มนตราในฝัน
กานติศา หญิงสาวหลงทางในความฝัน จินตนาการของเธอ กระทั่งพบชายชุดดำปริศนาเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวยามกลางวัน กลืนเป็นสีน้ำเงินในรัตติกาล สัมผัสความลึกลับและอันตราย
เธอจะวิ่งหนีไปให้พ้นจาก 'ฝันร้าย' อย่างไร

Tags: ข้ามภพ,แฟนตาซี,ความรัก

ตอน: บทที่ 14 (1) จุดเริ่มต้นคำทำนาย

14 จุดเริ่มต้นคำทำนาย

นายทวารหลายสิบหน้าเฝ้าตรวจตราหน้าประตูเมือง ปราการหนึ่งเดียวกีดขวางกานติศา หากพ้นประตูนี้ไปได้เธอจะเป็นอิสระ มุ่งหาทางกลับบ้านต่อไป แต่ไม่มีเหรียญตราถือเป็นตั๋วผ่าน สาวซุ่มตัวอยู่หลังถังไม้แอบดูปฏิกิริยาพวกเขา เธอต้องผ่านความเข้มงวดประตูนี้ไปให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม

แต่ความสะเพร่าเกิดขึ้นมือพลั้งพลาดผลักถังไม้ล้มระเนระนาดให้พวกเขาได้ยินเสียก่อน หายนะได้มาเยือนแล้ว

“ใครนะ ใครอยู่ตรงนั้น”

ซวยแล้วจะทำอย่างไรดี กานติศาอยากรัวกำปั้นทุบหัวตัวเอง

“แสดงตัวมาเดี๋ยวนี้ อย่าหาว่าไม่เตือนนะ” นายทวารถือหอกยาวเป็นอาวุธย่างก้าวเข้าใกล้พื้นที่วางเรียงถังไม้ กานติศาจำใจยอมเผยตัวในที่สุด

“เจ้ามาทำอะไรป้วนเปี้ยนแถวนี้ ไม่ได้ยินประกาศจากหน่วยทางการเหรอ ห้ามออกนอกบ้าน”

“แต่ข้าต้องออกไป ข้าเป็นคนที่อื่นไม่ใช่คนของที่นี่ ปล่อยข้าออกไปเถอะ ได้โปรด” ยินดีนั่งพับเพียบยกมือไหว้อ้อนวอน พวกเขาตกใจกับพฤติกรรมแปลกประหลาดไม่เคยพบจากที่ไหนมาก่อน

“ทำอะไร ห้ามออกไป เจ้าเมืองให้ปิดประตูเมืองทุกบาน แม้แต่มดแมลงก็ไม่ได้รับอนุญาต”

“จะขัดคำสั่ง หรืออยากโดนข้อหากบฏ” นายทวารตวาดตะคอกใส่กานติศา ตัดโอกาสสู่อิสรภาพ เห็นว่ายังดื้อดึงจึงเหวี่ยงฝ่ามือจะเข้ามาตบหน้าว่าที่กบฏให้สิ้นลาย เห็นความรุนแรงจะเกิดขึ้นเธอพลางใช้แขนบังหน้า

“อย่าใช้ความรุนแรง” ไธด์โผล่เข้ามาขวางดึงแขนนายทวารออกไปให้พ้น

“ท่านคิดจะทำอะไร หมอนั้นฝืนคำสั่ง”

คนถูกนิ้วชี้ใส่หน้าหาว่าเป็นกบฏ กานติศาตีหน้ามึนไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้ สร้างความเดือดร้อนแก่ท่านไธด์ ผู้มีนิสัยดีที่สุดในตอนนี้กลับยิ้มให้อย่างไม่เอาความ พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน เธอโล่งใจเมื่อเห็นสีหน้านายทวารมีทีท่าใจเย็นลง ยอมปล่อยเธอไปไม่เอาเรื่องหลังฟังเหตุผลว่าท่านมัทธิอัสตามหาอยู่

“ขอบคุณที่ฟังข้า และขอโทษแทนเขาด้วย”


ไธด์ดึงข้อมือให้เดินตามเขาไปที่ม้าพันธุ์ขนสีขาวถูกล่ามไว้ ช่วยพยุงร่างเธอขึ้นไปนั่งคร่อมบนหลังม้าซึ่งตามด้วยเขา เป็นเพราะนั่งบนม้าตัวเดียวกันสาวจึงรู้สึกเหนียมอายอย่างไรพิกล แตกต่างจากนั่งซ้อนหน้าเอเดรียนซึ่งทำให้ใจเต้นระส่ำระสาย ต่างจากมัทธิอัสทำให้หวาดกลัว ถึงยังไงกานติศาไม่หลงตัวเองถูกมารุมมาตุ้มจากผู้ชายหนุ่มหล่อ ราวตนเป็นศูนย์กลางจักรวาลอย่างนั้น

กระตุกม้าให้วิ่งเร็วขึ้นไปทางเนินเขาปลุกสาวรู้ตัว เมื่อเห็นเส้นทางเข้าไปส่วนลึกในภูเขา ห่างจากทางออกมาขึ้นเรื่อย ๆต้องรีบขัดจังหวะ “จะพาฉันไปไหนคะ ไม่ใช่เส้นทางออกนี่ค่ะ ให้ฉันลง...”

“คิดกลับไปประตูเมืองอีก เจ้าล้มเลิกความคิดซะนะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงพวกเขาไม่เปิดให้ ไม่มีทางขัดคำสั่ง ทุกคนเคารพยำเกรงต่อท่านมัทธิอัสทั้งนั้น”

“ไม่ใช่หรอกมั้งค่ะ ทุกคนหวั่นกลัวเขามากกว่า ตอนที่ฉันอยู่ในฝูงชนพอท่านคนนั้นมา พวกเขาตัวสั่นงกๆ แววตาพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว ขวัญหนีดีฝ่อเมื่อได้ยินเสียงคนนั้น”

“เป็นเพราะพวกเขาเคยตัดสินใจผิด ถึงต้องรับผลที่ตามมา”

ตัดสินใจผิดเรื่องอะไร...ใช่เกี่ยวข้องกับเอเดรียนหรือเปล่า

ไม่นะ ทำไมเธอยังไปนึกถึงผู้ชายใจร้าย ทรยศหลอกลวงคนนั้นอีก

“แล้วคุณไม่ได้เป็นพวกเดียวกับพวกเขาหรือไงคะ ลืมไปหรือเปล่าว่าคุณเป็นคนของมัทธิอัส มาช่วยฉันแบบนี้ เดี๋ยวโดนตัดหัวขาดหรอก” สาวยังมีใจพูดติดตลกในเวลานี้ อาจจะเป็นเพราะอยู่กับไธด์พล่อยทำให้รู้สึกสบายใจไปด้วย

ผู้กุมบังเหียนกระตุกยิ้มชอบใจกับคำหยอกล้อ คำถามที่ตรงไปตรงมา แสดงว่านางไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของผู้มีฐานะอย่างเขา ชักเริ่มเข้าใจแล้วว่านางมีความสำคัญในใจบางคนได้อย่างไร

“อะไรทำให้เจ้าเชื่อเช่นนั้น ข้าไม่เคยบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นแค่คนใกล้ชิดไม่จำเป็นต้องมีความคิดเหมือนกัน กานติศา ข้าจะหาทางช่วยเจ้ากลับบ้านเอง” กระตุกม้าให้เลี้ยวเข้าไปในตรอกแคบถูกเจาะเซาะเข้าไปในภูเขา

ความมืดมิดในตรอกแคบมีแสงสว่างจากไฟตะเกียงที่ไธด์เป็นผู้ถือและนำทางพากานติศาเข้าไป ด้วยความบังเอิญมือเธอลูบกำแพงอยู่ พบลวดลายรอยสลักจึงเรียกเขามาส่องไฟดูภาพกำแพง นับว่าเป็นภาพแกะสลักศิลปะเต็มไปด้วยเรื่องราวมากทีเดียว เล่าขานถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรในอดีต ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ประชาชนดำรงอยู่อย่างมีความสุข ภาพเหล่านั้นเล่นต่อ ๆกันเป็นฉาก ๆ สิ่งโดดเด่นไปกว่านั้นคือรูปเขา ผู้ชายชุดดำ

พวกเธอเดินเข้าไปถึงสุดทางเดินในตรอก พบพื้นที่กว้างโล่งยื่นออกเป็นหน้าผาด้านหลังภูเขา และลานหินวางตัวเป็นวงกลมมีขั้นบันไดเรียงเป็นอัฒจันทร์ ที่นั่งสำหรับผู้ชมการแสดงหรือพิธีบางอย่าง เธอนึกถึงโคลอสเซี่ยมขนาดเล็ก หลังคาเปิดโปร่งให้ชาวบ้านชาวช่องจากด้านนอกมีส่วนรวมในการชม นอกจากตรอกรูเล็กที่เธอเพิ่งเดินออกมา ยังมีตรอกทางเข้าสู่ลานหินทางอื่นอีกด้วย

สะดุดตากับแท่นหินตั้งอยู่ตรงกลางพื้นที่วงกลม หาแต่ความหรูหราไม่ กานติศาสัมผัสถึงความศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่ทำจากเพียงก้อนหินธรรมดา ไธด์เดินนำไปก่อนซึ่งเรียกเธอเข้ามาดูใกล้ ๆ สัญลักษณ์บนแท่นเล่นงานรอยสักหลังหูจนร้อนจี๋ ครั้งนี้ปะทุร้อนแรงกว่าครั้งไหน จนเธอใช้นิ้วถูคลายความร้อน เม้มปากปิดสนิทอยากเข้าใจจุดประสงค์ของไธด์พาเธอมาที่นี่

“สัญลักษณ์นี้หมายถึงอะไรกันแน่คะ ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพามาที่นี่ทำไม”

ไธด์ปลดกระดุมเม็ดบนสุดออก ปล่อยตัวตามสบายจ้องเข้าไปในดวงตาเธอ เจ้าของดวงตาสีฟ้าสดยิ้มกว้างอธิบาย “สัญลักษณ์นี้เสมือนความหวัง ความหวังหนึ่งเดียวช่วยปลดพันธะทุกสิ่งทุกอย่าง เคราะห์กรรม ที่เราเรียกตราบาป ความหวังนี้ออกมาในรูปแบบชีวิตมนุษย์ เราเรียกเครื่องบูชายัญ อาจจะฟังดูโหดร้ายไปสำหรับเจ้า เครื่องบูชายัญนั้นหมายถือเจ้า...ตามคำทำนายเคยกล่าวไว้หลายปีก่อน”

“คำทำนาย...ใครเป็นคนกำหนด”

สาวไม่พอใจที่ชะตาตนตกอยู่ในฐานะเครื่องบูชายัญ และถูกกำหนดมาถูกทำลาย แน่ใจว่าเธอไม่เคยสร้างบุญหนักบาปหนาต้องมาตกสถาพนี้ ความฝันเห็นชีวิตเธอเป็นเรื่องตลก เขามองเห็นความไม่พอใจจึงรีบพูด

“ไม่เกี่ยวกับบาปสิ่งที่เจ้าทำ เพราะเจ้าสำคัญต่ออาณาจักรนี้มาก มันคือหน้าที่ของเจ้าต้องเสียสละ”

เสียสละชีวิตเพื่อผู้อื่น เพื่อความฝันนี้หรือ

“ไม่รู้ว่าเจ้าได้สังเกตภาพสลักบนกำแพงเมื่อกี้หรือเปล่า มีฉากหนึ่งที่ถูกทำลายจนจนเสียหาย”

“เห็นค่ะ ฉันจำได้” ฉากนั้นถูกเผาทำร้ายจนภาพหายไปเหลือแต่คราบเขม่าทิ้งไว้ และฉากถัดมาเอเดรียนก็เริ่มหายไปจากกำแพงเรื่องราว กลายเป็นผู้ถูกหลงลืม สูญหายไปจากภาพ แทนที่ด้วยผู้ปกครองอาณาจักรคนใหม่ มัทธิอัสมารับช่วงต่อเรื่องราวหลังจากนั้น

“คำทำนายมันเกิดตอนนั้นล่ะ จุดประกายความคิดประชาชนร่วมกับเจ้าเมืองปัจจุบันก่อกบฏ กวาดล้างตระกูลราชวงศ์จนหมดสิ้น เจ้าเชื่อไหมว่าเราเคยมีระบอบกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มาก่อน ปราสาทร้างบนเขานั้นคือที่พวกเขาเคยพำนักอยู่”

ปราสาทร้างบนเขามีร่องรอยถูกการโจมตีทำร้ายอย่างหนัก ด้วยความใหญ่โตมโหฬารแทบครอบคลุมพื้นที่บนเขาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่ภาพที่ใคร ๆลืมเลือนได้ง่าย ๆ กลายเป็นความทรงจำในอดีตถูกทอดทิ้ง

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด เอเดรียน เขาคือราชวงศ์ที่รอดชีวิตจากการกวาดล้างใช่ไหมคะ”

“ใช่และไม่ใช่ ไม่ถึงกับถูก เพราะพวกเราฆ่าเขาไม่ได้...เขาเป็นส่วนหนึ่งในคำทำนายด้วย เขาคือผู้ถูกเลือก หน้าที่ทำลายเครื่องบูชายัญด้วยดาบโลหิตของเขา เรื่องราวมันเริ่มตั้งแต่เขาจับนักบวชนอกรีต...”

หลายปีก่อน วันท้องฟ้าสดใสวันหนึ่งเหมาะแก่การล่าสัตว์ สมาชิกในราชวงศ์รวมไปถึงครอบครัวทหารยศสูงศักดิ์เข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ภายนอกอาณาจักร มีรางวัลยิ่งใหญ่เป็นเดิมพัน ผู้ใดล่าสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดเป็นฝ่ายชนะ จะได้รับอำนาจต่อรองเข้าเฝ้ากษัตริย์เพื่อขอสิ่งที่ปรารถนาได้หนึ่งข้อเป็นรางวัล ยกเว้นเรื่องก้าวก่ายอำนาจบนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นกบฏต้องถูกำจัดทันที

มัทธิอัสในสมัยนั้นเป็นทายาทของแม่ทัพสูงสุด มีหน้าที่ค่อยรับใช้ราชวงศ์ สะสมซุกซ่อนความริษยามายังว่าที่รัชทายาทซึ่งยังไม่ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ เอเดรียนล่าสัตว์มีขนาดใหญ่กว่าโทรลล์ภูเขาได้สำเร็จซึ่งเป็นผู้ชนะไป แต่บ่วงกับดักไปเกี่ยวกลุ่มขบวนนักบวชต่างถิ่นกำลังตระเวนในป่าจนบาดเจ็บ เขามีจิตใจเมตตาเสนอสินน้ำใจอาสาพาพวกเขามารักษาตัวที่วิสตาร์เรีย

ทุกคนในวังพุ่งสายตาเหยียดหยาบมายังกลุ่มนักบวชต่างถิ่นอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ และถูกใส่ความเป็นคนนอกรีต เป็นไส้ศึกบ้าง นำความโชคร้ายมาให้ เรื่องเล่าภายในวังแพร่ไปทั่วอาณาจักร ถึงหูประชาชนทุกคนอย่างรวดเร็วราวไฟลามทุ่ง เร็วพอ ๆกับการริเริ่มแผนก่อกบฏร่วมกันระหว่างประชาชนชั้นผู้ใหญ่กับทหารยศสูงศักดิ์ต่างสนับสนุนให้ท่านมัทธิอัสครองบัลลังก์เป็นคนต่อไป ด้วยนิสัยเด็ดเดี่ยว เคร่งครัดต่อหน้าที่ มุ่งมั่นกระทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของอาณาจักร ย่อมสร้างผลงานได้ดีกว่าว่าที่รัชทายาท เอเดรียน ชำนาญการล่าสัตว์และการต่อสู้ก็จริง กลับมีจิตใจรักสงบอ่านหนังสือยามว่าง นิสัยรักสันโดษไม่ค่อยมีส่วนรวมในการวางแผนดูแลบ้านเมือง

เรื่องราวพวกเขาสองคนแข่งขันมักถูกเปรียบเทียบเสมอ เป็นผลสร้างความริษยาแบ่งพรรคแบ่งพวก พร้อมข่าวลือประโคมทำเอาความมั่งคั่งของราชวงศ์ต้องสั่นสะเทือน ว่ามัทธิอัสเป็นลูกนอกสมรสของกษัตริย์กับนางรับใช้ก่อนจะยกให้ทหารคนสนิทรับไปเลี้ยงดู นั้นยิ่งเหตุผลว่าทำไมมัทธิอัสถึงกระหายอำนาจ

เมื่อความไม่พอใจการรุกรานของนักบวชต่างถิ่นฮึกเหิมในหมู่ประชาชนจนต้องออกมาสร้างความวุ่นวาย ถูกรายงานสร้างความกดดันแก่กษัตริย์ธีโอดอร์ ท่านพ่อของเอเดรียนจึงออกคำสั่งให้จับกุมนักบวชนอกรีตทั้งหมดมาเพื่อประหารต่อหน้าสาธารณชน หวังซื้ออำนาจซื้อใจเหล่าประชาชี เอเดรียนกลับขัดขวางแผนการ เนื่องจากเขาเป็นผู้อัญเชิญพวกเขาเข้ามาเอง ยืนยันแทนพวกเขาอีกเสียง นักบวชต่างถิ่นไร้จิตมุ่งร้ายต่ออาณาจักร เป็นขบวนที่พเนจรผ่านมาเท่านั้น

เสียดายกษัตริย์ฟังหูไว้หูไม่เชื่อ หวงอำนาจและศักดิ์ศรีถูกพวกทหารนายคนสนิทยุให้รำตำให้รั่ว จนผิดใจกัน ทะเลาะกนสามวันสามคืนก็ไม่จบ ยิ่งสาแก่ใจพวกก่อการกบฏเบื้องหลัง

‘ข้าคือผู้ชนะการล่าสัตว์ มีสิทธิ์ขอสิ่งปรารถนาได้หนึ่งข้อ ท่านพ่อ ข้าปรารถนาให้ปล่อยพวกเขาไป’

‘แกคิดว่าจะขออะไรก็ได้ก็ได้เหมือนของเล่นอย่างนั้นหรือ แกกำลังดูถูกพ่อต่อหน้าพวกเขา กล้าหักหน้าขณะพ่อนั่งบนบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ยังไง กษัตริย์พูดอะไรแล้วไม่มีการคืนคำ’

คำขาดของกษัตริย์ได้เป็นจริงในวันถัดมา ณ ลานประหารวงกลม นักบวชนอกรีตนับสิบคนถูกมัดตอกตะปูใส่ฝ่ามือและฝ่าเท้าขึงกับท่อนไม้ในวันที่ท้องฟ้าแปรปรวน ไร้เงาดวงอาทิตย์หรือแม้แต่กระแสลม บรรยากาศอึมขรึม เงียบสงัดขนาดได้ยินเสียงสูดหายใจเต็มแรงของนายเพชฌฆาตนับสิบคนถือขวานยักษ์ มัทธิอัสเป็นผู้รับผิดชอบการประหารครั้งนี้ ยิ่งสร้างความพึ่งพอใจแก่ทุกคนต่างยอมรับว่าเขาคือผู้ที่เหมาะสม

ส่วนเอเดรียนฝืนทนดูการประหารด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งผิดหวังและรู้สึกผิด มัทธิอัสกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นผู้นำ อยากแม้กระทั่งกระชากมงกุฎสีทองแสดงถึงอำนาจมาจากหัวกษัตริย์ ในอีกไม่ช้าตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน เขาสร้างภาพผู้ดีผายมือให้เกียรติแก่หัวเราะนักบวชนอกรีตพูดสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย

‘ข้าพูดไม่นานหรอก พูดแทนพวกเราสิบคน ท่านจะได้ไม่เสียเวลารอ’ นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมากในความคิดของมัทธิอัส หัวหน้านักบวชนอกรีตฉีกยิ้มกว้างราวรู้แผน ความคิดต่ำช้าในหัว

‘แทนที่จะเป็นคำสั่งเสีย ข้าเผยคำทำนายให้ฟังสนุกๆดีกว่า เกี่ยวกับชะตากรรมอาณาจักรในอนาคตอันใกล้นี้ พร้อมฟังกันหรือยัง...’

ทุกคนทุกสายตาตกอยู่ในความเงียบ ราวต้องมนต์ลมปากของหัวหน้านักบวชเสียแล้ว ไม่มีใครขัด ไม่มีใครถาม หรือแม้กระทั่งหายใจ

‘ตราบาปที่พวกท่านสร้างขึ้นในวันนี้ กษัตริย์ท่านไร้สติปัญญาขาดคุณธรรมความดี ไม่เหมาะครองบัลลังก์ ส่วนท่านมัทธิอัสก็เช่นกัน’

สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาทำลายท่อนไม้กักขังพวกเขาราวถูกปลุกเสกได้ นักบวชคนเดิมไร้พันธนาการเป็นอิสระกวาดนิ้วไปที่หน้าทุกคนผู้ร่วมเหตุการณ์ครั้งนี้

‘นี่เป็นคำสาป ความฉิบหายได้บังเกิดผลแล้วบัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีหนทางแก้ ไม่มีทางรักษา ไม่มีวิธีใด ๆ พวกท่านต้องได้รับกรรมจากสิ่งที่ทำกับพวกข้าในวันนี้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือรอเวลาเท่านั้น รอปาฏิหาริย์ร่วงจากฟากฟ้า สาวงามผู้เกิดมาจากต้นไม้ นางจะนำความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญมาในเวลาที่เหมาะสม ระหว่างนี้ไปพวกท่านจงมีความสุขกับการถูกทรมาน กับความฉิบหายที่พวกท่านสร้างขึ้นมาเอง...’

‘จงรอนานนับปี นานเหมือนชั่วกัลป์ รอแล้วรออีก ส่วนท่านเอเดรียน...’ นักบวชกล่าวถึงเอเดรียน

‘พวกเราขอขอบคุณสำหรับความเมตตา ความพยายามช่วยพวกเรา สำแดงให้พวกข้าเห็นแล้วว่าท่านมีคุณสมบัติมากพอ สมควรได้รับโอกาสช่วยเหลืออาณาจักรอีกครั้ง พวกเรากำหนดท่านคือผู้ถูกเลือก ข้ายินดีมอบพลังและอำนาจสุดท้ายเพื่อปกป้องท่าน จนกว่าท่านจะเจอสาวงามผู้เกิดมาจากต้นไม้ ปาฏิหาริย์หนึ่งเดียวกู้อาณาจักรคืนกลับมา จงทำลายนาง จงใช้เลือดนางถึงหยดสุดท้ายมาชำระล้างอาณาจักร ลบล้างคำสาป” แบฝ่ามือเปื้อนเลือดเผยแสงสีทองออกมาในรูปแบบสิ่งของชิ้นหนึ่ง โยนสิ่งนั้นให้ตกอยู่ในกำมือเอเดรียน สร้อยเรือนโลหะสีทอง

‘เมื่อถึงเวลาอันควร ท่านจงใช้มันหานางโดยเร็ว จนกว่าบทลงโทษเล่นงานท่าน ภาระรับผิดชอบของผู้ถูกเลือกต้องถูกเดิมพันด้วยชีวิตท่าน’

‘ท่านมัทธิอัส ข้าขอจบคำทำนายเพียงเท่านี้’

เสียงคุยกันแซ่ด ความขลาดกลัวต่อคำสาป เสียงหัวเราะราวเพิ่งฟังเรื่องตลกระคนปนเปกันไป แต่ไม่ใช่เรื่องตลกในความคิดของเอเดรียน มัทธิอัสส่งสัญญาณให้เริ่มการประหารเสียทีหลังประวิงเวลานาน

นักบวชนอกรีตทั้งสิบรู้จังหวะเวลาอันควรจึงตะโกนบทสวดเสียงดังพร้อมเพรียง ด้วยภาษาฟังไม่ออก ร่ายมนต์ยาวเหยียดซ้ำไปซ้ำมาน่าสะพรึงกลัว ชวนขนลุกขนพอง ประชาชนขวัญหนีหายจนวงแตกกระเจิง ประดุจพลังงานบางอย่าง เรียกความมืดครอบคลุมท้องนภาอย่างทั่วถึง ทันทีสวดจบร่างกายพวกเขาได้แปรสภาพเป็นการระเหยเป็นผงธุลีสีดำขึ้นลอยไปบนฟ้า หมุนเกลียวเหมือนพายุหมุนอยู่เหนือทุกสิ่งก่อนตกลงมาปกคลุมทั่วอาณาจักร กลายเป็นคำสาปตามที่พวกเขากล่าวไว้ เพราะวันต่อมาคำสาปสัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็วดุจโรคระบาด ประชาชนล้มตายด้วยโรคแห่งความตาย สิ่งแวดล้อมธรรมชาติประสบสภาวะขาดน้ำและความแห้งแล้ง คุณภาพชีวิตประชาชนถดถอยลง ตัวเลขบันทึกอัตราเกิดแทบเป็นศูนย์ อัตราการตายเพิ่มจำนวนมากเกินมาตรการควบคุม พื้นที่สุสานด้านในต้องแผ่ออกมานอกอาณาจักร

“นักบวชพวกนั้นได้ตายลงหรือเปล่าคะ” กานติศาเอ่ยถามขึ้นหลังสงบนั่งฟังมาตลอด

“ไม่มีใครตอบได้ อาจจะตาย อาจจะไม่ บางก็ว่าพวกเขากลายเป็นคำสาปอยู่กับพวกเราจนถึงวันนี้”

“ละ แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเอเดรียนหลังจากนั้นคะ”

ไธด์หยั่งเชิงถามให้แน่ใจว่ากานติศายังอยากรู้เรื่องคนทรยศอีกหรือ สาวก็ยักไหล่เป็นคำตอบอย่างไม่แยแส “รู้ไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรค่ะ”

“จากนั้นวิสตาร์เรียก็ไม่เหมือนเดิม เปราะบางแตกง่าย การประหารวันนั้นเหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว พาความฉิบหายมาจริงๆ ราวกรรมติดจรวดเมื่อโรคแห่งความตายโจมตีกษัตริย์...”

กษัตริย์ธีโอดอร์ออกคำสั่งห้ามเผยแพร่ข่าวไปนอกวัง เมื่อหมอหลวงรายงานข่าวร้ายเกี่ยวกับสุขภาพพระองค์ ผิวหนังเริ่มเน่ามีหนอนไซขึ้นตามลำตัวและใบหน้า ไร้หนทางรักษา แน่นอนว่ายิ่งดีต่อแผนก่อกบฏจากพวกเบื้องหลัง พวกเขาสุมหัวปล่อยทั้งข่าวจริงทั้งข่าวลือเข้าหูประชาชนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันแซ่ด ความศักดิ์สิทธิ์บนบัลลังก์ มงกุฎบนพระเศียรถือศักดิ์เหมือนพระเจ้า ผู้มีอำนาจสูงสุดยังถูกเล่นงานด้วยโรคแห่งความตาย ระลึกกันว่าคำสาปของนักบวชนอกรีตกลายเป็นจริง พากันโยงเรื่องราวเป็นความผิดของพระองค์ที่ตัดสินประหารกลุ่มนักบวชนอกรีต ตัวต้นคำสาป เสมือนตราบาปอาณาจักร ต้นต่อความฉิบหาย นำความหายนะกลืนกินชีวิตประชาชนทุกคนต้องทนทุกข์ทรมานกันถ้วนหน้า

ประชาชนกลายเป็นส่วนหนึ่งในแผนก่อการกบฏได้เริ่มต้นขึ้น ความอาฆาตแค้นอยากโค้นบัลลังก์ สลับเปลี่ยนขั้วอำนาจมอบให้มัทธิอัสแทนตามแผนที่วางไว้

ประตูพระราชวังถูกทำลายทุกบานพวกเขาจับสมาชิกราชวงศ์ทุกชีวิตรวมถึงเอเดรียนมายังลานประหารวงกลม วันนั้นเขาต้องจดจำภาพสยองขวัญติดตาไปตลอดชีวิต ญาติมิตรครอบครัวถูกตัดหัวเสียบประจาน รวมไปถึงพวกเด็กเล็กไม่รู้เรื่องราวกลับต้องชะตาขาดเช่นเดียวกัน กัดฟันทนฟังเสียงกรีดร้องจนหยุดนิ่งไป ความเงียบในตอนนั้นประกาศว่าเขาเป็นราชวงศ์เหลือผู้เดียวยังมีชีวิตอยู่

“ทุกคนพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อฆ่าเขา แต่เขาก็ไม่ตาย ความเป็นอมตะในตอนนั้นเป็นหลักฐานชี้ชัดว่าเขาคือผู้ถูกเลือกจริงๆ ซึ่งได้รับมอบพลังและอำนาจสืบทอดมาจากนักบวชนอกรีตนั้นเอง พลังนั้นปกป้องเอเดรียน พวกเขาจำคุกไปทรมานระบายแค้น บังคับเขาดื่มยาพิษ ลองคิดดู ผู้เป็นอมตะต้องทนเจ็บปวดทรมานหนักแค่ไหน ตายไปเสียตอนนั้นยังดีกว่า”

กานติศาหาได้รู้ตัวไม่ว่าน้ำตาได้ไหลอาบแก้มสองแก้ม กลั้นก้อนสะอื้นหลังฟังเรื่องราวอันน่าเศร้า โศกนาฏกรรมชีวิตที่เอเดรียนต้องเผชิญเจอด้วยตัวคนเดียว แต่ยังสงบท่าทีตั้งใจฟังไธด์เล่าเรื่องต่อ

“เมื่อทุกคนระบายแค้นตั้งสติได้ ก็เริ่มระลึกเกี่ยวกับคำทำนาย ภารกิจหน้าที่ของผู้ถูกเลือก จิตใจอันบอบช้ำของเอเดรียนไม่มีใจจะทำอะไรอีก ชีวิตเขาจมอยู่กับความเศร้าสลดมากเท่าที่คนหนึ่งทนไหว อยู่ไปก็เหมือนตายทั้งเป็น อยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่ได้อีก อดีตเลวร้ายที่ผ่านไปกลับไปแก้อะไรไม่ได้อีก เหลือความอยู่รอดของอาณาจักรที่ทุกคนอยากปกป้อง ลบล้างคำสาปเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนั้น แต่พวกเขาจะบังคับกดขี่หลังจากทรมานเขาเช่นนั้นอย่างไร...เจ้าคงเคยเห็นน้ำสีดำที่เขาอาเจียนออกมาบ้างแล้ว”

น้ำสีดำเคลื่อนไหวราวมีชีวิตก่อนหายกลืนไปกับพื้นอย่างไร้ร่องรอย แน่นอนว่ากานติศาจำได้

“พวกเขาจับเอเดรียนกึ่งบังคับขู่เข็ญ ใช้น้ำยาสีดำกรอกปาก เพื่อควบคุมจิตใจ ลบล้างจิตใต้สำนึก เหมือนล้างสมองให้ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวตนของเขาเอง ใช้ชีวิตเหมือนหุ่นเชิดปฏิบัติตามคำสั่งอยู่อย่างนั้นหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบเจ้า”



KAVIDA
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2561, 22:45:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2561, 22:45:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 583





<< บทที่ 13 (2) ท่านเจ้าเมือง มัทธิอัส   บทที่ 14 (2) จุดเริ่มต้นคำทำนาย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account