กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๑๓ ล่ม -จบตอน-

“เมื่อก่อนพ่อเพื่อนพี่ให้ชาวบ้านเช่าทำไร่ข้าวโพดเพราะไม่ได้ทำอะไร มันเป็นที่ดินตกทอดมาจากปู่ย่าตายาย ลูกหลานพอโตก็หันเหไปทำอาชีพอื่นกันหมด พอจะทำไร่ก็ต้องตัดต้นไม้ใช่ไหม มันก็กลายเป็นที่โล่งๆ พอเก็บข้าวโพดหมดแล้วเขาก็เผากัน ใช้สารเคมีเยอะมากทั้งปุ๋ยทั้งยาฆ่าแมลงจนดินเสื่อมสภาพปลูกอะไรแทบไม่ได้

มีนายหน้ามาติดต่อขอซื้อแต่เพื่อนพี่มันเสียดายเลยขอพ่อมันไว้ แล้วก็ขอทุนมาก้อนหนึ่งเพราะเพิ่งเรียนจบกันเองตอนนั้นน่ะ ตัวคนจะทำน่ะจบสถาปนิกไม่ได้จบเกษตร มันก็ลองผิดลองถูก เริ่มจากฟื้นฟูดินนี่แหละอาศัยยึดหลักทฤษฎีของในหลวงเอา

สองปีกับการลงทุนเปล่า พอดินเริ่มดีขึ้นมันก็ปลูกไม้ใหญ่ ทำฟาร์มผักออแกนิค จากนั้นก็ขยับขยายตอนนี้มันมีไร่ชา แล้วก็ปลูกเมล่อนเพิ่ม ที่เห็นต้นไม้ใหญ่หลายต้นนั่นซื้อไม้ล้อมมาลง ส่วนที่เริ่มปลูกใหม่เป็นไม้สักยังไม่โตมาก แต่ก็พอให้ได้อาศัยร่มเงาแล้วเหมือนกัน”

“เก่งมากเลยนะคะนั่น”

“ใช่ค่ะมันเก่ง ลูกค้าที่ซื้อผักเห็นวิวสวยเวลามันถ่ายภาพลงอวดในเพจ หลายคนก็อยากมาเที่ยว บ่อยเข้ามันเลยคิดทำรีสอร์ต มาจริงจังก็ปีที่แล้วค่ะ เขียนแบบเองแต่จ้างเพื่อนให้มาสร้างให้ มันบอกกดราคาได้ถูกดีด้วย” เขาบอกกลั้วหัวเราะ “จริงๆ ถ้าสร้างก็ใช้เวลาไม่นาน แต่มันไม่อยากตัดต้นไม้ที่ปลูกไว้แล้วทิ้ง ก็เลยต้องใช้เวลามากหน่อยเพราะบ้านแต่ละหลังออกแบบไม่เหมือนกัน ต้องดึงภูมิสถาปนิกมาช่วยดูด้วย”

“อย่างนี้มีบ้านต้นไม้ด้วยไหมคะ แต่เสียดายต้นไม้เพิ่งปลูกคงทำไม่ได้”

“ใช่ค่ะแต่แรกก็ตั้งใจจะทำแบบนั้นแต่ต้นไม้ยังไม่แข็งแรงพอ เลยกะกันว่าจะทำคล้ายสวนป่า บ้านพักห้าสิบหลังแบ่งเป็นบ้านหลังใหญ่สิบห้าหลัง เป้าหมายมันเป็นลูกค้าต่างชาติ ที่เห็นนั่นแบ่งโซนไว้แล้วนะ มีโซนยางนา ประดู่ ไม้สัก มันว่าอีกสักสามสิบปีก็ตัดขายได้เป็นการลงทุนระยะยาว”

“หัวการค้ามากเลยค่ะ พอต้นไม้ใหญ่เริ่มโตก็ปลูกต้นเล็กไว้เผื่อทดแทน พอถึงเวลาตัดต้นใหญ่ ต้นเล็กก็โตมากแล้วเป็นร่มเงาต่อไปได้” เสียงพูดนั้นกลั้วหัวเราะ “เพื่อนพี่สินนี่เป็นพ่อค้าเต็มตัวเลยนะคะเนี่ย”

“แน่สิคะ เพราะสมัยเรียนมันขี้เหนียวสุดในกลุ่มแล้ว ใครยืมเงินมันนะคะ ดอกเบี้ยนี่บานไวเหมือนเข็มวินาทีเดินเชียว”

ศศิพิมพ์หัวเราะคนเผาเพื่อน เธอเกาะขอบหน้าต่างมองราวกับเด็กได้เห็นของเล่นถูกใจ จิรสินโน้มตัวข้ามเบาะไปมองตามอย่างเผลอไผล จังหวะนั้นเธอหันมาพอดีและหน้าเราอยู่ใกล้กันเสียจนปลายจมูกกระทบกัน

แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่จิรสินก็อดยิ้มไม่ได้ เขามองลึกเข้าไปในแววตาสดใส ถ่ายทอดความในใจผ่านสายตาที่จ้องมอง

ศศิพิมพ์กะพริบตาเมื่อหายตกใจ เธอค่อยๆ ก้มหน้าหลบแต่เขาก็ยังก้มตาม รอยอุ่นแตะลงที่หน้าผากเธอ จูบที่แตะแผ่วๆ นั้นอุ่นลามไปถึงหัวใจ เธอไม่ยอมเงยหน้ามองเมื่อปลายจมูกเขายังคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ มือใหญ่อบอุ่นเกาะกุมที่ต้นแขนไว้ไม่ยอมปล่อย

“ตอนเราแต่งงานใหม่ๆ พี่ยังคิดอยากพาพิมพ์มาเที่ยวที่นี่”

เมื่อเธอไม่เอ่ยอันใดเขาจึงพูดต่อ

“คิดว่าพิมพ์คงชอบ แล้วพิมพ์ชอบไหมคะ”

คำว่าชอบของเขาดูจะกินลึกในความหมายที่มากกว่านั้น เธอนิ่งอยู่นานก่อนพยักหน้ารับน้อยๆ ครั้นเงยมองก็พบว่าเขายิ้มกว้างขวาง ดีใจเหมือนกับเด็กๆ ที่พอใจกับของขวัญถูกใจ

ใบหน้าเธอร้อนผ่าวกับนัยน์ตาหวานเจียนจะหยดนั่น สิ่งที่ทำได้นอกจากจะไม่ละลายลงไปเสียก่อนก็คือการเปลี่ยนเรื่อง

“ขับต่อเถอะค่ะ อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว”

ดวงตาเขาที่มองสบวับหวาน หัวใจเธอเจียนละลายเต็มทีเมื่อได้เห็น ศศิพิมพ์เบือนหน้ากลับไปมองวิวข้างทางอีกครั้ง เธออมยิ้มกับกระจกที่สะท้อนเงาของเขา

เงาที่ทำให้เห็นว่าเขายิ้มกว้างเพียงใด




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ค. 2561, 20:28:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ค. 2561, 20:28:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 667





<< ๑๓ ล่ม (75%)   ๑๔ ฮันนีมูน (25%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account