มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร
Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก
ตอน: บทที่ 9 (2) สามปีที่รอคอย
แสงตะวันรุ่งแยงตาจนจำต้องตื่นขึ้นมาพบว่าคนป่วยตื่นเช้ากว่าเธออีก ไร้เงาเอเดรียน อันที่จริงแล้วเธอไม่สามารถปล่อยวางทุกคำพูดที่เอเดรียนแง้มความในใจเมื่อคืน ถึงขั้นยกดวงดาวเป็นตัวแทนเธอ เสียงกระแทกเรียกสติอีกครั้ง กานติศาลุกเดินไปตามจึงพบพวกเขาทั้งสองคนช่วยกันนำก้อนหินไปวางเรียงกันเป็นกองภูเขาขนาดเล็ก เด็กชายคุกเข่านำดอกไม้มาวางหน้าหลุมศพท่านพ่อ จมอยู่กับความเศร้าโศก
“ขอโทษฮะท่านพ่อ ข้าทำตามสัญญาให้ไว้กับท่านไม่ได้” เด็กชายไม่สามารถนำร่างท่านพ่อกลับบ้านได้ เมื่อเห็นกานติศามายืนเคียงข้าง จึงรั้งเธอไว้เป็นที่พึ่ง “ข้าจะกลับบ้าน ดูแลท่านแม่ พี่สาวไส้สัญญากับข้าไว้แล้วฮะ”
ที่นี่ผู้เงียบขรึมหันมาสบตาเธอด้วยความแปลกใจ กานติศาเองก็ลืมไปว่ายังไม่ได้บอกเขา ช่วงการเจ็บป่วยเธอมุ่งมั่นดูแลรักษาเขาจนหาจังหวะบอกไม่ได้ สะดุ้งเฮือกเมื่อเขาดึงตัวเธอทางด้านหลัง หลบรอธดีนไปคุยส่วนตัวโดยอาศัยพรีอุสเป็นฉากกำบัง เขาหยิบอุปกรณ์จากกระเป๋าสัมภาระยื่นออกมา มีดพับจะให้เธอเอาไปใช้ทำอะไร บอกให้ช่วยตัดเล็มหนวดเคราให้เขา
“ทำไมไม่บอกข้า ไปสัญญาอะไรกับเด็กอย่างนั้น”
“รอธดีนเหลือตัวคนเดียว แม่เด็กล้มป่วยจนเดินไม่ได้ พ่อก็มาตาย” เธออธิบายขณะที่ช่วยหั่นเคราออก เล็มตัดออกนิดหน่อย
“แถวนี้อันตราย เลยอยากไปส่งเด็กให้ถึงที่ปลอดภัย ใจคอคุณไม่สงสารเด็กบ้างรึไงคะ”
“แต่ความปลอดภัยของเจ้าต้องมาก่อน เด็กจะอยู่หรือตายไม่ใช่กงการของข้า ฉะนั้นไม่ว่าเด็กมาจากไหนข้าไม่มีวันย่างเท้าไปแน่” เอเดรียนหันข้างเพื่อให้มีดพับทำงานสะดวกขึ้น
“คิดทิ้งเด็กได้ลงคอ คุณใจร้ายมาก” เขาอยากเสริมอีกว่าเขาเคยไปแสดงทีท่าเป็นคนใจดีตั้งแต่เมื่อไร ผ้าคลุม ชุดเกราะ และเสื้อผ้าเขาล้วนเป็นสีดำ สีที่เขาชอบที่สุด หากแหวกอกให้ดูจะพบเป็นสีดำอีกเช่นกัน
เมื่อลดความป่าเถื่อนลง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาด ไรหนวดเคราถูกตัดแต่งเป็นระเบียบ ขับใบหน้าคมกับนัยน์ตาสีเขียวชวนฝันดูหล่อเหลากว่าเดิม หากไม่ใจแข็งพอคงอ่อนระทวยลงไปกับพื้นแล้ว แต่ปัญหาคือความคิดไม่ตรงกับเธอนี่สิ “ไปบอกเด็ก ให้เปลี่ยนความคิดนั้นซะ”
“ไม่ค่ะ กานตัดสินใจแล้วว่าจะไปส่งรอธดีน ถ้าคุณไม่เห็นด้วย เราไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันอีกค่ะ” เธอแสดงจุดยืนชัดเจนพร้อมคืนมีดพับคืน เอเดรียนมองกิริยานี้เป็นการ ‘ยัด’ ใส่มือมากกว่า อยู่ดี ๆนางจะมาตัดเยื่อใยกับเขาไม่ได้
“เราความคิดไม่ตรงกัน จะทนอยู่ด้วยกันไปทำไมคะ ไม่สู้แยกทางไปตามตัวใครตัวมันไม่ดีกว่าเหรอคะ คุณจะได้กลับไปดูแลลูกสาวเต็มที่”
“แล้วเจ้ากับเจ้าเด็กนั้น จะอยู่รอดจากอันตรายของป่านี้ได้ยังไง หากไม่มีข้า”
“คุณเพิ่งพูดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กไม่ใช่เรื่องของคุณ จะสนใจกันอีกทำไม” กานติศาทิ้งประโยคท้ายเหมือนตบหน้าเขาดังฉาด หนำซ้ำภูติน้อยบินเข้ามากวนใจเขาเพิ่ม “ท่านพ่อ เด็กบ้านั้นร้องไห้กันใหญ่แล้ว เราได้ยินกันหมด พวกท่านคุยกันเสียงดังเกินไป...”
“หุบปาก บอกกี่ครั้ง ข้าไม่ใช่พ่อ น่าจะทุบเจ้าตั้งแต่เป็นไข่ให้แตก หยุดเรียกข้าอย่างนั้นเสียที” เผลอหลุดคำผรุสวาทได้ยินชัดกับหู น้ำตาภูติน้อยไหลพรูออกมา
“ท่านพะ...” เกือบหลุดคำต้องห้าม เด็กสาวก็ปิดปากแทบทันทีบินหนีจากไปกับความเสียใจ
“เอเดรียน ทำไมคุณกลายเป็นคนแบบนี้...สามปีผ่านไปคุณไม่เปลี่ยนไปสักนิด”
กานติศาตามหาภูติน้อยจนเจอ นั่งซ่อนตัวร้องไห้อยู่หลังต้นไม้ นิสัยเอาแต่ใจและหวงเอเดรียนยิ่งกว่าสิ่งของในตอนแรกมลายหายไป สาวน้อยหลั่งน้ำตาออกมาเป็นกะละมัง “ท่านพ่อเกลียดข้าแล้ว เพราะข้าคงน่ารำคาญมาก”
“เพราะเธอเอาแต่ใจ เอเดรียนไม่ได้เกลียดอย่างที่เธอคิดหรอก”
“งั้นทำไมท่านพ่อไม่มอบชื่อให้ข้า ทุกคนมีชื่อ ม้าของท่านพ่อยังชื่อพรีอุสเลย”
“เป็นเพราะเขาเหนื่อยมากเลยอารมณ์ไม่ค่อยดี จริงสิ เขายังบอกฉันตั้งชื่อให้เธอ” ที่นี่ดวงตากลมโตสีทองขยายโตมองกานติศาอย่างดีใจ จะได้มีชื่อเหมือนคนอื่นกับเขา “จริงเหรอ พี่สาวจะตั้งชื่อให้ข้าแล้ว”
“ใช่จ้ะ”
เขาทนดูนางเข้าไปสมทบพูดคุยหัวเราะกับรอธดีนและสาวภูติน้อย ทิ้งเขายืนหัวโด่คนเดียวกับม้าพยศหนึ่งตัว ทนความเดี่ยวดายมาสามปีเพื่อตามหา นางไม่ดึงเขาเข้าไปมีส่วนรวมกับเสียงหัวเราะ ทิ้งขวางเขาเหมือนของใช้แล้วทิ้ง
ชื่อเมืองหนึ่งออกจากปากเด็กเข้ามาในโสตประสาท ทำเขาชะงักงัน ชาทั้งตัวไม่พอเกือบหน้ามืดแทบเป็นลมเสียตรงนั้น กานติศาสังเกตทีท่าเปลี่ยนไปจึงถาม
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บแผลหรือคะ”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเจ้ามาจากไหนนะ” เขาไม่ตอบกานติศา หันมาถามรอธดีนโดยตรงแทน
รอธดีนหน้าเหวอ ไม่รู้ตนทำสิ่งใดผิดปกติถึงโดนเอเดรียนดุ ถูกถามเสียงเข้ม เด็กเหลือบมองกานติศาอย่างเกรงกลัวที่จะตอบ “บ้านข้าอยู่ วิสตาร์เรีย”
“วิสตาร์เรีย” เขาทวนซ้ำ ฝันร้ายกลายเป็นจริง ความทรงจำที่เลวร้ายกลับมาเดินภาพซ้ำ
“เอเดรียน เมืองนี้มีอะไรหรือเปล่า” ตั้งแต่ชื่อ วิสตาร์เรีย ออกมาจากปากเด็ก เธอยังเอะใจตามว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับต้นวิสทีเรียสีม่วง รวมถึงรอยแผลเป็นที่หลังหู จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน ที่นั้นอาจจะมีคำตอบที่เธอตามหาอยู่ก็ได้
“ไม่ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าไปที่นั้นไม่ได้” เอเดรียนนึกอยากมัดตัวเธอไว้แล้วขังไว้ในที่ไม่มีใครหาเจอ ต่อให้เขาแขนขาขาดก็ไม่มีวันปล่อยกานติศาเฉียดเข้าใกล้ที่นั้น จึงพุ่งตัวเข้าบีบหัวไหล่ทั้งสองข้าง แม้แต่ลูกสาวเขาไม่เคยเห็นทีท่าตื่นตระหนกของท่านพ่อมาก่อน
“เจ้าล้มเลิกความคิดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้า...ต้องฆ่ารอธดีน”
เพียะ ใบหน้าหล่อหันไปตามแรงตบ ถูกตัดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองขาดสะบั้นเพราะความคิดชั่ววูบ เอเดรียนเพิ่งเคยเห็นกานติศาโกรธเป็นครั้งแรก แก้มข้างถูกตบร้อนเหมือนโดนไฟจี๋ “คุณรู้ตัวมั้ยว่าเพิ่งพูดอะไรออกมา”
“กานติศา”
“รอธดีนเป็นแค่เด็ก คุณพูดจาชั่วร้ายออกมาได้ไง อย่างคุณมันดีแต่ทำร้าย ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา เห็นชีวิตเป็นของไม่มีค่า ขอโทษนะที่ฉันเข้าใจคุณผิดมาตลอด” เสียดายเวลาทุ่มเทกับเขาไปทั้งหมด เธอไม่คิดว่าเขามีความคิดชั่วร้ายจริง ๆ สาบานได้เธอคิดว่าเขาเป็นคนดีมาตลอด
แม้แต่ลูกสาวเขายังไม่ออกมาปกป้อง หลังจากได้ฟังสิ่งที่เขาพูด
“ฟังก่อนสิ...ข้าแค่” พยายามดึงเธอกลับมาฟังเท่าไร เธอผู้นี้ไม่แม้แต่หันมาสบตาเขาอีกเลย
กานติศาโกรธหน้าดำหน้าแดงฉุดมือรอธดีนไว้ใกล้ตัว กลัวเอเดรียนมุ่งเข้ามาทำร้ายฆ่าฟัน
“ที่ผ่านมาฉันอโหสิกรรมสิ่งที่คุณทำกับพวกเรามาทั้งหมด สิ้นสุดกันแค่นี้เราอย่ามาเจอกันอีกเลย”
รอธดีนก้าวเดินเร็วตามพี่สาวไม่ทัน กานติศายังคงไม่พูดไม่จา แต่ลงมาช่วยประคองเมื่อเด็กหกล้มทุกครั้ง สายตาเด็กสะดุดตาอีกคนหนึ่งซึ่งขี่ม้าตามมาอยู่ไม่ห่าง“พี่สาวฮะ เขายังตามเราอยู่”
“ไม่ต้องไปสนใจ”
“แต่ว่า...”
“ไปเถอะ รอธดีน” ดูท่าพี่สาวไม่อยากจะพูด ดึงมือรอธดีนให้เดินตามไม่หยุดพัก ราวกับวิ่งหนีจากชายชุดดำไปให้ไกลที่สุด พวกเธอเดินทางมาทั้งวัน แม้แต่ภูติน้อยบินตามมาหมดเรี่ยวแรงลง ลากความเหนื่อยล้าเข้าที่พัก กองไฟที่เธอจุดขึ้นมาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก รอธดีนบอกใช้เวลาเป็นวันๆเพื่อเดินทางกลับบ้าน ยิ่งห่างจากบ้านออกไปเท่าไรยิ่งมีพบป่าไม้อุดมสมบูรณ์ดีต่อการตัดไม้เพื่อนำไปขาย ยากจะคาดเดาว่าวิสตาร์เรียเป็นเมืองแบบไหน รอธดีนนอนอยู่ภายใต้วงแขนพี่สาว กักตัวเด็กไว้เกรงว่าจะถูกแย่งชิงไปจากน้ำมือชายใจโฉด
“พี่สาวฮะ”
“อะไรจ้ะ” กานติศาตอบรับทั้งที่ปิดตานอนอยู่
“ข้าได้ยินเสียงด้านนอก นั้นคือเขาหรือเปล่า” จริงอยู่ในความมืดเงียบ กลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก “ท่านพ่อกำลังต่อสู้กับตัวอะไรบางอย่าง” ภูติน้อยนอนเคียงข้างตอบ
“ช่วยทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเลยนะจ้ะ” เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
เสียงรบกวนดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รอธดีนเอี้ยวตัวหลบออกจากวงแขนพี่สาวซึ่งนอนหลับสนิท ตามภูติน้อยแอบบินไปดูเอเดรียนประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น ทั้งสองจึงเข้าหลบอยู่หลังต้นไม้ซุ่มดูเหตุการณ์
“ภูติ เขาต่อสู้กับอะไร”
“ลูนาร์ เรียกข้าว่าลูนาร์ แปลว่าดวงจันทร์” เพราะสีผมและดวงตาของเธอเป็นที่มาของชื่อ
เอเดรียนปักดาบโลหิตเล่มใหม่แทงเข้าหัวใจร่างอสุรกาย มันติคอร์* มันส่งเสียงคำรามใกล้สิ้นใจเต็มที่ สัตว์ร้ายขนาดใหญ่เท่าที่เด็กทั้งสองเคยเห็นแต่ตัวเล็กกว่าโทรลล์ภูเขา ลำตัวขนมีสีน้ำตาลแดงหากเมื่อต้องแสงจันทร์กลายเป็นสีเปลวไฟสีแดงโชกโชน มันยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย เอาขาหน้าตะปบหลังผู้เอาชีวิตมัน ฝังเขี้ยวเล็บเป็นแผลเหวอะหวะ เอเดรียนพลั้งเผลอหลงคิดว่ามันตายไปแล้ว
“ข้างหลัง ท่านพ่อ” ลูนาร์ตะโกนบินออกมาจากที่หลบซ่อน
ส่วนปลายของหางเป็นข้อต่อเหมือนหางแมงป่อง ฟาดผ่านหน้าเขาอย่างเฉียดฉิวหากเขาไม่พลิกตัวหลบ กระโดดม้วนตีลังกาเลี่ยงไม่ให้สัมผัสเหล็กใน ส่วนปลายของหางพยายามหวดตีใส่ไม่ยั้ง ซึ่งมีพิษอานุภาพร้ายแรง เอเดรียนลืมไปว่าอสุรร้ายอย่างมันติคอร์มีขนาดของหัวใจใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า การแทงด้วยดาบไม่แตกต่างจากการแทงด้วยไม้จิ้มฟัน เว้นแต่ตัดขั้วหัวใจเท่านั้น มันลุกยืนเต็มความสูง มีรูที่หน้าอก
เขาต้องฆ่ามันก่อนจะไปตามล่ากานติศาและพวกเด็ก
ความมุ่นมั่นนี้เป็นแรงผลักดันให้เขาลุกฮือ อาศัยพลังพิเศษเร่งความเร็วการเคลื่อนไหว ตวัดดาบฟันหางแมงป่องจนขาด แล้วกระโดดตัวลอยถีบแผงอกมันก่อนพุ่งตัวไปที่ใบหน้า นัยน์ตาเหมือนงู เขาอาศัยจังหวะมันเปิดเปลือกตาสบตาพอดีจึงแทงดาบไปที่ดวงตาจนตาบอด มันร้องโหยหวนเจ็บปวดนอนกับพื้นสิ้นพยศในแทบทันที
เพื่อคนหนึ่ง ไม่มีคำว่าปราณีในหัวเขา เอเดรียนทลวงลำแขนเข้าไปรูตรงกลางอก คว้านหาท่อเส้นเลือดใหญ่ ตะเบ็งเสียงพร้อมออกแรงกระชากดึงมันออกมาทั้งพวง
ความเงียบกริบเข้าปกคลุมผืนป่า ได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจของพวกเด็กที่หลบซ่อน รอธดีนยืนตะลึงกับเหตุการณ์ ขาน้อยสั่นพับๆ ทำท่าจะวิ่งไปหาเขาแต่ต้องหยุดทันทีเพราะเขามือยกห้ามไว้
“อย่าเข้ามา กลับไปหาพี่สาวซะ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาหาเจ้าไม่เจอ” ใบหน้าเปื้อนเลือดสงบนิ่ง
เด็กชายวิ่งเร็วจากเขาไปแล้ว ร่างเอเดรียนทรุดล้มลงอย่างหมดแรง เนื่องจากใช้พลังงานเกินขีดจำกัด พยุงร่างตัวเองแทบไม่ไหว จึงไม่อยากให้เด็กหรือกานติศามาเห็นสภาพเขาอ่อนแอ ภูติน้อยบินเข้ามากอดซบอกร้องไห้
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป ท่านพ่อ ในที่สุดข้ามีชื่อแล้ว ลูนาร์”
ลูนาร์เห็นรอยแห่งความดีใจขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง เกิดความผิดปกติเอเดรียนรู้สึกคลื่นไส้จนอาเจียนออกมา คายน้ำสีดำผสมเลือดตรงหน้ายิ่งตอกย้ำความมั่นใจว่าร่างกายเขามีความผิดปกติ กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง บทลงโทษเป็นไปตามคำทำนาย
“ท่านพ่อ...”
เวลาเขาเหลือน้อยแค่ไหน...เพื่อปกป้องกานติศา
“ขอโทษฮะท่านพ่อ ข้าทำตามสัญญาให้ไว้กับท่านไม่ได้” เด็กชายไม่สามารถนำร่างท่านพ่อกลับบ้านได้ เมื่อเห็นกานติศามายืนเคียงข้าง จึงรั้งเธอไว้เป็นที่พึ่ง “ข้าจะกลับบ้าน ดูแลท่านแม่ พี่สาวไส้สัญญากับข้าไว้แล้วฮะ”
ที่นี่ผู้เงียบขรึมหันมาสบตาเธอด้วยความแปลกใจ กานติศาเองก็ลืมไปว่ายังไม่ได้บอกเขา ช่วงการเจ็บป่วยเธอมุ่งมั่นดูแลรักษาเขาจนหาจังหวะบอกไม่ได้ สะดุ้งเฮือกเมื่อเขาดึงตัวเธอทางด้านหลัง หลบรอธดีนไปคุยส่วนตัวโดยอาศัยพรีอุสเป็นฉากกำบัง เขาหยิบอุปกรณ์จากกระเป๋าสัมภาระยื่นออกมา มีดพับจะให้เธอเอาไปใช้ทำอะไร บอกให้ช่วยตัดเล็มหนวดเคราให้เขา
“ทำไมไม่บอกข้า ไปสัญญาอะไรกับเด็กอย่างนั้น”
“รอธดีนเหลือตัวคนเดียว แม่เด็กล้มป่วยจนเดินไม่ได้ พ่อก็มาตาย” เธออธิบายขณะที่ช่วยหั่นเคราออก เล็มตัดออกนิดหน่อย
“แถวนี้อันตราย เลยอยากไปส่งเด็กให้ถึงที่ปลอดภัย ใจคอคุณไม่สงสารเด็กบ้างรึไงคะ”
“แต่ความปลอดภัยของเจ้าต้องมาก่อน เด็กจะอยู่หรือตายไม่ใช่กงการของข้า ฉะนั้นไม่ว่าเด็กมาจากไหนข้าไม่มีวันย่างเท้าไปแน่” เอเดรียนหันข้างเพื่อให้มีดพับทำงานสะดวกขึ้น
“คิดทิ้งเด็กได้ลงคอ คุณใจร้ายมาก” เขาอยากเสริมอีกว่าเขาเคยไปแสดงทีท่าเป็นคนใจดีตั้งแต่เมื่อไร ผ้าคลุม ชุดเกราะ และเสื้อผ้าเขาล้วนเป็นสีดำ สีที่เขาชอบที่สุด หากแหวกอกให้ดูจะพบเป็นสีดำอีกเช่นกัน
เมื่อลดความป่าเถื่อนลง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสะอาด ไรหนวดเคราถูกตัดแต่งเป็นระเบียบ ขับใบหน้าคมกับนัยน์ตาสีเขียวชวนฝันดูหล่อเหลากว่าเดิม หากไม่ใจแข็งพอคงอ่อนระทวยลงไปกับพื้นแล้ว แต่ปัญหาคือความคิดไม่ตรงกับเธอนี่สิ “ไปบอกเด็ก ให้เปลี่ยนความคิดนั้นซะ”
“ไม่ค่ะ กานตัดสินใจแล้วว่าจะไปส่งรอธดีน ถ้าคุณไม่เห็นด้วย เราไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกันอีกค่ะ” เธอแสดงจุดยืนชัดเจนพร้อมคืนมีดพับคืน เอเดรียนมองกิริยานี้เป็นการ ‘ยัด’ ใส่มือมากกว่า อยู่ดี ๆนางจะมาตัดเยื่อใยกับเขาไม่ได้
“เราความคิดไม่ตรงกัน จะทนอยู่ด้วยกันไปทำไมคะ ไม่สู้แยกทางไปตามตัวใครตัวมันไม่ดีกว่าเหรอคะ คุณจะได้กลับไปดูแลลูกสาวเต็มที่”
“แล้วเจ้ากับเจ้าเด็กนั้น จะอยู่รอดจากอันตรายของป่านี้ได้ยังไง หากไม่มีข้า”
“คุณเพิ่งพูดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กไม่ใช่เรื่องของคุณ จะสนใจกันอีกทำไม” กานติศาทิ้งประโยคท้ายเหมือนตบหน้าเขาดังฉาด หนำซ้ำภูติน้อยบินเข้ามากวนใจเขาเพิ่ม “ท่านพ่อ เด็กบ้านั้นร้องไห้กันใหญ่แล้ว เราได้ยินกันหมด พวกท่านคุยกันเสียงดังเกินไป...”
“หุบปาก บอกกี่ครั้ง ข้าไม่ใช่พ่อ น่าจะทุบเจ้าตั้งแต่เป็นไข่ให้แตก หยุดเรียกข้าอย่างนั้นเสียที” เผลอหลุดคำผรุสวาทได้ยินชัดกับหู น้ำตาภูติน้อยไหลพรูออกมา
“ท่านพะ...” เกือบหลุดคำต้องห้าม เด็กสาวก็ปิดปากแทบทันทีบินหนีจากไปกับความเสียใจ
“เอเดรียน ทำไมคุณกลายเป็นคนแบบนี้...สามปีผ่านไปคุณไม่เปลี่ยนไปสักนิด”
กานติศาตามหาภูติน้อยจนเจอ นั่งซ่อนตัวร้องไห้อยู่หลังต้นไม้ นิสัยเอาแต่ใจและหวงเอเดรียนยิ่งกว่าสิ่งของในตอนแรกมลายหายไป สาวน้อยหลั่งน้ำตาออกมาเป็นกะละมัง “ท่านพ่อเกลียดข้าแล้ว เพราะข้าคงน่ารำคาญมาก”
“เพราะเธอเอาแต่ใจ เอเดรียนไม่ได้เกลียดอย่างที่เธอคิดหรอก”
“งั้นทำไมท่านพ่อไม่มอบชื่อให้ข้า ทุกคนมีชื่อ ม้าของท่านพ่อยังชื่อพรีอุสเลย”
“เป็นเพราะเขาเหนื่อยมากเลยอารมณ์ไม่ค่อยดี จริงสิ เขายังบอกฉันตั้งชื่อให้เธอ” ที่นี่ดวงตากลมโตสีทองขยายโตมองกานติศาอย่างดีใจ จะได้มีชื่อเหมือนคนอื่นกับเขา “จริงเหรอ พี่สาวจะตั้งชื่อให้ข้าแล้ว”
“ใช่จ้ะ”
เขาทนดูนางเข้าไปสมทบพูดคุยหัวเราะกับรอธดีนและสาวภูติน้อย ทิ้งเขายืนหัวโด่คนเดียวกับม้าพยศหนึ่งตัว ทนความเดี่ยวดายมาสามปีเพื่อตามหา นางไม่ดึงเขาเข้าไปมีส่วนรวมกับเสียงหัวเราะ ทิ้งขวางเขาเหมือนของใช้แล้วทิ้ง
ชื่อเมืองหนึ่งออกจากปากเด็กเข้ามาในโสตประสาท ทำเขาชะงักงัน ชาทั้งตัวไม่พอเกือบหน้ามืดแทบเป็นลมเสียตรงนั้น กานติศาสังเกตทีท่าเปลี่ยนไปจึงถาม
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บแผลหรือคะ”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าเจ้ามาจากไหนนะ” เขาไม่ตอบกานติศา หันมาถามรอธดีนโดยตรงแทน
รอธดีนหน้าเหวอ ไม่รู้ตนทำสิ่งใดผิดปกติถึงโดนเอเดรียนดุ ถูกถามเสียงเข้ม เด็กเหลือบมองกานติศาอย่างเกรงกลัวที่จะตอบ “บ้านข้าอยู่ วิสตาร์เรีย”
“วิสตาร์เรีย” เขาทวนซ้ำ ฝันร้ายกลายเป็นจริง ความทรงจำที่เลวร้ายกลับมาเดินภาพซ้ำ
“เอเดรียน เมืองนี้มีอะไรหรือเปล่า” ตั้งแต่ชื่อ วิสตาร์เรีย ออกมาจากปากเด็ก เธอยังเอะใจตามว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับต้นวิสทีเรียสีม่วง รวมถึงรอยแผลเป็นที่หลังหู จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่นอน ที่นั้นอาจจะมีคำตอบที่เธอตามหาอยู่ก็ได้
“ไม่ได้ ข้าปล่อยให้เจ้าไปที่นั้นไม่ได้” เอเดรียนนึกอยากมัดตัวเธอไว้แล้วขังไว้ในที่ไม่มีใครหาเจอ ต่อให้เขาแขนขาขาดก็ไม่มีวันปล่อยกานติศาเฉียดเข้าใกล้ที่นั้น จึงพุ่งตัวเข้าบีบหัวไหล่ทั้งสองข้าง แม้แต่ลูกสาวเขาไม่เคยเห็นทีท่าตื่นตระหนกของท่านพ่อมาก่อน
“เจ้าล้มเลิกความคิดเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นข้า...ต้องฆ่ารอธดีน”
เพียะ ใบหน้าหล่อหันไปตามแรงตบ ถูกตัดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองขาดสะบั้นเพราะความคิดชั่ววูบ เอเดรียนเพิ่งเคยเห็นกานติศาโกรธเป็นครั้งแรก แก้มข้างถูกตบร้อนเหมือนโดนไฟจี๋ “คุณรู้ตัวมั้ยว่าเพิ่งพูดอะไรออกมา”
“กานติศา”
“รอธดีนเป็นแค่เด็ก คุณพูดจาชั่วร้ายออกมาได้ไง อย่างคุณมันดีแต่ทำร้าย ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา เห็นชีวิตเป็นของไม่มีค่า ขอโทษนะที่ฉันเข้าใจคุณผิดมาตลอด” เสียดายเวลาทุ่มเทกับเขาไปทั้งหมด เธอไม่คิดว่าเขามีความคิดชั่วร้ายจริง ๆ สาบานได้เธอคิดว่าเขาเป็นคนดีมาตลอด
แม้แต่ลูกสาวเขายังไม่ออกมาปกป้อง หลังจากได้ฟังสิ่งที่เขาพูด
“ฟังก่อนสิ...ข้าแค่” พยายามดึงเธอกลับมาฟังเท่าไร เธอผู้นี้ไม่แม้แต่หันมาสบตาเขาอีกเลย
กานติศาโกรธหน้าดำหน้าแดงฉุดมือรอธดีนไว้ใกล้ตัว กลัวเอเดรียนมุ่งเข้ามาทำร้ายฆ่าฟัน
“ที่ผ่านมาฉันอโหสิกรรมสิ่งที่คุณทำกับพวกเรามาทั้งหมด สิ้นสุดกันแค่นี้เราอย่ามาเจอกันอีกเลย”
รอธดีนก้าวเดินเร็วตามพี่สาวไม่ทัน กานติศายังคงไม่พูดไม่จา แต่ลงมาช่วยประคองเมื่อเด็กหกล้มทุกครั้ง สายตาเด็กสะดุดตาอีกคนหนึ่งซึ่งขี่ม้าตามมาอยู่ไม่ห่าง“พี่สาวฮะ เขายังตามเราอยู่”
“ไม่ต้องไปสนใจ”
“แต่ว่า...”
“ไปเถอะ รอธดีน” ดูท่าพี่สาวไม่อยากจะพูด ดึงมือรอธดีนให้เดินตามไม่หยุดพัก ราวกับวิ่งหนีจากชายชุดดำไปให้ไกลที่สุด พวกเธอเดินทางมาทั้งวัน แม้แต่ภูติน้อยบินตามมาหมดเรี่ยวแรงลง ลากความเหนื่อยล้าเข้าที่พัก กองไฟที่เธอจุดขึ้นมาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก รอธดีนบอกใช้เวลาเป็นวันๆเพื่อเดินทางกลับบ้าน ยิ่งห่างจากบ้านออกไปเท่าไรยิ่งมีพบป่าไม้อุดมสมบูรณ์ดีต่อการตัดไม้เพื่อนำไปขาย ยากจะคาดเดาว่าวิสตาร์เรียเป็นเมืองแบบไหน รอธดีนนอนอยู่ภายใต้วงแขนพี่สาว กักตัวเด็กไว้เกรงว่าจะถูกแย่งชิงไปจากน้ำมือชายใจโฉด
“พี่สาวฮะ”
“อะไรจ้ะ” กานติศาตอบรับทั้งที่ปิดตานอนอยู่
“ข้าได้ยินเสียงด้านนอก นั้นคือเขาหรือเปล่า” จริงอยู่ในความมืดเงียบ กลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอก “ท่านพ่อกำลังต่อสู้กับตัวอะไรบางอย่าง” ภูติน้อยนอนเคียงข้างตอบ
“ช่วยทำเป็นไม่ได้ยินอะไรเลยนะจ้ะ” เรื่องของเขาไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ
เสียงรบกวนดังขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รอธดีนเอี้ยวตัวหลบออกจากวงแขนพี่สาวซึ่งนอนหลับสนิท ตามภูติน้อยแอบบินไปดูเอเดรียนประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น ทั้งสองจึงเข้าหลบอยู่หลังต้นไม้ซุ่มดูเหตุการณ์
“ภูติ เขาต่อสู้กับอะไร”
“ลูนาร์ เรียกข้าว่าลูนาร์ แปลว่าดวงจันทร์” เพราะสีผมและดวงตาของเธอเป็นที่มาของชื่อ
เอเดรียนปักดาบโลหิตเล่มใหม่แทงเข้าหัวใจร่างอสุรกาย มันติคอร์* มันส่งเสียงคำรามใกล้สิ้นใจเต็มที่ สัตว์ร้ายขนาดใหญ่เท่าที่เด็กทั้งสองเคยเห็นแต่ตัวเล็กกว่าโทรลล์ภูเขา ลำตัวขนมีสีน้ำตาลแดงหากเมื่อต้องแสงจันทร์กลายเป็นสีเปลวไฟสีแดงโชกโชน มันยังเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย เอาขาหน้าตะปบหลังผู้เอาชีวิตมัน ฝังเขี้ยวเล็บเป็นแผลเหวอะหวะ เอเดรียนพลั้งเผลอหลงคิดว่ามันตายไปแล้ว
“ข้างหลัง ท่านพ่อ” ลูนาร์ตะโกนบินออกมาจากที่หลบซ่อน
ส่วนปลายของหางเป็นข้อต่อเหมือนหางแมงป่อง ฟาดผ่านหน้าเขาอย่างเฉียดฉิวหากเขาไม่พลิกตัวหลบ กระโดดม้วนตีลังกาเลี่ยงไม่ให้สัมผัสเหล็กใน ส่วนปลายของหางพยายามหวดตีใส่ไม่ยั้ง ซึ่งมีพิษอานุภาพร้ายแรง เอเดรียนลืมไปว่าอสุรร้ายอย่างมันติคอร์มีขนาดของหัวใจใหญ่กว่ามนุษย์หลายเท่า การแทงด้วยดาบไม่แตกต่างจากการแทงด้วยไม้จิ้มฟัน เว้นแต่ตัดขั้วหัวใจเท่านั้น มันลุกยืนเต็มความสูง มีรูที่หน้าอก
เขาต้องฆ่ามันก่อนจะไปตามล่ากานติศาและพวกเด็ก
ความมุ่นมั่นนี้เป็นแรงผลักดันให้เขาลุกฮือ อาศัยพลังพิเศษเร่งความเร็วการเคลื่อนไหว ตวัดดาบฟันหางแมงป่องจนขาด แล้วกระโดดตัวลอยถีบแผงอกมันก่อนพุ่งตัวไปที่ใบหน้า นัยน์ตาเหมือนงู เขาอาศัยจังหวะมันเปิดเปลือกตาสบตาพอดีจึงแทงดาบไปที่ดวงตาจนตาบอด มันร้องโหยหวนเจ็บปวดนอนกับพื้นสิ้นพยศในแทบทันที
เพื่อคนหนึ่ง ไม่มีคำว่าปราณีในหัวเขา เอเดรียนทลวงลำแขนเข้าไปรูตรงกลางอก คว้านหาท่อเส้นเลือดใหญ่ ตะเบ็งเสียงพร้อมออกแรงกระชากดึงมันออกมาทั้งพวง
ความเงียบกริบเข้าปกคลุมผืนป่า ได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจของพวกเด็กที่หลบซ่อน รอธดีนยืนตะลึงกับเหตุการณ์ ขาน้อยสั่นพับๆ ทำท่าจะวิ่งไปหาเขาแต่ต้องหยุดทันทีเพราะเขามือยกห้ามไว้
“อย่าเข้ามา กลับไปหาพี่สาวซะ เดี๋ยวตื่นขึ้นมาหาเจ้าไม่เจอ” ใบหน้าเปื้อนเลือดสงบนิ่ง
เด็กชายวิ่งเร็วจากเขาไปแล้ว ร่างเอเดรียนทรุดล้มลงอย่างหมดแรง เนื่องจากใช้พลังงานเกินขีดจำกัด พยุงร่างตัวเองแทบไม่ไหว จึงไม่อยากให้เด็กหรือกานติศามาเห็นสภาพเขาอ่อนแอ ภูติน้อยบินเข้ามากอดซบอกร้องไห้
“อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป ท่านพ่อ ในที่สุดข้ามีชื่อแล้ว ลูนาร์”
ลูนาร์เห็นรอยแห่งความดีใจขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง เกิดความผิดปกติเอเดรียนรู้สึกคลื่นไส้จนอาเจียนออกมา คายน้ำสีดำผสมเลือดตรงหน้ายิ่งตอกย้ำความมั่นใจว่าร่างกายเขามีความผิดปกติ กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง บทลงโทษเป็นไปตามคำทำนาย
“ท่านพ่อ...”
เวลาเขาเหลือน้อยแค่ไหน...เพื่อปกป้องกานติศา
KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2561, 18:24:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2561, 18:24:45 น.
จำนวนการเข้าชม : 656
<< บทที่ 9 (1) สามปีที่รอคอย | บทที่ 10 (1) ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด >> |