มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 13 (1) ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส

13 ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส

ท่านไธด์รู้แม้กระทั่งชื่อจริง

“ไม่สำคัญว่าข้ารู้ได้ไง” เขาดึงนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวติดกัน เกรงว่าจะเป็นเป้าสายตาทุกคนในร้าน ปากเขากระซิบใกล้ดวงหน้ามากเกินความจำเป็น

“เจ้าควรไปจากเอเดรียนรีบกลับบ้านดีกว่านะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก”

“กลับบ้าน คุณหมายความว่ายังไง” สัญชาตญาณบอกว่าท่านไธด์ไม่ใช่คนขาวใสสะอาดเหมือนชุดสวมใส่ นอกจากรู้ความลับเธอแล้ว ยังรู้จักเอเดรียนอีกด้วย

“บ้านเจ้า ห้องนอนของเจ้า ใกล้เวลาตื่นนอนแล้วนี่” ยิ้มมุมปากพลางแสดงทำท่ายกข้อมือขึ้นมาดู “บ้านเจ้าเรียกกันว่ นาฬิกาปลุก”

นาฬิกาปลุก ชาววิสตาร์เรียจะไปรู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร

กานติศาอยากจะลุกยืนขึ้นแล้วหายตัวไปจากตรงนั้น แม้แต่การขยับนิ้วเท้าก็ยังมิสามารถทำได้ เพราะมือไธด์จับตัวเธอไว้แน่นมาก เล็บมือจิกเข้าที่เนื้อหัวไหล่ ชายผู้นี้มีแรงมากกว่าสรีระร่างกายบอบบางอย่างที่เห็น รู้ว่าเธอมาจากไหน รู้จักบ้านแม้กระทั่งข้าวของที่ใช้ รู้เรื่องสาวนอนหลับและเข้าฝันข้ามภพมายังที่นี่

“คุณเป็นพระเจ้าในจินตนาการของฉันหรือเปล่า”

ท่านไธด์ถึงกับสะดุดหัวเราะ กับความคิดบทสรุปออกมาตลก หากเป็นเวลาปกติเธออยากตลกร่วมหัวเราะกับเขาด้วย

“พระเจ้าเป็นอะไรที่อยู่ตรงกันข้ามกับตัวข้าเสมอ ท่านเกลียดข้าด้วยซ้ำ”

กานติศาไม่เข้าใจความหมาย อันที่จริงทุกเรื่องทุกอย่างในโลกนี้ช่างไร้เหตุผล ส่วนท่านไธด์เองอาจจะเป็นหนึ่งในตัวละครประหลาดในจินตนาการก็ได้

“ทำไมคิดว่าข้าเป็นจินตนาการที่เจ้าสร้างขึ้น ความฝันของเจ้า พออ่านความคิดเจ้ามันตลกดี” พูดไปมือจัดการขนมปังของกานติศาที่เหลือ “เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเลย เดามั่วซั่วไปทั่ว”

“แล้วท่านเป็นใครกันแน่ ทำไมรู้จักฉัน เอเดรียน ไม่ใช่แค่นี้ ท่านยังรู้ว่าฉันมาจากไหน”

“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับเอเดรียนมากน้อยแค่ไหน ตามเขาทั้งที่ควรหนีไปให้ไกลที่สุด” หน้าตายิ้มแย้มเมื่อครู่ได้หายไปถูกความเครียดเข้าแทนที่ เปลี่ยนเป็นคนละคน

“เขาไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลย จุดประสงค์ที่พาเจ้ามาที่นี่”

อย่างที่เขาว่า เอเดรียนไม่เปิดเผยบอกข้อมูลอะไรเลย ทีแรกเขาปฏิเสธจะไม่พาเธอมาที่นี่ แล้วจู่ๆก็เปลี่ยนใจกะทันหันยอมมากับเธอในที่สุด อะไรดลใจเขาพลิกลิ้นยอมมาที่ที่อันตรายที่สุด

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“สร้อยสีทองที่เขาพกติดตัว เจ้าจะเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างว่าทำไมเจ้าไม่ควรเข้ามา”

หมายถึงนาฬิกาสีทองที่เอเดรียนพกติดตัวตลอดเวลาหรือ บางโอกาสเขาหยิบขึ้นมาดูโดยไม่ให้เธอเห็น ทั้งที่เธอมักแอบลอมมองเขาอย่านึกสงสัยลับหลัง

มีความลับอะไรในตัวนาฬิกา

“วันนี้ข้าใจดีและให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง รีบหาทางกลับบ้านแล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก มิเช่นนั้นข้าต้องใช้วิธีการทำเจ้าต้องเสียใจ”

ไธด์ไปจากร้านอาหารแล้ว ทิ้งเธอนั่งอยู่คนเดียว สายตาเหม่อลอยมองออกไปหน้าต่าง นึกถึงคำเตือนเมื่อครู่

‘ยังมีอีกคนหนึ่งอยากให้ระวัง ท่านมัทธิอัสตามหาเจ้าอยู่ อยู่ให้ห่างจากคนนั้น เขาจะทำชีวิตเจ้าเหมือนตกนรก’



นานาอารมณ์โจมตีกันให้วุ่นหลายเรื่องกวนใจ ปริศนาการหายตัวไปของรอธดีน เอเดรียนต้องการอะไรจากเธอ รวมไปถึงความลับของท่านไธด์ หลายอย่างรวมกันตีกันยุ่งเหยิงสับสนไปหมดจนไม่รู้เริ่มปะติดปะต่ออย่างไรดี เธอจะปล่อยวางเรื่องทั้งหมดแล้วออกไปจากอาณาจักรได้หรือ เพื่อกลับบ้านแล้วลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น

ทำไมท่านมัทธิอัสถึงตามหาเธอ

กานติศาดีใจที่ตามหาร้านค้าถูกปิด ติดป้ายสัญลักษณ์เป็นรูปดาบทหาร เบาะแสเดียวความเป็นไปได้ เชื่อว่าร้านนี้เคยเปิดรับตีดาบให้พวกทหารมาก่อน ณ จัตุรัสสีน้ำเงินตามที่รอธดีนเล่า ดูจากสภาพร้านเหมือนไม่มีคนอาศัยอยู่แล้ว กานติศาลองเคาะประตูดู พบว่าไม่ได้ถูกล็อค หรือมันผุกร่อนไปตามเวลา

“มีใครอยู่หรือเปล่าขอรับ”

ความเงียบเป็นคำตอบ จึงลองผลักประตูซึ่งไม่ได้ล็อคเข้าไปด้านใน ห้องขนดากลางส่งกลิ่นอับ ไร้อากาศถ่ายเท จึงเปิดหน้าต่างออกบานหนึ่งเพื่ออากาศถ่ายเทสะดวกขึ้น เปิดทางแสงสว่างจากข้างนอกสาดส่องเข้ามาถึงด้านในจึงเห็นว่ามีประตูกั้นห้องอีกสองบาน กานติศาเห็นร่องรอยความเป็นอยู่ของครอบครัวกลุ่มหนึ่ง โต๊ะกินข้าวยังมีจานชามว่างอยู่ และมีเศษอาหารถูกจำพวกหนูแมลงแทะกินมากมายกายก่องเป็นภูเขาเลากา

เดินอ้อมสิ่งสกปรกเหล่านั้นเข้าไปในอีกห้องหนึ่งซึ่งมีแต่อาวุธมากมายห้อยแขวน เป็นห้องตีดาบเก็บอุปกรณ์ต่างๆ พลันก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ต้นเสียงมาจากห้องติดกัน ซึ่งเป็นห้องนอนมีเตียงคลุมด้วยผ้าห่ม ปัญหาคือสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มเคลื่อนไหวนี่สิ

ใจสาวเต้นตุ้บๆ นึกสภาพสาวโดดเดี่ยวในหนังผี เธออยู่ในสภาพแบบนั้นแหละ อาศัยความกล้ามาจากไหนดึงผ้าห่มออก มีตัวอะไรบางอย่างกระโดดใส่หน้าฉับไว กานติศาใช้แขนปัดป้อง มันเคลื่อนไหวเร็วมากเข้าไปใต้เตียง ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม อกกระเพื่อมหายใจไม่ทัน ตาเพ็งเล็งมองเข้าไปใต้เตียงมองหาตัวเหตุ

แล้วมันว่างเปล่า หายไปไหน เหลือบขึ้นมองไปที่เตียงพบสภาพศพเหลือแต่กระดูก เป็นศพผู้หญิงดูจากเสื้อผ้าสวมใส่ คาดว่าตายมานานแล้วด้วยโรคแห่งความตาย นางคือใคร

“กรี๊ด” มีมือเข้ามาปิดปากเธอจากด้านหลัง ล็อคตัวเธอไว้

หรือเป็นเอเดรียน

“อย่าตกใจสิหนู เดี๋ยวทหารแห่เข้ามาหรอก” ฟังจากเสียงไม่ใช่เอเดรียนแน่นอน กานติศาเป็นอิสระเห็นว่าเป็นผู้ชายแก่รูปร่างอ้วนมีอาการตกใจไม่แพ้กัน “เจ้าเป็นใคร ไยเข้ามาที่นี่ได้”

“อะ เอ่อ ข้าเห็นประตูมันเปิด เลยเข้ามา ท่านรู้จักรอธดีนหรือเปล่าขอรับ”

“ระ รอธดีน” ชายแก่ลูบหัวล้านตนเองทวนชื่อเด็ก จำไม่ได้เสียที

“นางเป็นแม่รอธดีน สามีนางเป็นนายพรานอยู่ในป่า” เธอชี้ไปทางศพ หวังว่าจะจำได้ให้คำตอบโดยเร็ว ชายแก่ก็ตอบไปตามความจริงทำเอาหน้าชา

“สามีนางเป็นนายพรานไม่กลับมาหลายปี คงตายไปแล้วนั้นแหละ ข้าเป็นเพื่อนบ้านถึงมั่นใจ ผัวเมียคู่นี้ไม่มีลูกนะ”

ไม่มีลูก ถ้างั้นรอธดีนเป็นใครล่ะ หรือเธอมาผิดบ้าน

สัตว์ประหลาดตัวป่วนที่หายไปกระโดดลงจากเพดานมาเกาะคอของชายแก่ มันเกิดขึ้นเร็วมาก เขากรีดร้องโหยหวนเนื่องจากมันกัดกินเนื้อเยื่อต้องออกร้องความช่วยเหลือ กานติศาเข้ามาช่วยดึงสัตว์ประหลาด ด้วยความที่มันว่องไวและดื้อเกาะติดเป็นตังเมไม่หลุด สบตาสัตว์ประหลาดมันเข้าอย่างจัง เขี้ยวฟันแหลมคมเป็นใบเลื่อย ลำตัวคล้ายคนแคระทำจากขี้เถา เหมือนตัวกัดกินศพเคยเห็นที่บริเวณสุสาน

และมันไม่ยอมปล่อยชายแก่เสียที จนความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงานทั้งคู่

“แสงสว่าง มันเกลียดแสงอาทิตย์ พาข้าไปที”

ไม่พูดเปล่า กานติศาช่วยเข็นชายแก่คลานกลิ้งกับพื้นไปที่ประตูสู่แสงสว่างเจิดจ้าจากด้านนอก มันเกลียดแสงอาทิตย์จริง ๆจนทนไม่ได้ ดวงตาสีแดง หน้าตาน่าเกลียด และลำตัวติดเป็นประกายไฟ ระเบิดโพล่งระเหยหายไปในอากาศ

ชายแก่กับลำคอถูกกัดแหว่งออกไปถูกชาวบ้านใจดีส่งตัวไปรักษา ทิ้งเธอนั่งพักหายใจทบทวนกับเรื่องราวเกิดขึ้น

ชาวบ้านกระจายตัวถามถนนหลักต่างตื่นตัวหลีกทางให้ขบวนทหารขี่ม้าไหลมาตามทางลงเขา ด้วยความเร็วชนิดหากหลงไปอยู่กลางถนนเจอความเร็วระดับนี้จะถูกเหยียบเละเป็นวุ้นได้ เจ้าของม้าพันธุ์สีขาวผู้ที่ชาวบ้านหวาดกลัวที่สุด ชุดเกราะทองคำกับผมยาวสลวยหยุดม้ากะทันหัน ส่งผลตลอดขบวนต้องชะงักหยุดตาม

สาวจมกับความคิดตัวเองไม่รู้เรื่องราวอะไร ไม่ทันมองไปรอบๆบรรยากาศที่แปลกไป ตัวลอยเข้าสู่อ้อมแขนไปกระทบแผงอกชุดเกราะเข้า กว่ารู้ตัวอีกทีเธออยู่บนหลังม้าสีขาวกับชายหนุ่มสวมเกราะสีทองคำ กับรอยยิ้มเหยียดยิ้มดูแปลกพิสดารในความคิดกานติศา พูดให้ถูกรอบยิ้มของเขาทำเอาเสียวสันหลังวูบ น่ากลัว

“ในที่สุด ข้าตามหาเจ้าจนเจอ” นิ้วเชยคางนางขึ้นสบตา ดวงตาสีอ่อนมองไปทั่วหน้าอย่างพึ่งพอใจยิ่ง เจ้าของกลิ่นหอมดอกไม้ป่าที่ติดใจในวันนั้น “เจ้าชื่ออะไร”

“ทะ ท่าน” กานติศาในคราบเด็กหนุ่ม ตัวเล็กไม่สามารถสลัดปราการแข็งแกร่งหลุดเป็นอิสระได้ นึกถึงคำเตือนท่านไธด์ให้ระวังท่านผู้นี้ไว้ “ท่านมัทธิอัส ต้องการอะไรจากข้า"

ในสภาพนี้เธอกับมัทธิอัสใกล้ชิดเกินไปแล้ว ความกระดากอายต้องหลบสายตาเอียงเอนไปทางเชิงชู้สาว ร่างกายถูกเล้าโลมได้โดยไม่ต้องสัมผัส

เอเดรียน ช่วยด้วย

“เข้าเรื่องไว ช่างรู้ใจดีนัก ต้องการเจ้าไปกับข้า ไปเป็นของข้า” พร้อมโอบเอวกลับมาแนบชิดยิ่งกว่าเดิม สาวไม่ชินกับการแตะเนื้อต้องตัวกับผู้ชายแปลกหน้า

“ปล่อยเถอะขอรับ ข้าเป็นผู้ชาย ชื่อเรเวน ทำงานเป็นทาส” ดัดเสียงต่ำ การแสดงละครของเธอคงไม่ถึงกับย่ำแย่ “ทาสชั้นต่ำขอรับ”

“เรเวน เจ้าคิดจะหลอกข้าหรือ หากเจ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ควรมีสิ่งนี้” มืออุกอาจฉกเข้าไปบีบหน้าอก

เผียะ ท่านเจ้าเมืองหน้าหันไปตามแรงตบ ทุกคนต่างหวั่นเกรงในการวางตัวต่อหน้าเขามาก โดยเฉพาะพวกผู้หญิงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเดียว ไม่มีใครกล้าลงมือลงไม้กับเขามาก่อน เท่ากับเป็นปฏิปักษ์ไม่ปล่อยให้รอดชีวิต

“เจ้าบังอาจทำร้ายท่านมัทธิอัส จับนางมาแขวนคอเดี๋ยวนี้” หัวหน้าทหารไม่พอใจผลกระทำจึงสั่งพรรพพวก

กานติศาหน้าซีด ดูเหมือนเธอควรเลิกนิสัยเที่ยวตบหน้าผู้ชายเสียที

“ฆ่านาง จับนางมาเฆี่ยนตีแล้วแขวนคอ”

มัทธิอัสกลับยกมือห้ามพวกทหารรีเข้ามาจับนาง ทหารทุกนายรวมไปถึงชาวบ้านต่างแปลกใจกันเป็นอย่างมากกับกระทำที่คาดไม่ถึง กานติศาเองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนหวนมองเธอเป็นตาเดียวยิ่งกว่าสัตว์ประหลาด

นับว่าเป็นครั้งแรกที่มัทธิอัสมีใจปราณีสาวรอดชีวิต

“เจ้าชอบเล่นแรงแบบนี้ใช่มั้ย ข้าชื่นชมความรุนแรงอยู่แล้ว จะสนองใจความต้องการเล่นกับเจ้าอย่างสนุกสนาน บนเตียงของเรา” เท้าเตะสีข้างให้ม้าออกตัววิ่ง

ขบวนท่านเจ้าเมืองวิ่งไหลลงทางลงเขาอย่างรวดเร็ว กานติศายังถูกขังในอ้อมแขนต่อไป ใช่ว่าไม่พยายามหนีสาวหน้าชาตัวแข็งเป็นหิน ทำไมจะไม่เข้าใจเรื่องรสนิยมทางเพศแบบไหนถึงเรียกว่ารุนแรงและสนุกสนาน กระทั่งเขาใช้มีดสั้นผ่าคอเสื้อเธอฉีกขาด แหวกเสื้อออกเผยหลักฐานความเป็นสตรี กานติศารีบปิดทันทีด้วยความกลัว หาใช่ความกระดากอาย

เอเดรียน คุณอยู่ที่ไหน

“ข้ามองไม่ผิด เจ้าเป็นหญิงงามเหมาะสมกับข้า จงเป็นของข้า แล้วเจ้าเสวยสุขสบายบนกองเงินกองทอง และคลังสมบัติของข้า”

ไม่ปล่อยโอกาสสาวโต้เถียง เขาก้มหน้าประกบริมฝีปากอย่างจาบจ้วง บดเบียดริมฝีปากจนเจ็บ กานติศาตกใจกับการจู่โจมแบบคาดไม่ถึง บดจูบทวีความรุนแรงมากขึ้นหาใช่สเน่หาไม่ สาวขยะแขยงปนรังเกียจเดียดฉันท์ มือทุบอกหนาก็ไม่ขยับเขยื้อนและไม่ละจากใบหน้าเธอเสียที

เอเดรียน ช่วยด้วย

ทหารนายหนึ่งในขบวนม้าหนึ่งเอี้ยวตัวมองไปด้านหลังเห็นความผิดปกติ ชายชุดดำวิ่งเร็วกระโดดลงหลังคาบ้านเรือนเรียงตัวไปตามเนินไล่ตามขบวนมาอย่างรวดเร็ว มือถือคันธนูเล็งมายังผู้มีตำแหน่งใหญ่ที่สุดในกองทัพ ธนูพุ่งด้วยความเร็วกว่ากระแสลม ฝ่าลมทะลุชุดเกราะตำแหน่งใต้วงแขนแม่นยำ ซึ่งอยู่ห่างจากใบหน้าเธอไม่กี่นิ้ว มัทธิอัสล้มตัวลงโดยดึงเธอลงไปด้วย ทั้งคู่ตกจากม้าลงไปคลุกกับพื้นถนนและฝุ่นละออง

ทหารรีบเข้าไปดูอาการท่านเจ้าเมือง ไม่มีใครสนใจร่างสาวบาดเจ็บจากแรงกระแทก คลานพื้นออกไปจากความวุ่นวายทั้งสิ้น มีแรงเข้ามาช่วยดึงเธอลุกยืนขึ้นมาสบตานัยน์ตาสีเขียวคุ้นเคย เขาเห็นว่าอยู่ในอาการตกใจเขาจึงลงมือช่วยเช็ดเลือดออกจากใบหน้าด้วยความคนึงหา

หากมาช้าสักนาทีเดียว คงไม่ได้เห็นหน้าแล้ว

“เอเดรียน คุณมาแล้ว” สาวพูดกับมือของเขา

เอเดรียนอยากร่วมอารมณ์แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ดึงกานติศาซ้อนไว้ข้างหลัง แผ่นหลังกว้างแสนคุ้นเคยเป็นที่พึ่งได้ พวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยทหารนับสิบคน พยุงร่างกายบาดเจ็บของเจ้าเมืองตรงมาหาพวกเธอ อาการดีใจราวกับพบเพื่อนเก่าไม่ได้พบพานมานาน

“เอเดรียน ไม่คิดว่าแกจะอยู่ที่นี่ใต้จมูกข้า กำลังคิดถึงพอดีเลยส่งคนไปตามล่าตัวแก”

“เพราะรู้ว่าแกยังคิดถึงแบบนี้ไง ข้าเลยมาส่งของขวัญ” ตามด้วยธนูดอกสุดท้ายที่เอเดรียนจงใจยิงไปที่หน้าผาก กลับมีทหารนายหนึ่งเสียสละใช้ตัวบังรับบธนูแทนและล้มลง มัทธิอัสยังพูดต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เป็นการทักทายเพื่อนเก่ารุนแรงไปหน่อย ทหารจับมัน”

จังหวะเดียวกับทหารคนหนึ่งทะลวงดาบไปที่เอเดรียน เขาเบี่ยงตัวหลบ คว้าดาบโลหิตฟันฉับเข้าที่คอจนเลือดสาด กำจัดไปหนึ่งยังเหลือจำนวนหลายสิบคนตั้งหลักพร้อมจะจ้วงเข้ามาได้ทุกเมื่อ

“ข้าไม่ใช่เพื่อนแก ชาติชั่ว”

“ไม่เข้าใจว่าทำไมแกให้ความสำคัญกับนางทาสผู้นั้นนัก นางเป็นใครกันแน่” ชี้เป้าพุ่งมาที่กานติศา ด้วยความรู้อยากเห็นประสาคนคุ้นเคยกันมาก่อน ถึงเอเดรียนสนใจผู้หญิงมามากมาย แต่ไม่เคยเสี่ยงชีวิตปกป้องผู้หญิงด้วยคมดาบ สาวถูกหมายป้องอย่างหวงแหนราวเป็นสิ่งสำคัญ

เห็นว่ากานติศาถูกมองเป็นที่สนใจ เขาจึงใช้ผ้าคลุมบังร่างผู้หญิงไว้ จะให้มัทธิอัสรู้ฐานะของกานติศาไม่ได้เด็ดขาด

เจ้าเมืองผุดรอยยิ้มเย็นเมื่อเจอสถานการณ์น่าสนใจ ถ้าจะตีเหล็กต้องตีตอนร้อนเท่านั้น

“เอเดรียน เจ้าเสียเวลาหลายปีหมดไปกับภารกิจ กลับได้นางทาสชั้นต่ำมาแทน ทำให้ข้าและชาววิสตาร์เรียทุกคนต้องผิดหวังเหลือเกิน”

เสียงพูดมัทธิอัสดังขึ้น ทำนองจังหวะหนักแน่น บวกลีลาภาษากายดึงความสนใจทหารและชาวบ้านแหวะฝูงชนเข้ามาร่วมฟัง รวมทั้งคนในบ้านเรือนต้องโผล่หน้าริมหน้าต่างฟัง อาการบาดเจ็บเลือดอาบไม่ช่วยตัดทอนความมีเสน่ห์ในตัวได้

“เอเดรียน เจ้าคือผู้ถูกเลือกจากคำทำนาย ผู้แบกความรับผิดชอบต่อชะตากรรมอาณาจักร หน้าที่ของเจ้าคือตามล่าเครื่องบูชายัญเพื่อทำลาย ลบล้างคำสาป ตราบาปวิสตาร์เรีย ไหนล่ะ เครื่องบูชายัญอยู่ไหน”

บัดนี้กานติศามองไม่เห็นช่องว่างออกไปจากฝูงชนสะสมกันเป็นจำนวนมากนอกจากบินเท่านั้น ชาวบ้านตั้งอกตั้งใจฟังท่านเจ้าเมือง ผู้ถือครองอำนาจสูงสุด มัทธิอัสไม่เลิกมองมาที่เธอประหนึ่งความโลภอยากได้ขนมของหวานในตู้กระจก หากตกอยู่ในกำมือชายโฉดคนนั้นชีวิตเธอต้องพังพินาศแน่

“ขณะที่พวกเราต้องทนทุกข์ทรมานคำสาป เจ้ากลับดูมีความสุขกับดาบเล่มใหม่ เจ้าหั่นดาบใส่ข้าและชาววิสตาร์เรียทุกคนในที่นี่ นั้นเท่ากับทรยศเจตจำนงของอาณาจักร เมินเฉยต่อหน้าที่และคำทำนาย ทอดทิ้งประชาชนทุกคนใช่หรือไม่”

ดาบโลหิตในมือเอเดรียนสั่นเล็กน้อย ความเงียบคล้ายคำตอบกึ่งยอมรับ มัทธิอัสเติมน้ำมันใส่ไฟเพิ่ม

“ทอดทิ้งพวกเรา นิ่งดูดายดูพวกชาวเมืองทนทรมานล้มตายไปทีละคน เอเดรียน เจ้ามันไร้ค่าเสียจริง”

“แต่มันก็สาสมกับสิ่งที่พวกแกทุกคนทรยศข้าก่อน ลืมไปแล้วหรือว่าทำสกปรกอะไรไว้กับข้า นั้นคือสิ่งที่พวกแกตัดสินใจทำไปแล้ว ข้าคือผู้ถูกเลือก มีอำนาจในการเลือก จะทำหรือไม่ทำ การดูพวกแกตายไปทีละคนมันก็ดีเหมือนกัน” เรียกเสียงโห่เป็นวงกว้าง

กานติศาไม่เข้าใจ ทุกคนรวมเอเดรียนพูดเรื่องอะไร เกี่ยวกับหน้าที่ ภารกิจ ตามล่าเครื่องบูชายัญ ตราบาปอาณาจักร เรื่องชักไปกันใหญ่ แล้วตัวเธอเองมีความเกี่ยวข้องอย่างไร

ก้อนหินถูกปาไปโดนหัวกานติศา ใส่คิ้วเอเดรียนแตก เอเดรียนปัดหินพวกออกไม่ให้ทำลายกานติศา เธอพบว่าผู้ปาหินเป็นเพียงเด็ก น้ำตานองหน้ายังปาหินไม่หยุดย้อน “เอาพี่ชายคืนมานะ คืนชีพครอบครัวข้าเดี๋ยวนี้นะ”

เด็กชายตัวเล็กเหลือตัวคนเดียวพูดทั้งน้ำตาช่างเป็นภาพน่าสงสารทนทุกขเวทนา ตามด้วยเสียงซุบซิบของอีกหลายคนจนมัทธิอัสยิ้มในใจ

“ท่านเอเดรียนกลับมาแล้ว ท่านคือความหวังสุดท้ายของอาณาจักนวิสตาร์เรีย กลับหั่นดาบใส่ท่านเจ้าเมือง ใส่พวกเรา เรียกคนทรยศมิใช่หรือ”

“แม่ข้าเพิ่งตายเมื่อคืนนี้ เมียก็แท้งลูก โรคแห่งความตายลุกลามเพราะท่านนิ่งดูดาย ไม่ทำอะไร เนรคุณต่อแผ่นดิน”

“ปล่อยคำสาปฆ่าพวกเราไปเท่าไร ท่านถึงจะพอใจ”

คำร้องทุกข์จากประชาชนมีมากมายเหลือเกิน เกินกว่าจะทนนั่งฟังเฉย ๆ หลายคนไม่พอใจหยิบอาวุธเป็นกองหนุนหลังแก่พวกทหาร เอเดรียนพร้อมตั้งท่ารับ ต่อสู้กับทุกคนไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น ด้วยดาบโลหิตหนึ่งเดียว มืออีกข้างหมายป้องกานติศา

“เอเดรียนเห็นหรือยัง ความทุกข์ของประชาชน เพราะเจ้าละเลยต่อหน้าที่ ข้ามัทธิอัสขอแบกรับความรับผิดชอบและลงโทษเจ้าต่อหน้าสาธารณชนให้เอง” ประกาศจากเจ้าเมืองราวเติมน้ำมันสุมไฟความเกลียดชัง จนประชาชนลุกฮือส่งเชียร์ให้กำลังใจแก่หน่วยทหาร

“อนุญาตให้ใช้ความรุนแรง อย่าให้ถึงตาย จับมันมาเป็นๆ ส่วนผู้หญิงจับมาให้ข้า ห้ามมีรอยขีดข่วน”

เมื่อปราศจากเจ้าเมืองซึ่งถูกหามไปรักษา ทิ้งกานติศากับเอเดรียยถูกห้อมล้อมไปด้วยทหารและประชาชนจำนวนมาก สาวขยุ้มผ้าคลุมสีดำ หัวใจเต้นเร็วรัว สงครามมีให้เห็นบ่อยในหนัง บัดนี้สงครามอยู่ต่อหน้าพวกเธอนี่แล้ว

พวกเขาจะสู้กันจริง ๆหรือ

“เอเดรียนค่ะ พวกเขาเป็นแค่ประชาชนธรรมดา” เข้าใจความทนทุกข์ยากลำบากของประชาชนดิ้นรนขวนขวายเพื่อมีชีวิตรอด รักษาบ้านเมืองและครอบครัว ถึงอย่างไรไม่ควรก่อความรุนแรงเพราะมีแต่นำความสูญเสียมาให้ แต่เธอก็รู้สถานะไม่ปลอดภัยของเขา ผู้ลุกขึ้นมาปกป้องเธอด้วยชีวิต

ที่สำคัญคือเธอไม่อยากเห็นใครต้องตายอีกแล้ว

“อย่าทำร้ายประชาชนเลยนะคะ ฉันไม่อยากเห็นใครต้องตายอีก”

“ได้ยินหรือเปล่า พวกเขาจะจับเจ้าไปให้สารเลว มัทธิอัส ข้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้า แตะต้องตัวเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ ข้าต้องทำ” เอเดรียนดันหญิงสาวถอยหลังเมื่อวงล้อมสร้างความกดดันมากขึ้น



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2561, 23:57:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2561, 23:57:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 636





<< บทที่ 12 (2) สายเลือดบูชายัญ   บทที่ 13 (2) ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account