กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต
ตอน: ๑๐ พันธะสัญญา (75%)
“ยังไงฉันว่าก็คงต้องแต่งปลายปีนี้แหละค่ะเหมาะแล้ว!”
เราหยุดยืนกันที่แถวกอกุหลาบเลื้อยซึ่งขึ้นเป็นพุ่มหนามากพอที่จะบังสายตาคนมองเข้ามา
“พิมพ์ว่ายังไงบ้างคะ”
เธอมองเขาเหมือนจะร้องไห้ “ทำไมคุณป้าเหมือนจะไม่ยอมฟังอะไรเลยคะ”
“คงเพราะพี่แหละ เมื่อก่อนตอนที่ยังแรดน่ะขนาดไหน แม่คงห่วงพอได้ยินว่าพี่ค้างที่นี่ก็เลย--”
“แต่มันไม่มีอะไรนะคะ”
“แต่แม่ไม่ฟังไงคะ”
พูดจบทั้งเธอและเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรามองสบตากัน
“พิมพ์ต้องพาพี่ไปตรวจเลือดนะคะ”
ศศิพิมพ์เอียงคอมองอย่างงุนงงว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่พูดกันตรงไหน
“ก็เพื่อความสบายใจ ถึงพี่มั่นใจว่าไม่มีโรคก็เถอะ” เท่านั้นเธอก็ถึงบางอ้อ และไม่รู้จะขำหรือฉุนดี
“ยังไม่ได้ตกลงเลยค่ะ!”
เขาหัวเราะที่เธอรู้ทันแล้ว ศศิพิมพ์โคลงศีรษะกับความขี้เล่นของเขา จิรสินมองเพลินก่อนขยับเข้าไปใกล้ ครั้นพอเธอรู้ตัวจะถอยเขาก็ยึดต้นแขนไว้ ใบหน้าโน้มต่ำลงอีกนิดมองลึกเข้าไปในดวงตากระจ่างใส
“พิมพ์ไว้ใจพี่ไหม พี่รู้เรื่องแต่งงานไม่ใช่เล่นขายของที่เบื่อก็เลิก แต่ดูท่าพ่อแม่พี่คงไม่ยอม แม่ของพิมพ์ก็คงปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเราจะค้านหัวชนฝาก็ทำได้แต่พี่ห่วงแม่ของพิมพ์ ท่านไม่สบาย”
นัยน์ตาของเธอคล้ายเด็กที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
“ผู้หญิงต่างก็อยากแต่งงานกับคนที่รัก อยากมีโมเม้นต์ที่ดีนั่นแค่ครั้งเดียว แต่ถ้ามันต้องเกิดขึ้นพี่ก็อยากให้พิมพ์มั่นใจในตัวพี่นะคะ ว่าพี่จะทำมันให้ดีที่สุด พี่รู้พิมพ์ไม่ได้รักพี่อาจจะแค่รู้สึกดี แต่พี่--”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาหวั่นไหวนิดๆ
“พี่--”
ศศิพิมพ์ยกมือขึ้นปิดปากเขา เป็นเธอเองที่ใจเต้นแรงและไม่พร้อมที่จะฟัง แต่เขากลับจูบเบาๆ ที่ปลายนิ้วเรียว หญิงสาวตกใจและดึงมือออกเขาจึงเอ่ยต่อ
“พี่คิดว่ารักพิมพ์เข้าแล้วล่ะ”
ใบหน้านวลซับสีเลือดทันใด เธอเกร็งเมื่อถูกเขาถึงตัวเข้าไปใกล้จนชิด และยังก้มหน้าลงมาอีกจนใกล้กันเกินกว่าครั้งไหน
“ให้โอกาสเราเริ่มต้นใหม่นะ ถึงจะข้ามขั้นไปหน่อยแต่พี่สัญญาพี่จะไม่ล่วงเกินพิมพ์ถ้าพิมพ์ไม่พร้อม พิมพ์อยากให้เราอยู่กันแบบไหนพี่จะไม่แย้ง จนกว่าพิมพ์จะมั่นใจ มั่นใจว่าใช่พี่ไม่ใช่ใคร”
เสียงพูดนั้นเบามีแค่เราที่ได้ยิน
ศศิพิมพ์มองสบตากับคนที่หายใจรดผิวแก้มเธอ มองค้นเข้าไปดวงตาคู่คมนั้น มันไม่มีสิ่งใดเลยที่ปิดบังซ่อนเร้น เขาพูดออกมาอย่างที่ใจคิดจริงๆ หญิงสาวผ่อนลมหายใจและไม่ขัดขืนเมื่อเขากดเธอให้แนบหน้าเข้ากับอกกว้าง
เป็นกอดที่ให้ความมั่นคงและอบอุ่น
เธอถอนหายใจยาวและเลิกเกร็งตัวกับอ้อมกอดนั้น เขาคงรู้สึกได้เพราะยิ่งกอดเธอไว้แนบอกแน่นขึ้นกว่าเดิม
ฉากแห่งความประทับใจนั่น จิรสุตาอัดคลิปไว้เรียบร้อย และแม้จะไม่มีเสียงพูดแต่เธอจัดการอัดเสียงพากย์ลงไปได้ เธอมั่นใจว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของพรีเซนเทชั่นงานแต่งที่โรแมนติกไม่แพ้งานไหนเลย!
หญิงสาวรีบกลับไปนั่งบนโซฟาข้างลุงและป้าพลางทำมือว่าโอเคแล้ว สุพนิตถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก จิรศักดิ์ที่ถูกภรรยาเกลี้ยกล่อมกึ่งบังคับให้มาช่วยพูดเหลียวมองสริพรและยิ้มให้
“ผมจะไม่ปิดบังนะครับว่าทำไมถึงอยากให้หนูพิมพ์แต่งงานกับเจ้าสิน หนูพิมพ์แกน่ารักจริงๆ เป็นใครก็คงอยากได้เป็นสะใภ้ ไอ้บ้านเราสองบ้านก็รู้จักกันมาก็หลายปี คุณก็เห็นว่าเราไม่ได้ขี้ริ้วจนน่าเกลียด”
“ฝ่ายฉันต่างหากล่ะคะคุณที่กลัวจะดีไม่พอ ก็อย่างที่คุณเห็นยายพิมพ์ก็ดื้ออยู่”
“ถ้าอย่างหนูพิมพ์เรียกว่าดื้อ ไอ้เจ้าสินนั่นคุณคงกลัวมันเลยล่ะครับ” จิรศักดิ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ สุพนิตที่ฟังมาแต่แรกเพราะเป็นการเป็นงานเลยอดหยิกเข้าให้ไม่ได้ที่ทำเป็นเล่น
“อย่าหาว่าพวกผมจับมัดมือชกเลยคุณพร เรื่องที่เกิดตอนนั้นผมเชื่อว่าไม่มีอะไร ลูกผมคงเมามากถึงได้เข้าห้องผิด ส่วนหนูพิมพ์ก็หลับเพราะยา ผมเชื่อว่าเด็กสองคนนั่นไม่ได้โกหก มันไม่มีอะไรเรารู้ แต่ชื่อเสียงของหนูพิมพ์ล่ะจะยังไง ไอ้ลูกชายผมก็เข้าออกบ้านนี้บ่อยๆ แถมครั้งนี้มาค้างอีกคนเขาจะมองว่ายังไงเราก็สุดรู้ อีกอย่างผมดูเด็กสองคนนี้คงไม่ผิด ก็คงคิดอะไรๆ กันอยู่ ลูกผมก็ใช่ย่อย ลองว่ามันไม่ชอบมันไม่ยอมหรอกครับ ได้ค้านหัวชนฝา ไม่มีหรอกครับไอ้นั่งนิ่งๆ เรียบร้อยๆ แบบนี้น่ะ”
สริพรฟังแล้วนิ่งไปอึดใจสุดท้ายก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ
“ถ้าเด็กสองคนนั้นเขาตกลงปลงใจฉันก็ไม่มีข้อขัดข้องหรอกค่ะ แต่อย่างเดียวที่ฉันขอ ถ้ายายพิมพ์ไม่ตกลงอย่าบังคับแกเลยนะคะ”
จิรศักดิ์พยักหน้ารับก่อนมองสบตากับภรรยาอย่างโล่งใจ
ราวสิบนาทีสองหนุ่มสาวก็กลับเข้ามาในตัวบ้าน เป็นจิรสินที่เดินนำส่วนที่เดินตามต้อยๆ เข้ามาเป็นศศิพิมพ์
จิรสินนั่งลงที่เดิม ส่วนสาวเจ้าเข้าไปนั่งข้างมารดา
ว่าที่เจ้าบ่าวบอกผลการตัดสินใจ สริพรมองลูกสาวอย่างอยากให้พูดออกมาจากปากว่าตกลง แก้มสาวระเรื่อเมื่อตอบ และนั่นเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจริงๆ ก็ดังขึ้น
ชุดบ่าวสาวคงเป็นชุดเดิมที่ไปลองกัน
การ์ดเชิญที่เลือกค้างไว้จิรสุตาหอบหิ้วแบบมาพร้อมเพื่อให้ทั้งคู่ได้เลือกต่อ
สริพรยอมแพ้เมื่อฝ่ายพ่อแม่เจ้าบ่าวบอกว่ารายชื่อแขกฝ่ายเจ้าบ่าวเตรียมไว้เรียบร้อย คงเหลือแค่ฝ่ายเจ้าสาว แล้วสุพนิตก็คะยั้นคะยอให้เธอลิสต์รายชื่อญาติมา
สินสอดนั้นแม่เจ้าสาวแทบไม่ได้ตัดสินใจ เพราะจำนวนที่พ่อแม่เจ้าบ่าวบอกมานั้นถือว่าสูงลิบ เป็นสริพรเสียอีกที่ติงว่าเยอะไป แต่จิรศักดิ์กับสุพนิตบอกว่านั่นคือเงินเก็บลูกชาย แกมบังคับกลายๆ ว่าอย่าต่อให้น้อยลงไปกว่านั้นเลย
ส่วนเรื่องสถานที่ธีมงานนั้นให้เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวช่วยกันคิด ส่วนเรื่องการติดต่อออแกไนซ์ต่างๆ จิรสุตาจัดการไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว จะเหลือก็แค่บรีฟงานให้ไปจัดการ
จากเช้าจนมืด ครอบครัวจิรสินจึงได้กลับกัน
จิรสุตากลับพร้อมลุงและป้า จะเหลือก็ตัวว่าที่เจ้าบ่าวที่ยังรั้งท้าย ศศิพิมพ์เดินออกไปส่งเขา จังหวะหนึ่งที่ก้าวเคียงกันมือที่สัมผัสชายหนุ่มกุมกำไว้แน่น ครั้นหยุดเดินข้างตัวรถเขาก็มองใบหน้านวลที่อยู่ใกล้
ศศิพิมพ์ส่งยิ้มให้ไม่มีคำลา เธอยื่นมืออีกข้างไปกุมมือเขาตอบ เรายิ้มให้กัน จากนั้นเขาก็จากไป
หญิงสาวหมุนตัวกลับมาหลังยืนส่งเขาจนลับตา สะดุ้งโหยงเพราะเห็นมารดายืนมองเธอยิ้มๆ อยู่ที่หน้าประตู
“แม่” ในความมืดสองแก้มแดงก่ำเพราะความอาย
“รักเขาเข้าแล้วล่ะสินั่น” ถามแล้วก็ไม่ได้รอคำตอบ “ทำไมตอนแรกพิมพ์ปฏิเสธล่ะลูก กลัวอะไร”
“ไม่รู้สิคะ พิมพ์ก็แค่กลัว มันไม่มั่นใจ”
สริพรพยักหน้ารับ “งั้นตอนนี้มั่นใจแล้ว”
ลูกสาวส่ายหน้าแต่ยิ้มหุบไม่ลง คนเป็นแม่จึงได้แต่ยิ้มๆ เดินกลับเข้าบ้านพร้อมกันสองคน
เราหยุดยืนกันที่แถวกอกุหลาบเลื้อยซึ่งขึ้นเป็นพุ่มหนามากพอที่จะบังสายตาคนมองเข้ามา
“พิมพ์ว่ายังไงบ้างคะ”
เธอมองเขาเหมือนจะร้องไห้ “ทำไมคุณป้าเหมือนจะไม่ยอมฟังอะไรเลยคะ”
“คงเพราะพี่แหละ เมื่อก่อนตอนที่ยังแรดน่ะขนาดไหน แม่คงห่วงพอได้ยินว่าพี่ค้างที่นี่ก็เลย--”
“แต่มันไม่มีอะไรนะคะ”
“แต่แม่ไม่ฟังไงคะ”
พูดจบทั้งเธอและเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรามองสบตากัน
“พิมพ์ต้องพาพี่ไปตรวจเลือดนะคะ”
ศศิพิมพ์เอียงคอมองอย่างงุนงงว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่พูดกันตรงไหน
“ก็เพื่อความสบายใจ ถึงพี่มั่นใจว่าไม่มีโรคก็เถอะ” เท่านั้นเธอก็ถึงบางอ้อ และไม่รู้จะขำหรือฉุนดี
“ยังไม่ได้ตกลงเลยค่ะ!”
เขาหัวเราะที่เธอรู้ทันแล้ว ศศิพิมพ์โคลงศีรษะกับความขี้เล่นของเขา จิรสินมองเพลินก่อนขยับเข้าไปใกล้ ครั้นพอเธอรู้ตัวจะถอยเขาก็ยึดต้นแขนไว้ ใบหน้าโน้มต่ำลงอีกนิดมองลึกเข้าไปในดวงตากระจ่างใส
“พิมพ์ไว้ใจพี่ไหม พี่รู้เรื่องแต่งงานไม่ใช่เล่นขายของที่เบื่อก็เลิก แต่ดูท่าพ่อแม่พี่คงไม่ยอม แม่ของพิมพ์ก็คงปฏิเสธไม่ได้ ถ้าเราจะค้านหัวชนฝาก็ทำได้แต่พี่ห่วงแม่ของพิมพ์ ท่านไม่สบาย”
นัยน์ตาของเธอคล้ายเด็กที่ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
“ผู้หญิงต่างก็อยากแต่งงานกับคนที่รัก อยากมีโมเม้นต์ที่ดีนั่นแค่ครั้งเดียว แต่ถ้ามันต้องเกิดขึ้นพี่ก็อยากให้พิมพ์มั่นใจในตัวพี่นะคะ ว่าพี่จะทำมันให้ดีที่สุด พี่รู้พิมพ์ไม่ได้รักพี่อาจจะแค่รู้สึกดี แต่พี่--”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาหวั่นไหวนิดๆ
“พี่--”
ศศิพิมพ์ยกมือขึ้นปิดปากเขา เป็นเธอเองที่ใจเต้นแรงและไม่พร้อมที่จะฟัง แต่เขากลับจูบเบาๆ ที่ปลายนิ้วเรียว หญิงสาวตกใจและดึงมือออกเขาจึงเอ่ยต่อ
“พี่คิดว่ารักพิมพ์เข้าแล้วล่ะ”
ใบหน้านวลซับสีเลือดทันใด เธอเกร็งเมื่อถูกเขาถึงตัวเข้าไปใกล้จนชิด และยังก้มหน้าลงมาอีกจนใกล้กันเกินกว่าครั้งไหน
“ให้โอกาสเราเริ่มต้นใหม่นะ ถึงจะข้ามขั้นไปหน่อยแต่พี่สัญญาพี่จะไม่ล่วงเกินพิมพ์ถ้าพิมพ์ไม่พร้อม พิมพ์อยากให้เราอยู่กันแบบไหนพี่จะไม่แย้ง จนกว่าพิมพ์จะมั่นใจ มั่นใจว่าใช่พี่ไม่ใช่ใคร”
เสียงพูดนั้นเบามีแค่เราที่ได้ยิน
ศศิพิมพ์มองสบตากับคนที่หายใจรดผิวแก้มเธอ มองค้นเข้าไปดวงตาคู่คมนั้น มันไม่มีสิ่งใดเลยที่ปิดบังซ่อนเร้น เขาพูดออกมาอย่างที่ใจคิดจริงๆ หญิงสาวผ่อนลมหายใจและไม่ขัดขืนเมื่อเขากดเธอให้แนบหน้าเข้ากับอกกว้าง
เป็นกอดที่ให้ความมั่นคงและอบอุ่น
เธอถอนหายใจยาวและเลิกเกร็งตัวกับอ้อมกอดนั้น เขาคงรู้สึกได้เพราะยิ่งกอดเธอไว้แนบอกแน่นขึ้นกว่าเดิม
ฉากแห่งความประทับใจนั่น จิรสุตาอัดคลิปไว้เรียบร้อย และแม้จะไม่มีเสียงพูดแต่เธอจัดการอัดเสียงพากย์ลงไปได้ เธอมั่นใจว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของพรีเซนเทชั่นงานแต่งที่โรแมนติกไม่แพ้งานไหนเลย!
หญิงสาวรีบกลับไปนั่งบนโซฟาข้างลุงและป้าพลางทำมือว่าโอเคแล้ว สุพนิตถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก จิรศักดิ์ที่ถูกภรรยาเกลี้ยกล่อมกึ่งบังคับให้มาช่วยพูดเหลียวมองสริพรและยิ้มให้
“ผมจะไม่ปิดบังนะครับว่าทำไมถึงอยากให้หนูพิมพ์แต่งงานกับเจ้าสิน หนูพิมพ์แกน่ารักจริงๆ เป็นใครก็คงอยากได้เป็นสะใภ้ ไอ้บ้านเราสองบ้านก็รู้จักกันมาก็หลายปี คุณก็เห็นว่าเราไม่ได้ขี้ริ้วจนน่าเกลียด”
“ฝ่ายฉันต่างหากล่ะคะคุณที่กลัวจะดีไม่พอ ก็อย่างที่คุณเห็นยายพิมพ์ก็ดื้ออยู่”
“ถ้าอย่างหนูพิมพ์เรียกว่าดื้อ ไอ้เจ้าสินนั่นคุณคงกลัวมันเลยล่ะครับ” จิรศักดิ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ สุพนิตที่ฟังมาแต่แรกเพราะเป็นการเป็นงานเลยอดหยิกเข้าให้ไม่ได้ที่ทำเป็นเล่น
“อย่าหาว่าพวกผมจับมัดมือชกเลยคุณพร เรื่องที่เกิดตอนนั้นผมเชื่อว่าไม่มีอะไร ลูกผมคงเมามากถึงได้เข้าห้องผิด ส่วนหนูพิมพ์ก็หลับเพราะยา ผมเชื่อว่าเด็กสองคนนั่นไม่ได้โกหก มันไม่มีอะไรเรารู้ แต่ชื่อเสียงของหนูพิมพ์ล่ะจะยังไง ไอ้ลูกชายผมก็เข้าออกบ้านนี้บ่อยๆ แถมครั้งนี้มาค้างอีกคนเขาจะมองว่ายังไงเราก็สุดรู้ อีกอย่างผมดูเด็กสองคนนี้คงไม่ผิด ก็คงคิดอะไรๆ กันอยู่ ลูกผมก็ใช่ย่อย ลองว่ามันไม่ชอบมันไม่ยอมหรอกครับ ได้ค้านหัวชนฝา ไม่มีหรอกครับไอ้นั่งนิ่งๆ เรียบร้อยๆ แบบนี้น่ะ”
สริพรฟังแล้วนิ่งไปอึดใจสุดท้ายก็ผ่อนลมหายใจเบาๆ
“ถ้าเด็กสองคนนั้นเขาตกลงปลงใจฉันก็ไม่มีข้อขัดข้องหรอกค่ะ แต่อย่างเดียวที่ฉันขอ ถ้ายายพิมพ์ไม่ตกลงอย่าบังคับแกเลยนะคะ”
จิรศักดิ์พยักหน้ารับก่อนมองสบตากับภรรยาอย่างโล่งใจ
ราวสิบนาทีสองหนุ่มสาวก็กลับเข้ามาในตัวบ้าน เป็นจิรสินที่เดินนำส่วนที่เดินตามต้อยๆ เข้ามาเป็นศศิพิมพ์
จิรสินนั่งลงที่เดิม ส่วนสาวเจ้าเข้าไปนั่งข้างมารดา
ว่าที่เจ้าบ่าวบอกผลการตัดสินใจ สริพรมองลูกสาวอย่างอยากให้พูดออกมาจากปากว่าตกลง แก้มสาวระเรื่อเมื่อตอบ และนั่นเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจริงๆ ก็ดังขึ้น
ชุดบ่าวสาวคงเป็นชุดเดิมที่ไปลองกัน
การ์ดเชิญที่เลือกค้างไว้จิรสุตาหอบหิ้วแบบมาพร้อมเพื่อให้ทั้งคู่ได้เลือกต่อ
สริพรยอมแพ้เมื่อฝ่ายพ่อแม่เจ้าบ่าวบอกว่ารายชื่อแขกฝ่ายเจ้าบ่าวเตรียมไว้เรียบร้อย คงเหลือแค่ฝ่ายเจ้าสาว แล้วสุพนิตก็คะยั้นคะยอให้เธอลิสต์รายชื่อญาติมา
สินสอดนั้นแม่เจ้าสาวแทบไม่ได้ตัดสินใจ เพราะจำนวนที่พ่อแม่เจ้าบ่าวบอกมานั้นถือว่าสูงลิบ เป็นสริพรเสียอีกที่ติงว่าเยอะไป แต่จิรศักดิ์กับสุพนิตบอกว่านั่นคือเงินเก็บลูกชาย แกมบังคับกลายๆ ว่าอย่าต่อให้น้อยลงไปกว่านั้นเลย
ส่วนเรื่องสถานที่ธีมงานนั้นให้เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวช่วยกันคิด ส่วนเรื่องการติดต่อออแกไนซ์ต่างๆ จิรสุตาจัดการไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้ว จะเหลือก็แค่บรีฟงานให้ไปจัดการ
จากเช้าจนมืด ครอบครัวจิรสินจึงได้กลับกัน
จิรสุตากลับพร้อมลุงและป้า จะเหลือก็ตัวว่าที่เจ้าบ่าวที่ยังรั้งท้าย ศศิพิมพ์เดินออกไปส่งเขา จังหวะหนึ่งที่ก้าวเคียงกันมือที่สัมผัสชายหนุ่มกุมกำไว้แน่น ครั้นหยุดเดินข้างตัวรถเขาก็มองใบหน้านวลที่อยู่ใกล้
ศศิพิมพ์ส่งยิ้มให้ไม่มีคำลา เธอยื่นมืออีกข้างไปกุมมือเขาตอบ เรายิ้มให้กัน จากนั้นเขาก็จากไป
หญิงสาวหมุนตัวกลับมาหลังยืนส่งเขาจนลับตา สะดุ้งโหยงเพราะเห็นมารดายืนมองเธอยิ้มๆ อยู่ที่หน้าประตู
“แม่” ในความมืดสองแก้มแดงก่ำเพราะความอาย
“รักเขาเข้าแล้วล่ะสินั่น” ถามแล้วก็ไม่ได้รอคำตอบ “ทำไมตอนแรกพิมพ์ปฏิเสธล่ะลูก กลัวอะไร”
“ไม่รู้สิคะ พิมพ์ก็แค่กลัว มันไม่มั่นใจ”
สริพรพยักหน้ารับ “งั้นตอนนี้มั่นใจแล้ว”
ลูกสาวส่ายหน้าแต่ยิ้มหุบไม่ลง คนเป็นแม่จึงได้แต่ยิ้มๆ เดินกลับเข้าบ้านพร้อมกันสองคน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มิ.ย. 2561, 20:20:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มิ.ย. 2561, 20:20:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 905
<< ๑๐ พันธะสัญญา (50%) | ๑๐ พันธะสัญญา -จบตอน- >> |