มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 9 (1) สามปีที่รอคอย

9 สามปีที่เปลี่ยนไป

เอเดรียหน้ามืด หมดสติสลบไสลล้มทับกานติศา

เรียกรอธดีนเข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายเขา ปลดชุดเกราะตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ใจกระวนกระวายมากพอๆกับอุบัติเหตุน้องชายจนขาหักเธอกำลังเจอสถานการณ์แบบนี้อีกครั้ง ผู้ชายแข็งแรง ใช้ดาบต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ อยู่ดีๆ แขนขาอ่อนแรงหมดสติ ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา

“โอ้โฮ เลือดออกเยอะเลย” รอธดีนพูดแทรกเข้ามา ชี้ไปทางเสื้อเปื้อนเลือดสีแดงฉาดเป็นวงใหญ่

“เขาบาดเจ็บ” ตะลึงรอยแทงบริเวณบั้นเอวด้านซ้าย ไม่ใช่แผลต่อสู้กับโทรลล์ภูเขา เขาบาดเจ็บมาก่อนที่เจอเธอด้วยซ้ำ กานติศาฉีกทึ้งผ้าจากเสื้อผ้าตนเอง ขยุ้มผ้ากดบาดแผลเพื่อห้ามเลือดที่รินไหลไม่หยุด
เกิดอะไรขึ้นกับที่ผ่านมา เขาดำรงชีวิตแบบไหนจึงมีสภาพบอบช้ำขนาดนี้ ราวกับผ่านการทำศึกสงครามมามาก

“ตายจริง ว่าแล้วจะต้องได้เลือดเข้าสักวัน” เด็กสาวเสียงใสลอยเข้ามา

“เสียงมาจากไหนนะ” เธอกับรอธดีนช่วยกันมองหาต้นต่อที่มาของเสียง เผยเด็กสาวตัวขนาดเท่าฝ่ามือติดปีกลวดลายเหมือนผีเสื้อราวกับนางฟ้าตัวน้อยบินวนอยู่เหนือพวกเธอก่อนลอยดิ่งต่ำเข้ามา

“ธะ เธอ คือตัวอะไร” นอกจากติดปีกรูปทรงประหลาดแล้วตัวยังเรืองแสงเมื่ออยู่ในร่ม ใบหน้าจิ้มลิ้มหน้าตารัก หูยาวแหลม เส้นผมยาวและขนตาเป็นสีขาวปลายขนเป็นประกายวิบวับราวติดกากเพชร ตีหน้าโมโหใส่

“นี่คือภูติน้อย...เจ้ามาทำอะไรที่นี่ กลุ่มเจ้าไปไหน” รอธดีนเข้าหาภูติน้อยราวเป็นเรื่องหาพบได้ทั่วไป

“ข้าไม่มีกลุ่ม ท่านพ่อเลี้ยงดูข้ามาตลอด...พวกท่านจะปล่อยท่านพ่อตกสภาพแบบนี้เหรอ รีบทำอะไรเข้าสักอย่าง” เป็นภูติน้อยนอกจากโมโหร้ายแล้วยังหวงท่านพ่อเป็นพิเศษ บินกระโดดใส่หัวรอธดีนจนหัวโน และยังส่งเสียงลอดฟันขู่มายังกานติศา

ท่านพ่อที่ภูติน้อยเรียกหมายถึงเอเดรียน?

เพราะตกเรือลำเดียวกัน ยังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน กานติศากับเด็กชายเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เธอขอให้รอธดีนเข้ามาช่วยกดปากแผลแทน ระหว่างที่เธอไปหาสมุนไพรในป่า เพื่อช่วยรักษาบรรเทาอาการบาดเจ็บ ต่อให้ไกลเป็นสิบกิโลเธอมุ่งมั่นจะไปให้ได้ ภูติน้อยเสนอตนเองช่วยตามหาอีกแรง “กดแผลไว้นะจ้ะ แล้วจะกลับมา”

“แผลใหญ่มาก” เด็กชายเอ่ยเสียงสั่นเครือ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “เขาจะตายเหมือนท่านพ่อของข้า พี่สาว ข้าไม่อยากอยู่คนเดียว”

“เด็กบ้า พ่อของเจ้าตายไปแล้ว แต่พ่อข้ายัง หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้นะ” เสียงใสแสดงความไม่พอใจที่ถูกประวิงเวลา จึงบินฉุดกระชากดึงเส้นผมกานติศาให้ออกป่าเสียที

“รอธดีน” เธอช่วยปาดน้ำตาให้กับเด็ก ทั้งที่เธออยากจะร้องไห้เหมือนกัน “ไม่ร้องนะ เขาจะต้องไม่เป็นอะไร พี่สัญญาจะรีบกลับมาก่อนเธอจะรู้ตัวว่าพี่หายไปอีก”

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวท่านพ่อได้ตายหรอก”

แต่เด็กชายกลับคิดไม่ซื่ออาศัยจังหวะพี่สาวกับภูติน้อยบินหายเข้าไปในป่า ยกผ้าห้ามเลือดออก เปิดบาดแผล เอเดรียนครางเจ็บขณะที่หมดสติอยู่ ปล่อยให้เลือดไหลรินออกมาด้วยความพึงพอใจ รอธดีนเหลือบสายตามองขึ้นด้วยแววตาดูเป็นผู้ใหญ่ คนไม่มีสติเพ้อเรียกหาชื่อแต่พี่สาว

“เอเดรียนเป็นพ่อของเธอเหรอจ๊ะ...ไปมีกันตอนไหนกัน”

“ใช่ ส่วนเจ้าเป็นใครอย่ามาตีสนิทด้วยเรียกชื่อท่านพ่อนะ” ดูเหมือนเอเดรียนจะมีลูกสาวเอาแต่ใจเสียแล้ว

“งั้นบอกชื่อเธอมาสิ”

“ข้าไม่มีชื่อ ขอเท่าไรท่านก็ไม่ยอมตั้งชื่อให้”

กานติศาร้องโห่ด้วยความดีใจ เจอต้นกล้าสมุนไพรชนิดสุดท้ายจนครบตามความต้องการ ภูติน้อยดูเหมือนดีใจร่วมกับเธอถึงบินวนรอบตัวเธอด้วยความเร็วจี๋ เอเดรียนจะต้องหายดีเพราะเธอไม่มีวันยอมให้เขาเป็นอะไรไป ป่านนี้รอธดีนคงร้องไห้ตามหาแล้ว ผิดสัญญาที่ให้ไว้ไม่สามารถทำเวลาจนกระทั่งท้องฟ้าใกล้เวลาพลบค่ำ หนึ่งสาวหนึ่งภูติต้องรีบกลับไปก่อนถูกความมืดเล่นงานจนหลงทางในป่า

ใบหน้ารอธดีนเปียกชื้นด้วยน้ำตายังคงอยู่เคียงข้างเอเดรียนไม่ห่าง “พี่สาวโกหก มาช้า ข้านึกว่าพี่สาวทิ้งข้าแล้ว”

“ขอโทษจ้ะ เขาเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่ดีฮะ เลือดออกไม่หยุด เขาละเมอหาพี่สาวตลอด”

“พูดบ้าอะไร ท่านพ่อไม่มีทางละเมอเรียกใครนอกจากข้า อย่าว่าท่านพ่อเสียๆหายๆนะ” กรุ่นไม่พอใจและเหม็นขี้หน้าเด็กชายมาตั้งแต่แรกจึงบินพุ่งเล่นงานเข้าที่ใบหน้ารอธดีนจนน้ำตาเคล็ด

ไม่บอกก็รู้ สีหน้าเอเดรียนซีดยิ่งกว่าไข่ต้ม อาการไม่ค่อยดีเธอควรรีบทำอะไรสัออย่างก่อนถูกภูติน้อยเล่นงานเข้า อย่างน้อยควรหาวิธีห้ามเลือดให้ได้ก่อน มิหนำซ้ำตัวยังร้อนเพราะพิษบาดแผล ซึ่งนำผ้าคลุมมาห่มร่างไว้ให้อบอุ่น ที่นี่กลางคืนมาเร็วเท่าไรยิ่งเจออากาศหนาวสั่น

“นะ น้ำ” เอเดรียนปรือต ซึ่งกานติศาได้เตรียมน้ำไว้แล้วจึงนำมาป้อนถึงปาก ดวงตาประสานกันจนเธอเป็นฝ่ายหลบตาก่อน “มีอะไรติดหน้าฉันหรือคะ”

“ฝะ ฝัน ข้านึกว่าฝันไป” เขาเอ่ยเสียงทุ้มสั่น ใบหน้าเหยเกแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด แต่ก็พยายามพูดกับเธอ “เจ้าคือภาพลวงตา ตามหลอกหลอนข้าทุกวัน”

“กะ กานไม่ใช่ผี จะไปตามหลอกคุณทำไม” หากหลุดขำออกมาในสถานการณ์นี้คงดูไม่เหมาะสม “บางทีในใจลึกๆ คุณอาจจะเกลียดฉันก็ได้”

มือหนาประสานกับมือเล็กรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ใบหน้าสาวร้อนฉ่า อยากดึงมือกลับแต่ว่ายังเกรงใจผู้ป่วย เขาพูดประโยคถัดมาทำเอาเธอหูแทบหนวก

“บอกคิดถึง ไยจะต้องเป็นความเกลียด”

ถ้าไม่ใช่ความเกลียด แล้วมันคือ...

“พี่สาวฮะ ข้าบดสมุนไพรเสร็จแล้ว” รอธดีนแทรกกลางระหว่างทั้งสอง เป็นทองไม่รู้ร้อนไม่สนใจตาขวางมองเด็กอย่างชิงชัง ฉับพลันเสียงใสร้องแสดงความดีใจ ภูติน้อยบินพุ่งเข้าที่ใบหน้ากอดเอเดรียนอย่างใจรัก

“ท่านพ่อตื่นแล้ว ข้าดีใจหัวใจแทบวาย”

“ขอบใจจ้ะ” กานติศารับถ้วยใบไม้ หันไปวางตัวไม่ถูก จะขัดจังหวะความรักระหว่างพ่อกับลูก เขาเห็นสีหน้าอึดอัดจึงดันลูกสาวให้ออกห่าง

“อาจจะเกลียดฉันไปเลยก็ได้ แต่คุณเลือดออกไม่หยุด กานต้องทำคุณเจ็บหน่อย”

เขาเข้าใจดีว่าหมายถึงอะไร จึงให้ความร่วมมือโดยดี แม้ลูกสาวส่งคำทักท้วงไม่ยินยอมให้กานติศาแตะเนื้อต้องตัวท่านพ่อ และพรีอุส ม้าขนสีดำเงางามส่งเสียงขู่ ไม่ยอมให้เธอแตะต้องตัวผู้เป็นนายเช่นกัน จนเอเดรียนต้องปลอบให้มันสงบลง และเอ็ดลูกสาวจนคอตกบินไปหลบอยู่หลังรอธดีน ดูเหมือนเธอไม่เป็นที่ชื่นชอบในครอบครัวนี้สักเท่าไร

เอเดรียนอ้าปากยอมให้รอธดีนใส่เศษผ้าในปาก เพื่อป้องกันไม่ให้กัดฟันจนกระดูกกรามแตก เด็กชายจับมือเขาเป็นการให้กำลังใจ

เด็กนี่เป็นใคร ไว้เขาถามกานติศาทีหลัง

การเล่นสวมบทเป็นคุณหมอรักษาคนไข้กับน้องชายในตอนเด็กมานับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้เธอมานั่งจ้องดูแผลสด มือค่อยบรรจงทำความสะอาดรอบ ๆ ก่อนอุดรอยแผลด้วยสมุนไพรสีฟ้าสด ผู้บาดเจ็บถึงกับดิ้นพล่านทนความเจ็บทรมานไม่ไหว ทั้งคู่ต้องช่วยกันจับร่างให้อยู่นิ่งๆ

“ท่านพ่อ อดทนไว้อีกนิด” เสียงใสให้กำลังใจ ยอมให้กานติศาดำเนินขั้นตอนสุดท้ายพอกบาดแผลด้วยดินโคลนสีเขียวตามธรรมชาติ ความข้นเหนียวจะช่วยห้ามเลือดได้ดี สมานแผลให้หายเร็วขึ้น ทำตามที่เอเดรียนเคยสอนไว้เป๊ะ

“เจ้าใส่อะไรในตัวข้า”

“บลูเอิร์ฟ สมุนไพรสีฟ้ารักษาอาการบาดเจ็บกับ ร็อกซานน์ สมุนไพรสีเหลืองบำรุงเลือด ถูกต้องมั้ยคะ” สาวพันผ้ารอบลำตัว เอเดรียนมีศักดิ์เหมือนปรมาจารย์ด้านการรักษาด้วยยาสมุนไพร รวมไปถึงการดำรงชีวิตในป่า

“ผ่านมาสามปี เจ้ายังไม่ลืมสิ่งที่ข้าสอนไว้”

“สามปี!” เธอแหกปากด้วยความตกใจ จนรอธดีนนั่งอยู่ไม่ไกลพลอยตกใจไปด้วย

“สามปี ที่เจ้าหายไป”


กองไฟถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายจากฝีมือเด็กชายวัยเก้าขวบทำให้กานติศาต้องอ้าปากค้าง และเล่าให้เธอฟังขณะทานซุปร้อนๆ ทันทีรอธดีนหัดเดินได้ก้าวแรก ได้ติดตามครอบครัวเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ ตัดต้นไม้เพื่อนำไม้ไปขายทอดตลาดเลี้ยงยังชีพ จนกระทั่งท่านแม่ล้มป่วยไม่สามารถเดินได้ ซึ่งเหลือเพียงเขากับท่านพ่อ โทรลล์ภูเขาดันเอาชีวิตท่านพ่อไปอีก เด็กชายซึ่งเหลือตัวเพียงคนเดียว

“ข้าอยากกลับบ้านไปหาท่านแม่” รอธดีนไม่เหลือน้ำตาให้เห็นอีกต่อไป เป็นภาพที่น่าสงสารมาก นิสัยอ่อนไหวจึงอยากรับผิดชอบ ทั้งที่เธอไม่มีส่วนในเหตุการณ์เกิดขึ้น สมแล้วที่ภูติน้อยมักชอบแกล้งด่าโง่

“พี่สัญญาว่าจะพารอธดีนกลับบ้านพบแม่ ฉะนั้นเข้มแข็งไว้นะจ้ะ” ลูบหัวเด็กชายเบาๆ สบตาสีฟ้าสดใสไร้เดียงสา หนูน้อยผู้นี้แม้เหลือตัวคนเดียวยังเข้มแข็งกว่าเธอหลายเท่า

ถึงคราวรอธดีนตาลุกวาว อยากรู้เรื่องพี่สาวบ้าง “พี่สาวกับเขาล่ะฮะ รู้จักกันได้ยังไงฮะ”

“ถามได้ถูกจังหวะมาก ข้าก็อยากรู้ ยายโง่ไปรู้จักท่านพ่อได้ยังไง”

กานติศาเหลือบมองไปทางคนป่วยซึ่งนอนหลับเพราะพิษไข้ เธอไม่ได้คิดเรื่องเขาอย่างจริงจัง

“ก็รู้จักกันมาสักพัก เราบังเอิญเจอกันและเขาช่วยชีวิตไว้ จากนั้นพวกเราก็เดินทางมาด้วยกัน” สามปีที่หายไปสำหรับเขาอาจจะถือว่านานมาก แต่สามสัปดาห์เดินเวลาเร็วอย่างกับลมพัดในความคิดเธอ

“งั้นข้าเดาผิด ข้านึกว่าพวกท่านเป็นสามีภรรยากัน”

“แค่ก แค่ก” กานติศาสำลักน้ำซุป ทำซุปหกหมดถ้วย

“ทำไมเธอคิดอย่างนั้นล่ะ รอธดีน”

“ใช่แล้วกานติศา ท่านพ่อไม่มีวันอยู่กับสาวโง่คนนี้หรอก เด็กบ้าคิดอกุศล” เด็กชายมีเคราะห์กรรมถูกเล่นงานที่ใบหน้าอีกครั้ง ได้ทั้งรอยกัด ทั้งรอยข่วน จึงถูกหญิงสาวเข้ามาดึงตัวให้ถอยห่างจากความดุร้ายของภูติตัวน้อย

“ก็ข้าเห็นสายตาพี่สาวมองเขา เหมือนท่านแม่มองท่านพ่อ ตอนเจ็บหนักเขาละเมอแต่ชื่อ กานติศา ตลอดเวลา จะไม่ให้ข้าตีความผิดไปได้ยังไง” รอธดีนอธิบายอย่างใจเย็นสมกับเป็นเด็กซื่อๆ ทั้งที่ใจเธอเต้นระส่ำใกล้ระเบิดเต็มที่ กลัวว่าเอเดรียนหลับอยู่จะได้ยิน

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก รอธดีนเข้าใจผิด ส่วนภูติเธอหายกังวลได้ ฉันไม่ได้มีอะไรกับพ่อเธอ”

“พี่อยู่กับเขานานๆ ไม่ได้หรอก วันหนึ่งพี่ต้องกลับบ้าน เหมือนรอธดีนต้องกลับไปหาแม่ พี่เองก็มีครอบครัวของพี่ ดึกแล้ว พวกเธอควรนอนได้แล้ว” มือดึงถ้วยซุปที่ยังทานไม่หมดจากมือเด็ก รอธดีนงุนงงสงสัยว่าตนพูดอะไรผิดไป

“พี่สาวโกรธข้า”

“ไม่ได้โกรธ พี่แค่เหนื่อยจ้ะ” เธอฝืนตีหน้ายิ้มแสดงว่าให้เห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ห่มผ้าให้รอธดีนเกือบเป็นการบังคับเพราะเด็กดื้อไม่ยอมนอนสักที พร้อมจัดที่นอนขนาดเล็ก ๆให้กับภูติน้อย สามคนส่งเสียงคุยกันไปมาอยู่สองนานจนเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง

“สัญญากับข้าแล้วนะ ว่าจะพาข้ากลับบ้าน” รอธดีนทวงสัญญาในนาทีสุดท้าย

“พี่สัญญา”

“สัญญากับข้าด้วย ว่าจะไม่แย่งท่านพ่อไปจากข้า”

เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ได้หลับไป กานติศากลับตาสว่างโร่ ความจริงเธออยากโกรธรอธดีนจะแย่ พูดจี้แทงใจดำ ทำลายม่านหมอกหนาปิดบังภาพปริศนาถูกทำให้จางลง แต่เธอยังปิดตาไม่อยากเห็นภาพนั้นอยู่ดี

เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เธอถือครองภาพศิลปะนั้นเป็นเจ้าของ

มันน่าเหลือเชื่อกับสามปีที่เธอหายไปจากโลกความฝัน เกือบสามสัปดาห์ที่เธออาศัยอยู่โลกความจริง สาวตระหนักคิด โลกในความฝันเวลาจะหมุนไปเร็วมาก แต่ความเร็วในการดำเนินชีวิตเป็นปกติในยี่สิบสี่ชั่วโมงมีความความเท่ากัน เมื่อคิดคำนวณระยะห่างของช่วงเวลาเชื่อมระหว่างสองโลก ถ้าเธอได้กลับไปบ้านเธอตอนนี้ยังเป็นเวลากลางคืนของสองวันที่แล้วซึ่งเดินเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ สาวอุทานในใจ

ตอนนนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอยังคลายปมไม่ได้

ทำไมเธอข้ามภพมาในความฝันที่จินตนาการขึ้นมาเอง เจอผู้ชายที่ไม่เคยพบพานมาก่อนอย่างเอเดรียน

ต้นวิสทีเรียมีความเกี่ยวพันกับเธออย่างไร รอยสลักต้นไม้และสัญลักษณ์ที่หลังหูสื่อความหมายอะไรกันแน่

กานติศาลืมถามเรื่องนี้ไปโดยสนิท ก้มหน้าผู้ร่วมนอนเคียงข้าวเธอสลับไปมาทั้งคู่

“เฮ้อ ดันมาหลับเอาตอนสำคัญ”

พฤติกรรมความเกลียดชังระหว่างคนกับสัตว์แสดงออกทางกายเหมือนกัน พรีอุสส่งเสียงขู่ฟ่อๆ จนเธอคิดว่ามันน่าจะลาออกจากความเป็นม้า สวมตำแหน่งงูแทน นับว่ากานติศายังมีจิตเมตตา ใส่ฟางพร้อมเติมน้ำให้เป็นอาหาร มันสะบัดบั้นท้ายไม่ยอมให้เธอสัมผัสตัว ช่างเย่อหยิ่งเหมือนเจ้าของตอนพบกันครั้งแรกไม่มีผิด “ทำไมแกถึงเกลียดฉันนัก”

กระดิกหูเบาๆ เหมือนฟังภาษาคนรู้เรื่อง สาวยิ้มกริ่มที่เรียกร้องความสนใจได้

“จะว่าไปเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยเนอะ ฉันชื่อกานติศา เป็นเพื่อนกับนายแก ท่านเอเดรียนของแกไงล่ะ” ที่นี่มันหันมาเอียงคอสนใจ ทันที่ได้ยินชื่อนาย หูกระดิกทั้งสองข้าง

“ถ้ากานทำอะไรแกไม่พอใจ กานขอเริ่มต้นด้วยผลไม้รสหวานๆ ถือเป็นคำขอโทษนะจ้ะ” แบมือมีผลไม้สีหวานถูกผ่าครึ่งให้ดู น้ำหวานจากผลสุกงอมไหลเยิ้มเปื้อนมือ จนพรีอุสยกขาหน้าสลับกันไปมาอย่างตื่นเต้น

เธอหัวเราะเมื่อมันดิ่งตรงมากินผลไม้อย่างว่านอนสอนง่ายเหมือนลูกสุนัข มือลูบขนสีดำอย่างสนิทใจ

“แกเลิกเกลียดแล้วใช่มั้ย ถือว่าเราสงบศึกกันนะ” มันน่ารักถึงขั้นใช้หัวใหญ่พิงอกสาว กานติศากอดสัมผัสตัวมันอย่างใกล้ชิดมากกว่าเดินเที่ยวชมสวนสัตว์เสียอีก

“ถ้าไอ้กันต์พูดน้อยลง ทำตัวน่ารักเหมือนแกอย่างนี้ก็ดีสิ” ปากชมเปาะสัตว์น่ารักกว่าน้องชาย เธอคิดขึ้นมาเล่นๆ หากเป็นโลกจริงเธอจะขอเอเดรียน เอาพรีอุสกลับไปเลี้ยงเล่นที่บ้าน


“ฮัดชิ้ว!” กันต์ตื่นขึ้นมาจามกลางดึก

มึนงงกับตัวเองไม่เคยมีประวัติจามขณะนอนหลับ ภายในห้องปิดไฟมืดสนิท นาฬิกายังตีเป็นเวลากลางคืน ผ่านไปไม่กี่นาทีที่เขาเผลอหลับไป “ใครมันด่าวะ”

เมื่อเห็นพี่สาวยังคงนอนหลับเงียบบนเตียงไม่หายไปไหน ที่สำคัญเขาสังเกตอกกระเพื่อมหายใจเป็นปกติจึงวางใจ ลุกจากพื้นแข็งไปเปิดตู้เย็นดื่มน้ำดับกระหาย ระหว่างทางเขาอดไม่ได้ที่เข้าไปห่มผ้าให้รติรส ซึ่งหลับเมาไม่ได้สติ อีกทั้งท่านอนกลับหัวกลับหางพิลึก หัวหล่อนหวิดตกขอบโซฟาตกพื้นดับ จึงเข้าไปจัดท่าให้เรียบร้อย

ทำไมต้องใปสนใจท่านอนเหมือนหมาของหล่อนด้วย เพิ่งก่อคดีกับเขาแท้ๆ

ผู้เคราะห์ร้ายสะดุดตาที่ริมฝีปากสีชมพูดบวมเจ้อโดยไม่ตั้งใจ นึกสงสัยปากบวมเกิดจากปล้ำจูบกับเขาหรือผลจากศัลยกรรมฉีดริมฝีปากกันแน่ และหน้าอกอีก หรือเป็นตัวหล่อนทั้งตัว กันต์จมกับความคิดของตัวเอง หาได้รู้ตัวว่าใบหน้าก้มต่ำลง เข้าใกล้ใบหน้าหล่อน หากมีสายตาคู่ที่สามต้องเข้าใจผิดยกใหญ่

บังเอิญเจ้าสมาร์ทโฟนดังลั่น ยิงลำแสงแสดงว่ามีสายเข้า

“เฮ้ย!” กันต์เด้งตัวลุกตกใจเหมือนคนทำความผิดเสียเอง หยิบเครื่องมาดูชื่อหน้าจอแล้วต้องหน้าซีดเผือด เดินย่องเข้าห้องน้ำ นิ้วกดรับสาย มือข้างหนึ่งกุมพระแน่นมาก

“แม่ครับ ฟังผมก่อน อย่าเพิ่งด่า”

สนทนาร้อนแรงทางมือถือระหว่างคุณนายประพิมพรรณกับลูกชายเกิดขึ้นภายในห้องน้ำอย่างเป็นความลับ ไม่หลุดเสียงออกมานอกห้องรบกวนสองสาวนอนหลับภายใต้ฤทธิ์ที่แตกต่างกัน


แผนสร้างมิตรไมตรีระหว่างมนุษย์กับสัตว์เป็นไปด้วยอย่างดี เหนือความคาดหมาย เธอไม่ลืมวนมาดูอาการผู้เจ็บ เอเดรียนตัวร้อนทั้งที่ใช้ยาสมุนไพรครบตามสูตร ไข้ยังยอมไม่ลดลง กานติศาตัดสินใจเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ มือใหญ่เข้ากุมมือเธอไว้แสดงผู้ป่วยไม่ได้หลับอย่างที่คิด “ทำไมเจ้ายังไม่นอน”

ลมหายใจร้อนเป่ารนใบหน้า ขณะที่สาวโอบลำตัวเขาไว้เพื่อเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่

“แผลดูไม่ค่อยดี คุณตัวร้อนมาก ฉันไม่เข้าใจว่าทำอะไรผิด” กานติศาหัวเสีย

“เจ้าทำดีที่สุดแล้ว สมุนไพรใช้รักษาทุกอย่างไม่ได้ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว” ออกจะดีใจกับการแสดงเป็นห่วงเป็นใยเกินเหตุ บางทีเขาอยากยืดเวลาเจ็บป่วยยาวออกไปอีกสักนิด

“ทำไมร่างกายคุณรักษาตัวเองไม่ได้แบบเมื่อก่อน” เธอจำได้ว่าเขาใช้เลือดสร้างอาวุธด้วยตัวเอง รอยกรีดที่แขน แผลสมานตัวได้อย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรกับคุณคะ เอเดรียน”

นั้นเป็นคำถามที่เขาถามตัวเองมาตลอดเกือบสามปี

“ตั้งแต่เจ้าหายไป ร่างกายข้าเริ่มค่อยๆเปลี่ยน ไม่เหมือนเดิม ทั้งพลังและความเร็วลดลง” นึกถึงตอนปีนเขาครั้งล่าสุดเป็นไปอย่างลำบาก ก้าวพลาดเกือบตกเขา กัดฟันสู้กว่าจะดึงร่างตัวเองออกมา

“ข้าอ่อนแอลง แผลใช้เวลารักษาตัวนานขึ้น อาจจะเป็นวันสิบวัน” หรืออาจจะไม่มีวันรักษาหายขาด เอเดรียนตัดสินไม่ลงรายละเอียดทั้งหมด ยิ่งสร้างความไม่สบายใจเปล่าๆ ไม่อยากทำสาวตรงหน้าต้องเสียน้ำตาให้กับเขา ถ้าเป็นความสงสารน่าเวทนาก็ยิ่งไม่ต้องการ

“นอนสักพักเดี๋ยวก็หายเอง เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ” เย้าหยอกส่งผลกานติศาเพิ่งรู้ตัวเป็นเป้าล่อ

“คะ แค่ กลัวว่าถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไป ลูกสาวคุณจะโทษฉันสิ เอ่อ แล้วก็จะอยู่ลำบากไม่รอดในป่านี้หรอกค่ะ” สาวทำปากแข็ง กิริยากอดอก ยักไหล่เลียนแบบเด็ก นั้นทำให้เขากลั้นยิ้มสะกดความเจ็บปวดลงไปได้บ้าง
เขาอยากเห็นกานติศายิ้ม หัวเราะ มีความสุข

แม้ว่าพลังแห่งชีวิตเขาเสื่อมคลายลงทุกวัน

“หนาว”

แทนที่จะลุกไปนำผ้าคลุมผืนใหม่มาห่มร่างเขา กานติศากลับล้มตัวนอนเคียงข้าง สอดตัวเข้าไปในผ้าผืนเดียวกัน เอเดรียนแปลกใจ ถ้ามีสุขภาพดีแข็งแรงเขาจะเป็นฝ่ายลุกหนีทันที ทว่าไม่ทันเสียแล้ว ร่างเขาถูกกอดรัดด้วยลำแขนเล็ก ๆ อบอุ่น นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสบดวงตาสดใสป๋องแป๋ว มองหาความหมายในสายตาคู่นั้น
นางไว้ใจเขามากเกินไป เสียจนเขาถอนตัวไม่ทัน

“ภูติน้อยเป็นลูกสาวคุณ ทำไมไม่ตั้งชื่อให้เธอล่ะ” ความจริงอยากรู้ว่าเขาไปมีลูกสาวตั้งแต่ตอนไหนมากกว่า และใบหน้าโศกเศร้าตัวเองที่ไม่มีชื่อนามเรียกเหมือนคนอื่นของภูติน้อยยังคงติดตา

“ลูกสาว...ไม่ใช่ลูกสาวข้า ไม่มีสิทธิ์ไปตั้งชื่อให้ กานติศา เขาคือลูกสาวของเจ้า”

“ลูกสาวฉัน???”

“ใบไข่สีชมพูที่เจ้าเก็บมาดูแลไง การมอบชื่อใหม่ควรเป็นหน้าที่เจ้า”

เมื่อได้ความกระจ่าง ใบไข่สีชมพูมีลวดลายสวยงามที่เธอเก็บมาและคิดว่าฟักตัวออกมาเป็นลูกนก กลับเป็นเด็กสาวภูติตัวน้อย เอเดรียนเลี้ยงดูแลมาตลอดสามปี

“กานไม่รู้ว่าสามปีที่ผ่าน คุณต้องเจอความลำบากมาแบบไหน แต่ตอนนี้ฉันอยากขอบคุณจากใจจริง ๆ” สาวกระชับกอดแน่นขึ้น จนผู้สวมกอดต้องหันมาเต็มไปด้วยคำถามและยับยั้งชั่งใจยากขึ้นกว่าเดิม “จะทำอะไร”

“เหมือนคุณค่อยดูแลกานตอนเจ็บป่วยไง คราวนี้ฉันเป็นฝ่ายดูแลคุณบ้าง” กานติศาอยากตอบแทนที่เขาอยู่เคียงข้างเธอแม้แต่ตอนยามเจ็บป่วย

ตาใสซื่อน้ำใสใจจริง ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ

“นี่เจ้า ไม่กลัวข้าบ้างหรือ”

หรือว่านางเป็นโรคความจำเสื่อม ลืมความโหดเหี้ยมทารุณ สนุกกับการกลั่นแกล้งเมื่อตอนพบกันครั้งแรก

“ทำไมต้องกลัวด้วย”

“เจ้าควรกลัว หากเกิดวันหนึ่งข้าลำเป็นต้องลงมือฆ่า ทำร้ายเจ้า” เขาลองใจดูว่านางยังยืนยันตามที่พูดมั้ยถ้าฟังคำขู่ นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หวังว่าจะเปลี่ยนใจและถอนคำพูดเกี่ยวกับความกลัว

“ถ้าคุณอยากให้ตายจริง คุณคงฆ่าฉันไปแล้วตั้งแต่วันนั้น ทำไมต้องพูดจาแปลกๆ ด้วย” เขาไม่น่าปล่อยเธอมีลมหายใจจนถึงวันนี้หรอก

“ฉันรู้จักคุณ ใบหน้าคุณ มือของคุณ ช่วยชีวิตและปกป้อง ไม่มีวันทำร้าย”

คืนนี้คำพูดนางเสมือนยาวิเศษ เวทมนต์ส่งมอบความสุขดับความเงียบเหงาสะสมมาเกือบตลอดชีวิต ช่างมีความหมายต่อเขามาก จนเขาอยากลงมือทำร้ายตัวเองเหลือเกิน

กานติศากระชับผ้าห่มถึงคอทั้งเธอและเอเดรียน ทั้งสองคนนอนภายใต้ท้องฟ้าแห่งรัตติกาล มีลำแสงสาดส่องลงมาทักทาย หญิงสาวร้องว้าวตะลึงภาพปรากฎการณ์ธรรมชาติหาพบยาก ตามเคยเห็นในนิตยสารท่องเที่ยว แสงออโรรา* สีเขียวไล้สีไปหาสีม่วง ทอดตัวยาวข้ามเหนือหัวเธอไปสู่หล้าฟ้าเขียว ภาพงดงามพาหัวใจสั่นเทิ้ม น้ำตาปริ่มไหลออกมาด้วยความประทับใจ ถึงพยายามซ่อนน้ำตาก็มิพ้นสายตาเขา

“สวยมากเหลือเกิน”

ฐานะคนอาศัยอยู่ที่นี่ ได้เห็นแสงออโรราเป็นสิบครั้งร้อยครั้งเป็นเรื่องปกติ ผิดกับผู้ที่ไม่น่ารอดชีวิตกลับมา แล้วได้กลับมาจริงๆ เอเดรียนนึกสงสัย หรือนางเป็นแมวเก้าชีวิต

“เจ้าถูกเหยี่ยวจับไป เจ้ารอดมาได้ยังไง”

“มีดสั้นที่คุณให้มา กานใช้มันต่อสู้ชนะพวกมันได้”

อีกครั้งวีรกรรมต่อสู้ ความกล้าของนางทำเขาทึ่ง นางใช้ตัวเองเป็นตัวล่อโทรลล์ภูเขา เพื่อให้โอกาสรอธดีนวิ่งหนี แล้วสามปีผ่านมานางไปอยู่ที่ไหน

“แล้วฉันก็ไปอยู่ที่ไกลมาก ๆ บอกชื่อไปก็ไม่รู้จักหรอก” เธอไม่สามารถพูดความจริงให้เขาฟัง ว่าเธอได้กลับบ้านไปยังโลกแห่งความจริง โลกของเขากับเธอเป็นเส้นขนาน เดินทางด้วยความเร็วเวลาที่ต่างกันไม่มีวันมาบรรจบกัน การฝันของเธอเหมือนสะพานทางเชื่อมระหว่างสองภพ ต่างห้วงเวลา

ที่ไกลที่เจ้าจากมา คือที่ใด

“เมื่อสามปีก่อนที่เจ้าหายตัวไป มีดาวดวงใหม่ดวงหนึ่งปรากฎ ไม่เคยมีการจากรึกบนแผนที่ดาวมาก่อน ดาวโดดเดี่ยวแต่เข้มแข็ง เปล่งประกายแสงระยิบระยับหาทางรอดได้ด้วยตัวเอง”

เอเดรียนชี้นิ้วไปที่ดาวฤกษ์สีชมพูดวงโตอีกฟากหนึ่งของสะพานแสงออโรรา ซึ่งเธอสังเกตเห็นมาก่อน
“ตลอดเวลาอยู่คนเดียว บ่อยครั้งที่ข้าสงสัย นึกถึงเจ้าว่าหายไปไหน เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า หรือกลับบ้านที่ดวงดาวอันไกลโพ้น ข้าถือดาวดวงนั้นเป็นตัวแทนเจ้าแล้ว ภูติน้อยยังหัวเราะเยาะกับความคิดข้า หาว่าข้าบ้า เอาแต่มองดูดาวเรียกหาคนที่ไม่มีวันกลับมา...”

“ทุกครั้งที่เหนื่อย บาดเจ็บ ข้าจะมองไปที่ดาวเพื่อพูดคุยกับเจ้า เปล่งแสงให้กำลังใจข้าต่อสู้รอดกลับมาทุกครั้ง” เป็นเวลาเกือบสามปีที่เขาท่องแผ่นดินเพื่อตามหากานติศา หลายครั้งที่ท้อใจอยากยอมแพ้ยุติการค้นหา แต่เขาไม่เคยหยุด เพราะดาวดวงนั้นค่อยปลอบประโลมจิตใจให้เชื่อว่ายังมีลมหายใจอยู่ แม้สร้อยเรือนสีทองหยุดทำงานไปแล้วก็ตาม

“ข้าเคยเสียโอกาสไปแล้ว ครั้งนี้ข้าต้องปกป้องเจ้าให้ได้”

เขายังจำเหตุการณ์ท้องฟ้าวิปลาส มีแสงเจิดจ้า และกลับมาพร้อมเข็มทิศทำงานอีกครั้งอย่างปาฏิหาริย์
“เอเดรียน” เธอไม่เคยรู้ว่าเขาสามารถพูดอะไรซึ้งกินใจได้ขนาดนี้ แต่จะปล่อยคำพูดเขารุกล้ำอาณาเขตเข้าใกล้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงส่งรอยยิ้มเศร้า เอ่ยคำขอบคุณสั้นเป็นการตัดบทแทน “ง่วงนอนแล้ว คุณเองก็ควรพักผ่อน”

“นั้นสินะ” เป็นเขาเองที่พูดมาก ทั้งที่เป็นคนป่วย เอเดรียนล้มตัวนอนมือเกยหน้าผาก มองลำแสงสีม่วงทอดตัวลงมา และดาวฤกษ์สีชมพูเปล่งแสงวิบวับ ทบทวนคำทำนาย ชะตากรรมที่เขาต้องแบกรับ

การที่นางได้กลับมา ส่งผลให้เขาย้ำคำตัดสินใจที่เลือกไว้แล้ว

ตามคำทำนายกำหนดไว้ ความอยู่รอดของผู้แบกรับ ซึ่งแลกมาด้วยเลือด ลมหายใจชีวิตเครื่องบูชายัญ นั้นหมายความว่าเธอมีชีวิตอยู่อีกนานเท่าไร เปรียบเสมือนบทลงโทษดวงชีวิตอีกดวงหนึ่ง ต้องประสบสิ้นพลัง ไร้การเยียวยา จนมอดดับลงในที่สุด



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2561, 19:07:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2561, 19:07:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 610





<< บทที 8 (2) เมื่อความฝันทวงคืน   บทที่ 9 (2) สามปีที่รอคอย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account