มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 13 (2) ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส

“อย่าทำร้ายประชาชนเลยนะคะ ฉันไม่อยากเห็นใครต้องตายอีก”

“ได้ยินหรือเปล่า พวกเขาจะจับเจ้าไปให้สารเลว มัทธิอัส ข้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้า แตะต้องตัวเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ ข้าต้องทำ” เอเดรียนดันหญิงสาวถอยหลังเมื่อวงล้อมสร้างความกดดันมากขึ้น

ต่างคนต่างฝ่ายรอจังหวะอีกฝ่ายเผลอไผลก่อนฉวยชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยรวมแล้วเอเดรียนเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเรื่องกำลังจำนวนคน และมีคนอยากปกป้อง พาตัวเขาเองและกานติศาไปให้พ้นสถานการณ์อันตรายได้โดยไม่มีการสูญเสียเลือดและชีวิตตามนางร้องขอเป็นเรื่องยาก

ยังไงความต้องการของนางสำคัญ

“ขอแค่ไม่มีใครตายก็พอแล้วใช่หรือไม่”

เอเดรียนเก็บดาบใส่ฝัก และใช้มันตั้งรับปลายหอกแทงมาทางพวกเขาพอดี เหวี่ยงหมัดเข้าที่ใบหน้าทหารผู้หนึ่งจนล้มไปชนคนข้างหลังทอยอยล้มเป็นแนวโดมิโน ดึงร่างกานติศาหลบลูกศรแล้วหมุนตัวขวางมีดสั้นปักไหล่ผู้ยิงธนูบาดเจ็บ หลีกเลี่ยงใช้อาวุธหนักพรากชีวิต ใช้ร่างตนเองเป็นตัวรับคมดาบแทนนางซึ่งเป็นเพียงแผลถากๆ

ผู้คนและทหารนอนสะบักสะบอม อาการบาดเจ็บไม่มีการสูญเสียชีวิต ไม่มีใครสู้เอเดรียนไหวแม้ใช้อาวุธเต็มไม้เต็มมือยังจัดการได้ยากเย็น ต่อให้เก็บดาบใส่ฝักผู้ถูกเลือกยังชำนาญต่อสู้ระยะประชิด

ขืนอยู่นานกว่านี้จะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยแท้ คลาดสายตาเพียงวินาทีเดียวกานติศาจะถูกฉกจับตัวเป็นตวประกันส่งให้เจ้าชั่วนั้น เพราะเขาเริ่มมีอาการเหนื่อยล้าสะสม

“เอเดรียน เขามีปืน” เห็นทหารถืออาวุธปืนคนหนึ่ง เล็งมาทางกานติศา

“อย่าทำนาง ท่านมัทธิอัสต้องการนาง” เสียงหนึ่งกล่าวถึงคำสั่งเจ้าเมือง

“เล็งไปทางผู้หญิง จุดอ่อนของมัน” ทหารคนนั้นเมินคำตักเตือน เสียงดังลั่นสั่งพวกที่เหลือปฏิบัติตาม แต่ไม่มีใครกล้า

ปัง

กานติศาหลับตาปี๋ คาดว่ากระสุนน่าจะมาถึงตัวเธอแล้ว พอลืมตาเป็นดาบที่เขาใช้บังตัวเธอ ปัดกระสุนกระเด็นเปลี่ยนทิศทางไปถูกกระจกหน้าต่างบ้านเรือนแตก สร้างความอึ้งตะลึงความใหญ่โตของดาบและสามารถใช้ปัดกระสุนได้อีกด้วย เอเดรียนฉวยจังหวะตวัดร่างกานติศาขึ้นพาดบนไหล่วิ่งเข้าไปในซอยแคบที่เล็งมาตั้งแต่ต้น พวกเขาไล่ต้อนตามเข้ามาในซอยแคบ ด้วยเหตุพื้นที่มีจำกัดพลิกผันเป็นฝ่ายล่าช้าตามไม่ทัน ยังเหลืออีกไม่กี่คนที่เอเดรียนต้องสลัดให้หลุด

ความพิเศษเล็กน้อยที่ยังไม่แสดงให้ใครเห็น เอเดรียนวิ่งออกไปทางเลียบเขาซึ่งกั้นด้วยกำแพงหินป้องกันอันตรายการตกเขา ก้าวขึ้นไปบนนั้นแล้วกระโดดดิ่งลงไป สภาพเธอเหมือนนิ่งสภาวะไร้น้ำหนัก ราวมกับมีบางอย่างสภาพล่องหนโอบอุ้มทั้งสองไว้กลางอากาศ ปลายเท้าแตะพื้นดินเอ่อนโยนราวฟองสบู่ มือหนาจับมือเธอไว้ประสานนิ้วมือไว้ด้วยกัน บอกเป็นนัย ๆเอเดรียนไม่มีวันปล่อยเธอคลาดสายตาไปอีก


ทหารรายงานข่าวร้ายแก่ท่านเจ้าเมือง พวกเขาคลาดกับเอเดรียนและผู้หญิง พาความหงุดหงิดหัวเสียระบายอารมณ์ อาละวาดทำลายข้าวของ มัทธิอัสออกคำสั่งให้ปิดประตูเมืองทั้งหมดทันที ห้ามใครก้าวพ้นธรณีประตูไม่เว้นมดแมลงจนกว่ามีการเปลี่ยนแปลง

“ถึงเป็นผู้ถูกเลือก โชคชะตาประทานอำนาจพิเศษให้ แต่ไม่มีปีกกางบินหนีไปได้อิสระใช่หรือไม่ ท่านจิลเลี่ยน” ผู้ทำความสะอาดแผลถึงกับชะงักเมื่อโดนทัก จิลเลี่ยนผู้ชำนาญทางแพทย์วางภาชนะลง หลังถูกหน่วยทางการเรียกตัวมารักษาเจ้าเมืองเป็นการด่วน

“ไม่รู้ว่าเอเดรียนกลับมาแล้ว ก็ตกใจอยู่”

“เอาเถอะข้าไม่ได้เรียกท่านมาสอบสวนเอาความจริง ว่าท่านลอบไปทำแผลให้มันเมื่อวันก่อน ข้าเรียกท่านมาด้วยเหตุผลอย่างอื่น” เจ้าเมืองไม่ตั้งใจจับผิด ความจริงเขารับรู้จากหน่วยการมาอย่างคราวๆ ผู้ถือครองอาวุธเล่มยักษ์ผ่านประตูเมืองในวันนั้น ซึ่งไม่ได้รับคำยืนยันว่าเป็นผู้คนที่เขาตามหา จึงทำเป็นออกคำสั่งส่งคนไปตามหาเพิ่ม หวังเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งตายใจ

นึกถึงสมัยควบคุมจิตใจเอเดรียนไว้ในกำมือ ดูเหมือนอำนาจการควบคุมสิ้นฤทธิ์แล้ว

“แล้วเรียกข้ามาทำไม แพทย์ที่นี่มีหลายคนพร้อมช่วย เหตุใดต้องระบุเป็นข้า”

“หมาเคยเลี้ยงไว้มันเลี้ยงไม่เชื่อง มันกลับมาแว้งกัดเจ้าของ เลยอยากวานช่วยทำน้ำยาสีดำแบบครั้งที่แล้วให้มันกิน”

“กิน? รู้ตัวมั้ยว่าพูดบ้าอะไรออกมา น้ำยามันอันตรายนะ ข้าทำไม่ได้”

นี่หรือคือจุดประสงค์แท้จริงในการเรียกตัวเขามา แม้อดีตมีส่วนผิดในการปรุงน้ำยาเพื่อวางยาเอเดรียน ลูกศิษย์เขาไม่ทราบด้วยซ้ำ เป็นน้ำยาอาจารย์เขาปรุงขึ้นมา จิลเลี่ยนสาบานตนตั้งแต่วันนั้นว่าจะไม่ทำน้ำยาอีก ควบคุมจิตใจปฏิบัติคำสั่งเป็นหุ่นเชิด

“ขอปฏิเสธ มันอันตรายเกินไป เขาคือผู้ถูกเลือก หากเกิดพวกเราเสียเขาไป วิสตาร์เรียต้องรอความหวังต่อไปอีกนานแค่ไหน อาจจะต้องรออีกนานเป็นชาติกว่าฟ้ากำหนดผู้ถูกเลือกคนต่อไป ท่านมัทธิอัส ถือว่าอาจารย์คนนี้ขอร้อง”

“งั้นจะปล่อยวิสตาร์เรียล่มจมไปแบบนี้หรือ เวลานี้ทุกคนต้องการอะไรมากที่สุด เครื่องบูชายัญไงล่ะ มีแต่เขาเท่านั้นรู้ว่านางอยู่ที่ไหน ฟ้ากำหนดเขากับนางเป็นของคู่กัน หากไม่ตามล่านางแล้วลงมือทำลายเสีย กาอนคำสาปจะคร่าชีวิตพวกเราทุกคน รวมทั้งผู้ถูกเลือก พวกเราไม่เลือกวิธีไหนนอกจากควบคุมเอเดรียนปฏิบัติภารกิจให้เร็วที่สุด”

“แล้วลูกศิษย์ท่านจะปลอดภัย วิสตาร์เรียพบแต่ความสงบสุข”

ปัญหาใหญ่ของจิลเลี่ยนที่ไม่ได้การยืนยัน ก็พอเดาได้ว่าใครคือเครื่องบูชายัญ จึงเกิดความลังเลใจ ลูกศิษย์ปกป้องนางเหมือนคนสำคัญ อ่านสายตาก็รู้เขาไม่มีวันฆ่านาง ถึงอย่างไรไม่ควรถืออำนาจตัดสินใจความเป็นความตายชีวิตดวงอื่น แม้ไม่มีส่วนร่วมก่อกบฏ แต่จิลเลี่ยนได้กระทำผิดต่อลูกศิษย์มาแล้ว

ท่านมัทธิอัสพูดถูก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกำจัดเครื่องบูชายัญเพื่อช่วยชีวิตลูกศิษย์เขา โรคแห่งความตายน่ากลัวเล่นงานทุกคนอย่างทรมานเท่าเทียมกันแม้กระทั่งกับเด็กแรกเกิด

เขาจะช่วยลูกศิษย์อย่างไร

หวนนึกเหตุการณ์วันนั้นที่เขาจับได้ว่าเจ้าทาสมีสายเลือดพิเศษ สามารถเยียวยาได้ คุณสมบัติตรงตามเครื่องบูชายัญทุกข้อ นางเป็นผู้หญิงที่เอเดรียนซ่อนไว้ คมดาบวาพาดคออาจารย์ความตายมาเยือนเฉียดกรายปลายจมูก

‘ก่อนถูกฆ่า สัญญากับข้าก่อน ว่าจะใช้ดาบเล่มนั้นตัดหัวเจ้าชั่ว มัทธิอัสและพวก พวกมันกวาดล้างฆ่าตระกูลเจ้า เพื่อนสนิทข้า ทุกคนในตอนนั้น หากเจ้าตอบรับข้าก็สบายใจ’

อาจารย์หลับตานึกถึงภรรยาล่วงลับ ถึงเวลากลับไปหานางแล้ว

'ยังไม่ใช่เวลา...ข้ามีเรื่องสำคัญคุย' เอเดรียนกลับยกดาบพาดคออาจารย์ออก เพราะยังมีความสำนึกบุญคุณต่อกัน พูดคุยระหว่างกับศิษย์ในวันนั้นส่งผลต่อการตัดสินใจให้คำตอบแก่มัทธิอัส

“ตกลง ข้าจะทำน้ำยาตามที่ต้องการ”



จากที่เคยเป็นคนกลัวเลือด แผลสด สร้างความคลื่นเหียนอยากอาเจียนจนเมินหน้าหนี ไม่ใช่กานติศาในตอนนี้ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ สายตาพินิจมองบาดแผลสดเกิดขึ้นเพราะความพยายามปกป้องเธอสุดชีวิต รับคมดาบ ความเจ็บปวดแทน มือไม้สั่นเทาขณะช่วยทำความสะอาดและเย็บแผลให้ เอเดรียนเพียงส่งยิ้มจางไร้ความขุ่นเคือง ไม่นึกโกรธ

“ทุกอย่างเป็นความผิดฉัน ที่ไปขอร้องคุณ ฉันมันโง่จริงๆ”

“กานติศา” หญิงสาวกำลังโทษตัวเอง ผู้ชายอย่างเขาอ้างว้าง ไม่เหลืออะไรวางตัวไม่ถูก กระอึกกระอักเข้าไปปาดน้ำตาแทน ด้วยเหตุผลเขาไม่อยากเห็นน้ำตา

“เป็นเพราะเจ้าเป็นคนดี พูดให้ถูก มีจิตใจงดงาม อ่อนโยน คำนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดเจ้า รู้ไหมตลอดเวลาข้าไม่เหลืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างมันด้านชา ความสูญเสียพรากความรู้สึกของข้า ชีวิตของข้าไปจนกระทั่งพบเจ้า ให้ทางแสงสว่างในจิตใจข้า”

“เอเดรียน” คำพูดของเขาช่าลึกซึ้ง ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดเหลือเกิน

“ข้าเกลียดน้ำตาเจ้าจริงๆ” เสียหัวเราะเมื่อเห็นสาวพยายามกะพริบตาไล่น้ำตาสุดความสามารถแต่ก็ไม่สำเร็จ

กานติศาเจ้าคือความหวัง เสมือนดาวฤกษ์สีชมพูปรากฏอย่างไม่เคยมีมาก่อน

“ลูนาร์พลัดหลงกับคุณเหรอคะ”

“อือ เด็กนั้นจะต้องไม่เป็นไร” หน้าเจื่อนไม่บอกความจริง เขาทิ้งลูนาร์มาเพื่อช่วยกานติศา

บรรยากาศดีถูกทำลายลงอย่างเสียดาย กานติศาเริ่มเข้าประเด็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเครื่องบูชายัญ ไม่ใช่สิ่งของอย่างที่เข้าใจมาตลอด คำทำนายกำหนดชีวิตมนุษย์คนหนึ่งดำรงชีพฐานะเครื่องบูชายัญ เอเดรียน เขาคือผู้ถูกเลือกมีหน้าที่ตามหาและทำลาย วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่ช่วยเหลือทุกคน จะได้ไม่ต้องมาฆ่าแกงฆ่าฟันอีกต่อไป ในตอนแรกเธออาจจะไม่เชื่อเรื่องราวเกี่ยวกับคำสาป พอมาเห็นสายตาประชาชนทุกคนต่างหวั่นเกรงต่อคำสาป เป็นผู้ประสบเคราะห์ร้ายดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และนี่เป็นโอกาสปูทางอนาคตให้กับทุกคนร่วมถึงตัวเขาเอง เอเดรียนกลับไม่อยากพูดถึง

“ไม่อยากพูดเรื่องนี้ เราควรรีบนอนเอาแรง ทันทีฟ้าสว่างข้าจะพาเจ้าไปจากที่นี่เพื่อกลับบ้านของเจ้า เจ้าไม่ได้ต้องการอย่างนี้หรือ งั้นจงลืมสิ่งที่ได้ยินวันนี้ให้หมด ไม่เกี่ยวกับเจ้า ปัญหาข้าจัดการเองได้”

“แต่ว่า...” สิ่งที่เขาพูดหมายถึงยอมแยกจากเธอตลอดกาล

จังหวะอยากหยุดนางไม่ให้พูดเรื่องนี้ต่อ เหมือนมีสิ่งแปลกปลอมเล่นงานเข้าท้องน้อย ของเหลวแล่นปรูดขึ้นมาออกทางปาก กานติศาตกใจอาการอาเจียนออกมาเป็นเลือด แปลกใจที่เขายังมีอาการป่วยหลงเหลืออยู่

‘นั้นเพราะเวลาของเขาใกล้หมดแล้ว’

“ใครนะ” เธอกวาดตามองหาต้นเสียงแต่ก็ไม่พบใคร พวกเธอซ่อนตัวอยู่ในซอกเล็กๆในภูเขา เอเดรียนยืนยันว่าไม่มีใครตามมา หรือเธอหูฝาดไป

‘เจ้าไม่ได้หูฝาด เสียงข้าเอง’ เสียงนั้นดังขึ้นและอยู่ใกล้หูเธอเหมือนเจ้าของโน้มตัวเข้ามากระซิบ แต่เธอยังมองไม่เห็นใคร ความว่างเปล่ายิ่งมีแต่ทำกลัวมากขึ้น พยายามเขย่าปลุกเอเดรียนซึ่งมีอาการงัวเงียคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง “เอเดรียน มีใครก็ไม่รู้...”

‘ปลุกเขาไปก็ไม่ได้ยินเสียงข้าหรอก มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ได้ยิน กานติศา’

เสียงท่านไธด์ จำเสียงนุ่มราวกับสายลมของเขาได้ มือพยายามปลุกร่างเอเดรียนต่อไป “ทำไมฉันมองไม่เห็นคุณ”

‘จำได้หรือเปล่า ที่ข้าเคยบอกเจ้า’

คำพูดราวกับมีเวทมนต์เหมือนพลังโน้มน้าวใจเข้าไปควบคุมเธอ เลิกจับตัวเอเดรียน กานติศามองไปที่สร้อยสีทองซุกซ่อนไว้ในตัวเสื้อ ใคร่อยากรู้เหลือเกินว่ามีอะไรอยู่ในตัวเรือนนาฬิกา ท่านไธด์บอกว่ามีคำตอบรออยู่ เป็นคำอธิบายเรื่องราวทั้งหมด การเยือนเข้ามาในความฝันนี้ สาเหตุที่เธอมักลืมตาเห็นต้นไม้สีม่วงทุกคืน เกี่ยวพันกับรอยสักและฐานะตัวตนของเธอเอง

‘หยิบขึ้นมาดูสิ แล้วจะเข้าใจทุกอย่างทั้งหมดเอง’

บนตัวเรือนโลหะมีฝาครอบมีรอยแกะสลักเหมือนเส้นโคจรดวงดาวไว้อย่างสวยงาม หวั่นใจขึ้นมาราวกับกลัวเห็นคำตอบ แต่เสียงก้องในหัวรบเร้าเป็นคำสั่งให้เธอค่อยๆเป็นฝา เผยตัวเรือนกระจกซึ่งเข้าใจผิดไปถนัด ทำไมต้องพกเข็มทิศแทนที่เป็นนาฬิกาไว้ตลอดเวลา เข็มชี้ไปทางตรงข้ามของทิศเหนือเลยเอะใจสงสัยว่าชี้ไปทางไหนกันแน่ หมุนตัวเรือนรอบ ๆ ปลายเข็มยังอยู่ที่เดิมชี้มุ่งมาที่ตัวเธอเอง

“ทำไมเป็นฉันล่ะ” นิ้วสัมผัสรอยสลักหลังฝาครอบไปพร้อมกับความร้อนผุดขึ้นตามรอยสักที่หลังหู ประหนึ่งถูกเปลวไฟแผดเผาจนเจ็บ นิ้วคลำหาไปตามรอยสักสังเกตได้ว่าเป็นลวดลายเดียวกับเข็มทิศอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

“อย่าดู” เอเดรียนปรือตาได้ด้วยสติสัมปชัญญะคงเหลืออยู่ คว้าเข็มทิศคืนจากมือหญิงสาวไว้ได้ หาได้รู้ว่าสายไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวังจนเขารีเข้ามากุมมือ กลัวกานติศาหายไปต่อหน้าเขา สะบัดมือปฏิเสธอย่างรังเกียจ

‘เข้าใจแล้วใช่มั้ย ว่าทำไมเจ้าไม่ควรเข้าอยู่ใกล้เอเดรียน’ กระซิบเข้ามาในหัว ความสงสัยเรื่องราวทุกเรื่องตั้งแต่ต้นถูกคลี่คลายลง กานติศาเหมือนถูกทรยศจากผู้ที่เธอไว้ใจที่สุดแม้แต่ฝากชีวิตไว้ เธอรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ยามเขาพยายามเข้ามาปลอบ แตะเนื้อต้องตัวเธอ ทุกประโยคที่พูด ทุกอิริยาบถตลอดเวลาที่เขาทำกับเธอเป็นเพียงการแสดง

“อย่าแตะตัวฉัน ที่แท้คุณหลอกฉัน เพราะฉันคือเครื่องบูชายัญ”

“ฟังข้าอธิบายก่อน...”

“ฉันคือเครื่องบูชายัญ หน้าที่คุณคือทำลาย นั่นหมายความว่าคุณต้องฆ่าฉันเท่านั้น”

เขานิ่งเงียบไม่มีการแก้ตัว เพราะประโยคนางพูดมีส่วนความจริง แต่จะเริ่มต้นอธิบายอย่างไรดีว่าความตั้งใจตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ร่างกายกลับทรยศนำความเจ็บปวดมาให้ รู้สึกเจ็บท้องน้อยและหน้าอกราวมีก้อนหินนับ
ตันวางทับหนักเกือบขาดอากาศหายใจ

‘ใช้จังหวะนี้หนีไป เอเดรียนกำลังอ่อนแอ ตามล่าจับเจ้าไม่ไหว’

“ฉันไม่เชื่อคุณอีกแล้ว แต่แรกคุณตั้งใจจับฉัน เพราะฉันเป็นเพียงแค่เครื่องบูชายัญในสายตาคุณ เอเดรียน คุณโกหกฉันมาตลอด” พึมพำทั้งน้ำตานองหน้าน่าสงสาร

“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าไม่เคยเชื่อใจ...”

“ฉันจะไม่เชื่อคุณอีกแล้ว” กานติศาลุกขึ้นมองเอเดรียเหยียดหยามเป็นครั้งสุดท้าย อยากสาปตัวเองให้หายไปจากโลกนี้ ด่าตัวเองเป็นคนโง่เชื่อคนง่าย ซึ่งถูกเขาปั่นหัวล้อเล่นกับหัวใจ สาวหมุนตัววิ่งหนีไปตามเสียงกระซิบ

‘วิ่งหนีไปไกล ๆ อย่าหันกลับมา ข้าจะช่วยเจ้ากลับบ้านเอง’

“กานติศา” ถึงตะโกนเสียงดังก็ไม่สามารถดึงนางผู้นั้นกลับมา เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับนางในเวลาสำคัญ ทั้งคู่ควรเชื่อใจซึ่งกันและกันช่วยกันหาทางหนี ขณะนี้ทุกคนรวมตัวตามล่าหาตัวกานติศา ทำไมนางไม่เชื่อใจเขาให้มากกว่านี้

“นั่นสิว่าทำไมข้าไม่ทำลายมันตั้งแต่แรก” เขาปาเข็มทิศออกไปกระแทกกำแพงภูผา ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกานติศาขาดสะบั้นลงด้วยสิ่งเล็ก ๆ ยากจะฟื้นคืนกลับมาเป็นเหมือนเดิม

“เพราะท่านลังเลใจอยู่นี่ไง” เข็มทิศถูกปาเมื่อครู่นี้กลับเคลื่อนที่ลอยละลิ่วกลับมาหาเขาเป็นมากกว่าสายลมอ่อนพัดมา เสียงบุคคลที่สามแอบแฝงซ่อนตัวมาตั้งแต่แรก

“ใคร” ถามบุคคลคนที่สามแฝงร่างล่องหน ไธด์ปรากฏในสายตา ราวกับวิญญาณพาขนลุกสยองผอง เข็มทิศถูกยัดใส่มือ พูดความจริงแม้แต่เอเดรียนยังยากจะปฏิเสธ

“ลึกๆในใจท่าน มีความหวังใช้นางเพื่อกอบกู้เกียรติต่อตัวท่านเอง เหตุผลว่าทำไมท่านจึงไม่ทำลายเข็มทิศ แต่ใจหนึ่งก็ไม่ยอมเสียนางไป อยากเก็บนางไว้อยู่กับคนเห็นแก่ตัวอย่างท่านตลอดกาล”

ราวกับถูกอ่านใจ เอเดรียนไม่ทราบภูมิหลังเกี่ยวกับผู้นี้เท่าไร ตัวตนไธด์ลึกลับเป็นปริศนา อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่มัทธิอัสตั้งแต่จำความได้

“แกต้องการอะไร”

ไธด์หัวเราะกับคำถามราวเป็นเรื่องตลก ลูบหัวเอเดรียนเบาเหมือนเด็กอย่างน่าเอ็นดู ซึ่งเสมือนการหมิ่นเกียรตินั้นทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความโกรธมากขึ้น เพียงคว้าดาบมาฆ่าฟันยังมิหวาดไหว

“เสียแรงเปล่าประโยชน์ ผ่านไปสิบปียี่สิบปีท่านยังดื้อรันเหมือนเดิม หน้าที่ข้าคือขวางทางท่านให้ถึงที่สุด วางใจได้กานติศาจะปลอดภัย ข้าจะดูแลนางแทนเอง”

“ท่านตัดใจจากนางเถอะ เอเดรียน”

นักบุญพูดราวกับรู้จักเขามานานแสนนาน เอเดรียนกลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับคนนี้ ดีดนิ้วครั้งเดียว ทหารซ่อนตัวตามซอกของภูเขากรูออกมาจับ หิ้วปีกคนเจ็บ รับคำสั่งให้ลากตัวไปหาท่านมัทธิอัส

“ถ้าข้ารอดออกไปได้ ข้าจะกลับมาฆ่าแกแน่นอน จำคำไว้” เอเดรียนสาบาน

“ท่านฆ่าข้าไม่ได้หรอก” เจ้าตัวชี้ไปที่หัวของอีกฝ่าย

“เพราะข้าอยู่ในนี้อยู่ใกล้ท่านมากกว่าที่ท่านคิด รู้ทุกอย่างสิ่งที่ท่านคิดและลงมือทำ ทหาร พาไปได้แล้ว”

“กานติศา ห้ามแตะต้องนางเด็ดขาด ข้าสาบานว่าจะ...” เสียงหายเข้าไปในความมืด ทิ้งท่านไธด์ไว้กับทหารเหลืออยู่ไม่กี่คนลังเลเข้ามาถามว่าให้ทำอย่างไรกับสาวผู้เพิ่งหนีจากไป ไธด์กลับปฏิเสธให้ปล่อยนางไป ให้เขาเป็นฝ่ายจัดการนางเอง ทหารต่างมองหน้าสบตากันสับสน

ทหารเหวี่ยงถังน้ำเย็นสาดเข้าใส่ผู้สลบหลังจากถูกซ้อมทำร้ายให้ฟื้น เอเดรียนกะพริบตาขับไล่ความมึนงง ต้องตาเข้ากับแสงเปลวไฟ เริ่มระลึกได้ว่าตนตกอยู่ในฐานะนักโทษ

ถูกกานติศาทอดทิ้ง และเขาถูกจับเป็น

เมื่อเห็นตัวการของเรื่องนี้เดินพรวดเข้ามาในห้องเดียวกัน เอเดรียนเกิดคลุ้มคลั่งคุมสติไม่อยู่ หวังมุ่งมั่นทำร้าย ติดที่ร่างเขาถูกพันธนาการด้วยหนามและโซ่ตรวน จึงถูกด้ามขวานตอกเข้าที่ใบหน้าฟกช้ำห่อเลือด ตีเขาจนกว่าจะสิ้นฤทธิ์ อยากบ้วนน้ำลายและลิ่มเลือดใส่รองเท้าเหล็กมันเงางามคู่นั้นให้แปดเปื้อน มัทธิอัสยิ้มกว้างประหนึ่งต้อนรับเพื่อนเก่าด้วยความยินดี อยากชมเชยใบหน้าเปื้อนเลือดของจำเลยชัดๆ จึงลากเก้าอี้มานั่งต่อหน้าจำเลย

“ใจเย็นน่า เอเดรียน เรามีเวลาเหลือเฟื้อพูดคุยเรื่องเก่าๆ หน้าแกดูไม่จืดเลยวะ”

ปัง สาดกระสุนทองคำฝังทะลุไหล่ขวาดังสนั่น เอเดรียนโซเซเกาะเสาไม้เป็นที่มั่น ควันเขม่าพวยพุ่งจากลำปืน น้ำพุสีเลือดไหลออกจากบาดแผล

“โทษฐานบังอาจยิงธนูใส่ข้า เล่นงานข้าไว้แสบนัก ระวังข้าจะเอาคืนเป็นสิบเท่าคงไม่สาแก่ใจพอ” พูดไปยิ้มไปขณะเติมกระสุนเข้าไปใหม่ และเอาปืนจ่อหน้าผากเอเดรียน “ย้ำอีกที ข้ากับทุกคนผิดหวังในตัวแกมากที่สุด ภารกิจไร้ความคืบหน้า ไม่ตามล่าเครื่องบูชายัญมาให้ข้า แล้วเราจะได้เริ่มพิธีสังเวยบูชายัญ ปลดปล่อยอาณาจักรและตัวแกเป็นอิสระอย่างไร เป็นผลดีต่อแกและทุกฝ่ายนะ”

“ช่างหัวเรื่องอิสระ ไอ้กบฏ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือนั่งทนฟังแกพูดพล่าม โดยที่ข้าถูกมัดลงมือฆ่าไม่ได้ แกมันชาติสุนัขถูกชุบเลี้ยง เห่าหอน เฝ้ามองแสวงหาอำนาจที่แกไม่มีวันเป็นเจ้าของได้...”

มัทธิอัสหนำกระแทกปืนใส่เข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายให้หุบปากจนกว่าใบหน้าตนเปรอะด้วยเลือดของอีกฝ่ายจึงหยุดการกระทำ ทั้งคู่หอบเหนื่อยเสียงดังไม่แพ้กัน

“แน่จริงก็ฆ่าเลยสิ ฆ่าข้า...”

มัทธิอัสทบทวนความจริงหากเกิดลงมือฆ่าเอเดรียน เหมือนดับฝันความหวัง ผู้ถูกเลือกกำหนดเป็นผู้มีสิทธิดำเนินพิธีทำลายเครื่องบูชายัญ หากเกิดตายไป ผู้ถูกเลือกคนต่อไปพวกเขาจะต้องรออีกนานแค่ไหน อาจจะเป็นร้อยปี รอเป็นชาติ ดังนั้นจึงกัดฟันสะกดความโกรธ

“ดูท่าพวกเราจะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่มีวันญาติดีต่อกัน ข้าจึงเรียกใครคนหนึ่งเข้ามาจัดการแกแทน”

จิลเลี่ยนก้าวเข้ามาพร้อมถือโถบรรจุน้ำยาสีดำ มวลของเหลวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ราวกับดีใจโลดเต้นราวกับเพื่อนเก่าไม่มีวันตัดขาด เอเดรียนมองผู้มาใหม่สลับกับโถนำถือเข้ามา

“ท่านจิลเลี่ยน คิดทรยศข้าเพิ่มอีกคนหรือ มันพูดอะไรกับท่าน” กระชากข้อมือให้เป็นอิสระจากโซ่ตรวน แววตาหวาดกลัวสุดขีด ความอยู่รอดริบหรี่มืดดับลงทุกขณะที่จิลเลี่ยนยกโถน้ำยาจ่อเข้าที่ปาก เอเดรียนปิดปากสนิทไม่ยอมกลืน

“อย่าบังคับข้าดื่มมันอีก มันทำร้ายข้า...” พูดเสียงลอดไรฟัน

อดีตแสนโหดร้ายเอเดรียนเคยถูกบังคับให้ดื่มน้ำยาสีดำลบจิตใต้สำนึก มันฆ่าเขาทั้งเป็น สร้างจิตมุ่งร้ายตามล่าหาชีวิต เป็นหุ่นเชิดปฏิบัติตามคำสั่ง

“ข้าจนปัญญาแล้ว เหลือแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้ มัทธิอัสสัญญากับข้าไว้แล้วจะปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระหลงจากเสร็จพิธี เจ้าต้องฆ่านางซะ”

“ดื่มน้ำยานี้เถิดแล้วเจ้าจะไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก ไม่เจ็บ ไม่สับสน เพราะเจ้าเองเหลือเวลาอีกไม่มาก”

“เพียงจับนางมาทำพิธี แล้วตัวเจ้าจะเป็นอิสระ ดื่มเถิด” จิลเลี่ยนคะยั้นคะยอเท่าไรลูกศิษย์ไม่ยอมเปิดปากดื่ม ลูกศิษย์ต้องทนทุกข์อยู่กับความเศร้าและความแค้น ถูกพันธนาการด้วยคำทำนาย เขาอยากให้ลูกศิษย์เป็นอิสระ ดำรงชีวิตอย่างที่ควรเป็น อยู่กับผู้หญิงที่รักเขาด้วยความจริงใจ

“เจ้าต้องดื่ม เอเดรียน”

กินเวลานานเกินจนมัทธิอัสเข้ามาร่วมแรง ง้างขากรรไกรอย่างแรงจนเอเดรียนอ้าปาก ปล่อยน้ำยาสีดำเคลื่อนไหวพุ่งปรูดเข้ามาในปากอย่างรวดเร็ว เกลี้ยงจนหมดโถ เอเดรียนนอนดิ้นรนทุรนทุราย ร่างกายต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมรุกล้ำเข้ามาทำร้ายเส้นปราสาทสั่งการ รวมถึงสติสัมปชัญญะและจิตใต้สำนึก จิตอันเรือนลางของเขามองเห็นช่องหน้าต่าง เผยท้องฟ้ายามเย็นดาวฤกษ์สีชมพูปรากฏสายตาเป็นครั้งสุดท้าย

กานติศา

“อย่าต่อต้าน ยิ่งต้านมันยิ่งเจ็บ” จิลเลี่ยนเตือน ทนดูลูกศิษย์ดิ้นรนอย่างน่าสงสาร

แล้วทุกอย่างกลับเข้าสู่ความมืดมิด ร่างกายชักกระตุกด้วยอิทธิฤทธิ์ภาตใต้ของน้ำยา กินเวลาผ่านไปร่างกายยิ่งถูกครอบงำเคลื่อนไหวภายใต้คำสั่ง จิตสังหารพุ่งแรงราวกับการเกิดใหม่ บาดแผลถูกทำร้ายปิดจนหายสนิท เปลือกตาหนักอึ้งเบิกตาขึ้น ดวงตาดวงเดิมเพิ่มเติมความมุ่งร้ายเป็นประกายลูกไฟสีทอง

ฆ่า



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2561, 00:24:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2561, 00:24:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 564





<< บทที่ 13 (1) ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส   บทที่ 14 (1) จุดเริ่มต้นคำทำนาย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account