มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 10 (1) ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด

10 ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด

คราวนี้เธอตื่นขึ้นมาเจอกับความพยายามที่ล้มเหลว เมื่อพวกเธอทั้งหมดมาถึงทางตัน รอธดีนสบตาพี่สาวว่าเอาอย่างไรต่อดี เบื้องหน้าพวกเขาเป็นหุบเหวลึก กลุ่มเมฆลอยผ่านบอกความสูงตำแหน่งที่ยืน กานติศาหน้าเจื่อนบ่งบอกถึงความไม่สบายใจ ซึ่งก้าวถอยรูด

“รอธดีน ช่วยทบทวนความจำอีกที แน่ใจนะว่าเรามาถูกทาง” หญิงสาวย่อตัวมาอยู่ระดับเดียวกัน ทั้งคู่ไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศใด ๆ จึงจำต้องอาศัยความทรงจำของเด็กเป็นตัวนำทางสู่ทางกลับบ้าน รอธดีนนึกทวนแล้วทวนอีกตอบอย่างไม่มั่นใจเท่าไร

“ท่านพ่อมาทางนี้จริง ๆ ตรงนั้นจะมีสะพานเชือกใหญ่ ข้ามไปจะเจอทุ่งกุหลาบก่อนถึงวิสตาร์เรียจริง ๆ ฮะ” นิ้วป้อมชี้ข้ามไปทางหุบเขาอีกฝั่งหนึ่ง ไร้ร่องรอยของสะพานเชือก ซึ่งเธอดูแล้วดูอีกไม่น่าใช่สถานที่เดียวกัน

“ข้าจำได้ว่าตอนเดินสะพานเชือก มีรูปปั้นหินอ่อนตรงนั้นฮะ” ชี้นิ้วไปทางพื้นที่ว่างเปล่าปราศจากเศษหินอ่อน ชิ้นส่วนของรูปปั้น รอธดีนนิ่วหน้าแปลกใจ “อ้าว! รูปปั้นก็ไม่มี”

“สงสัยข้าหลงทางแล้วฮะ”

“รอธดีน” กานติศาเริ่มไม่มั่นใจกับความทรงจำเด็กชายวัยเก้าขวบ “ไม่ได้กลับบ้านมานานแค่ไหนแล้ว”

“ตั้งแต่ข้าใช้ขวานเป็นฮะ”

“เด็กบ้า ทำไมไม่บอกพวกเราตั้งแต่แรก” ลูนาร์ต่อว่ารอธดีนโดยลืมไปว่าตนอาวุโสน้อยกว่า

นั้นสิว่าทำไมเธอถึงไม่แปลกใจกับคำตอบจากปากเด็ก รอธดีนไม่ได้กลับบ้านนานความทรงจำย่อมมีการบิดเบือนไปบ้าง

“พี่สาว ข้าว่าเราต้องพึ่งเขาแล้วฮะ” เด็กบุ้ยปากไปข้างหลังให้เธอหันมองตาม ชายชุดดำถูกลดตำแหน่งเป็นเพียงผู้ติดตามขี่ม้าสะกดรอยตามพวกเธอมา เขาเผยหน้าคมใต้ผ้าคลุมกระโดดลงจากหลังม้า

“ท่านเอเดรียนบอกว่าเขารู้จักทางไปวิสตาร์เรียดี ทำไมไม่ให้เขานำทางไปฮะ”

“พี่บอกแล้วไง ว่าอย่าไปคุยกับเขา” เธอเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตงิดๆ ที่เด็กในความดูแลเปลี่ยนข้าง เอเดรียนเท้าสะเอวดูพวกเธออย่างไม่สะทกสะท้านราวกับไม่เคยก่ออะไรผิดไว้ สาวหมั่นไส้กับทีท่าหยิ่งยโส แค่นั้นไม่พอเขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นการทักทายครั้งแรกของวัน เธออาจจะมีความสามารถพิเศษพิลึก แปลสายตาคู่นั้นออกอย่างง่ายดาย

‘เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป กระโดดลงเหวหรือยอมให้ข้านำทาง เมื่อไรเลิกวิ่งหนีจากข้า’

“ให้ท่านพ่อไปกับพวกเราเถอะ ท่านพ่อเขาต้องต่อสู้เพื่อปกป้องพวกเราหลายคืน ข้าทนดูเขาบาดเจ็บถูกทอดทิ้งไม่ได้แล้ว...” ลูนาร์สาธยายให้ฟัง เนื่องจากต้องทนดูการต่อสู้ไม่พึ่งประสงค์และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร ต่อให้ถูกดุด่าต่อว่าก็ตาม สายตาลูกสาวอ้อนวอนแทนท่านพ่อ ทั้งที่ไม่ใช่ความต้องการของเอเดรียน

“แต่เขาจะฆ่ารอธดีน เขาเป็นคนไร้หัวใจ”

“ท่านพ่อไม่ใช่คนแบบนั้น คนไร้หัวใจคือพี่สาวต่างหาก ถ้าเห็นภาพที่ข้าทนดูเขาทุกคืน พี่สาวจะไม่มีวันเอ่ยคำนั้นออกมาได้หรอกค่ะ”

ทำไมคนโดนต่อว่ากลับกลายเป็นเธอ สาวสวมกอดรอธดีนเกรงกลัวว่าจะถูกแย่งชิงไป จนเด็กชายต้องให้กำลังใจและช่วยพูดให้อีกแรง “เอเดรียนไม่ทำอะไรข้าหรอก ข้าอยากกลับบ้านเร็วที่สุด พี่สาวช่วยข้าได้มั้ยฮะ”

“ได้ยินรอธดีนพูดแล้ว เราจำเป็นต้องพึ่งท่านพ่อ”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ในหัวกานติศาตีมึนงงคิดอะไรไม่ออก ส่วนเขากลับทำลายความเงียบ

“รอธดีน มานี่” พร้อมกวักมือเรียกเด็กชาย รอธดีนตัวปลิวเบนเข็มไปหาอีกฝ่ายหนึ่งทันที

“อย่าไปนะ"

“พี่สาว ถึงข้าเป็นเด็ก แต่รู้สึกอึดอัดเป็นตัวกลางระหว่างพวกท่าน ท่านพ่อเคยบอกว่าวิธีแก้ปัญหาแบบผู้ใหญ่ ให้นั่งลงจับเข่าคุยกัน ไม่ใช้วิธีกระเง้ากระงอดเหมือนท่านแม่ เลยโดนท่านพ่อดุทำโทษประจำ”

เหมือนถูกไม้ล่องหนตีแสกหน้าเต็มเปา กานติศาส่งสายตาดุไปลูนาร์ จึงถูกภูติน้อยก็เบ้ปากใส่ไม่ยอมแพ้

“ข้ามีเรื่องถามเจ้า” เอเดรียนย่อตัวถามด้วยเสียงเบาเป็นเสียงกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน “พ่อของเจ้า กับคนอื่นเริ่มต้นล่าสัตว์มานานแล้วหรือยัง บอกจำนวนให้ข้า”

“ท่านรู้ได้ไงว่ามีหลายคน” เด็กตาโตเป็นคำตอบมั่นใจในสิ่งที่เขาคิดเป็นความจริง

“ตอบข้ามา”

รอธดีนนับนิ้วอย่างใจเย็นก่อนตอบ “หนึ่งปีเกือบแปดเดือน ออกเดินทางเป็นขบวนหลายคนมากฮะ”

เอเดรียนขบกรามแน่น นัยน์ตาเปลี่ยนสีเป็นสีเข้มขึ้น ยับยั้งใจไม่ให้ระเบิดอารมณ์ยิ่งเฉพาะต่อหน้าเด็กที่ไม่รู้ประสีประสา ที่ไม่บอกตั้งแต่แรก เหตุการณ์วิกฤติมาถึงเร็วกว่าที่คิด เกี่ยวข้องความปลอดภัยของกานติศา

ถ้าคาดเดาไม่ผิด วิสตาร์เรียตัดสินส่งคนจำนวนมากเพื่อทำการค้นหาเครื่องบูชายัญด้วยตัวเอง นั้นทำให้ตลอดเวลาสามปีเขาต้องเริ่มวางแผน สร้างกำดัก ลบร่องรอยของกานติศา และปลอมแปลงสัญญาณขึ้นมาใหม่ไม่ให้ทุกคนเข้าใกล้เป้าหมายที่ตามหาอยู่ ชี้ชัดว่าผืนป่าที่เขาอยู่เต็มไปด้วยผู้ชำนาญในการแกะร่องรอย นายพราน รวมถึงนักฆ่า นอกเขตวิสตาร์เรียไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยสำหรับการติศาอีกต่อไป

“รอธดีน สัญญากับข้าอย่างหนึ่งได้มั้ย แล้วข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”

“ได้ฮะ” รอธดีนให้คำมั่น

“เรื่องล่าสัตว์ เครื่องบูชายัญ อย่าให้พี่สาวรับรู้และได้ยินอีก จนกว่าข้าพาพวกเจ้าไปยังที่ปลอดภัย” อย่างน้อยสักสถานที่แห่งหนึ่ง จนกว่าบทลงโทษมาพรากเอาชีวิต

“ฉะนั้นเพื่อชีวิตเจ้า จงรับปากสัญญากับข้า” หากเด็กคนนี้เล่นตุกติกไม่ทำตามสัญญา เขาคงไม่เหลือวิธีใดอีก นอกจากใช้ความรุนแรงตัดลมหายใจเด็กเสีย และเขาจะถูกกานติศาทั้งเกลียดชังทั้งสาปแช่งไปตลอดกาล

รอธดีนให้คำมั่นสัญญา ถูกท่านเอเดรียนส่งตัวขึ้นไปขี่บนหลังพรีอุส ยังโบกมือไปทางพี่สาวอีกด้วย สาวถูกทิ้งไว้ข้างหลังก้าวถอยหลัง ตามจังหวะเอเดรียนาก้าวเข้ามาหาเช่นกัน จนไม่เหลือพื้นที่ให้ถอยหลังอีก เสียวสัน
หลังวูบเขาก้าวมาถึงแล้วคว้าแขนเธอไว้ กานติศาสะบัดแขนออกเหมือนโดนน้ำลวก

“อย่ามาจับตัวฉันนะ คุณรังแกพวกเรา สะพานเชือกนั้นฝีมือคุณใช่มั้ย คุณตัดเชือกสะพานขาด”

เอเดรียนถูกสบประมาท คำกล่าวลวงออกมาจากปากสีสวยที่เขามั่นจดจ้องอยู่ทุกคืน เผยมือออกทั้งสองข้างประกาศความบริสุทธิ์ใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธมาก แต่อย่าปล่อยความโกรธทำเจ้าเป็นคนไร้เหตุผล”

“ข้าติดตามพวกเจ้ามาตลอด ทั้งวันทั้งคืนไม่คลาดสายตา เจ้าก็รู้ดีตลอดเวลา แต่ทำเป็นไม่เห็น ไม่สนใจข้า น่าจะเข้าใจดีว่าข้าไม่มีเวลาว่างมาทำเรื่องไร้สาระ ตามที่เจ้ากล่าวหา เด็กก็บอกเองว่าจำทางผิด”

“ใครจะไปรู้ ว่าคุณทำชั่วอะไรได้บ้าง แม้กระทั่งคิดฆ่าเด็ก”

ดูท่าการทะเลาะวิวาทระหว่างเขากับกานติศาจะยืดยาวออกไปอีกนาน และใจเขาร้อนรนไม่อาจเสียเวลาอีก ร่องรอยมนุษย์จำนวนหลายร้อยคนทิ้งไว้ในป่าที่เขาค้นพบ ถูกประกาศศักดารวมพลังใจร่วมตัวกัน ช่วยออกตามล่าสัตว์จริงจัง เป็นความผิดเขาคนเดียวที่ละเลยหน้าที่ นั้นหมายความว่าผืนป่าแห่งนี้ไม่ปลอดภัยสำหรับหญิงสาวกำลังโกรธเกรี้ยวต่อหน้าเขา

“ข้าขอโทษ...เป็นความผิดของข้าเอง”

“ถึงท่านพูดอะไรกับรอธดีนไว้ แต่ฉันไม่มีวันหลงกลท่าน” พูดไปกับการกระทืบเท้าเพิ่มความหนักแน่น ต่อให้ภูเขาน้ำแข็งทั้งลูกละลายเป็นแม่น้ำ และเธอไม่มีวันโอนอ่อนตาม

“ท่านจะทำอะไร” เธอตกใจกับการกระทำชายโฉดตรงหน้ายิ่งกว่า

“คุกเข่าไง วิธีงอนง้อเจ้า” เขาเพียงทำตามคำแนะนำจากเด็กชายและภูติ

“ข้าผิดเอง พูดไปโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี เพราะห่วงความปลอดภัยของเจ้ามากที่สุด”

“ในเมื่อเจ้าเป็นห่วงรอธดีน ความคิดเจ้าก็สำคัญ ข้าก็ไม่คัดค้านอะไรอีก” หากนางยังไม่เชื่อใจ เขายินดีกรีดเลือดสาบานตนยังได้ “ข้าสัญญาว่าจะไม่แตะต้องเด็ก ได้โปรดไปกับข้า ให้ข้านำทางพวกเจ้า เส้นทางสู่วิสตาร์เรียทั้งน่ากลัวและอันตราย”

เอเดรียนพูดด้วยหน้าตาจริงจัง กล่าวชัดถ้อยชัดคำ เขาไม่ได้ล้อเล่น ลงทุนยอมลดราวาศอกคุกเข่าเพื่อขอโทษ กานติศาเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นที่หัวตา วางตัวไม่ถูก เขาขอโทษและยอมรับความผิด ไม่มีประโยชน์ที่เธอต้องโกรธเขาอีก

“รอธดีนเลือกไว้ใจท่าน งั้นฉันไม่มีเหตุผลต้องผลักไสคุณอีก”

ถึงเธอตัดสินใจยอมไปกับเขา ถ้าถามถึงการไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แววตามองเขาไม่เหมือนเดิม เอเดรียนย่อมรู้ดีเพราะเห็นเงาสะท้อนสีดำของตัวเองในดวงตากานติศา ซึ่งมีแต่ความหวาดระแวง ผวากลัวเล็กน้อย มือดึงนางเข้ามาอยู่ในวงแขน ลมหายใจเป่ารดแก้มจนหันหน้าหนี “ข้ายังพูดไม่จบ”

“ระหว่างเรายังมีเรื่องอะไรคุยกันอีกคะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” ยิ่งพูดมากขึ้นเท่าไร ลำแขนแข็งแรงยิ่งกอดรัดแน่นกว่าเดิม พวงแก้มกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ เมื่อร่างเธอแนบไปกับกล้ามเนื้อทุกส่วนภายใต้ชุดเกราะ ความประหม่าเล่นงานเข้านักจนอึดอัด “หายใจไม่ออก ว้าย!”

เอเดรียนอุ้มกานติศาตัวลอยมุ่งไปที่หลังพรีอุส ซึ่งมีรอธดีนขี่ม้ารออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว สีหน้าบูดบึ้งเหมือนโทษพวกเขาที่ปล่อยให้รอนาน

“เจ้าตบหน้าข้าวันก่อน ข้าถือว่าปล่อยผ่านเพราะมีส่วนผิด ถ้ามีครั้งต่อไป...”

“ถ้าฉันตบหน้าท่านอีก ท่านจะลงโทษฉันใช่มั้ย” สาวช่วยต่อประโยคให้เสร็จสรรพ เขานึกยิ้มชอบใจ นางช่างรู้ใจเขาเสียจริง จะเป็นการลงทัณฑ์ที่ทำให้นางไม่มีวันลืมเขาอีกตลอดชีวิต

เอเดรียนกระโดดขึ้นไปบนหลังพรีอุสซึ่งมีรอธดีนนั่งหน้าสุด เขาดึงมือกานติศาจากด้านหลังมาเกาะเอวเขา เธอสัมผัสความร้อนแผ่ออกมา

“กอดข้าแน่นๆ อย่ารีบตกไปซะก่อน”

รองเท้าบูททำจากเหล็กเตะเข้าสีข้างจนพรีอุส ตื่นตัวชูขาหน้าขึ้น ก่อนกระโจนพุ่งทะยานด้วยความคึกคะนอง กานติศาเกือบเสียหลักตกม้า ดีที่ได้รับการตักเตือนไว้ก่อน เพราะมือเธอทั้งกอดทั้งขยุ้มผ้าคลุมเขาติดเป็นปลิง ภาพวิวด้านข้างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วปานนั่งรถซิ่งไม่มีวันขับได้ในกรุงเทพ สังเกตว่าพรีอุสเป็นม้าที่มีรูปร่างขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์ปกติ สามารถแบกรับน้ำหนักสามคนได้สบายมาก ไม่เว้นถุงสัมภาระติดตั้งรอบๆ

กานติศาสังเกตรูปปั้นหินอ่อนรูปทรงประหลาดตามรอธดีนกล่าวถึง หลังจากพรีอุสวิ่งข้ามสะพานเชือกอย่างคล่องแคล่ว เอเดรียนผู้เป็นนายควบคุมสายบังเหียนอย่างชำนาญพาพวกเขาวิ่งไปตามเส้นทางคดเคี้ยว เลี้ยวไปเลี้ยวมาตามเส้นทางโค้ง เส้นทางแคบและอันตรายยิ่ง อย่างตอนควบคุมพรีอุสค่อยๆ เดินข้ามท่อนซุงไม้เหนือสายน้ำอันเชี่ยวกราก เธอกับรอธดีนลุ้นแทบปวดฉี่กว่ามันเดินข้ามมาได้อย่างน่าอัศจรรย์



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2561, 22:48:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2561, 22:49:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 592





<< บทที่ 9 (2) สามปีที่รอคอย   บทที่ 10 (2) ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account