กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต
ตอน: ๑๐ พันธะสัญญา (50%)
“งั้นขออนุญาตนะครับ” เมื่อสริพรพยักหน้า จิรสินก็ตรงไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการให้ตัวเองดูดีกว่านี้ ไม่เกินสิบนาทีชายหนุ่มก็ทำธุระส่วนตัวเสร็จ มารดาของศศิพิมพ์บอกว่าเธอซักเสื้อผ้าเขาตากไว้หลังบ้าน อีกสักพักน่าจะนำมารีดแล้วใส่ได้ เขาขอผู้ใหญ่ออกมาหาเธอ ศศิพิมพ์ยืนอยู่ข้างรั้วบ้านและกำลังรดน้ำต้นไม้ริมรั้ว
“เมื่อคืนฝนตกทำไมถึงได้รดน้ำอีกล่ะคะ”
หญิงสาวสะดุ้งเพราะเหม่อ เธอหันมามองเขาแค่แวบเดียวแล้วกลับไปสนใจกับแถวกุหลาบตรงหน้า
“แค่จะล้างใบค่ะ เดี๋ยวใบร่วงหมดเพราะเชื้อรา”
จิรสินก้าวเข้าไปยืนเคียงข้าง
“โกรธพี่ไหม” เขาถามและมองเธออย่างรอคำตอบ ศศิพิมพ์เงยมองสบก่อนหลุบตามองพื้น
“ไม่มีอะไรที่ต้องโกรธนี่คะ”
“พิมพ์คะไม่ใช่ว่าที่พี่พูดเพราะพี่อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่กับจันทร์นะคะ พี่แค่--” เขารอจนศศิพิมพ์มองเขาอีกครั้ง “แค่อยากเล่าให้พิมพ์ฟัง อยากให้พิมพ์รู้ ไม่อยากให้พิมพ์รู้เองทีหลัง”
ในดวงตาเขาเงาสะท้อนคือเธอ ศศิพิมพ์กะพริบตาก่อนก้มหลบรู้สึกว่าความอึดอัดในอกที่ก่อตัวตั้งแต่เมื่อคืนมันเบาลง
“พี่ช่วยไหมคะ”
คราวนี้เธอดีขึ้นจนพอจะส่งยิ้มให้เขาได้
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวข้าวเช้าคงเสร็จพี่สินไปรอในบ้านเถอะ”
“ไม่คือ--” เขาถอนหายใจยกมือขึ้นเกาท้ายทอยดูเก้อ สุดท้ายไม่รู้จะโยกโย้ท่ามากไปทำไม “พี่อยากอยู่ด้วย... ได้ไหม” สองคำสุดท้ายทอดยาวอ่อนหวาน เตรียมทำใจเผื่อเธอเผ่นหนีแล้ว แต่ครั้นพอเห็นรอยยิ้มของเธอที่เหมือนจะกลั้นไว้ไม่ได้เขาก็พึมพำ
“ทำไมมันเขินๆ ก็ไม่รู้”
สริพรออกมายืนมองที่หน้าประตูบ้าน ครั้นพอเห็นหนุ่มสาวส่งยิ้มให้กันแม้ไม่ได้ยินว่าพูดอะไร เธอก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หลังจากเช้านี้ที่ตื่นขึ้นมา ศศิพิมพ์ดูใจลอยเหมือนมีอะไรให้คิด อีกทั้งหน้าตาที่บอกว่าแทบจะไม่ได้นอนนั่นอีก เธอจึงห่วง แต่พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว
ข้าวเช้าเริ่มเมื่อเจ็ดโมงครึ่ง หลังจากนั้นจิรสินออกไปดูรถที่เกิดอุบัติเหตุปิดซอยเมื่อคืน ศศิพิมพ์อยู่บ้านจัดการเสื้อผ้าให้เขา พอชายหนุ่มกลับมาก็บอกว่าทางเปิดแล้ว เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งใจจะออกมาลาสริพรแต่ยังไม่ทันเดินออกประตู พ่อแม่ของเขาก็มาถึง
จิรสุตาหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยมเดินลงจากรถมาคนแรก สีหน้าแหยๆ นั่นทำเอาทั้งจิรสินและศศิพิมพ์เริ่มระแวงว่าจะมีเรื่องอีกแล้ว
ซึ่งมันก็จริง!
หลังสริพรเชิญพ่อแม่อีกฝ่ายเข้าบ้าน นั่งพักดื่มน้ำดื่มท่า สุพนิตกับจิรศักดิ์ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปอีก
“จัดงานแต่งกันเถอะนะคะ ตอนนี้ไม่แต่งก็คงไม่ได้แล้ว”
สองคนที่ต้องแต่งตาเบิกโต สริพรดูงุนงง ส่วนจิรสุตานั้นยิ้มแห้ง
“ตอนแรกเกิดเรื่องนั้นก็ไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในกลุ่มคนกันเอง ตานี้สิคะเจ้าสินมาค้างอ้างแรมถึงนี่ คนรู้คนเห็นกันทั้งซอยถึงคุณพรจะอยู่ ก็คงเอาไปลือกันไม่เว้นอยู่นั่นเอง เพราะอย่างนั้นแต่งเถอะค่ะจะได้จบๆ”
“เอ่อ...” สริพรเหลียวมองลูกสาวกับว่าที่ลูกเขยซึ่งยังอึ้งอยู่ เธอถอนหายใจ “คงไม่มีอะไรหรอกมั้งคะ ใครจะลือกันก็ลือไปเราไม่ได้ทำก็ไม่เห็นจะต้องใส่ใจมาก ทุกวันนี้หนีไม่พ้นเรื่องนินทาหรอกค่ะ”
“วุ้ยคุณก็พูดง่าย”
สุพนิตเอ็ดเอาเสียด้วยซ้ำ
“เป็นผู้หญิงนะคะชื่อมันเสียง่ายจะตาย แล้วอย่างนี้อีกมันไม่ดีหรอกค่ะ หนูพิมพ์น่ะแกดีจะตาย ฉันไม่อยากเห็นคนเอาแกไปลือเสียๆ หายๆ”
คนพูดเหลียวมองว่าที่สะใภ้
“หนูพิมพ์น่ะเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยค่ะ ฉันกับคุณศักดิ์รักแก เอ็นดูแกอยู่มาก ไม่มีปัญหาเลยเรื่องรับแกมาเป็นสะใภ้ หรือถ้าคุณพรห่วงเรื่องงาน อันนี้ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ฤกษ์ก็ใช้ฤกษ์ที่หามาตอนก่อนนี้ก็ได้อยู่ เรื่องงานพวกสถานที่ การ์ดเชิญ ชุดบ่าวสาวก็ไม่มีปัญหาค่ะ จะเหลือก็แค่เชิญแขก ง่ายๆ ค่ะนิดเดียวไม่ดูกะทันหันหรอก”
ครั้นพอหายอึ้งจิรสินก็ต้องกลั้นขำกับอาการอยากได้ศศิพิมพ์มาเป็นสะใภ้ออกนอกหน้าของมารดาเขา แต่พอมองหน้าว่าที่เจ้าสาวซึ่งยังเหวออยู่กับหน้าว่าที่แม่ภรรยาที่อึดอัดเต็มทีก็อดช่วยไม่ได้
“แม่ครับ--”
“หยุด!” สุพนิตหันมามองลูกชาย “หยุดค่ะลูก ผู้ใหญ่พูดกันอยู่” เขาโดนเอ็ดและเมื่อเหลียวมองบิดา จิรศักดิ์นั้นยิ้มแต่แววตาคล้ายจะบอกว่าเขาควรอยู่นิ่งๆ และไม่ควรพูดอะไร
“เอ่อค่ะ แต่ฉันกลัวยายพิมพ์จะทำหน้าที่แม่บ้านไม่ได้ดี ตอนนี้ก็เห็นยังสนุกกับงานค่ะ เลยอยากขอเวลาให้ลูกสักหน่อย”
“งั้นเมื่อไหร่ดีคะ”
“เอ่อ--” สริพรหันมาถามบุตรสาว “ว่าไงพิมพ์”
“ก็” ศศิพิมพ์รับทันควัน “สักห้าปีค่ะ”
สุพนิตเงียบไปอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ ยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ค่อยสนิทนัก แม้คนไม่รู้จักเห็น ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ
“นานไปค่ะหนูพิมพ์ ป้าคิดว่าคงไม่ได้หรอกนะคะ ที่ลังเลนี่คงเพราะพี่เขาทำให้พิมพ์ไม่ไว้ใจใช่ไหมลูก แต่ป้าอยากให้พิมพ์เชื่อใจพี่เขานะ” มารดาจิรสินหันมามองบุตรชาย “เอาเถอะเจ้าสินพาน้องออกไปคุยกันไป มีอะไรคาใจก็พูดกันเสีย แล้วค่อยกลับมาพูดเรื่องแต่งงานนะ”
จิรสินรับคำ เขาลุกขึ้นยืนและรอให้ศศิพิมพ์ลุกตาม เราเดินออกไปที่หน้าบ้าน แต่ไม่วายยังได้ยินคำประกาศิตตามหลัง
“ยังไงฉันว่าก็คงต้องแต่งปลายปีนี้แหละค่ะเหมาะแล้ว!”
“เมื่อคืนฝนตกทำไมถึงได้รดน้ำอีกล่ะคะ”
หญิงสาวสะดุ้งเพราะเหม่อ เธอหันมามองเขาแค่แวบเดียวแล้วกลับไปสนใจกับแถวกุหลาบตรงหน้า
“แค่จะล้างใบค่ะ เดี๋ยวใบร่วงหมดเพราะเชื้อรา”
จิรสินก้าวเข้าไปยืนเคียงข้าง
“โกรธพี่ไหม” เขาถามและมองเธออย่างรอคำตอบ ศศิพิมพ์เงยมองสบก่อนหลุบตามองพื้น
“ไม่มีอะไรที่ต้องโกรธนี่คะ”
“พิมพ์คะไม่ใช่ว่าที่พี่พูดเพราะพี่อยากกลับไปเริ่มต้นใหม่กับจันทร์นะคะ พี่แค่--” เขารอจนศศิพิมพ์มองเขาอีกครั้ง “แค่อยากเล่าให้พิมพ์ฟัง อยากให้พิมพ์รู้ ไม่อยากให้พิมพ์รู้เองทีหลัง”
ในดวงตาเขาเงาสะท้อนคือเธอ ศศิพิมพ์กะพริบตาก่อนก้มหลบรู้สึกว่าความอึดอัดในอกที่ก่อตัวตั้งแต่เมื่อคืนมันเบาลง
“พี่ช่วยไหมคะ”
คราวนี้เธอดีขึ้นจนพอจะส่งยิ้มให้เขาได้
“ไม่เป็นไรค่ะ อีกเดี๋ยวข้าวเช้าคงเสร็จพี่สินไปรอในบ้านเถอะ”
“ไม่คือ--” เขาถอนหายใจยกมือขึ้นเกาท้ายทอยดูเก้อ สุดท้ายไม่รู้จะโยกโย้ท่ามากไปทำไม “พี่อยากอยู่ด้วย... ได้ไหม” สองคำสุดท้ายทอดยาวอ่อนหวาน เตรียมทำใจเผื่อเธอเผ่นหนีแล้ว แต่ครั้นพอเห็นรอยยิ้มของเธอที่เหมือนจะกลั้นไว้ไม่ได้เขาก็พึมพำ
“ทำไมมันเขินๆ ก็ไม่รู้”
สริพรออกมายืนมองที่หน้าประตูบ้าน ครั้นพอเห็นหนุ่มสาวส่งยิ้มให้กันแม้ไม่ได้ยินว่าพูดอะไร เธอก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก หลังจากเช้านี้ที่ตื่นขึ้นมา ศศิพิมพ์ดูใจลอยเหมือนมีอะไรให้คิด อีกทั้งหน้าตาที่บอกว่าแทบจะไม่ได้นอนนั่นอีก เธอจึงห่วง แต่พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว
ข้าวเช้าเริ่มเมื่อเจ็ดโมงครึ่ง หลังจากนั้นจิรสินออกไปดูรถที่เกิดอุบัติเหตุปิดซอยเมื่อคืน ศศิพิมพ์อยู่บ้านจัดการเสื้อผ้าให้เขา พอชายหนุ่มกลับมาก็บอกว่าทางเปิดแล้ว เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งใจจะออกมาลาสริพรแต่ยังไม่ทันเดินออกประตู พ่อแม่ของเขาก็มาถึง
จิรสุตาหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยมเดินลงจากรถมาคนแรก สีหน้าแหยๆ นั่นทำเอาทั้งจิรสินและศศิพิมพ์เริ่มระแวงว่าจะมีเรื่องอีกแล้ว
ซึ่งมันก็จริง!
หลังสริพรเชิญพ่อแม่อีกฝ่ายเข้าบ้าน นั่งพักดื่มน้ำดื่มท่า สุพนิตกับจิรศักดิ์ก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปอีก
“จัดงานแต่งกันเถอะนะคะ ตอนนี้ไม่แต่งก็คงไม่ได้แล้ว”
สองคนที่ต้องแต่งตาเบิกโต สริพรดูงุนงง ส่วนจิรสุตานั้นยิ้มแห้ง
“ตอนแรกเกิดเรื่องนั้นก็ไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในกลุ่มคนกันเอง ตานี้สิคะเจ้าสินมาค้างอ้างแรมถึงนี่ คนรู้คนเห็นกันทั้งซอยถึงคุณพรจะอยู่ ก็คงเอาไปลือกันไม่เว้นอยู่นั่นเอง เพราะอย่างนั้นแต่งเถอะค่ะจะได้จบๆ”
“เอ่อ...” สริพรเหลียวมองลูกสาวกับว่าที่ลูกเขยซึ่งยังอึ้งอยู่ เธอถอนหายใจ “คงไม่มีอะไรหรอกมั้งคะ ใครจะลือกันก็ลือไปเราไม่ได้ทำก็ไม่เห็นจะต้องใส่ใจมาก ทุกวันนี้หนีไม่พ้นเรื่องนินทาหรอกค่ะ”
“วุ้ยคุณก็พูดง่าย”
สุพนิตเอ็ดเอาเสียด้วยซ้ำ
“เป็นผู้หญิงนะคะชื่อมันเสียง่ายจะตาย แล้วอย่างนี้อีกมันไม่ดีหรอกค่ะ หนูพิมพ์น่ะแกดีจะตาย ฉันไม่อยากเห็นคนเอาแกไปลือเสียๆ หายๆ”
คนพูดเหลียวมองว่าที่สะใภ้
“หนูพิมพ์น่ะเห็นมาแต่เล็กแต่น้อยค่ะ ฉันกับคุณศักดิ์รักแก เอ็นดูแกอยู่มาก ไม่มีปัญหาเลยเรื่องรับแกมาเป็นสะใภ้ หรือถ้าคุณพรห่วงเรื่องงาน อันนี้ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ ฤกษ์ก็ใช้ฤกษ์ที่หามาตอนก่อนนี้ก็ได้อยู่ เรื่องงานพวกสถานที่ การ์ดเชิญ ชุดบ่าวสาวก็ไม่มีปัญหาค่ะ จะเหลือก็แค่เชิญแขก ง่ายๆ ค่ะนิดเดียวไม่ดูกะทันหันหรอก”
ครั้นพอหายอึ้งจิรสินก็ต้องกลั้นขำกับอาการอยากได้ศศิพิมพ์มาเป็นสะใภ้ออกนอกหน้าของมารดาเขา แต่พอมองหน้าว่าที่เจ้าสาวซึ่งยังเหวออยู่กับหน้าว่าที่แม่ภรรยาที่อึดอัดเต็มทีก็อดช่วยไม่ได้
“แม่ครับ--”
“หยุด!” สุพนิตหันมามองลูกชาย “หยุดค่ะลูก ผู้ใหญ่พูดกันอยู่” เขาโดนเอ็ดและเมื่อเหลียวมองบิดา จิรศักดิ์นั้นยิ้มแต่แววตาคล้ายจะบอกว่าเขาควรอยู่นิ่งๆ และไม่ควรพูดอะไร
“เอ่อค่ะ แต่ฉันกลัวยายพิมพ์จะทำหน้าที่แม่บ้านไม่ได้ดี ตอนนี้ก็เห็นยังสนุกกับงานค่ะ เลยอยากขอเวลาให้ลูกสักหน่อย”
“งั้นเมื่อไหร่ดีคะ”
“เอ่อ--” สริพรหันมาถามบุตรสาว “ว่าไงพิมพ์”
“ก็” ศศิพิมพ์รับทันควัน “สักห้าปีค่ะ”
สุพนิตเงียบไปอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ ยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ไม่ค่อยสนิทนัก แม้คนไม่รู้จักเห็น ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ
“นานไปค่ะหนูพิมพ์ ป้าคิดว่าคงไม่ได้หรอกนะคะ ที่ลังเลนี่คงเพราะพี่เขาทำให้พิมพ์ไม่ไว้ใจใช่ไหมลูก แต่ป้าอยากให้พิมพ์เชื่อใจพี่เขานะ” มารดาจิรสินหันมามองบุตรชาย “เอาเถอะเจ้าสินพาน้องออกไปคุยกันไป มีอะไรคาใจก็พูดกันเสีย แล้วค่อยกลับมาพูดเรื่องแต่งงานนะ”
จิรสินรับคำ เขาลุกขึ้นยืนและรอให้ศศิพิมพ์ลุกตาม เราเดินออกไปที่หน้าบ้าน แต่ไม่วายยังได้ยินคำประกาศิตตามหลัง
“ยังไงฉันว่าก็คงต้องแต่งปลายปีนี้แหละค่ะเหมาะแล้ว!”

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มิ.ย. 2561, 20:40:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2561, 20:40:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 824
<< ๑๐ พันธะสัญญา (25%) | ๑๐ พันธะสัญญา (75%) >> |