กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต
ตอน: ๑๔ ฮันนีมูน -จบตอน-
หัวใจศศิพิมพ์เต้นแรง และเธอสะดุ้งเมื่อฝ่ามือเขาทาบกับแผ่นหลัง เขาจ้องมองเธอไม่กะพริบ ดวงตาหวานราวจะหยดของเขาสะกดตรึงเธอไว้ไม่ให้ขยับ เสื้อที่สวมถูกปลดกระดุมทีละเม็ด สาบเสื้อยังรั้งอยู่ที่หัวไหล่กลมกลึง เผยให้เห็นผิวเนียนเหนือเนินทรวง
ศศิพิมพ์ตัวสั่น เธอรู้อะไรกำลังจะเกิด สายตาเขาไม่ปิดบังมันวาววามเสียจนเธอต้องยกมือขึ้นกอดอก ห่อตัวเพราะความอาย
เขาจูบเธออีกแล้วและหวานยิ่ง เสียงกระซิบดังข้างหู
“พี่จะถนอมพิมพ์นะคะ พี่สัญญา”
จิรสินแตะเธอราวกับเธอเป็นของบอบบาง เหมือนตุ๊กตางาที่เขาต้องถนอมมากเป็นพิเศษ แตะแรงไปก็กลัวจะบอบช้ำ แต่ครั้นจะให้ผ่อนแรงหรือเขาก็ทำได้ยากนัก
สายตาเขาบอก เขาปรารถนาในเธอ และน่าตกใจยิ่งที่เธอเองเห็นความปรารถนาของตัวเองในแววตาเขา
หญิงสาวค่อยหลับตาลงเมื่อเขาประทับริมฝีปากมอบจูบอีกครั้ง จูบครั้งนี้ให้ความรู้สึกลึกล้ำเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลมหนาวพัดผ่านและเธอสะท้านวาบเพราะผิวเปล่าเปลือย เสื้อที่สวมถูกถอดออกจากตัวเธอไปเสียแล้ว รอยจูบจากริมฝีปากหยักแตะต้องราวสายลม มือเรียวจากที่วางทาบกับอกหนั่นแน่น ค่อยเลื่อนสัมผัส จนสุดท้ายกลายเป็นโอบกอดรอบลำคอแข็งแกร่ง
จูบของเขาที่แนบลงตรงหัวใจราวกับคำสัญญา
หญิงสาวสะอื้นในอก โอบกอดเขาไว้ราวทารกและกดจูบกับกลุ่มผมดกดำ พลันนั้นเขาตัวแข็งทื่อ แต่ไม่นานเขาก็ยิ่งโอบเธอแน่นจนกระดูกแทบหัก
มันน่าอายในสิ่งที่เขาทำกับเธอ บางครั้งเขาเป็นเหมือนนักสำรวจ ซอกซอนค้นหาไม่หยุดจนกว่าจะพอใจ หากบางครั้งเขาเหมือนกับทารกที่ต้องการอ้อมกอดจากเธอ เหมือนทาสที่กำลังร่ำร้องขอความเมตตาจากนายเงิน แต่กระนั้นก็เป็นผู้ชายเอาแต่ใจร้ายกาจ
เรี่ยวแรงของศศิพิมพ์สิ้นไร้ หดหาย แผ่นหลังของเธอนอกจากฝ่ามือเขา พื้นฟูกตรงนั้นที่เราอยู่กันคือที่รองรับ
จูบเขามอมเมาเหมือนเหล้าหมักบ่มยาวนาน
หอม หวาน และทำให้มึนเมา
ศศิพิมพ์ได้แต่โอบกอดเขาไว้ สะดุ้งทุกครั้งที่เขาเลื่อนมือผ่านผิวกาย และสะท้านทั้งตัวยามสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อที่โอบเธอรอบกาย
เขาเปลือยเปล่าและเราเท่าเทียม
จิรสินคือทุกอย่างที่แตกต่างจากเธอ เมื่อมือของเธอเลื่อนผ่านผิวกายเขาตามแรงมือใหญ่ล่ำสันชักจูง ความรู้สึกใต้ฝ่ามือนั้นช่างแข็งกระด้างแต่ชวนหลงใหล เหมือนเรากำลังลูบมือไปบนเนื้อผ้ากำมะหยี่ที่หุ้มห่อก้อนหินแข็งแกร่งไว้ใต้นั่น เป็นหินที่ถูกไฟอังจนร้อนผ่าว
ศศิพิมพ์แทบจมลงไปในฟูกนุ่ม สิ่งที่กันเธอจากลมหนาวคือเนื้อตัวของเขา ผิวกายที่ไร้สิ่งใดกั้นขวาง
เมื่อรอยจูบนั้นรุกลาม ศศิพิมพ์ก็หายใจสะดุด ทรวงอกสะท้อนรุนแรงราวกับคนขาดอากาศ มันทรมานนักแต่ก็ซ่านสุข ชั่วขณะที่สูดลมหายใจเข้าปอดเธอคล้ายถูกดึงลงสู่ก้นเหว แต่ในขณะที่ผ่อนลมหายใจกลับเหมือนถูกฉุดขึ้นสู่สรวงสวรรค์
“พี่สิน”
หญิงสาวพึมพำเรียกหา เกลียวในกายขมวดเข้าจนแน่นตึง เธอไขว่คว้าต้องการเขา ในขณะที่เขาทรมานให้เธอเพรียกเรียกร้องขอ
ความทรมานนั้นรุนแรงมากขึ้น ใจเธอเต้นระรัวจนอกปวดร้าวและในอาการที่เหมือนจะขาดใจ แสงดาวก็ระเบิดพร่างพราว ทุกอย่างในตัวที่ถูกบิดเกลียวแน่นเหมือนปล่อยออกกะทันหัน
ความรู้สึกนั้นช่างรุนแรงยิ่ง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอก็พบว่าจิรสินมองเธออยู่
“พี่รักพิมพ์” เขากระซิบย้ำเมื่อแตะจูบที่ต้นคอ
ถ้อยต่อมาร้องขอราวกับคนจะขาดใจแม้นว่าเธอปฏิเสธ “รักพี่บ้างนะคะ แค่สักนิด นิดเดียว”
ศศิพิมพ์โอบกอดเขาไว้อย่างลืมอาย กลายเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่กอดก่ายชายไว้
อาการพัวพันนั้นยากแยก จิรสินตะกละตะกลามราวคนอดอยาก แต่กระนั้นก็ยังข่มใจ นี่เป็นครั้งแรกและเขาอยากให้เธอประทับใจ
เขากระทำอย่างที่ใจอยาก แสดงให้ศศิพิมพ์รู้ว่าเธอเป็นของเขา เขาควบคุม กลืนกินและช่วงชิงแม้กระทั่งลมหายใจของเธอ เขาไม่ใช่เทพบุตรแต่เป็นซาตานที่พร้อมล่อลวง
ลวงด้วยปรารถนา
ลวงด้วยเสน่หา
และลวงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยทั้งรักและใคร่
เขากอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขนเมื่อความปรารถนาพุ่งสูง จูบเธอให้สมอยากกับที่รอคอยขณะผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
หัวใจเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เราเป็นคนคนเดียวกัน
ในห้วงรักการเดินทางยังดำเนินต่อไป แรกเริ่มคลื่นลมยังสงบนิ่ง หากเมื่อถลำลึกเข้าไปทุกอย่างกลับดูวุ่นวาย นาวารักปั่นป่วนรัญจวนยิ่ง ทุกอย่างเริ่มต้นแล้วไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
ในชั่ววินาทีละม้ายเรือรักนั่นจะอัปปาง
แต่ในชั่ววินาทีถัดมาเรือรักนั้นกลับลอยลำมั่นคง
แสงดาวบนฟ้ายังกะพริบ ไม่มีแสงจันทร์แต่เรายังมองเห็นกันและกัน ในดวงตาที่สานสบราวกับกระจกที่สะท้อนเงาตัวเอง ศศิพิมพ์ยกมือขึ้นลูบไรหนวดเขียวครึ้ม เขากำลังอดทนรอคอย เส้นเอ็นบนขมับเห็นเด่นชัดเมื่อมองในระยะแค่นิ้วกั้นเช่นนี้ ศศิพิมพ์เลื่อนมือลูบใบหน้าชื้นเหงื่อนี้ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง แววตาเขาทั้งอ้อนวอนร้องขอ เธอยิ้มเมื่อนิ้วเลื่อนลูบไปถึงริมฝีปากหยัก เขาจูบที่ปลายนิ้วก่อนแนบหน้ากับมือเธอ
ทุกกิริยาเขากระทำคล้ายว่าเธอคือเจ้าชีวิต
ในอกศศิพิมพ์ตื้นตันด้วยความรู้สึกมากล้น สุดท้ายเธอปลอบประโลมเขาด้วยรอยจูบที่ปลายคางอย่างเงอะงะ เขาชะงักและยิ่งโอบเธอไว้แน่นขณะที่ความอดทนเขาสิ้นสุดลง จิรสินพาเธอทะยานขึ้นไปบนห้วงนภาอย่างดุดัน ไม่ผ่อนปรน ไม่โอนอ่อนอีกต่อไป
ในความรู้สึกนั้นเธอเหมือนเอื้อมคว้าดาวมาได้
เป็นดาวดวงเดียวที่ใกล้ชิดเธอลึกถึงแก่นใจ
ในจังหวะที่หัวใจเต้นแรงยิ่ง ทุกอย่างที่สว่างวาบเหมือนเกลียวที่ขมวดขาดลงอย่างฉันพลัน หญิงสาวจิกเล็บลงกับลำไหล่กว้าง กรีดร้องอย่างลืมอายกับความใกล้ชิดที่แนบแน่น เธอหอบหายใจเหนื่อยอ่อน และได้ยินเสียงครางต่ำๆ ราวเจ็บปวดรวดร้าวที่ริมหู
เธอโอบกอดเขาแน่นขึ้น จูบลงกับไหล่กว้างเพื่อปลอบประโลม เมื่อเขาทิ้งตัวลงซุบซุกอยู่แทบอกของเธอ
ราวครึ่งชั่วโมงที่เราอยู่ในความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ
ยิ่งดึกความหนาวยิ่งทวี ศศิพิมพ์ปรือตามองคนที่โอบเธอไว้ให้ความอบอุ่น เราอยู่กันใต้ผ้าห่มและยังคงเปลือยเปล่า
เธอเหนื่อย ลมหายใจยังกระชั้นแต่กระนั้นก็เป็นสุข หญิงสาวหลับตาลงเมื่อเขามอบรอยจูบแผ่วเบาที่หน้าผากชื้นเหงื่อ
ความใกล้ชิดที่เขามอบให้ยังแปลกใหม่และน่าเขินอายยิ่ง รอยสัมผัสจากเขาที่ทิ้งไว้ยังเด่นชัด
ชัดอยู่ในใจ ทุกการกระทำยังเน้นย้ำไม่เลือนหาย
หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อเขาจูบกดลงกับแก้มอิ่ม “อย่าค่ะ”
“ทำไมคะ” เขาคลอเคลียชิดใกล้ ริมฝีปากแตะจูบแผ่วผิวอย่างถือสิทธิ์ที่ตนพึงมี
“มัน... จั๊กจี้”
หญิงสาวเบี่ยงหน้าหนีแต่นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้เขาจูบที่ริมใบหู
“พี่สินคะ!” มือน้อยยันอกกว้าง “หื้อ... พอแล้วค่ะ พิมพ์อาย” เสียงที่เบาหายท้ายประโยคถูกดูดกลืน ความเอียงอายนั้นน่ารักน่าใคร่เสียจนคนมองอดใจไว้ไม่ไหว
ไม่อยากรังแกเธอมากนัก แต่ก็ยังอดไม่ได้
เมื่อแรกสัมผัสนั้นทะนุถนอมอ่อนโยน
ทว่าในครั้งนี้ศศิพิมพ์รู้สึกถึงการเอาแต่ใจ เรียกร้องและไม่รู้จักพอ เธอจึงได้แต่ปล่อยตัวไปตามธารสวาทนั่น
ในท้ายที่สุดที่เธอจำได้ เธอหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นจนร้อนของเขา ซุกหน้าแนบอกกว้างล่ำสันอย่างยึดเป็นที่พึ่งสุดท้าย และเขาก็โอบเธอไว้ในอ้อมแขนไม่คลาย
ดาวตก
นั่นคือสิ่งแรกที่ศศิพิมพ์รู้สึกและนึกถึง ทว่าในชั่วที่สมองกลับมาทำงานเต็มที่เธอก็รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
เราอยู่กันบนเตียงในห้องนอนใหญ่แล้ว
แสงสว่างจางๆ เมื่อมองผ่านกระจกจึงได้รู้ว่าเช้าแล้ว ตอนนี้อาจจะสักตีห้า หรือมากน้อยกว่านี้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
จิรสินหลับสนิท
หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้ เมื่อตื่นเขาคงชาที่แขนน่าดูเพราะอุทิศให้เธอหนุนนอน เขานอนตะแคงมือฟาดข้ามเอวเธอกกกอดไว้ราวกับกลัวหาย ใบหน้าเขาแนบใกล้อยู่บนหมอนใบเดียว
ไรหนวดเขียวเป็นปื้นกว่าเมื่อคืน
ศศิพิมพ์เผลอยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายดังอยู่ข้างหู เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของลมหายใจที่รินรดอยู่ใกล้ๆ อย่างเป็นสุข อดไม่ได้ก็แตะปลายนิ้วกับไรหนวดเครา ลากนิ้ววนช้าๆ และหยุดเมื่อนึกถึงตอนที่มันลากผ่านผิว
เธอหน้าแดง เห่อร้อน ทั้งอับอาย ไม่อยากยอมรับว่า...ชอบในสิ่งที่เขามอบให้ เขาน่ารัก ช่างเอาใจ แล้วยังช่างออดอ้อนนัก
อ้อมแขนแข็งแรงกระชับแน่นขึ้นอีก เพราะคนหลับเริ่มรู้สึกตัวตื่นบ้างแล้ว เขายังงัวเงียยามปรือตามองเธอ
รอยยิ้มนั้นทั้งอ่อนหวานและน่ามองอย่างที่สุด
“ตื่นเช้าจังค่ะ นอนต่อนะคะ” เสียงทุ้มว่าพลางแนบริมฝีปากเข้ากับหน้าผากของผู้ที่ตอนนี้ เรียกได้ว่ากลายเป็นภรรยาของเขาทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ที่เป็นมานานแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
“พี่สินคะ”
ถ้อยขานรับเพราะยิ่ง “ขา”
ศศิพิมพ์หัวเราะคิก เงยหน้ามองคนที่ก้มมองเธอไม่ได้หลับต่อ ดวงตาเขาละมุนเป็นสุขไม่ต่างจากเธอนัก
“คะว่าไงคะ สุดที่รักของพี่’
หญิงสาวหลุดขำกับความหวานเลี่ยน เขามองกลับทำตาดุ
“อย่าหัวเราะสิคะ อุตส่าห์กล้าพูดทั้งที พี่เขินนะเนี่ย”
เสียงหัวเราะยิ่งดังแต่ไม่นานนัก “อุ้ย!” ร่างเล็กถูกพลิกให้นอนหงายและเขาก็เท้าแขนคร่อมตัวเธอไว้ “พี่สินคะ ฮื้อ” เสียงหัวเราะดังคิกคักเพราะเขาก้มลงถูไรหนวดกับแก้มเธอ “อย่าค่ะ มันหื้อ จั๊กจี้” หญิงสาวยกมือดันคางเขาไว้ แต่แล้วฝ่ามือกลับถูกยึดและรอยจูบอุ่นๆ ก็แนบประทับ จูบนั้นรุกไล่ขึ้นมาตามข้อมือ แขน หัวไหล่ ต้นคอและริมฝีปาก หญิงสาวโอบวงแขนรอบลำคอแข็งแรง ยินดีรับจุมพิตรับรุ่งอรุณนั้นอย่างเต็มใจ เธอสะดุ้งเพราะเขาแนบชิด
หน้าแดงจัดกับความรู้สึกของเขาที่ฟ้องอยู่ในตัว
ทั้งตัวร้อนผ่าวกับสายตาวาววามราวกับเสือที่จับเหยื่อไว้ในกรงเล็บได้ แม้จะมีผ้าห่มคลุมแต่แค่เขามอง เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองเปลือยเปล่า และเมื่อเขาก้มหน้าลงมาอีก ศศิพิมพ์ก็ทำได้แค่หลับตา เธอตัวสั่นเมื่อเขาแทรกมือรอบแผ่นหลังของเธอ
เช้านั้นเป็นเธอที่อ่อนเหนื่อย และหลับใหลลงอีกครั้งในอ้อมกอดแข็งแกร่งที่ชื้นด้วยเหงื่อ ทั้งๆ อากาศนั้นแทบจะเรียกได้ว่าหนาวเย็น เพราะฝนที่พร่างพรมลงมาเมื่อค่อนรุ่ง
ศศิพิมพ์ตัวสั่น เธอรู้อะไรกำลังจะเกิด สายตาเขาไม่ปิดบังมันวาววามเสียจนเธอต้องยกมือขึ้นกอดอก ห่อตัวเพราะความอาย
เขาจูบเธออีกแล้วและหวานยิ่ง เสียงกระซิบดังข้างหู
“พี่จะถนอมพิมพ์นะคะ พี่สัญญา”
จิรสินแตะเธอราวกับเธอเป็นของบอบบาง เหมือนตุ๊กตางาที่เขาต้องถนอมมากเป็นพิเศษ แตะแรงไปก็กลัวจะบอบช้ำ แต่ครั้นจะให้ผ่อนแรงหรือเขาก็ทำได้ยากนัก
สายตาเขาบอก เขาปรารถนาในเธอ และน่าตกใจยิ่งที่เธอเองเห็นความปรารถนาของตัวเองในแววตาเขา
หญิงสาวค่อยหลับตาลงเมื่อเขาประทับริมฝีปากมอบจูบอีกครั้ง จูบครั้งนี้ให้ความรู้สึกลึกล้ำเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ลมหนาวพัดผ่านและเธอสะท้านวาบเพราะผิวเปล่าเปลือย เสื้อที่สวมถูกถอดออกจากตัวเธอไปเสียแล้ว รอยจูบจากริมฝีปากหยักแตะต้องราวสายลม มือเรียวจากที่วางทาบกับอกหนั่นแน่น ค่อยเลื่อนสัมผัส จนสุดท้ายกลายเป็นโอบกอดรอบลำคอแข็งแกร่ง
จูบของเขาที่แนบลงตรงหัวใจราวกับคำสัญญา
หญิงสาวสะอื้นในอก โอบกอดเขาไว้ราวทารกและกดจูบกับกลุ่มผมดกดำ พลันนั้นเขาตัวแข็งทื่อ แต่ไม่นานเขาก็ยิ่งโอบเธอแน่นจนกระดูกแทบหัก
มันน่าอายในสิ่งที่เขาทำกับเธอ บางครั้งเขาเป็นเหมือนนักสำรวจ ซอกซอนค้นหาไม่หยุดจนกว่าจะพอใจ หากบางครั้งเขาเหมือนกับทารกที่ต้องการอ้อมกอดจากเธอ เหมือนทาสที่กำลังร่ำร้องขอความเมตตาจากนายเงิน แต่กระนั้นก็เป็นผู้ชายเอาแต่ใจร้ายกาจ
เรี่ยวแรงของศศิพิมพ์สิ้นไร้ หดหาย แผ่นหลังของเธอนอกจากฝ่ามือเขา พื้นฟูกตรงนั้นที่เราอยู่กันคือที่รองรับ
จูบเขามอมเมาเหมือนเหล้าหมักบ่มยาวนาน
หอม หวาน และทำให้มึนเมา
ศศิพิมพ์ได้แต่โอบกอดเขาไว้ สะดุ้งทุกครั้งที่เขาเลื่อนมือผ่านผิวกาย และสะท้านทั้งตัวยามสัมผัสได้ถึงผิวเนื้อที่โอบเธอรอบกาย
เขาเปลือยเปล่าและเราเท่าเทียม
จิรสินคือทุกอย่างที่แตกต่างจากเธอ เมื่อมือของเธอเลื่อนผ่านผิวกายเขาตามแรงมือใหญ่ล่ำสันชักจูง ความรู้สึกใต้ฝ่ามือนั้นช่างแข็งกระด้างแต่ชวนหลงใหล เหมือนเรากำลังลูบมือไปบนเนื้อผ้ากำมะหยี่ที่หุ้มห่อก้อนหินแข็งแกร่งไว้ใต้นั่น เป็นหินที่ถูกไฟอังจนร้อนผ่าว
ศศิพิมพ์แทบจมลงไปในฟูกนุ่ม สิ่งที่กันเธอจากลมหนาวคือเนื้อตัวของเขา ผิวกายที่ไร้สิ่งใดกั้นขวาง
เมื่อรอยจูบนั้นรุกลาม ศศิพิมพ์ก็หายใจสะดุด ทรวงอกสะท้อนรุนแรงราวกับคนขาดอากาศ มันทรมานนักแต่ก็ซ่านสุข ชั่วขณะที่สูดลมหายใจเข้าปอดเธอคล้ายถูกดึงลงสู่ก้นเหว แต่ในขณะที่ผ่อนลมหายใจกลับเหมือนถูกฉุดขึ้นสู่สรวงสวรรค์
“พี่สิน”
หญิงสาวพึมพำเรียกหา เกลียวในกายขมวดเข้าจนแน่นตึง เธอไขว่คว้าต้องการเขา ในขณะที่เขาทรมานให้เธอเพรียกเรียกร้องขอ
ความทรมานนั้นรุนแรงมากขึ้น ใจเธอเต้นระรัวจนอกปวดร้าวและในอาการที่เหมือนจะขาดใจ แสงดาวก็ระเบิดพร่างพราว ทุกอย่างในตัวที่ถูกบิดเกลียวแน่นเหมือนปล่อยออกกะทันหัน
ความรู้สึกนั้นช่างรุนแรงยิ่ง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอก็พบว่าจิรสินมองเธออยู่
“พี่รักพิมพ์” เขากระซิบย้ำเมื่อแตะจูบที่ต้นคอ
ถ้อยต่อมาร้องขอราวกับคนจะขาดใจแม้นว่าเธอปฏิเสธ “รักพี่บ้างนะคะ แค่สักนิด นิดเดียว”
ศศิพิมพ์โอบกอดเขาไว้อย่างลืมอาย กลายเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่กอดก่ายชายไว้
อาการพัวพันนั้นยากแยก จิรสินตะกละตะกลามราวคนอดอยาก แต่กระนั้นก็ยังข่มใจ นี่เป็นครั้งแรกและเขาอยากให้เธอประทับใจ
เขากระทำอย่างที่ใจอยาก แสดงให้ศศิพิมพ์รู้ว่าเธอเป็นของเขา เขาควบคุม กลืนกินและช่วงชิงแม้กระทั่งลมหายใจของเธอ เขาไม่ใช่เทพบุตรแต่เป็นซาตานที่พร้อมล่อลวง
ลวงด้วยปรารถนา
ลวงด้วยเสน่หา
และลวงด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยทั้งรักและใคร่
เขากอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขนเมื่อความปรารถนาพุ่งสูง จูบเธอให้สมอยากกับที่รอคอยขณะผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
หัวใจเราเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เราเป็นคนคนเดียวกัน
ในห้วงรักการเดินทางยังดำเนินต่อไป แรกเริ่มคลื่นลมยังสงบนิ่ง หากเมื่อถลำลึกเข้าไปทุกอย่างกลับดูวุ่นวาย นาวารักปั่นป่วนรัญจวนยิ่ง ทุกอย่างเริ่มต้นแล้วไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ
ในชั่ววินาทีละม้ายเรือรักนั่นจะอัปปาง
แต่ในชั่ววินาทีถัดมาเรือรักนั้นกลับลอยลำมั่นคง
แสงดาวบนฟ้ายังกะพริบ ไม่มีแสงจันทร์แต่เรายังมองเห็นกันและกัน ในดวงตาที่สานสบราวกับกระจกที่สะท้อนเงาตัวเอง ศศิพิมพ์ยกมือขึ้นลูบไรหนวดเขียวครึ้ม เขากำลังอดทนรอคอย เส้นเอ็นบนขมับเห็นเด่นชัดเมื่อมองในระยะแค่นิ้วกั้นเช่นนี้ ศศิพิมพ์เลื่อนมือลูบใบหน้าชื้นเหงื่อนี้ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง แววตาเขาทั้งอ้อนวอนร้องขอ เธอยิ้มเมื่อนิ้วเลื่อนลูบไปถึงริมฝีปากหยัก เขาจูบที่ปลายนิ้วก่อนแนบหน้ากับมือเธอ
ทุกกิริยาเขากระทำคล้ายว่าเธอคือเจ้าชีวิต
ในอกศศิพิมพ์ตื้นตันด้วยความรู้สึกมากล้น สุดท้ายเธอปลอบประโลมเขาด้วยรอยจูบที่ปลายคางอย่างเงอะงะ เขาชะงักและยิ่งโอบเธอไว้แน่นขณะที่ความอดทนเขาสิ้นสุดลง จิรสินพาเธอทะยานขึ้นไปบนห้วงนภาอย่างดุดัน ไม่ผ่อนปรน ไม่โอนอ่อนอีกต่อไป
ในความรู้สึกนั้นเธอเหมือนเอื้อมคว้าดาวมาได้
เป็นดาวดวงเดียวที่ใกล้ชิดเธอลึกถึงแก่นใจ
ในจังหวะที่หัวใจเต้นแรงยิ่ง ทุกอย่างที่สว่างวาบเหมือนเกลียวที่ขมวดขาดลงอย่างฉันพลัน หญิงสาวจิกเล็บลงกับลำไหล่กว้าง กรีดร้องอย่างลืมอายกับความใกล้ชิดที่แนบแน่น เธอหอบหายใจเหนื่อยอ่อน และได้ยินเสียงครางต่ำๆ ราวเจ็บปวดรวดร้าวที่ริมหู
เธอโอบกอดเขาแน่นขึ้น จูบลงกับไหล่กว้างเพื่อปลอบประโลม เมื่อเขาทิ้งตัวลงซุบซุกอยู่แทบอกของเธอ
ราวครึ่งชั่วโมงที่เราอยู่ในความเงียบที่ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจ
ยิ่งดึกความหนาวยิ่งทวี ศศิพิมพ์ปรือตามองคนที่โอบเธอไว้ให้ความอบอุ่น เราอยู่กันใต้ผ้าห่มและยังคงเปลือยเปล่า
เธอเหนื่อย ลมหายใจยังกระชั้นแต่กระนั้นก็เป็นสุข หญิงสาวหลับตาลงเมื่อเขามอบรอยจูบแผ่วเบาที่หน้าผากชื้นเหงื่อ
ความใกล้ชิดที่เขามอบให้ยังแปลกใหม่และน่าเขินอายยิ่ง รอยสัมผัสจากเขาที่ทิ้งไว้ยังเด่นชัด
ชัดอยู่ในใจ ทุกการกระทำยังเน้นย้ำไม่เลือนหาย
หญิงสาวหัวเราะคิกเมื่อเขาจูบกดลงกับแก้มอิ่ม “อย่าค่ะ”
“ทำไมคะ” เขาคลอเคลียชิดใกล้ ริมฝีปากแตะจูบแผ่วผิวอย่างถือสิทธิ์ที่ตนพึงมี
“มัน... จั๊กจี้”
หญิงสาวเบี่ยงหน้าหนีแต่นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้เขาจูบที่ริมใบหู
“พี่สินคะ!” มือน้อยยันอกกว้าง “หื้อ... พอแล้วค่ะ พิมพ์อาย” เสียงที่เบาหายท้ายประโยคถูกดูดกลืน ความเอียงอายนั้นน่ารักน่าใคร่เสียจนคนมองอดใจไว้ไม่ไหว
ไม่อยากรังแกเธอมากนัก แต่ก็ยังอดไม่ได้
เมื่อแรกสัมผัสนั้นทะนุถนอมอ่อนโยน
ทว่าในครั้งนี้ศศิพิมพ์รู้สึกถึงการเอาแต่ใจ เรียกร้องและไม่รู้จักพอ เธอจึงได้แต่ปล่อยตัวไปตามธารสวาทนั่น
ในท้ายที่สุดที่เธอจำได้ เธอหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นจนร้อนของเขา ซุกหน้าแนบอกกว้างล่ำสันอย่างยึดเป็นที่พึ่งสุดท้าย และเขาก็โอบเธอไว้ในอ้อมแขนไม่คลาย
ดาวตก
นั่นคือสิ่งแรกที่ศศิพิมพ์รู้สึกและนึกถึง ทว่าในชั่วที่สมองกลับมาทำงานเต็มที่เธอก็รู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
เราอยู่กันบนเตียงในห้องนอนใหญ่แล้ว
แสงสว่างจางๆ เมื่อมองผ่านกระจกจึงได้รู้ว่าเช้าแล้ว ตอนนี้อาจจะสักตีห้า หรือมากน้อยกว่านี้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
จิรสินหลับสนิท
หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้ เมื่อตื่นเขาคงชาที่แขนน่าดูเพราะอุทิศให้เธอหนุนนอน เขานอนตะแคงมือฟาดข้ามเอวเธอกกกอดไว้ราวกับกลัวหาย ใบหน้าเขาแนบใกล้อยู่บนหมอนใบเดียว
ไรหนวดเขียวเป็นปื้นกว่าเมื่อคืน
ศศิพิมพ์เผลอยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายดังอยู่ข้างหู เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของลมหายใจที่รินรดอยู่ใกล้ๆ อย่างเป็นสุข อดไม่ได้ก็แตะปลายนิ้วกับไรหนวดเครา ลากนิ้ววนช้าๆ และหยุดเมื่อนึกถึงตอนที่มันลากผ่านผิว
เธอหน้าแดง เห่อร้อน ทั้งอับอาย ไม่อยากยอมรับว่า...ชอบในสิ่งที่เขามอบให้ เขาน่ารัก ช่างเอาใจ แล้วยังช่างออดอ้อนนัก
อ้อมแขนแข็งแรงกระชับแน่นขึ้นอีก เพราะคนหลับเริ่มรู้สึกตัวตื่นบ้างแล้ว เขายังงัวเงียยามปรือตามองเธอ
รอยยิ้มนั้นทั้งอ่อนหวานและน่ามองอย่างที่สุด
“ตื่นเช้าจังค่ะ นอนต่อนะคะ” เสียงทุ้มว่าพลางแนบริมฝีปากเข้ากับหน้าผากของผู้ที่ตอนนี้ เรียกได้ว่ากลายเป็นภรรยาของเขาทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ที่เป็นมานานแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
“พี่สินคะ”
ถ้อยขานรับเพราะยิ่ง “ขา”
ศศิพิมพ์หัวเราะคิก เงยหน้ามองคนที่ก้มมองเธอไม่ได้หลับต่อ ดวงตาเขาละมุนเป็นสุขไม่ต่างจากเธอนัก
“คะว่าไงคะ สุดที่รักของพี่’
หญิงสาวหลุดขำกับความหวานเลี่ยน เขามองกลับทำตาดุ
“อย่าหัวเราะสิคะ อุตส่าห์กล้าพูดทั้งที พี่เขินนะเนี่ย”
เสียงหัวเราะยิ่งดังแต่ไม่นานนัก “อุ้ย!” ร่างเล็กถูกพลิกให้นอนหงายและเขาก็เท้าแขนคร่อมตัวเธอไว้ “พี่สินคะ ฮื้อ” เสียงหัวเราะดังคิกคักเพราะเขาก้มลงถูไรหนวดกับแก้มเธอ “อย่าค่ะ มันหื้อ จั๊กจี้” หญิงสาวยกมือดันคางเขาไว้ แต่แล้วฝ่ามือกลับถูกยึดและรอยจูบอุ่นๆ ก็แนบประทับ จูบนั้นรุกไล่ขึ้นมาตามข้อมือ แขน หัวไหล่ ต้นคอและริมฝีปาก หญิงสาวโอบวงแขนรอบลำคอแข็งแรง ยินดีรับจุมพิตรับรุ่งอรุณนั้นอย่างเต็มใจ เธอสะดุ้งเพราะเขาแนบชิด
หน้าแดงจัดกับความรู้สึกของเขาที่ฟ้องอยู่ในตัว
ทั้งตัวร้อนผ่าวกับสายตาวาววามราวกับเสือที่จับเหยื่อไว้ในกรงเล็บได้ แม้จะมีผ้าห่มคลุมแต่แค่เขามอง เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองเปลือยเปล่า และเมื่อเขาก้มหน้าลงมาอีก ศศิพิมพ์ก็ทำได้แค่หลับตา เธอตัวสั่นเมื่อเขาแทรกมือรอบแผ่นหลังของเธอ
เช้านั้นเป็นเธอที่อ่อนเหนื่อย และหลับใหลลงอีกครั้งในอ้อมกอดแข็งแกร่งที่ชื้นด้วยเหงื่อ ทั้งๆ อากาศนั้นแทบจะเรียกได้ว่าหนาวเย็น เพราะฝนที่พร่างพรมลงมาเมื่อค่อนรุ่ง
![](/images/icons/3849.jpg)
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ค. 2561, 20:45:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ค. 2561, 20:45:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 855
<< ๑๔ ฮันนีมูน (100%) | บทที่ ๑๕ ระยะห่าง (50%) >> |