้อม แต่ก็ไม่กระด้างกระดางลาง

ริสารับธูปมาพนมมือ หลับตาพูดคุยกับบิดาในใจ ครั้นลืมตาอีกครั้ง สาวัชก็รับธูปไปปักในกระถาง

หญิงสาวพยักพเยิดเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเดินไปยังชุดโซฟาด้วยกัน เมื่อนั่งลงแล้ว ซีอีโอคนใหม่ของปรเมศวร์เทรดดิ้งก็เข้าเรื่องทันที “คนของฉันใน ตลท. เพิ่งโทร.มาบอกเมื่อกี้นี้เอง ว่าซูเปอร์โคลาส่งหนังสือขอยกเลิกการทำเทนเดอร์แล้ว”

ดวงตาหม่นเศร้าของสาวัชเรืองรองเจิดจ้าขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าเขาแย้มออกทีละนิด “ยินดีด้วยนะครับ ถ้าเตี่ยยังอยู่ ท่านคงภูมิใจในตัวคุณหยงมาก”

ริสากระบอกตาร้อนผ่าว ทั้งเสียใจและเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ฟังคำชมนั้น

หญิงสาวรีบกะพริบตาถี่ไล่หยดน้ำร้อนที่มาออตรงหัวตา เธอพยักหน้านิด ๆ เป็นเชิงรับรู้ “ขอบใจเธอมาก เธอเองก็มีเครดิตในเรื่องนี้เหมือนกันนะ”

“ขอบคุณที่คุณหยงเมตตาครับ แต่ก็อย่างที่ผมเคยเรียนไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าผมอยากจะขอลาออก...”

“จะกลับไปสอนหนังสือเหรอ” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชีวิตที่หญิงสาวถามเพราะอยากรู้แท้จริง มิใช่ประชดประชันดังที่ผ่านมา

“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจครับ ทีแรกคิดว่าอยากกลับไปทำงานที่อเมริกา เพราะศาสตราจารย์ที่โน่นเคยชวนไว้หลายหน แต่ผมเป็นห่วงแม่ ถ้าต้องไประหกระเหินท่ามกลางคนแปลกหน้าต่างภาษา ท่านคงไม่มีความสุข ผมก็เลยยังดู ๆ อยู่ว่าอาจสอบบรรจุไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยทางเหนือ แม่น่าจะอยู่ได้สบายหน่อย”

“ถึงยังไงเธอก็เป็นลูกคนนึงของเตี่ย เธอมีสิทธิ์อยู่ในบ้านหลังนั้น”

“ผมทราบดีว่าที่ผ่านมาไม่มีใครอยู่ในบ้านอย่างมีความสุขสักคน ต่างฝ่ายต่างก็หวาดระแวงกัน เกลียดชังกัน ผมว่ามันจะทำให้เราอึดอัดกันไปทุกฝ่ายเปล่า ๆ ”

ริสาหัวเราะเบา “แปลกนะฉันเคยภาวนาอยากให้เธอสองแม่ลูกออกจากบ้านแทบทุกลมหายใจ แม้แต่เมื่อวานนี้ฉันยังคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่จะไล่เธอสองคนออกจากบ้าน แต่พอวันนี้มาถึงเข้าจริง ๆ ฉันกลับ...ใจหาย”

“แปลว่า...คุณหยงจะอนุญาตให้ผมลาออกและ...”

“เรายังมีเรื่องคดีของเตี่ยที่ต้องจัดการ รอให้ทุกอย่างเรียบร้อย แล้วเราจะเปิดพินัยกรรมกัน เธอควรรอจนถึงตอนนั้น แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเอายังไง”

สาวัชพยักหน้ารับคำอย่างเศร้า ๆ

ริสาขมวดคิ้วด้วยความฉงน เธอเห็นตั้งแต่วันแรกที่ธนาเสียชีวิตแล้วว่าสาวัชเป็นสมาชิกในบ้านที่ดูเป็นทุกข์มากที่สุด ซึ่งหญิงสาวเข้าใจเหตุผลดี สาวัชต่อต้านบิดามาโดยตลอด ภายนอกเขาอาจเป็นคนว่าง่าย แต่แววตาและอารมณ์ที่กดเก็บข้างในเป็นคนละเรื่อง นั่นทำให้เขาแทบไม่เคยมีช่วงเวลาดี ๆ ของพ่อลูกอย่างคนอื่น คนมีปัญญาที่ไหนก็ต้องคิดเป็นและเสียดายเวลาที่ผ่านไปด้วยความไม่เข้าใจ

แต่วันนี้...เขาดูหม่นหมองผิดตา แววตาทั้งคู่ไร้ชีวิตชีวา ไหล่หลังที่เคยผึ่งผายก็ลู่ค้อมประหนึ่งหมดสิ้นเรี่ยวแรง

แม้ไม่ใช่นิสัยของเธอที่จะแสดงความอาทรต่อใคร แต่วินาทีนั้นริสากลับยื่นมือไปแตะบ่ากว้างแล้วบีบเบา ๆ “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จำไว้นะสาวัช ว่าเธอมีฉันอยู่ตรงนี้คนนึง เธอขอความช่วยเหลือได้เสมอ”

และนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอประกาศความเป็น ‘พี่สาว’ คนหนึ่งอย่างชัดเจน!



สิ่งแรกที่สุพจน์ทำเมื่อกลับมาถึงบ้านในค่ำวันนั้นก็คือตามหาตัวลูกสาวคนเล็ก สาวใช้รายงานว่าพันเทพพาอิงอรุณมาส่งก่อนฟ้ามืด แล้วหญิงสาวก็เก็บตัวอยู่แต่บนห้องนอน ไม่ลงมารับประทานแม้แต่อาหารค่ำ

สุพจน์เคาะประตูห้องอิงอรุณ ครั้นไม่มีเสียงตอบจึงผลักเข้าไปเองด้วยความร้อนใจ ภาพลูกสาวคนเล็กนอนขดอยู่กลางที่นอนทำให้เป็นห่วง ยิ่งยามเข้าไปมองใกล้ ๆ หัวใจคนเป็นพ่อก็แทบสลาย เมื่อใบหน้าเล็กรูปหัวใจมีคราบน้ำตาค้างอยู่ หมอนที่เจ้าตัวกอดเปียกเปื้อนเป็นด่างดวง

เขานั่งลงที่ข้างเตียง เกลี่ยผมออกจากใบหน้าลูกรัก เอ่ยเสียงเบา “น้องอิง พ่อกลับมาแล้วลูก”

ขนตาที่ยังมีรอยชื้นขยับอย่างเชื่องช้า ก่อนดวงตากลมโตที่บวมแดงจะลืมขึ้น

“พ่อขา...” เพียงเห็นเขาชัด ๆ อิงอรุณก็ลุกขึ้นโผเข้ามากอดซบหน้ากับบ่าเขา แล้วร้องไห้

“น้องอิงเป็นอะไร บอกพ่อได้ไหม”

“พ่อขา อิงไม่อยากหมั้นแล้ว เรายกเลิกงานหมั้นได้ไหมคะ”

“บอกพ่อได้ไหม ว่าทำไมถึงไม่อยากหมั้นแล้ว โกรธกับพันเทพหรือ”

ศีรษะเล็ก ๆ ที่ซบอยู่ตรงบ่าเขาส่ายแรง ๆ แต่ไม่ยอมตอบอะไร

“ถ้าตอบไม่ได้ ก็แปลว่าไม่มีเหตุผลที่ดีพอ”

“อิงไม่อยากหมั้นแล้ว ไม่มีเหตุผลไม่ได้หรือคะ”

“ทำเป็นเด็กเล่นขายของไปได้ น้องอิงจะมาเปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ”

“อิงหมั้นไม่ได้จริง ๆ นะคะ อิง...” เธอผละออก กลั้นสะอื้น “อิงยังไม่พร้อม”

สุพจน์ลูบศีรษะลูกเบา ๆ “เจ้าสาวที่กลัวฝนล่ะสิ นี่แค่งานหมั้นเท่านั้นเอง ยังไม่ได้จะแต่งงานแยกบ้านออกไปสักหน่อย”

“ยังไงพ่อก็ยกเลิกงานหมั้นให้อิงไม่ได้เหรอคะ”

“บอกแล้วไงว่ายกเลิกได้ แต่ต้องมีเหตุผลที่ดีพอ”

“แล้วถ้าอิงบอกว่าอิงไม่ได้รักเทพล่ะคะ”

สุพจน์หนักใจ เห็นลูกร้องไห้ยิ่งรู้สึกเหมือนใจจะขาดไปด้วย ทว่าเหตุผลของอิงอรุณยังดีไม่พอให้เขาใช้รับมือกับศักดิ์สิทธิ์

ทางเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือต้อง...อดทน! แม้น้ำตาของลูกจะแผดเผาจนร้อนใจอย่างยิ่งก็ตาม

สุพจน์กำแน่นเมื่อจำต้องยืนกราน “น้องอิงรู้ตัวสายเกินไป เรามาไกลเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรแล้ว ไม่ว่าน้องอิงจะรู้สึกยังไงกับพันเทพ ถึงอย่างไรวันอาทิตย์นี้น้องอิงก็ต้องเข้าพิธีหมั้นกับพันเทพ นี่เป็นคำสั่ง! "



.................................................................

                  พยศดอกฟ้ามีขายทั้งฉบับหนังสือและอีบุ๊คแล้วนะคะ

จำนวน 600 หน้า ราคา 450 บาท ค่าส่ง 30 บาท

สั่งซื้อหนังสือกับสิริณ : https://goo.gl/HA1QWz

หรือซื้อจากร้านนิยายรัก : https://goo.gl/uPTdCs



E-book

mebmarket >>https://goo.gl/o9FXn6

ookbee >>https://goo.gl/rf274b

Hytexts >>https://goo.gl/KcekzB






สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2561, 22:38:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 พ.ค. 2561, 22:38:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 750





<< ตอนที่ 34   ตอนที่ 36 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account