มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 10 (2) ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด

พวกเธอแยกตัวไปแช่น้ำทำความสะอาดร่างกาย หลังจากขี่ม้าเดินทางตลอดจนท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ทำเอาปวดตุบที่สะโพกและเอว เนื้อตัวเหนียวเหนอะเต็มไปด้วยขี้ไคล้ กานติศาขัดถูชำระร่างกายอย่างเมามัน พวกผู้ชายลงสระน้ำขนาดใหญ่กว่าอยู่อีกด้านหนึ่ง โดยมีต้นไม้สูงและหนาเรียงแถวเป็นฉากกำบัง หูเธอได้ยินเสียงหัวเราะเริงร่าจากเด็กชายมีความสุขที่ได้เล่นน้ำ พวกเขาคงสนุกสนานขณะที่เธอแช่น้ำอย่างโดดเดี่ยว อดเดาะลิ้นหมั่นไส้ไม่ได้ ดีที่บ่อน้ำและน้ำตกเย็นช่วยผ่อนคลาย ปลดความหงุดหงิดลงไปบ้าง

ภูติน้อยอย่างลูนาร์ สามารถเรืองแสงเพื่อทำความสะอาดร่างกายได้ ผลัดปีกทีเดียวขับไล่ความสกปรกได้แล้วงอกปีกขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องอาศัยน้ำ เจ้าตัวบินไปเล่นกับลูกนกกับลูกกระรอกรูปร่างประหลาด

กานติศาหลับตาพริ้มดื่มดำไปกับความงามธรรมชาติหาพบยากในโลกจริง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ทำจากแก้วถูกเจียระไนทั้งต้น ดอกไม้ชูดอกสีสายรุ้ง หากมีกล้องถ่ายรูปในมือคงใช้เวลาเก็บภาพทั้งวันคงไม่พอ สาวลุกจากสระน้ำไปล้างผมซึ่งถูกหมักด้วยสมุนไพรกลิ่นหอม สะดุดตาพืชสีสดพรมขึ้นรอบต้นไม้อยู่ไม่ไกลจากเธอนัก สาวก้มลงสำรวจดูพืชสมุนไพรชนิดใหม่ ลักษณะเหมือนว่านหางจระเข้สีแดงแต้มสีม่วง มีจุดสีเหลือง ถูกตกแต่งราวกับผลงานศิลปะ

“อย่าจับ” มือปริศนาโผล่เข้ามาฉุดมือเธอที่ยื่นออกมาไม่ให้สัมผัส กานติศาอ้าปากหวอ ตาโตเท่าไข่ห่าน แขกไม่ได้รับเชิญพรวดเข้ามาในเวลาอันเป็นส่วนตัว

“ข้าเคยสอนเจ้าว่าไง ห้ามสัมผัสสมุนไพรสีสด เจ้าคงไม่รีบอยากตายก่อนถึงวิสตาร์เรีย” ชายหนุ่มสภาพผมเปียกน้ำหมาด กลิ่นหอมสดชื่นแผ่ออกมาชวนน่าหวั่นไหว เขาทำราวกับอยู่ในสถานการณ์ปกติ “ข้าละสายตาเจ้าไม่ได้เลยใช่มั้ย กานติศา”

ส่วนเธอเกือบสติหลุดออกจากร่าง ก้มมองตัวเองในสภาพกึ่งเปลือย เพิ่งลุกจากสระน้ำห่อผ้าผืนเดียว รีบตะปบผ้าเข้าหากันก่อนมันจะหลุด เธอไม่อยากเสี่ยงตบหน้าหล่อเหลาอีก จึงเอ่ยปากถามใจเย็นทั้งที่ตัวร้อนรุ่ม “เข้ามาได้ไง”

“อย่าบอกนะว่า...” นึกว่าเขาลงไปอาบน้ำกับรอธดีนซะอีก เธอสงสัยว่าเขามาอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว

“ข้าคิดว่าเจ้ารู้แต่ต้น ตามคำสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้ว่าจะปกป้องเจ้า นั้นหมายความว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าคลาดสายตา”

หญิงสาวทรุดตัวนั่งกับพื้น เหมือนถูกตีหัวจนมึนงง นี่เธอเปลือยกายต่อหน้าเขาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เจ็บใจที่เธอไม่สามารถลงมือลงโทษเขาอะไรได้เลย แม้แต่รอยขีดข่วน ยังเกรงกลัวรายละเอียดบทลงโทษที่เคยขู่ไว้

“เคยมีใครสอนเรื่องมารยาทบ้างไหม การวางตัวต่อหน้าสตรี ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรทำ ยิ่งเรื่องผู้หญิงกำลังอาบน้ำ มันเสียมารยาทมากนะ น่าจับท่านควักลูกตาออก”

เอเดรียนกลั้นยิ้มแทบเอาไว้ไม่อยู่ สาวตรงหน้าเง้าหน้างอทั้งน่าสงสารทั้งน่าขบขัน มองสิ่งเล็กเป็นเรื่องใหญ่โต ผู้ชายมากประสบการณ์อย่างเขาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ทว่ายังอารมณ์ดีอยากแหย่เล่นต่ออีกหน่อยหนึ่ง

“เจ้ากำลังอายหรือ ทำไม มีอะไรให้น่าดูนัก” เอเดรียนแกล้งทำเป็นสอดส่องดูเรือนร่างอย่างเสียมารยาท กานติศาทนอับอายไม่ไหวจึงหันหลัง นั้นทำให้เขาได้ชมแผ่นหลังขาวใสไร้ฝา หน้านางกลายเป็นสีแดงเข้มในแบบที่เขาชอบ “คนลามก”

“ก่อนพูดเรื่องมารยาทดีงาม ข้าว่ามาพูดเรื่องความยุติธรรมก่อนดีกว่า”

“พูดเรื่องอะไร” ร่างสาวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

“ลืมแล้วหรือ ครั้งที่แล้วเจ้าเล่นไม่ซื่อ ถ้ำมองแอบวาดรูป ข้าไม่บ่นสักคำ ครั้งนี้ข้าเห็นของเจ้าแล้วมันก็ยุติธรรมแล้ว” แสร้งหน้าจริงจังพูดจามีหลักการ ขืนแกล้งนางไปมากกว่านี้อาจจะถึงขั้นเป็นลมก็ได้

“พูดบ้าอะไร เอาตอนนั้นมาเทียบได้ไง เพราะฉันบังเอิญเห็นและวาดรูปโดยไม่ตั้งใจต่างหาก ครั้งนี้ท่านจงใจแจ่มแจ้ง ท่านลิดรอนสิทธิสตรีทำให้ฉันเป็นฝ่ายเสียเปรียบและเสียหาย ความยุติธรรมระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงไม่มีหรอก คนโกหก” กานติศาชี้นิ้วใส่หน้าเขาอย่างจับผิด เขาจะกุคำลวงคำไหนมาพูด เธอไม่มีวันกลัว ความยุติธรรมทางเพศเป็นเรื่องลวงทั้งเพ ไม่งั้นทำไมผู้หญิงผู้ชายเกิดมาแข็งแรงไม่เท่ากัน ทำไมไม่จัดประเภทกีฬารวมกันแล้วแข่งกัน

“สิทธิสตรี เจ้าหมายถึงส่วนไหนบนเรือนร่างของเจ้า”

ลูนาร์อยู่ในอารมณ์เพลิดเพลินกับรอธดีนแช่บ่อน้ำอย่างสงบอยู่ๆ ก็ตกใจเสียงดังลอดเข้ามาจากอีกฝั่งหนึ่ง “ผู้ใหญ่เล่นกันเสียงดังจัง เล่นน้ำไม่สนุกเลย”



“นี่คือ เรดโทรลล์ สมุนไพรสีแดงมีพิษที่ข้าเคยเล่าให้ฟัง ข้าใช้วางยาโทรลล์ตายทั้งฝูง”

ทั้งคู่หันมาแลกเปลี่ยนให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรสีแดงที่กานติศาค้นพบ เธอหูหนวกไม่ได้ยินเนื้อหาขณะที่ปากเขากำลังพร่ำพูดอธิบาย เพราะมัวแต่นึกถึงการสบประมาท เขาหาว่าเธอไม่มีความเป็นสตรี เรือนร่างไม่มีอะไรน่าดู หรือเป็นเพราะเธอตัดผมสั้นเกินไป บุคลิกแก่นแก้วเหมือนเด็กผู้ชาย ไม่มีความเป็นสตรีในสายตาเขา
แล้วเอเดรียนมีประสบการณ์กับผู้หญิงมามากแค่ไหน พวกหล่อนหน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร ปากเขาถึงเรียกหล่อนว่าสตรีนารี หรือมาในรูปแบบสาวทรงโตเหมือนพริตตี้หน้ารถยนต์ สาวหน้าสวยอิ่มคอลลาเจนเหมือนรติรส

‘ไดอาน่า’ ชื่อผู้หญิงหลุดออกจากปากตอนละเมอ เธอเกือบลืมไปแล้ว

“พิษร้ายแรงมากอาจจะทำเจ้าเป็นอัมพาต ทรมานตายโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นห้ามดมกลิ่น ห้ามสัมผัส กานติศา ฟังข้าอยู่หรือเปล่า” เอเดรียนดุจนเจ้าตัวเพิ่งรู้สึกตัว

“ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ว่าอะไรนะคะ”

สาวปริศนาของเอเดรียน หล่อนคือใครกันแน่

มองเห็นความสับสนไม่สบายใจในดวงตาคู่นั้น หรือเป็นเพราะเขาเร่งรัดยัดเหยียดข้อมูลให้นางมาเกินไป ด้วยความประสงค์อยากให้นางเพียบพร้อมเผชิญภยันตรายจะมาถึง ความกังวลต้องขมวดคิ้ว

“กานติศา ฟังข้าพูด เป็นเรื่องสำคัญมาก เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าข้าห่วงความปลอดภัยของเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง”

“รู้ค่ะ” เอเดรียนจริงจังจนน่ากลัว จึงตอบอึกอักรับปากไป เขาจับไหล่เธอลุกยืนขึ้น มองเข้าไปในดวงตาสีเขียวขุ่นเป็นสีน้ำเงิน

“พรุ่งนี้เราจะถึงเมืองวิสตาร์เรีย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั้น สิ่งใดก็ตามที่ทำให้เจ้าไขว้เขว อย่าตั้งคำถาม ปิดหูปิดตาให้สนิทอย่าปักใจหลงเชื่อใคร ต้องเชื่อใจข้าเท่านั้น ทำได้ไหม”

กานติศาพยักหน้าตอบรับ วิสตาร์เรียเป็นเมืองแบบไหน ทำให้เอเดรียนหวาดวิตกชัดเจน เธอไม่เคยเห็นเขากังวลขนาดนี้มาก่อน

เอเดรียนตั้งใจพากานติศาไปที่เมืองที่อันตรายที่สุดสำหรับเธอ จุดเริ่มต้นโศกนาฏกรรม ตามคำทำนายชะตากรรมบ้านเมือง สร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนถึงขั้นเสียสติ รุมทำร้ายเอาชีวิตพวกเดียวกันเอง ความเคร่งต่อคำทำนายซึ่งเสมือนแค่ลมปากของนักบวชนอกรีต กล่าวถึงพิธีสังเวยเครื่องบูชายัญ
สำนวนที่เขาเพิ่งนึกได้ แต่จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน
ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด

การเดินทางแสนยาวนานดูเหมือนใกล้จบลงแล้ว วันสุดท้ายพวกเขาทั้งสามคนทยอยลงจากหลังม้า พรีอุสย่อขาหน้าหมอบกับพื้น ลมหายใจหอบเหนื่อยเนื่องจากใช้พลังฝีเท้าวิ่งเร็วฝ่าทุ่งกุหลาบกว้างติดต่อกันมาหลายชั่วโมง ผู้เป็นนายจึงต้องเอาใจใส่ ตบรางวัลให้เป็นพิเศษ เติมฟางและผลไม้ใส่ลังเป็นอาหาร เตรียมน้ำไว้ให้เย็นชื่นใจ ใช้แปรงปัดผิวขนทำความสะอาดลำตัว เขาปลดอานและอุปกรณ์ต่าง ๆเพื่อให้เป็นอิสระ มันดื้อดึงใช้หัวรั้งไว้ไม่ยอมเจ้านายปลดอุปกรณ์พวกนั้นออกไป “พรีอุส เจ้าไปกับข้าไม่ได้”

กานติศาเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องทิ้งพรีอุสไว้ที่นี่ แทนที่ให้มันร่วมพวกเธอไปวิสตาร์เรียด้วยกัน

“มันควรอยู่ที่กว้างๆ เพื่อให้วิ่งอย่างอิสระ วิสตาร์เรียจะทำมันตาย”

เธอไม่เข้าใจความหมาย จึงหันไปมองเสี้ยวหน้าคม เอเดรียนบอกลาพรีอุสเสมือนมิตรสหายคนแรกมาตั้งแต่จำความได้เป็นครั้งสุดท้าย “ควรไปมีครอบครัวของเจ้าซะ วันหนึ่งเราอาจจะได้เจอกันอีก”

มันเข้าใจสถานการณ์ดี ถูกเจ้านายตบสีข้างกระตุ้นออกตัววิ่งเร็วตัวเปล่าฝ่าสายลมอย่างอิสระ ไปสุดทางของภูเขาลูกนั้น ไม่ลืมวนมาดูพวกเธอเป็นครั้งสุดท้าย กระดิกใบหู สะบัดหางยาวสลวยอย่างที่มันชอบทำ

“พรีอุสกำลังลาเจ้า มันชอบเจ้า”

ความรู้สึกนี้หวนคิดถึงตอนครอบครัวเธอสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวแรกและตัวสุดท้ายที่จากไปไม่มีวันกลับ เธอไม่อยากซ้ำรอยกับตอนนั้นอีกจึงตัดสินใจไม่เลี้ยงสัตว์ชนิดใดอีก เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต มีเกิดก็ต้องมีดับ มีพบก็ต้องมีลาจาก

สักวันหนึ่งเธอกับเอเดรียนต้องพรากจากกัน เช่นเดียวกับพรีอุส

หนำซ้ำเอเดรียนไม่ยอมให้ลูนาร์ ลูกสาวเขาติดตามพวกเธออีกต่อไป จึงออกปากตัดขาดกันเสียตรงนี้ ลูนาร์เสียใจมากไม่ยอมบินจากพวกเธอไป น้ำตาอาบหน้าขี้มูกโป่งน่าสงสารอาดูร มือรั้งเสื้อกานติศาไว้ “อย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ ข้าไม่เหลือใครแล้ว ท่านพ่อ”

“เจ้าควรหากลุ่มแล้วไปกับพวกเขาเสีย” เขาตอบเสียงแข็งตัดขาดอย่างไร้เยื่อใย

“ข้าไม่ต้องการกลุ่ม ลูนาร์ยอมตายดีกว่าไปจากท่านพ่อ”

กลุ่มที่ลูนาร์พูดถึง หมายถึงตามหาภูติน้อยเผ่าพันธุ์เดียวกันที่เหลืออยู่ กระจายตัวไปตั้งรกรากสร้างหมู่บ้านตามต้นไม้ที่ไหนสักแห่ง ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับโลกข้างนอก เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีโลกส่วนตัวสูง ความเป็นได้ว่าครอบครัวลูนาร์อาจจะตามหาลูกสาวพลัดหลงอยู่ก็ได้ เธอสัมผัสถึงความสัมพันธ์เหมือนพ่อกับลูกแม้เจ้าตัวไม่เอ่ยปากออกมาตรง ๆ เอเดรียนเป็นห่วงความปลอดภัยลูกนาร์อย่างจริงใจ จึงต้องรีบตัดสัมพันธ์ “บอกซ้ำกี่ครั้ง ข้าไม่ใช่พ่อ เจ้าก็ไม่ใช่ลูกข้า ไปตามหาครอบครัวเจ้า”

“ลูนาร์ไม่ต้องการพวกเขา ข้าอยากอยู่กับท่านพ่อ กานติศา และรอธดีน” ก้มหน้าร้องไห้ใช้ปลายเส้นผมกานติศามามาเช็ดน้ำตา น้ำเสียงสั่นเครือเรียกความสงสาร “อย่าทิ้งลูนาร์เหมือนไม่มีค่าเลย เดิมที่ไม่มีใครต้องการข้าอยู่แล้ว”

“อย่างน้อยลูนาร์ขอเลือกที่ตาย คืออยู่ใกล้พวกท่าน”

“ลูนาร์” ครั้งแรกถูกท่านพ่อเรียกด้วยชื่อนาม ลูนาร์สบตาผู้มีพระคุณอย่างมีความหวัง

“ข้าไม่ใช่คนดี หรือใจดีเหมือนกานติศา พร้อมกำจัดทุกคนที่มาเกะกะ ขัดขวางทางของข้า สำหรับความดื้อดึงของเจ้าอยากจะทำอะไรก็เชิญ ข้าจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น” เอเดรียนหมุนตัวออกเดินทางทันที

“นะ นี่หมายความว่าท่านพ่อยินยอมให้ข้าไปด้วยแล้วใช่มั้ย” หันไปถามเธอ

“คงอย่างนั้นจ้ะ” กานติศายิ้มให้กับความดีใจจนตัวลอย ลูนาร์บินวนรอบตัวรอธดีนจนเซเสียหลักหกล้ม เสียงหัวเราะเยาะกลั่นแกล้งเด็กชายแสดงอาการมีความสุขมาก จนสาวกังวลเกี่ยวกับวันข้างหน้า ยากจะคาดการณ์เดาว่าจะมีสิ่งใดมาทำลายความสุขได้อีก เหตุใดเข่ต้องรีบตัดไมตรี จนเธอมารู้คำตอบเมื่อลอบถามเขาเมื่ออยู่กันสองคน

“วิสตาร์เรียอันตรายแค่ไหน ถึงกับต้องปล่อยพรีอุส ตัดสัมพันธ์ลูนาร์”

“แล้วเจ้าจะได้เห็นอย่างแน่นอน ข้าจะพาเจ้าเข้าไป” มือหักกิ่งไม้ดังกร๊อบเบื้องหลัง ย้ำความน่ากลัวจนสาวขนลุกเกรียว “ดูเหมือนเจ้าเริ่มจะกลัว เราเปลี่ยนใจกันได้นะ ทิ้งรอธดีนไว้ที่นี่แล้วปล่อยไปตามทางใครทางมัน”

เด็กกำพร้าวัยเก้าขวบ สภาพมือเปล่าไร้อาวุธป้องกันตัวเอง ปล่อยให้กลับบ้านเพียงคนเดียว

“ฉันไม่เปลี่ยนใจหรอก อย่าหวังซะให้ยาก อันตรายแค่ไหนฉันไม่กลัวเพราะรู้ว่ามีคุณปกป้องอยู่”

“หากปกป้องเจ้าไม่ได้ล่ะ ข้าอาจจะพาพวกเราตายกันหมดก็ได้” ใครจะไปรู้ว่าคนอย่างเอเดรียนมีบุคลิกสง่างาม นิสัยห้าวหาญ มีร่างกายแข็งแกร่งกลับแสดงความไม่มั่นใจออกมาได้ ใบหน้าหล่อก้มหน้าก้มตาลับมีดสั้นของตัวเองบ่งบอกความกังวลออกมาชัดเจน

“แล้วทำไมต้องไปรุนแรงกับลูนาร์ด้วย ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงเธอ”

“เพราะข้าไม่ต้องการความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็น ข้าไม่เหมาะ...”

“ความสัมพันธ์ไม่จำเป็น หมายถึงกับทุกคนหรือเปล่าคะ”

นิ้วมือเขาประสานเข้ากับมือเธออย่างแนบแน่น พบว่ามือเขาสั่นเล็กน้อย ปลุกให้เธอรู้สึกตัวว่าการตัดสินใจของเธอเป็นเหตุพาพวกเขาไปสู่ทางอันตรายโดยไม่มีทางเลือก



แต่ภาพวิวงดงามตรงหน้าช่วยลืมความกังวลไปหมดกันทั้งสิ้น บนที่ราบโล่งกว้างไพศาล จนอยากหยิบมือถือมาถ่ายภาพพาโนราม่า เสียงสายลมธรรมชาติปนเสียงใสของเด็กชาย เสียงหัวเราะของเด็กสาว

“เรามาถึงแล้ว บ้านของข้า” รอธดีนซุกซนตื่นเต้นกว่าปกติ ชี้ไปทางวิวมหัศจรรย์ราวกับภาพวาดเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิต กินเนื้อพื้นที่ตรงหน้าแทบทั้งหมด

“ทางโน้น เมืองวิสตาร์เรียหรือคะ”

กานติศาไม่ได้ยินคำตอบ เพราะสายลมพัดแรงผ่านราบที่กว้างบนเนินเขาไต่ระดับลงมาบริเวณตีนเขาประจวบกับประตูเมือง ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปหลายโข จากตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ ตะลึงงันกับความมหึมา จำนวนบ้านครัวเรือนหลักหมื่นกระจุกอยู่ร่วมกันอยู่ภายในกำแพงเมือง สูงตระหง่านห้อมล้อมบ้านเมืองและภูเขาไว้ได้ทั้งลูก ยอดเขามีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาปกคลุมทั่วเมืองได้อย่างไม่น่าเชื่อ ต้นวิสทีเรียดูแก่และใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

สัญลักษณ์รอยแผลเป็นที่หลังหูปรากฎแสงสะท้อนเป็นลวดลาย กานติศารู้สึกแสบร้อนราวกับถูกไฟจี้ขึ้นมาชั่ววูบ ไม่นานก็หายไป

วิสตาร์เรีย เธอไม่อยากนับว่าเป็นเมือง เพราะฟังดูขนาดเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับขนาดของจริง

หากถูกจัดว่าเป็น ‘อาณาจักร’ จะเหมาะสมกว่า




KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2561, 23:47:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2561, 23:47:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 558





<< บทที่ 10 (1) ที่อันตรายคือที่ปลอดภัยที่สุด   บทที่ 11 (1) อาณาจักรวิสตาร์เรีย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account