มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที 8 (2) เมื่อความฝันทวงคืน

แล้วโชคชะตาเล่นตลกพาเธอไปอยู่หน้าต้นวิสทีเรียสีม่วงต้นเดิมอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับดูสูงใหญ่กว่าปกติ หรือเป็นเพราะเข้าใกล้ความลับของต้นไม้นี้เข้าไปทุกที สายลมเย็นอ่อนๆ ต้นไม้โบกสะบัดเป็นการทักทายในวันนี้
นับว่าแปลกมากทำไมเธอกลับมาอยู่ที่เดิม ไม่ได้กลับไปที่สถานที่เหยี่ยวยักษ์ปล่อยเธอดิ่งลงสู่พื้น จนถึงแก่ความตายเธอฟื้นขึ้นมาในโลกตัวเอง ได้กลับบ้าน

กานติศาเลือกกิ่งไม้มีปลายแหลมที่สุด เตรียมแทงท้องตัวเองใช้ความตายเป็นทางออก “จะได้ผลไหมนะ”

ทันทีปลายแหลมแทงทะลุเสื้อผ้าสัมผัสผิวหนัง รีบดึงมันออกทันที หายใจแทบไม่ทัน เลือดสูบฉีดอย่างรุนแรงจนตัวสั่นงก ขว้างกิ่งไม้ออกไปจากตัวให้ไกลที่สุด “คิดอะไรบ้าๆ ”

เธอทำไม่ได้ ต่อให้เคยกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายมาแล้ว แต่ใจเธอไม่ได้ทำด้วยเหล็ก หรือใจกล้าหาญลงมือเอาชีวิตตนเองซ้ำ ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าหากลงมือทำแล้วจะได้กลับบ้าน ถ้าเกิดตายขึ้นมา

เป็นความคิดโง่ที่สุด สาวเขกหัวด่าทอตัวเอง

ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ท้องฟ้าเปลี่ยนสี หญิงสาวไม่ละความพยายาม ก้มๆ เงยๆ รอบต้นไม้เพื่อหาสัญลักษณ์เบาะแส อะไรก็ตามช่วยเติมเต็มชิ้นส่วนของปริศนา กระทั่งเจอรอยสลักขนาดเล็กที่ส่วนของลำต้น เหมือนเส้นเถาวัลย์คดเคี้ยวไปมาเหมือนตัวอักษร สัญลักษณ์บางอย่างที่คุ้นเคยราวกับเคยเห็นมาก่อน

ใช่แล้ว หลังหูเธอมีรอยแผลคล้ายรอยประทับตรา ยกนิ้วลูบคลำรอยนูนและขนาดเทียบกับสัญลักษณ์ที่ต้นไม้ เป็นลวดลายเดียวกัน แสดงว่าเธอมีความเชื่อมโยงกับต้นไม้ต้นนี้ รอยแผลเป็นมีความหมายอะไร กานติศาจำได้ว่าเห็นครั้งแรกในเงาสะท้อนกระจกตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าที่กระท่อมร้าง แล้วเกิดเรื่องใหญ่จึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท

เธอต้องตามหาคนที่อธิบายเรื่องนี้ได้ เธอจะไปหาเขาได้ที่ไหน

ในคืนนั้นกานติศาใช้ความรู้จากประสบการณ์อันน้อยนิด หักกิ่งไม้แห้งทำเป็นเชื้อไฟเลียนแบบอย่างที่เขาเคยทำเป็นประจำ ได้เรียนรู้วิถีในป่าเป็นไปด้วยความลำบาก เธอกังขาความสามารถตนเอง ขั้นตอนยากที่สุดคือการจุดไฟด้วยการปั่นไม้เนื้ออ่อนเจาะเป็นรู เติมใบไม้แห้ง ขุยฟางแห้ง มาใส่รูตรงกลางแล้วนั่งปั่นใช้แรงเสียดสีอยู่ตั้งนาน ไฟไม่บังเกิดเสียที สาวนั่งเหงื่อไหลย้อย จนแสงอัสดงลับไปกับความมืดมิดของเวลากลางคืน ตอกย้ำความล้มเหลว

ไม่ทันตั้งตัวอยู่ก็มีเสียงแผดดังมาจากป่า เธอนั่งอยู่ถึงกับสะดุ้งตกใจ เสียงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นอกจากตัวเธอ หรือว่านั้นคือเสียงเขา

“เอเดรียน เอเดรียน” เธอตะโกนเรียกเสียงดังอย่างมีความหวัง ทว่าไม่มีสิ่งใดปรากฎ

“เฮ้ย!” สาวล้มหงายหลังตึง ครั้งนี้แผดเสียงมาพร้อมกับสายลมพัดเฉียบพลัน พาทุกอย่างรอบตัวปลิวกระเด็นกันไป กานติศาหลบไปอยู่โพรงลำต้นไม้ค่อยสาดส่องไปในความมืดมิดอย่างหวาดกลัว

เอเดรียน คุณอยู่ไหน

จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนเด็กร้องไห้ จึงออกมาตามหาด้วยความเป็นห่วง ก้าวพรวดๆ ไปตามเสียงสะอื้นที่ดังขึ้น บนที่ราบโล่ง เจอเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบกำลังก้มหน้าร้องไห้กับร่างนอนคว่ำแน่นิ่ง กานติศาค่อยๆ ดึงร่างเด็กออกมา

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่าน ฮือ” หน้าเด็กชายหน้าเปรอะไปด้วยน้ำตา ขี้มูกโป่ง ซบเข้ากับอ้อมอกสาวแปลกหน้า
เกิดอะไรขึ้น กานติศาค่อยพลิกร่างแน่นิ่งอยากรู้อยากเห็น เธอต้องตกใจพร้อมปิดตาเด็กไม่ให้หันไปมองร่างไร้วิญญาณ เกรงว่าจะติดตาเก็บไปฝันร้าย แต่เผอิญเธออยู่ในฝันร้ายอยู่แล้ว

ศพเป็นชายน่าอายุไม่ไม่เกินสี่สิบปี บางส่วนของร่างกายถูกฉีกขาด ใบหน้ายุบ หัวกะโหลกเปิด ภาพสยดสยองจนต้องเบือนหน้าหนี เสียงสะอื้นของเด็กดึงสติสาวกลับมาสนใจ เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว พาตัวเองและเด็กไปซ่อนอยู่โพรงลำต้นไม้ที่เดิม หวังเป็นที่หลับที่นอนของคืนนี้ ซ่อนตัวจนกว่ากลางคืนผ่านพ้นไป หวังว่าเสียงสัตว์ร้ายจะเงียบหายไปเอง

ทันทีรุ่งสางเด็กชายตื่นขึ้นมายิงคำถามรัว อ้าปากรับชิ้นส่วนผลไม้ถูกส่งป้อนจากมือสาว อย่างน่ารักน่าเอ็นดูกานติศาเก็บผลไม้หน้าตาแปลกไม่มีพิษมาประทังชีวิต ความหวานจากผลสุกงอมเต็มที่เป็นผลพลอยทั้งคู่กินอย่างเอร็ดอร่อย “พี่สาวมาล่าสัตว์เหมือนพวกเรารึฮะ” เด็กชายสบตาด้วยนัยน์ตาสีฟ้าสดใส

“เปล่าจ้ะ พี่มาจากที่ไกลมาก ๆ ” ฟังจากปากเด็ก พ่อของเด็กน่าจะเป็นนายพราน

“ที่นั้น ถ้าพาครอบครัวย้ายไปอยู่ จะมีความสุขมั้ยฮะ”

เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กถึงตั้งคำถามอย่างนั้น เด็กมีชีวิตในสภาพแวดล้อมแบบไหน

“ท่านแม่ไม่โดนรังแกเพราะเจ็บป่วย ท่านพ่อไม่ต้องทำงานหนัก เพื่อตามล่าเครื่องบูชายัญ”
เครื่องบูชายัญ หญิงสาวนึกว่าตัวเองหูฟาดไป แต่เธอจะอธิบายให้เด็กฟังอย่างไรดี โลกที่เธอนอนหลับจากมา ระหว่างที่คิดกลับไม่รู้ตัวสักนิด เด็กชายตรงหน้าก็ก้าวออกมาจากที่หลบภัยชั่วคราว ไปยังร่างไร้วิญญาณของท่านพ่อ “ข้าจะพาท่านพ่อกลับบ้าน”

“รอธดีน อันตราย” ด้วยเหตุนี้เธอจำต้องก้าวออกมาตาม กอดร่างเด็กกำพร้าพ่อ “อย่าดูเลย กลับไปกับพี่เถอะ มันอันตราย” เธอไม่รู้สัตว์ร้ายยังแอบซุ่มดูพวกเธอรึไม่ ผู้หญิงและเด็กไม่มีอาวุธย่อมเป็นเป้าหมายที่จัดการง่ายที่สุด เด็กชายชื่อ รอธดีน ยังดื้อดึงไม่ยอมเคลื่อน ปากมั่นจะพาร่างพ่อกลับบ้านให้ได้ “หากเชื่อฟังท่านพ่อ ท่านคงไม่เจอโทรลล์ภูเขาสู้กันจนตาย”

“โทรลล์ภูเขา”

คราวนี้เธอได้ยินแผดเสียงดังมาจากผืนป่าชัดแจ๋ว ต้นไม้ข้างหน้าต่างล้มระเนระนาดทับกันเกลื่อนกลาด จนเธอคว้ารอธดีนมาอยู่ด้านหลังเธอ สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เป็นมากกว่าสัตว์ร้าย ไม่รอช้าให้โอกาสมันมาถึง กานติศาดึงรอธดีนวิ่งหนีด้วยความเร็วจี๋ ต้นไม้ใหญ่ที่สุดถูกดึงถอนโค่นลอยลิ่วข้ามหัวเธอมาตกใส่ขวางเส้นทางหนี แรงสั่นสะเทือนส่งผลเธอกับรอธดีนกระเด็นไปคนละทาง “รอธดีน วิ่งหนีไป”

“พี่สาว ท่านล่ะ”

“วิ่ง!” รอธดีนวางตัวไม่ถูก พี่สาวรบเร้าจนออกตัววิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต

แล้วเธอเล่าจะจัดการความน่ากลัวตรงต่อหน้าอย่างไร เผยตัวโทรลล์ภูเขาปรากฎสายตาครั้งแรก ซึ่งแตกต่างจากที่คาดไว้มาก ร่างอ้วนท้วมสูงใหญ่ทำเอากลุ่มต้นไม้กลายเป็นต้นกล้า นัยน์ตาเดียวกรอกหมุนไปมาจนจ๊ะเอ๋เข้าสบตาเธออย่างจัง ผุดรอยยิ้มกว้างหัวเราะชอบใจ จำนวนฟันนับน้อยซี่ซับซ้อนกันอย่างน่ากลัว ลิ้นยาวเลียริมฝีปากเมื่อเจออาหารอันโอชะ กลิ่นคลุ้งเหม็นเน่าชวนอาเจียน ถืออาวุธสากกะเบือธรรมดา ไม่นับเพิ่มลูกเล่นติดตะปูรอบๆ กานติศาหยิบไม้ยาวขนาดพอดีมือไว้กับตัว

“เอาไงเอากัน” ดีกว่าไม่ทำอะไร

ดูท่ามันอยากเล่นด้วยเช่นกัน โทรลล์แสนโง่ปัญญาต่ำ เคลื่อนตัวช้า ซะที่ไหนได้ มันวิ่งเร็วกว่าน้องชายเธอตอนเล่นฟุตบอลเสียอีก นาทีนี้เธอขอเถียงขาดใจ กานติศาหลบสากกะเบือโจมตีลงมาอย่างรวดเร็ว ทว่าไม่พ้นตะปูมันครูดเสื้อผ้าจนฉีกขาดแทน กระโดดหลบเท้ากระทืบลงมาหวังเหยียบร่างสาวเหลวแหลกตายคาที สาวม้วนตัวลอดระหว่างขาโทรลล์ป่าเถื่อน ใช้ไม้ยาวตีใส่ข้อเท้าจนมันเสียหลัก

เธอเป็นบ้าอะไรขึ้นมา คิดไปต่อสู้กับตัวประหลาดตัวใหญ่กว่าสิบเท่า

ก้องคำรามแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม มันกระโดดพุ่งไปที่ร่างสาว กานติศาวิ่งสี่คูณร้อยหนีเข้าไปอีกด้านหนึ่งของป่า เธอพบชายแปลกหน้าใส่ชุดผ้าคลุมสีดำปิดทึบทั้งตัวไม่เว้นช่องลูกตา ยืนขวางเส้นทาง ตรึงกำลังพร้อมดาบเล่มยักษ์ ข้างตัวเขามีม้าขนสีดำรูปร่างสูงโปร่ง ออกตัววิ่งสวนทางกานติศาเข้าตั้งรับอาวุธที่ฟาดลงมายังพวกเขาพอดี ตวัดเพลงดาบวาดลวดลาย อาวุธพิเศษแข็งแรงปะทะสากกะเบือเนื้อไม้จนหักเป็นสองท่อน โทรลล์ไม่ยอมแพ้ใช้มือเปล่าไล่ทุบใส่ร่างชุดดำไม่ยั้ง เขาหลบได้ทุกกระบวนท่า เป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนจนมุมไม่เหลือหนทางหนี ดาบเล่มยักษ์ครองถือไว้ไม่สะดวกในพื้นที่แคบ

“ระวัง” กานติศาตะโกนเตือน

ร่างโทรลล์ยกก้อนหินใหญ่กว่าตัวมันเกือบเท่าตัวทุ่มใส่ ก้อนหินแตกละเอียด ทันทีทันใดร่างเขาคนนั้นเหมือนหายไปชั่วกะพริบตา โทรลล์มีอาการมึนงงหาตัวการไม่เจอ

ที่แท้ผู้ได้อันตรธานไปกระโดดสูงด้วยความเร็วดั่งสายไฟแลบ ใช้คมดาบแทงลงไปในศีรษะจนมิดดาบ เขาหักปลายด้ามเพื่อให้มันฝังลึกที่สุด ร่างยักษ์กระอักเลือดจนแน่นิ่งทั้งยื่นก่อนล้มตายในที่สุด ทว่าร่างกายหญิงสาวยังสั่นสะท้าน เพียงปรายตามองเขา

“คุณคือ เอเดรียนใช่มั้ย” ไม่ทันได้ยื่นมือออกไป สาวก็สะดุ้งเมื่อลำคอถูกบีบตรึงไม่ให้เข้าใกล้

“เอเดรียน” พฤติกรรมเหมือนคนแปลกหน้าราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เธออยากมองทะลุร่างในผ้าคลุมสีดำมิดทั้งตัว ความคุ้นเคยเหมือนตอนพวกเราพบกันครั้งแรก

“ปล่อยพี่สาวนะ” รอธดีนวิ่งพรวดมาจากไหนก็ไม่รู้ เข้ามากอดร่างพี่สาว พร้อมตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้กับคนแปลกหน้า “รังแกคนไม่มีทางสู้ ไอ้ขี้ขลาด”

เหมือนลำคอถูกบีบคลายลง แถมไล้วนสัมผัสจุดชีพจรด้วยปลายนิ้ว กานติศาดึงรอธดีนไปอยู่ข้างหลัง เอ็ดดุเด็กอย่ามายืนกีดขวางผู้ใหญ่กำลังคุยกัน

เธอไม่รู้ว่าทิ้งช่วงเวลาในความฝันปล่อยผ่านไปนานแค่ไหน เป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์กว่าจะกลับมา นานแค่ไหนยังไงก็ไม่มีวันกลัวเขา เพราะมือนี้ไม่มีวันลงมือทำร้าย

“นี่ กานติศา เองนะคะ”

ไม่มีการตอบ กานติศาใช้จังหวะนี้เข้าใกล้กว่าเดิม ยกมือค่อยๆ ปลดผ้าคลุมออกอย่างเกรงอกเกรงใจ เมื่อไม่มีการขัดขืนใดๆ เธอจึงปลดผ้าคลุมออกหมดจด เหลือเพียงหน้ากากเหล็กกับดวงตาสีสวยราวกับอัญมณี แววตาดุดันเปลี่ยนไปเมื่อถูกถอดหน้ากากออก ดวงหน้าคมสันมีหนวดเคราปกคลุม ระดับความป่าเถื่อนเพิ่มเป็นทวีคูณ ทั้งคู่ประสานสายตาเข้าไว้ด้วยกันไม่มีคำพูดใดๆ

“เป็นเจ้าจริงๆ ” หาใช่ภาพลวงตาตามหลอกหลอนเขาทุกวี่วัน

“ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้ว”

ร่างกานติศาถูกพลังมหาศาลดึงเข้าสู่อ้อมกอดภายในคนตัวใหญ่ เธอสรรหาคำพูดมาบรรยายตอนนี้ไม่ถูก เว้นแต่ยินดียอมถูกพันธนาการด้วยความเต็มใจ ดีใจที่เอเดรียนยังไม่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ

“กานติศา ข้าคิดถึงเจ้า”

-------------------------------
อยากรู้ว่ามีคนรอคอยและติดตามอยู่หรือเปล่า อยากเห็นคอมเมนต์ให้ชื่นใจหน่อยนะคะ อิอิ
กวิดา



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2561, 14:47:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2561, 14:53:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 597





<< บทที่ 8 (1) เมื่อความฝันทวงคืน   บทที่ 9 (1) สามปีที่รอคอย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account