มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 12 (2) สายเลือดบูชายัญ

“เด็กเสียชีวิตแล้วค่ะ”

ผู้เป็นบิดารับศพทารกไว้ในอ้อมแขน สั่งทหารจับกุมผู้รับผิดชอบการทำคลอดไปเฆี่ยนตีเป็นการลงโทษ ส่วนแม่ผู้กำเนิดยิ่งไม่ต้องคิด เขาจะลงโทษนางอย่างที่เคยทำไม่ผ่อนปรน

“ท่านมัทธิอัส” สาวแรกรุ่นฝืนกายลุกจากที่นอน มานั่งหมอบต่อหน้าผู้ถือศักดิ์เป็นสามี นางไม่กล้าแม้แต่สบตาจึงยากคาดเดาอารมณ์ “ลูกเป็นยังไงบ้างคะ ท่าน”

“เจ้ายังเรียกมันว่าลูกอีกหรือ” โยนห่อผ้าเปื้อนเลือดลอยลิ่วมาตกใส่พื้นต่อหน้าผู้เป็นมารดา นางแหกปากกรีดร้องไม่เป็นภาษากลับกลายเป็นคนเสียสติ ซากเด็กทารกในห่อผ้าเป็นโรคแห่งความตาย ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่มารดาจำได้ว่าเป็นลูกตน “นี่ไม่ใช่ลูกข้า ข้าไม่ได้กำเนิดสัตว์ประหลาดแบบนี้”

“สัตว์ประหลาดคือลูกเจ้า” มัทธิอัสตะคอก

“เจ้าไร้ความสามารถ”

“ไม่นะ ไม่ใช่ความผิดของข้าค่ะ ท่านมัทธิอัส” นางยังปากดีเถียงคอเป็นเอ็น

“สามหาว จะหาว่าเป็นความผิดข้างั้นหรือ” ทุบกำปั้นแสดงอาการโกรธ แค่นั้นยังไม่พอ ไม่สาแก่ใจพอ เหยียดยิ้มที่นางปลุกจิตใต้สำนึกอันชั่วร้ายในตัวเขาตื่นแล้ว ทุกคนนั่งหมอบรู้สึกบรรยากาศห้องนี้น่ากลัวขึ้นชอบกล

“ยืนขึ้น”

“ตะ แต่ว่า นางเพิ่งคลอดลูก เกรงว่าจะไม่ไหว” นางหมอบท่านหนึ่งพูดแทรก จึงถูกทหารเข้ามาตบปากลงโทษ

“ยืนขึ้น นี่เป็นคำสั่งของท่านเจ้าเมือง เจ้าจะเพิกเฉยต่อคำสั่งใช่หรือไม่” ทหารนายหนึ่งกล่าว

ตามกฎหมายของอาณาจักร ผู้ใช้อำนาจสูงสุดตั้งตัวตนเป็นกฎหมาย คำสั่งท่านมัทธิอัสถือเป็นคำขาด ต้องปฏิบัติตามเท่านั้นไม่มีบิดพลิ้ว

หญิงสาวน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้รับความเป็นธรรม พยายามยันตัวลุกยืนขึ้น แม้ว่าเจ็บปวดรวดร้าวแทบตายเสียตรงนั้น ปล่อยน้ำสีโลหิตไหลลู่ตามเรียวขา เป็นใครที่ใจอ่อนต้องหันหน้าหนี ใครจะไปกล้าหือทรราชอยู่เหนือกฎหมายอาณาจักร

เมื่อถึงขีดจำกัดเท่าที่ร่างกายจะไหว สาวผู้โชคร้ายก็ล้มนั่งจมกองเลือดอยู่อย่างนั้น สร้างความไม่พอใจกับผู้ครอบครองเก้าอี้ตัวนั้นเสมือนบัลลังก์ เจ้าของอำนาจสูงสุด

“ข้าสั่งให้ยืนเจ้าก็ต้องยืน สั่งให้เห่าก็ต้องเห่า แต่วันนี้เจ้ายืนยังไม่ไหวเลย เท่ากับไร้ประโยชน์ ข้าไม่ต้องการเจ้าอีกต่อไปแล้ว ทหาร” เขาตัดเยื่อใย พร้อมทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องตามคำบัญชา สาวเหมือนเห็นจุดจบของตน จึงรีบรุดคลานเข้ามาเกาะขาผู้เป็นสามี

“โปรดอย่าทำกับข้าแบบนี้ เมื่อวันก่อนท่านบอกรักข้า ข้าก็รักท่าน จำได้ไหมคะ”

น้ำตาของสาวผู้น่าสงสารตรงหน้าไม่มีผลต่อหัวใจมัทธิอัส มือกระชากหน้านางเข้ามาใกล้ให้เห็นเบื้องลึกของความน่ากลัวซ่อนอยู่ภายในดวงตาของเขา “ข้ารักเมียทุกคน บอกชอบนิดบอกรักหน่อย พวกเจ้าแทบยอมสยบเป็นของข้า ดังนั้นอย่าลำพองใจไป หน้าที่ของเจ้าคือกำเนิดทายาทเท่านั้น”

“ความล้มเหลวย่อมมีการลงโทษ ทหารจะจับเจ้าไปเป็นของเล่นให้กับ ไคเมียร่า* สัตว์เลี้ยงน่ารักของข้า”

ได้ฟังบทลงโทษแล้วตัวแข็งทื่อ ปัสสาวะราด ทหารหิ้วปีกนางผู้โชคร้ายไปจากเขา สวนทางกับผู้ชายท่านหนึ่งเพิ่งเข้ามาในห้อง

“ท่านไธด์ โปรดช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย” ทว่านักบุญไธด์กลับนิ่งเฉย กระทั่งเสียงนางหายไปจากห้องพร้อมบทสวดมนต์ที่ดังขึ้นจากนางหมอบทั้งหลาย ทำหน้าที่ดูแลบรรดาเมียของท่านเจ้าเมือง ถูกจับขังไว้ที่ชั้นใต้ดิน
ฉะนั้นสาวงามทำหน้าที่ผู้กำเนิดทายาทให้มัทธิอัสมีพร้อมให้ใช้ตลอดเวลาไม่ขาดสาย เขาเบื่อหน่ายกับความล้มเหลวการกำเนิดทายาท พวกนางตั้งครรภ์เป็นจำนวนมากกี่คน เด็กเกิดมาตายทุกรายด้วยสาเหตุโรคแห่งความตาย

“อิทธิฤทธิ์ในคำสาปร้ายแรงขึ้นทุกวัน ฉะนั้นท่านระงับแผนกำเนิดทายาทเถอะขอรับ จนกว่าวิสตาร์เรียได้รับการปลดปล่อย” สิ้นคำปลายแหลมคมของดาบหันมาจี้ลำคอนักบุญ ไธด์ไม่หวาดหวั่นต่อคมดาบพร้อมตัดชีวิตได้ทุกเมื่อ

“ข้าไม่มีวันยอมแพ้ต่อคำสาป ช่างคำทำนายปะไร แผนกำเนิดทายาทต้องมีต่อไป”

มัทธิอัสใช้อำนาจทางทหารช่วงชิงอำนาจสูงสุดในอาณาจักรเป็นของตน เป็นท่านเจ้าเมืองตั้งแต่ยังหนุ่ม สานความฝันสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ในฉบับของตัวเอง วิสตาร์เรีย ต้องเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่ง เป็นที่เล่าขาน สืบต่อไปทั่วแผ่นดิน คำสาปช่วยกำจัดผู้อ่อนแอ กวาดล้างฆ่าผู้ที่อาณาจักรไม่ต้องการ ความปรารถนาสูงสุดคือการกำเนิดทายาทเพื่อถ่ายทอดเจตนารมณ์

“ข้าจะใช้นางเป็นผู้กำเนิดทายาท” เขากลับมองความร้ายกาจของคำสาปเป็นลางดีด้วยซ้ำไป

“ท่านหมายถึง...” ไธด์ถาม

“เครื่องบูชายัญ สาวงามผู้เกิดมากับต้นไม้” เขาไม่เคยมั่นใจต่อเจตนารมณ์เท่านี้มาก่อน จึงออกคำสั่งทหารให้
ส่งคนออกไปตามล่าเครื่องบูชายัญให้มากขึ้น พร้อมตามล่าหาตัวอีกคนหนึ่ง



“เราต้องหาให้พบ ต้องทำลายเครื่องบูชายัญ”

“เครื่องบูชายัญ” เรเวนฟังแล้วสะเทือนใจไปถึงส่วนของกานติศา แผลเป็นหลังหูมีปฏิกิริยาอาการแสบร้อนไม่นานก็หายไปจึงถามต่อ

“ถ้าทำลายสิ่งนี้ จะช่วยล้างคำสาปได้หรือขอรับ”

จิลเลี่ยนจะอธิบายแก้ความเข้าใจผิด เครื่องบูชายัญไม่ใช่สิ่งของเป็นชีวิตมนุษย์ถูกได้รับเลือก แต่ก็ไม่ทันการเพราะเจ้าของโรงเตี๊ยมได้ก้าวเข้ามาเจอคนแปลกหน้าพอดี กับสีหน้าโกรธน่ากลัวพอๆกับอดีตภรรยาล่วงลับ

“เจ้าขโมย มาทำอะไรในโรงเตี๊ยมข้า” จับไม้ยาวเข้ามาไล่ตีจนวงแตกกระเจิง สนทนาแบบเข้าด้ายเข้าเข็มจำเป็นต้องถูกระงับไปก่อน จิลเลี่ยนก้าวกระโดดข้ามหน้าต่างด้วยขาปลอมทั้งสองข้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ข้าเปล่าขโมย แค่ผู้เร่ร่อนเข้ามาขอน้ำดื่มเท่านั้น”

เรเวนก้มหน้ารับคำต่อว่าจากเจ้าของใจยักษ์ เรียกเหรียญเงินเพิ่มเป็นค่าน้ำ การสนทนาระหว่างพวกเธอยังไม่จบดันถูกขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน เป็นความเสียดาย แต่ก็พบเรื่องราวดีๆในวันรุ่งขึ้นจากลูนาร์ หลังจากเธอขอตัวไปนอนพักหลังเฝ้าไข้ตลอดทั้งคืน เอเดรียนสามารถลุกจากที่นอนได้ด้วยตัวเอง อาการเขาหายเร็วผิดปกติต่างจากที่คิดไว้มาก กลับอารมณ์ไม่ค่อยดีตาขวางใส่เธออย่างขุ่นเคือง

“อย่าทำแบบนี้อีก อย่าบริจาคเลือดให้ข้าหรือใครอีก” เขาหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ไม่พอใจผลลัพธ์การช่วยชีวิตครั้งนี้ “ข้าไม่ต้องการเลือดเจ้า”

ไม่ยุติธรรมมาโดนเขาพูดใส่อารมณ์แบบนี้

“ไม่รู้คุณโดนตัวไหนมา แต่สถานการณ์คืนนั้นคุณกำลังตายเพราะเสียเลือด จะให้ฉันปล่อยคุณตายโดยไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ ฉันทำไม่ได้”

“เจ้าควรปล่อย ข้าตายดีกว่าต้องใช้เลือดเจ้า กานติศา” เลือดนางไหลเวียนในตัวเขาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ดุจดั่งน้ำวิเศษมอบความมีชีวิตชีวาในทะเลทราย มอบพลังแรงกำลังมหาศาลจวนระเบิดเป็นจุติ

เลือดนางอันตราย เยี่ยวยาสิ่งมีชีวิตได้ทุกสิ่ง นางควรปล่อยให้เขาตาย สาบานได้

“เลือดฉันมันสกปรกขนาดคุณถึงกับรังเกียจชิงชัง ฉันไม่เหมือนไดอาน่าของคุณนี่”

เห็นว่านางโกรธจะหลบหน้าเขา ทันทีได้ยินชื่อบุคคลที่สาม คราวเขานิ่งเฉยไม่ได้ ใช้แรงรัดกอดรั้งสาวตัวเล็กด้านหลังไม่ให้หนีไปไหนตามใจ จึงเห็นว่ายามงอนนางดื้อดึงไม่เบา พยายามขัดขืน เห็นดวงตากลมโตกลับมีน้ำตาคลออยู่ เห็นแล้วใจโอดโอนอ่อนผ่อนกำลัง “จะไปเรียกชื่อคนไม่รู้จักได้ยังไง”

“คนไม่รู้จัก”

“ถึงอธิบายไปก็ฟังเหมือนคำแก้ตัว แต่ข้ายืนยันว่าไม่รู้จักนาง” ถ้าหมายถึงสาวผมยาวหยักศกมีดวงตาสีแพลทินัม เรียกชื่อเขา เอเดรียนมั่นใจว่าไม่เคยเห็นนางมาก่อน กับตัวเขาเองในความทรงจำ ทั้งคู่กล่าวคำรักซึ่งกันและกัน เหมือนภาพในความทรงจำไม่ใช่ของจริง ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เขาแน่นอน

“ข้าไม่เคยเจอนางมาก่อน”

ทำไมต้องเสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง พูดไปเท่ากับกวนน้ำให้ขุ่น ไร้ประโยชน์ ไม่มีความสำคัญจะต้องรื้อฟื้นมาพูดอีก ชิ้นส่วนความทรงจำปริศนาไม่มีความหมาย เอเดรียนอยากจะลบมันออกไปตลอดกาล

พวกเขาออกจากโรงเตี๊ยมฐานะเจ้านายกับทาส ไม่มีการพูดจาระหว่างกัน ความบาดหมางก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนลูนาร์สัมผัสได้ หุบปากตนให้สนิทซ่อนตัวในเสื้อกานติศาเหมือนเดิม ใบหน้ามุ่ยเธอคิดโทษตัวเองยอมถูกปั่นหัวหัวหมุนจนว่ายน้ำหาทางออกไม่ได้ บางทีควรแยกจากเขาไปตั้งแต่เนินๆ

“นะ น้ำ” เด็กชายอายุไม่เกินแปดขวบคลานเข้ามาเกาะขาหนุ่มทาส เรเวนตกใจเผลอเหยียบเท้าเด็กเข้า จึงก้มลงไปดูอาการ “ขอโทษนะหนุ่มน้อย เจ็บหรือเปล่า”

“น้ำ หิวน้ำ” เมื่อเด็กได้รับน้ำป้อนเข้าทางปาก ก็เอ่ยขอบคุณพี่ชายใจดี เรเวนแปลกใจสภาพร่างกายซูบผอม แต่ท้องโตเหมือนเป็นโรคขาดสารอาหาร บริเวณข้อมือและข้อเท้ามีเนื้อพุพองเน่าเปื่อย ราวถูกไฟลวก ยังส่งกลิ่นคลุ้งเหม็นเน่า เธอได้ยินเสียงร้องอุทานมาจากเสื้อ

“เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เธอเป็นโรคแห่งความตาย” เขาส่ายหน้า เพิกเฉยมากกว่าพยายามเอาใจใส่ช่วยเหลือ

“ควรส่งเด็กไปให้ท่านจิลเลี่ยนลองรักษาดู”

“รักษาด้วยวิธีไหน ตัดแขนตัดขา เจ้าคิดว่าเด็กอยากมีชีวิตอยู่แบบคนพิการหรือเปล่า”

การโต้เถียงกับเอเดรียนช่วงอารมณ์ไม่ดีเป็นตอนที่เธอค่อนข้างเกลียด การวางท่าทำใส่กิริยา น้ำเสียงห้วนแสนรวบรัด ไร้ความใส่ใจ แต่พอลองนึกถึงแทนเด็กก็ไม่อยากถูกตัดแขนตัดขาเพื่อรักษาชีวิต ท่านจิลเลี่ยนเองยังบอกเอง การตัดอวัยวะป้องกันการลุกลามได้ก็จริง ยังมีโอกาสโรคร้ายกลับมาเล่นงานอีกครั้ง

“เจ้าว่าอะไรนะ” เขามีสีหน้าตกใจสุดขีด

“เอเดรียน ท่านรู้เรื่องคำสาปกับเครื่องบูชายัญไหมคะ” หยิบเรื่องนี้มาถามทำไมเอเดรียนต้องตกใจผวาขนาดนี้ นิ่งใบ้กินต้องย้ำเรียกชื่อเขาอีกครั้งเขาจึงครองสติได้

จงสังเวยเครื่องบูชายัญ ใช้เลือดนางถึงหยดสุดท้ายมาลบล้างคำสาป

พลางย้อนรอยนึกถึงตอนที่เขาต้องเผชิญพูดความจริงกับอาจารย์ ตอนถูกจับได้อาการฟื้นตัวจากการบาดเจ็บ หายเร็วผิดปกติผิดมนุษย์ ตามธรรมชาติใช้เวลาฟื้นฟูถึงสิบยี่สิบวัน กรณีเขาหายเร็วเป็นปกติภายในคืนเดียว

‘เจ้าฟื้นตัวเร็วไปนะ เหมือนได้รับยาวิเศษ เลือดเจ้าทาสมันอะไรกันนะ’

เป็นไปไม่ได้ที่ได้รับเลือดธรรมดาแล้วฟื้นตัวเร็วสามารถลุกจากเตียงเอง มองมุมไหนก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้นอกจากเลือดเจ้านั้นมีสิ่งพิเศษ

‘หรือว่า เจ้าทาสนั้นคือ...’ ใบ้รับประทานเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ไม่พอใจชักดาบออกจากฝัก

‘หยุดคิด หรือแม้แต่เอ่ยจะพูด’

'จะ เอาชีวิตข้าเพราะเรื่องนี้จริงหรือ'

‘ข้าแค่อยากปกป้องเท่านั้น’ ต่อหน้าอาจารย์ที่รู้สึกสำนึกบุญคุณน้ำหนักดาบโลหิตที่ถือหนักกว่าปกติ แต่ความหนักแน่นความมุ่งมั่นเพื่อปกป้องใครหนึ่งย่อมมีมากกว่ายอมแพ้

ตามคำทำนาย เลือดนางเหมือนยาวิเศษและพลังแห่งการฟื้นฟู ชะตากำหนดเป็นผู้เสียสละเพื่อเยี่ยวยาอาณาจักรวิสตาร์เรีย ในเมื่อเขาไม่รู้จะแก้ไขสภานการณ์ตรงนี้อย่างไรนอกจากคำโกหกเท่านั้น

“เครื่องบูชายัญ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” เอเดรียนตอบกานติศาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย

เป็นเพราะเธออยู่กับเขามานาน ถึงได้รู้ว่าเขากำลังโกหก

“ตะ แต่ว่าฉันปล่อยเด็กไปไม่ได้” เด็กสาวในอ้อมแขนลมหายใจรวยริน หน้าซีด มือกำนิ้วเธอเป็นที่พึ่ง “เด็กคนนี้กำลังจะตายนะคะ เอเดรียนท่านไม่นึกสงสารเด็ก ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“ข้าไม่รู้สึก” เขาชี้มือไปที่อกด้านซ้าย แววตาเย็นชา ประโยคพูดต่อมาทำเอากานติศาเสียใจที่ตนไปปันความรู้สึกให้ “ตรงนี้ที่เจ้าถามหา มันตายไปนานแล้ว มันไม่รู้สึกอะไรแล้ว”

ในใจเขาเติมเต็มไปด้วยไฟผลาญ เคียดแค้นระหว่างตัวเขาเองกับอาณาจักรวิสตาร์เรีย มีแต่มากขึ้นทุกวันนับตั้งแต่เขาก้าวผ่านพ้นประตูนั้นมา

เด็กสาวแน่นิ่งในอ้อมแขนไปแล้ว ตายจากไปพร้อมความรู้สึกระหว่างเธอกับเขา อยากร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาเหลืออยู่อีก ถึงหลั่งออกมาก็ป่วยการ ยังไงเขาไม่มีวันเปลี่ยนใจ



กว่ารู้ตัวอีกทีเธอได้ก้าวตามเอเดรียนเข้าไปในซอกหินในภูเขา เผยเส้นทางลับยาวเข้าไปในถ้ำ ทางเดินคับแคบ ทำให้ผู้เป็นโรคกลัวที่แคบกลัวกว่าเดิม มือจับยึดผ้าคลุมเขาเป็นที่พึ่ง ลักษณะหินงอกหินย้อยสวยงามช่วยลดความกลัวลงไปบ้าง และเขาไม่หันมาพูดอะไรกับเธออีก เธอก็ไม่ได้ถามอะไรเขาเช่นกัน

“พี่สาว ลูนาร์กลัวท่านพ่อ ปกติไม่เย็นชาขนาดนี้” ลูนาร์หันมากระซิบกระซาบ หลังฟังผู้ใหญ่สองคนโต้เถียงกันมาสักพักก็ รู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย “ไม่ถามถึงรอธดีนอีกเลย เป็นไปได้ไหมว่า...ท่านพ่อ”

นั่นสิว่าทำไมเธอไม่คิด เขาไม่พูดถึงเด็กอีกเลยตั้งแต่รอธดีนหายตัวไป ผสมโรงกับความเย็นชาและบรรยากาศในถ้ำค่อนข้างน่ากลัวมันชวนให้คิด เธอเดินตามแผนหรือหลุมกับดักเขาตั้งใจขุดหลุมไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กที่หายไปเป็นส่วนหนึ่งของแผน

“นี่เรากำลังจะไปไหนคะ บ้านรอธดีนอยู่ทางนี้เหรอคะ” เอ่ยเสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ความเชื่อใจสั่นคลอน แล้วมันถูกทำลายด้วยคำพูดมาจากหัวใจสีดำ

“เปล่า ข้ากำลังพาเจ้าไปที่ปลอดภัย นึกว่าลืมเจ้าเด็กไปแล้วเสียอีก”

“ที่นั้น เจ้าจะปลอดภัยไม่มีอันตรายทำอะไรเจ้าอีก”

“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่เข้าใจ คุณต้องการปกป้องฉันจากอะไร อันตรายแบบไหนที่คุณพูด”

กานติศาก้าวถอยหลังลงบันไดคล้ายหนี มองไม่เห็นอันตรายตรงตามที่เอเดรียนพูด เขานี่แหละคืออันตรายของจริงเสียงจริง ไม่มีคำตอบใดๆมาจากริมฝีปากที่เหมือนการเหยียดยิ้มเล็กน้อย หรือสาวอาจจะคิดไปเองก็ได้ ปัญหาคือใจเธอวิ่งเตลิดเปิดปิงไปให้ไกลจากถ้ำแล้ว และร่างกายกำลังจะตามไป

“ตอบไม่ได้ เพราะมันไม่มี เป็นแผนหลอกใช่มั้ย”

“แผนหลอกอะไร เจ้าสัญญากับข้าแล้วว่าจะไม่ไขว้เขว เชื่อใจข้า” เอเดรียนเน้นย้ำสัญญาที่นางเคยให้ไว้

“ไว้ใจอะไร ฉันไม่เชื่อคุณอีกแล้ว” เธอก้าวลงบันไดถี่ และเงาดำอีกคนยังก้าวลงตามไม่หยุด หากออกตัววิ่งหนี เธอคงสู้ความเร็วเขาไม่ไหว “คุณนั้นแหละไม่ไว้ใจฉัน เพราะไม่เคยบอกอะไรฉันเลย เอเดรียน ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”

“หายไปสามปี เจ้ากลับมาทำไม”

ตอนนั้นนางควรหายไปจากชีวิตเขา อยู่ให้ห่างจากเขาเพื่อความปลอดภัยตัวนางเอง แต่กานติศาเลือกกลับมา เข้ามาอยู่ในสายตาอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องรั้งเหนี่ยวตัวกานติศาไว้ในพื้นที่ปลอดภัย ด้วยวิธีจองจำหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เชื่อมั่นว่าไม่มีใคร สิ่งใดมาแตะต้องตัวกานติศาแม้แต่ปลายนิ้ว

“ไม่ได้อยากกลับมา ถ้ามีทางเลือก ฉันจะไม่กลับมาให้คุณเห็นอีก” กานติศาไม่รู้สตาร์ทเครื่องออกตัววิ่งตั้งแต่ตอนไหน วิ่งจนรองเท้าหลุดไปข้างหนึ่งสาวยังมุ่งมั่นวิ่งหนีต่อไป

อยู่ไกล ไร้กังวล ใจกลับเพรียกหา

อยู่ใกล้ อยากคุมขัง จิตทวงความแค้น

เอเดรียนหยุดฝีเท้าตามนางไป ลูนาร์ลูกสาวกลับโผล่กางแขนขวางทางด้วยสีหน้าหวาดกลัวต่อผู้มีพระคุณ
“ท่านพ่อปล่อยพี่สาวไปเสียเถอะ”


กานติศาหาทางออกมาจากปากถ้ำได้สำเร็จ หยุดพักหายใจหลังทนอึดอัดกับที่แคบ แสงอาทิตย์เจิดจ้าแหยงเข้าตาจนหยีตา ไร้วี่แววเอเดรียนไม่ออกมาตาม แทนที่ควรจะโล่งใจความโดดเดี่ยวว่างเปล่ากลับตอกย้ำให้เจ็บใจแทน

อนุสาวรียสีน้ำเงินสมบูรณ์เมื่อเทียบกับเขตสีอื่น เธอวิ่งเข้าไปในรวงร้านหลายร้านตามหาเด็กชื่อ รอธดีน ล้วนตอบเธอว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ จนหมดเรี่ยวแรงใจจึงนั่งพักอยู่แถวขั้นบันไดเพราะความหิวโหยทำสงครามไม่หยุด สาวลืมเรื่องการกินเพื่อดำรงชีพไปสนิท ล้วงมือในกระเป๋าไม่พบเศษเหรียญคาดหวังว่าโชคดีเหรียญถูกโยนลงกระเป๋าไม่รู้ตัวพอดี

กานติศายกมือไหว้ขอโทษผู้คนบนฟ้า พ่อแม่ ครอบครัวปลูกฝั่งคำสอนให้ทำแต่ความดี ลงมือขโมยเศษเหรียญหล่นจากกระเป๋าผู้แต่งตัวดีมีฐานะ กลัวถูกจับได้จึงหลบเข้าไปในโรงเบียร์ กลิ่นขนมปังจากเตาอบหอมกรุ่นชวนน้ำลายสอ โต๊ะกลมหลายสิบโต๊ะมีคนนั่งจับจองกันหมดแล้ว เธอในคราบเด็กหนุ่มมอมแมม คงไม่มีใครยินดีร่วมโต๊ะ จนกระทั่งพนักงานบริการออกปากไล่ไปนอกร้าน แล้วมีชายหนุ่มใจดีที่โต๊ะริมหน้าต่างบอกให้เธอร่วมโต๊ะกับเขาได้

“ท่านไธด์ จะดีหรือขอรับ”

ทีแรกสาวลังเลว่าจะร่วมนั่ง เมื่อขนมปังที่เขาลงมือทานยั่วยวนเหลือเกิน รอยยิ้มเป็นมิตรคะยั้นคะยอให้เธอยอมนั่งลงในที่สุด นั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มใจดีบังเอิญเป็นคนเดียวกับผู้ชายที่จตุรัสสีเขียว ผู้ยืนเคียงข้างท่านเจ้าเมืองโหดเหี้ยม เขามีผมเป็นสีทองอ่อนเกือบเป็นสีเงินประกาย นัยน์ตาสีฟ้าสด ใส่ชุดเหมือนนักบุญสีขาวบริสุทธิ์ไม่เคยแปดเปื้อนด้วยกิเลสตัณหา มีดหันขนมปังอย่างมีสมาธิ รูปลักษณ์ของคนนี้เหมือนแสงสว่างในวันที่แย่ที่สุดใน พออยู่ใกล้ ความไม่สบายใจก่อนหน้านี้ก็มลายหายไป ราวมีพลังงานอะไรบางอย่างสิงอยู่อย่างนั้นแหละ

ทั้งสองทานอาหารอย่างเงียบกริบ กานติศาลอบดูสงสัยทำไมคนอย่างเขาไปอยู่กับคนใจร้ายอย่างมัทธิอัส หลุบตาลงเมื่อไธด์จับได้ว่าถูกมองจึงวางมีดลงบนจาน เท้าคางเป็นฝ่ายดูเธอเสียเอง

“ทานขนมปังให้อร่อย เจ้าต้องเริ่มกินจากด้านในก่อน” เมื่อเขาเห็นว่าคนตรงหน้าลงมือทานขนมปังตามคำแนะนำอย่างว่านอนสอนง่าย ดูน่าสนใจ “เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน”

“ข้าชื่อ กะ เรเวน ขอรับ มาจาก” เธอไม่ได้เตรียมข้อมูลรายละเอียดไว้

“เรเวน เป็นชื่อไม่เหมาะกับเจ้าเท่าไร”

เธอวางขนมปังทันที ไม่แน่ใจตนหูฝาดไปหรือเปล่า ในน้ำเสียงผู้ชายใจดีแนวกึ่งประชดประชัน

“เหลือเวลาไม่มากแล้ว เจ้าควรไปจากที่นี่ก่อนที่เขาหาตัวเจ้าพบ กานติศา”

กานติศา

เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ล้มคว่ำเรียกสายตาทุกคนภายในโรงเบียร์หันเหมาสนใจเธอเป็นตาเดียว ส่วนเธอจ้องผู้นั่งตรงข้ามเหมือนสัตว์ประหลาด พร้อมรู้สาเหตุของรอยยิ้มที่จตุรัสสีเขียว เพราะเขารู้ความลับเธอต่างหาก

“รู้ชื่อฉันได้ไง”



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2561, 00:39:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2561, 00:39:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 521





<< บทที่ 12 (1) สายเลือดบูชายัญ   บทที่ 13 (1) ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account