เปลวไฟกามเทพ
เธอ...คือผู้ก่อสุมความแค้น
เขา...คือผู้แค้นเธอด้วยหัวใจ
เมื่อไฟแค้นเริ่มจะคุกโชนสิ่งไหนก็ยากที่จะยับยั้งได้
Tags: รักปนเศร้า

ตอน: ตอนที่ 4 แรกพบเจอ ตอนที่ 5 ฝันสลาย

ตอนที่ 4

หลังจากที่พูดคุยกับว่าที่แม่ยายเรื่องการแต่งงานของตนกับแก้วกาญจน์เรียบร้อยแล้ว ภาวสุทธิ์จึงกะว่าจะพาแก้วกาญจน์ออกไปเที่ยวนอกบ้านเป็นการพักผ่อนอารมณ์คลายเครียดจากการทำงานที่มันติดต่อกันมาหลายวัน

“เราจะไปที่ไหนกันดีครับ”

ชายหนุ่มหันมาถามหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า ส่วนนางกระเพรานั้นได้ออกไปจากบ้านตั้งนานแล้ว จุดหมายก็คงจะไม่ใช่ที่ไหนถ้าไม่เป็นบ่อนพนัน

“ตามใจคุณสิค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบา ผิวหน้าแดงระเรื่อ

“ถ้าอย่างนั้นเราออกไปกันก่อนดีกว่าไหมครับ ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นค่อยว่ากันอีกที”

“ก็ได้ค่ะ เอ่อ คุณภาวสุทธิ์ค่ะ แก้วอยากจะพากันเกราไปด้วย คุณจะว่าอะไรไหมคะ”

หญิงสาวขออนุญาตให้น้องสาวไปด้วยเพราะเห็นว่าน้องสาวก็ทำงานมาหลายวัน โอกาสที่จะไปเที่ยวที่ไหนนั้นแทบจะไม่มีเลย

“ไม่ว่าหรอกครับ ก็ดีเหมือนกัน ไปหลายๆ คนคงจะสนุกดี”

ถึงจะอยากจะไปกับหญิงสาวเพียงสองคน แต่เพราะนี่เป็นคำขอร้องของหญิงอันเป็นที่รัก เขาจึงไม่กล้าที่จะปฏิเสธ และอีกเหตุผลหนึ่ง เขาก็เห็นกันเกราเป็นเสมือนน้องสาวเหมือนกัน เหตุผลของการขอของแก้วกาญจน์ในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องลำบากใจสำหรับเขา

“ว่าแต่วันนี้น้องสาวคนเก่งของคุณไม่ออกไปขายพวงมาลัยหรือครับ แล้วไปไหนแล้วล่ะ ไม่เห็นออกมาพูดคุยอย่างทุกครั้งเลย”

ความรู้สึกอย่างหนึ่งลอยผ่านเข้ามากระทบจิตใจพร้อมกับใบหน้าของเด็กสาวที่มีอัธยาศัยดีลอยผ่านเข้ามา เขานึกทึ่งต่อความอดทนของเด็กสาวที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ยอมพึ่งพาใคร แม้กระทั่งในตอนที่เธอมีความฝันอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่เพราะความจนจึงทำให้เธอดิ้นรนหาเงินด้วยตัวเอง และในอีกไม่กี่อาทิตย์ความฝันนั้นก็กำลังจะเป็นจริงแล้ว

“แก้วเป็นคนบอกให้หยุดอยู่บ้านเองจ๊ะ ตอนนี้คงจะพักผ่อนอยู่ในห้อง เดี๋ยวแก้วขออนุญาตเข้าไปตามเจ้าเด็กขี้เซาหน่อยนะคะ”

หญิงสาวเอ่ยบอกก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องนอนของน้องสาว เธอรู้สึกแปลกใจนิดหนึ่งเมื่อเดินมาถึงตรงหน้าห้องและจะผลักประตูจะเข้าไป หากแต่ประตูนั้นกลับถูกล็อคจากด้านใน แล้วกันเกราจะล็อคห้องไปทำไมกัน ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องแบบนี้ เธอนึกแปลกใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของน้องสาว ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

“กันเกรา อยู่ในห้องหรือเปล่า เปิดประตูให้พี่ทีซิ” เธอทั้งเรียกและทุบประตู

เสียงเรียกของพี่สาวทำให้ร่างที่กำลังซบหน้าอยู่บนกองผ้าห่มได้สติ เด็กสาวรีบเงยหน้าขึ้นเมื่อเสียงเรียกจากแก้วกาญจน์ดังถี่ขึ้นทุกที ในน้ำเสียงนั้นเจือไปด้วยความเป็นห่วง

“กันเกรา เปิดประตูให้พี่หน่อย เป็นอะไรหรือเปล่า”

“จ๊ะพี่ รอเดี๋ยวนะ”

เธอขานตอบ ก่อนจะรีบพยุงร่างที่อ่อนล้าลุกขึ้น ดวงตาคู่สวยเบิกโตเมื่อเห็นใบหน้าที่ผ่านการร้องไห้ของตนจึงรีบปรับสีหน้าและเช็ดคราบน้ำตาทั้งหมดออกจากใบหน้าของตนก่อนจะรีบตรงมาที่ประตูแล้วเปิดประตูออก

“มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะพี่แก้ว”

“กันเกรา เอ๊ะ ทำไมหน้าเธอซีดจัง เป็นอะไรหรือเปล่า”

สังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดสนิทและขอบตาที่แดงของน้องสาว หญิงสาวจึงถามขึ้นด้วยความห่วงใย หากแต่เด็กสาวได้เตรียมคำพูดเหล่านั้นเอาไว้แล้วจึงรีบตอบคำถามออกไปโดยไม่ยอมให้พิรุธใดๆ แสดงออกมา

“ไม่หรอกจ๊ะ กันเกราแค่รู้สึกเหนื่อย และไม่สบายเท่านั้นเอง”

เด็กสาวเอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้มฝืน เธอจะให้พี่สาวของเธอรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด รู้ไปถึงไหนให้อายไปถึงนั่น ที่น้องสาวที่แสนดีเช่นเธอบังอาจทรยศพี่สาวแอบ “มอบหัวใจ” ให้กับว่าที่พี่เขยของตน

เห็นน้องสาวกล่าวปฏิเสธ หากแต่ผู้เป็นพี่สาวกลับไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไรนัก แค่รู้สึกไม่สบายทำไมร่างกายของกันเกราถึงได้เป็นมากขนาดนี้ ทั้งดูทรุดโทรม และไม่มีแรง ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ตอนที่คุยอยู่กับเธอกันเกรายังดูสดใสอยู่เลย เธอกำลังปิดบังอะไรพี่อยู่กันแน่กันเกรา

สายตาของแก้วกาญจน์มองหารอยพิรุธบนร่างกายและใบหน้าของน้องสาวที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ขณะที่กันเกราได้แต่ยืนนิ่ง เธอรู้ดีว่าในเวลานี้ควรจะทำตัวอย่างไร เห็นพี่สาวที่จับตามองเธอเหมือนจะจับผิดกันเกราจึงรีบเปล่งเสียงหัวเราะออกมาในที่สุด

“ไม่เอาน่าพี่แก้ว อย่ามองกันเกราแบบนั้นสิจ๊ะ กันเกราแค่ปวดหัวนิดหน่อย แล้วก็เผลอหลับพอตื่นมาก็เลยมีสภาพแบบนี้ไง ว่าแต่พี่แก้วมีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ แล้วคุณภาวสุทธิ์ไปหรือยัง”

ทำท่าชะเง้อออกไปนอกห้องประกอบความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ถึงจะยังไม่ค่อยเชื่อกับคำของน้องสาว แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะเก็บเอาความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมาแล้วเอ่ยบอกเสียงสดใส

“พี่กับคุณภาวสุทธิ์เราจะไปเที่ยวกันเลยจะชวนเธอไปด้วย แล้วเป็นไข้แบบนี้จะไปไหวหรือเปล่านี่”

แก้วกาญจน์ยกมือขึ้นอังที่หน้าผากกลมมนของน้องสาวอย่างห่วงใย เช่นเดียวกับกันเกราที่เบิกตาโต ไม่ใช่เพราะความดีใจ แต่เธอตกใจต่างหาก คนที่เป็นคู่รักกันจะไปเที่ยวก็ดีอยู่แล้ว แล้วทำไมเขาจะต้องชวนเธอไปให้ปวดใจด้วย ใช่สิ ไม่ใช่แค่คำว่า “ก้างขวางคอ” เท่านั้น แต่ภาพที่เธอจะเห็นนั้นมันยิ่งทำให้เธอปวดใจ และก็ปวดมากยิ่งด้วยที่คนๆ นั้นคือพี่สาวของตนเอง

“หัวก็ไม่ค่อยร้อนเท่าไร ยังงี้ก็ไปได้ ไปแต่งตัวดีกว่านะ เดี๋ยวพี่กับคุณภาวสุทธิ์จะรออยู่ข้างนอก”

“เอ่อ พี่แก้ว กันเกราขอไม่ไปได้หรือเปล่า”

รู้ตัวดีว่าจะต้อง “เจ็บ” แล้วเธอจะไปเพื่อทำร้ายหัวใจของตนเองทำไม

“ไม่ได้”

แก้วกาญจน์หันมาบอกน้องสาวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังอยู่ลึกๆ

“พี่อุตส่าห์ขอคุณภาวสุทธิ์แล้วนะ และก็ตั้งใจอยากจะให้เราไปพักผ่อนด้วย”

“พี่แก้วอยากจะ-” ให้กันเกราเจ็บใช่ไหม เธออยากจะพูดคำนั้นออกมาเหมือนกัน หากแต่มันกลับมาจุกแน่นอยู่ที่ลำคอจนเธอต้องหลบสายตาของพี่สาวที่มองอย่างคาดคั้น

“จะอะไรกันเกรา ไหนลองบอกพี่มาสิ”

“ปะ เปล่าจ๊ะ”

เด็กสาวรีบปฏิเสธเสียงแข็ง เธอเกือบจะทำให้พี่แก้วรู้แล้วสิกันเกรา ทำไมเธอถึงโง่อย่างนี้นะ

“เธอกำลังปิดอะไรพี่อยู่กันแน่กันเกรา”

แก้วกาญจน์เดินเข้าหาน้องสาวด้วยสายตาคาดคั้นมากกว่าเดิม แค่สภาพที่เปลี่ยนไปยังพอว่า แต่คำพูดบางคำของกันเกรานี่สิที่ทำให้เธอคิด เมื่อกี้เธอกำลังจะบอกอะไรอยู่กันแน่ กันเกรา

“ไม่ กันเกราไม่ได้ปิดบังอะไรพี่แก้วเลย กันเกรารู้สึกไม่สบาย อยากจะพักเท่านั้นเอง”

เด็กสาวยกมือโบกไปมาพร้อมกับข่มความรู้สึกภายในแกล้งเปิดเสียงหัวเราะออกมา

“ถ้าไม่มีอะไร กันเกราจะต้องไปเที่ยวกับพี่และคุณภาวสุทธิ์ เธอก็รู้นี่ว่าคุณภาวสุทธิ์เค้าหวังดีและเอ็นดูเรา แล้วเธอจะยังขัดความหวังดีของเขาอีกหรือ”

“เอ่อ กันเกราแค่-”

จากเสียงหัวเราะก็กลับกลายมาเป็นรู้สึกผิดและก้มหน้าลงมองกับพื้นไม่กล้าที่จะสบตากับพี่สาว

“ได้หรือเปล่าล่ะ เธอกล้าที่จะบอกไหมว่าเธอไม่ได้ปิดบังอะไรพี่”

“กันเกราขอคิดดูก่อนได้มั้ยจ๊ะพี่แก้ว”

“ไม่ต้องคิดแล้ว คุณภาวสุทธิ์เค้ารออยู่ด้านนอก ถ้าเธอไม่ได้ปิดบังพี่จริง ก็ต้องตอบตกลงแล้วรีบแต่งตัว พี่จะรออยู่ข้างนอกสิบนาทีเท่านั้น ถ้าหากกันเกราไม่ออกไปพี่จะถือว่าเรากำลังปิดบังอะไรพี่อยู่และถ้าพี่กลับมาเมื่อไรเราจะต้องมีเรื่องคุยกันแน่”

แก้วกาญจน์ยื่นข้อเสนอข้อสุดท้ายจบก็รีบเดินออกไปในทันที โดยไม่ยอมรอฟังคำโต้แย้งของน้องสาวสักน้อยนิด ใบหน้าสวยแอบแย้มยิ้มนิดๆ เด็กดื้ออย่างกันเกราจะต้องได้รับสิทธิ์เด็ดขาดแบบนี้เธอถึงจะยอมทำตาม ซึ่งข้อเสนอนี้กลับทำให้อีกคนหนึ่งกลับแสดงสีหน้าเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก อีกทางหนึ่งก็ไม่อยากที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป แต่จะทำยังไงได้ล่ะก็ในเมื่อตอนนี้พี่สาวของเธอได้ยื่นข้อเสนอที่เธอไม่อยากจะทำมาให้แล้ว ถ้าหากขัดขืนมันก็เหมือนว่าเธอจะยอมรับอยู่รำไรว่าเธอกำลังปิดบังอะไรแก้วกาญจน์อยู่ และถ้าพี่สาวมาคาดคั้นเอาความจริงกับเธอแล้ว หญิงสาวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสามารถปิดบังความในใจเหล่าได้นานแค่ไหน
TTTTTTTTTTTTTT

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างที่กำลังใช้สมาธิในการมองเส้นทางข้างหน้าก้มลงมองโทรศัพท์ที่วางอยู่ในลิ้นชักด้านหน้า ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดูหมายเลข เพื่อจะได้รู้ว่าใครกันที่ดันโทรเข้ามาขัดจังหวะเขาแบบนี้ หากแต่ความคิดนั้นกลับยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์เป็นหมายเลขแปลกตาที่เขาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ฮัลโหล ภาวสุทธิ์พูดครับ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงสุภาพ

“สวัสดีภาวสุทธิ์ นี่ฉันเอง ฐติวัธน์”

ปลายสายกรอกเสียงกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส ถ้าหากไม่แนะนำชื่อออกไป เจ้าภาวสุทธิ์รู้ทีหลังเขาคงต้องถูกเอ็ดแน่ ดังนั้นกันเอาไว้ดีกว่าแก้

“อ้าวเจ้าวัธน์ แล้วนี่แกอยู่ที่ไหนนี่ แหม ไม่เคยคิดที่จะโทรหากันเลยนะ ฉันนึกว่าแกจะลืมกันชะแล้ว ว่ายังไงสบายดีไหมว่ะ”

สีหน้าของชายหนุ่มบอกอาการดีใจอย่างเห็นได้ชัด “เพื่อน” ที่จากกันนานหลายปี เขาก็ต้องคิดถึงเป็นธรรมดา โดยเฉพาะฐติวัธน์

“จะเอาคำถามไหนก่อนดีว่ะ ฉันมีปากเดียวนะโว้ย ถึงจะตอบคำถามของนายเป็นชุดได้” ปลายสายเอ่ยเย้า น้ำเสียงขบขัน

“เออๆ งั้นตอนนี้แกอยู่ที่ประเทศไหนวะ ถึงได้ให้เกียรติโทรมาหาฉันแบบนี้ได้”

“ประเทศไทย” ฐติวัธน์เอ่ยเสียงยียวน

“อ้าวเว้ย แกมาถึงแล้วหรือวะ ฐติวัธน์เพื่อนรัก” ภาวสุทธิ์ขึ้นเสียงสูงอย่างดีใจ “แล้วมาถึงตั้งแต่เมื่อไร ทำไมไม่โทรหาฉัน ฉันจะได้ไปรับ”

“เมื่อเช้านี้เอง เหนื่อยฉิบ ตอนนี้ก็กำลังจะออกจากบ้านนายนี่แหละ เพิ่งเข้าไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่มา คิดถึงก็เลยลองโทรมา ตอนแรกก็ยังไม่กล้าหรอกนะ กลัวอยู่กับแฟนและก็ไม่รับ”

ภาวสุทธิ์หัวเราะทอดต่ำในลำคอ เขาเหลียวมองแก้วกาญจน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ นิดหนึ่ง เจ้าฐติวัธน์มันเดาไม่ผิด ตอนนี้เขากำลังอยู่กับเธอจริงๆ

“แล้วถ้าฉันไม่รับล่ะ แกจะทำไม”

“ก็ง่ายๆ ฉันก็เลิกคบกับนายไปโดยปริยายเลยนะสิ เพื่อนอะไร เพื่อนอุตส่าห์โทรหาแล้วดันไม่รับ”

ฐติวัธน์เอ่ยทีเล่นมากกว่าเอาความเป็นจริงมาอ้าง เขาก็รู้เวลานะแหละ การที่คนเราต้องการจะอยู่กับใครสักคน มันย่อมจะต้องการความเป็นส่วนตัวเป็นธรรมดา

“อ้าว ไอ้นี่ คบยากนะมึง แล้วถ้าฉันจะบอกว่าตอนนี้ฉันก็อยู่กับเธอล่ะ แกจะทำยังไง”

รอยยิ้มบางๆ หากแต่ลึกซึ้งผุดขึ้นที่มุมปากของชายหนุ่ม เขามองต้นทางข้างหน้าสลับกับหญิงสาวเป็นระยะ

“ฉันก็จะวางสายเดี๋ยวนี้แหละ โทษทีนะที่มารบกวนเอาไว้วันหลังก็ได้” ปลายสายเอ่ยอย่างเกรงใจ

“เฮ้ยเดี๋ยว พูดได้ว่ะ คุณแก้วเธอไม่ว่าหรอก แหม ทำเป็นน้อยใจไปได้ ไม่เห็นหัวล้านสักหน่อย ใช่ไหมครับ” ประโยคท้ายหันมาถามหญิงสาวให้อีกคนอิจฉาเล่น

“โธ่เว้ย อิจฉาคนจะมีเมียจังเว้ย” ฐติวัธน์เอ็ดมาตามปลายสาย ขณะที่ภาวสุทธิ์หัวเราะหึๆ ในลำคอ

“บ่นพอยังเจ้าวัธน์” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ สีหน้าจริงจังขึ้นมา

“พอก็ได้ครับ ว่ายังไง จะว่าอะไรก็พูดมาฉันไม่อยากจะรบกวนนายนาน”

“งั้นฟังให้ดีนะ แกมาพบฉันที่- ด้วยนะ ฉันกำลังจะพาคุณแก้วและน้องสาวของเธอไปเที่ยวอยู่พอดี แกไปเจอฉันที่นั่นก็แล้วกันนะ”

“น้องสาวหรือ แฟนแกมีน้องสาวด้วยหรือวะเพื่อน”

ฐติวัธน์ไม่สนใจในคำบอกเล่าของเพื่อนหนุ่ม หากแต่คำที่สะดุดมากที่สุดก็คือคำว่าน้องสาวของแฟนเพื่อน

“เออ” ภาวสุทธิ์เอ่ยอย่างมั่นไส้

“งั้นฉันจะไปที่นั่นภายในสิบห้านาที แกรอด้วยนะ”

ว่าแล้วปลายสายก็เป็นฝ่ายตัดสายไปเสียเอง ภาวสุทธิ์ส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา ปนดีใจ นำโทรศัพท์วางไว้ที่เดิมแล้วหันมาทางแก้วกาญจน์ที่นั่งนิ่งอยู่

“เพื่อนคุณหรือคะ”

หญิงสาวถามเสียงแผ่วเบา รอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปาก

“ใช่ครับ ฐติวัธน์เป็นเพื่อนของผมตั้งแต่สมัยเด็กๆ ตอนนี้เพิ่งกลับจากต่างประเทศ ผมก็เลยกะจะนัดเจอมันวันนี้ หวังว่าคุณไม่ว่าอะไรนะครับ”

ประโยคท้ายถามอย่างเกรงใจ ส่วนสายตาก็ถูกเบนไปมองข้างหลัง ซึ่งในเวลานี้กัญจนากำลังนั่งนิ่งด้วยความรู้สึกสับสนในหัวใจ สองตาสอดส่องมองข้างทางอย่างผ่านเลย ไม่สนใจ

“ไม่หรอกค่ะ ดีเหมือนกัน กันเกราจะได้มีเพื่อนด้วย ไปหลายๆ คนคงสนุกดีนะคะ”

“เห็นคุณพูดแบบนี้ผมก็เบาใจ ขอบคุณนะครับที่คุณไม่ว่าอะไร”

ชายหนุ่มเอ่ยบอกด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขสมล้นทวี ขณะที่กรอบหน้าสวยแดงซ่านอ่อนไหวต่อประโยคเรียงคำของเขา จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีความรู้สึกแตกต่างจากคนทั้งสองอย่างสิ้นเซิง ใครจะไปรู้ว่าบัดนี้หัวใจดวงน้อยกลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่มันสุดที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ เจ็บปวด ทรมานเสมอที่เธอเห็นทั้งสองมอบความรักให้แก่กัน
TTTTTTTTTTTTTTTT

วัดพระแก้ว ศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธอีกที่หนึ่งที่มีเหล่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติมาเยี่ยมชม เนื่องจากสถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง รู้จักกันไปทั่วโลก และก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ชาวต่างชาติถ้าไม่ได้มาเที่ยวชมก็เหมือนดั่งจะมาไม่ถึง Thailand อย่างแท้จริง วัดแห่งนี้เป็นวัดแห่งเดียวที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ส่วนมากจะใช้ในด้านการประกอบพระราชพิธีที่สำคัญสำหรับพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงค์ ตลอดจนพระราชพิธีที่สำคัญระดับประเทศ

ในเวลานี้ภายในอาณาบริเวณของวัดอันกว้างใหญ่มีเหล่านักท่องเที่ยวทั้งชายและหญิง ลูกเล็กเด็กแดงต่างเชื้อชาติต่างเผ่าพันธุ์ ส่วนมากนักท่องเที่ยวที่มาที่นี่มักจะเป็นชาวต่างชาติเสียมากกว่าชาวไทยที่มีอยู่อย่างประปราย

รถขับเคลื่อนสี่ล้อของภาวสุทธิ์ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ คนทั้งสาวก้าวลงจากรถพร้อมกัน ถึงจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่สำหรับแก้วกาญจน์และกัญจนาแล้ว การมาในที่แห่งนี้นับว่าเป็นครั้งแรก และมันก็ทำให้ทั้งสองตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ถึงจะรู้สึกตื่นเต้นกับครั้งแรกที่ได้ก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ แต่เด็กสาวก็ยังแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ชนิดหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

“กันเกรา เป็นอะไร”

ผู้เป็นพี่สาวเข้ามาสะกิดที่ต้นแขนของน้องสาวเบาๆ เมื่อยังเห็นเธอยืนอยู่กับที่ด้วยสายตาเหม่อลอย

“หา อะไรนะจ๊ะพี่”

เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว ใบหน้าซีดเผือดคล้ายเด็กที่ทำความผิดแล้วถูกจับได้

“พี่ถามว่าเราเป็นอะไร เห็นยืนเหม่ออยู่ตั้งนาน โน้นคุณภาวสุทธิ์เดินไปโน้นแล้ว”

ถึงจะรู้สึกถึงความแปลกไปของน้องสาว แต่แก้วกาญจน์ก็ยังส่งรอยยิ้มหวานไปให้ เพราะมันยังมีอีกหลายอย่างที่เธอยังไม่รู้จากน้องสาว เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่ากัญจนาเป็นอะไรอยู่กันแน่

“ก็ กันเกราตื่นเต้นยังไงล่ะจ๊ะ ดูสิ ซ้วยสวย เห็นแต่ในรูปกันเกราเพิ่งมาเห็นวันนี้เป็นวันแรกนี่แหละ”

เด็กสาวฝืนยิ้ม ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม พยายามจะไม่แสดงพิรุธใดๆ ออกมาให้มากที่สุด พี่แก้วจะไปหวานกับคุณภาวสุทธิ์ที่ไหนก็ไปสิ จะห่วงกันเกราอีกทำไม ถึงจะตอบกลับไปว่าไม่เห็นไร หากแต่สายตาที่มองออกไปนั้นกลับเป็นแววของความตัดพ้ออย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผู้เป็นพี่สาวไม่มีทางดูออกเด็ดขาด

“ถ้าอย่างนั้นเราก็เข้าไปกันเถอะนะ คุณภาวสุทธิ์เดินนำไปไกลแล้ว”

แก้วกาญจน์เปิดยิ้มอย่างวางใจ น้องสาวคงจะคิดเช่นนั้นจริงๆ หล่อนคงจะคิดมากไป สองมือกุมที่แขนของน้องสาวเอาไว้แน่นเหมือนดั่งจะกลัวว่าแม่สาวน้อยจะเกิดพลัดหลงกับตนแล้วรีบพาเดินเข้าไปภายในบริเวณลานด้านในทันที โดยมีสายตาชนิดหนึ่งของผู้เป็นน้องสาวที่ก้มลงมอง เป็นเพียงแวบแรกเท่านั้นที่ความริษยาเกาะกุมในใจ หากแต่เธอก็รู้ตัวดีว่าจะบังคับเก็บมันเอาไว้ได้อย่างไร

ไม่! ไม่เด็ดขาด เธอจะคิดแบบนั้นไม่ได้ หล่อนคือพี่สาวแท้ๆ ของเธอนะ

จิตด้านอ่อนไหวบอกเตือน ดวงตาคู่สวยกลับมาหมองหม่นอีกครั้ง หลังจากที่ได้ฉายเอา “ความริษยา” ที่น่าเจ็บปวดนั้นออกมา

ทั้งสามหนุ่มสาวเดินผ่านประตูทางด้านทิศตะวันออกเข้าไปภายในอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่และอลังการของวัดพระแก้ว วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นวัดประจำประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะการที่ชาวต่างชาติอยากจะมาเยือนเมืองไทย ก็มีวัดแห่งนี้แหละที่เป็นจุดขายอันดับแรกๆ

ห่างออกไปไม่มากนักใต้ต้นไม้ใหญ่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดลำลองสุภาพยืนรออยู่ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทที่เขาไม่มีวันลืมความสนิทสนมของตนและเขาไปได้เลย เดินมาไกลๆ กับหญิงสาวสองคนในความสูงเท่าๆ กัน ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นและตะโกนเรียกในทันที

“ยู้ฮู้ภาวสุทธิ์ ทางนี้เพื่อน”

เสียงเรียกจากฐติวัธน์ทำให้ร่างที่เดินนำหญิงสาวทั้งสองหยุดชะงัก ก่อนจะเปิดยิ้มด้วยความดีใจและเดินนำพวกเธอเข้าไปหาในทันที

“ว่าไงว่ะเจ้าวัธน์ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแทบจะจำไม่ได้เลยนะ”

ชายหนุ่มเอ่ยทักเป็นอันดับแรก ก่อนจะเดินเข้าไปจับไม้จับมือเพื่อนอย่างคิดถึง

“เอ็งก็เหมือนกัน ฉันก็เกือบจะจำไม่ได้ นี่ถ้าไม่บอกว่ามากับผู้หญิงสวยๆ สองคนฉันก็คงไม่แน่ใจตะโกนเรียกหรอก”

ผู้รออยู่ก่อนแล้วเอ่ยเย้าเสียงใส ส่วนสายตาก็มองเลยไปที่สาวสวยอีกสองคนที่ยืนเยืองไปทางด้านหลัง คนหนึ่งสวยในแบบฉบับสวยเรียบและอ่อนหวาน ซึ่งบัดนี้กำลังกุมมือของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่จุดประกายความสวยออกมาทางกรอบหน้า หากแต่ดวงตาที่มองมานี่สิกลับมีแววหม่นหมองจนเขารู้สึกสะท้านวูบในหัวใจ หญิงสาวคนนี้แหละที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวเพียงแค่แรกเห็นเท่านั้น

เพราะอะไร คำถามนี้จุดประกายขึ้นในหัวใจ เพราะอะไรเขาถึงได้คิดเช่นนั้น และเพราะอะไร ดวงตาคู่สวยนั้นถึงได้มีแววหม่นหมองนัก

ชายหนุ่มถามตัวเองอยู่ในใจ หากแต่มันก็ยังไร้ซึ่งคำตอบที่ตอบกลับมา รอยยิ้มสดใสถูกจุดขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะเลื่อนระดับสายตามาหยุดอยู่ที่เจ้าเพื่อนจอมหวงซึ่งในเวลานี้กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาชนิดหนึ่ง

“ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ข้างหลัง” น้ำเสียงจิกปรามดังขึ้นพร้อมๆ กับรอยยิ้มนั้นที่เก้อลง

“เออๆ ว่าแต่นายไม่คิดที่จะแนะนำสาวๆ ให้ฉันรู้จักบ้างเลยหรือ คนอะไรไร้น้ำใจสิ้นดี มีสาวสวยครอบครองเอาไว้ตั้งสองคน แต่ไม่คิดที่จะแนะนำให้เพื่อนรู้จัก”

ฐติวัธน์เอ่ยอย่างน้อยใจ จนได้รับค้อนวงโตจากเจ้าเพื่อนจอมหวง

“ก็ฉันกำลังจะแนะนำอยู่นี่ไง อะไรวะ ทำเป็นใจร้อนไปได้”

ภาวสุทธิ์เอ็ดเสียงเข้ม แล้วหันมาทางแก้วกาญจน์ที่ยืนอยู่

“นี่แก้วกาญจน์ว่าที่ภรรยาของฉัน เรียกเธอสั้นๆ ว่าคุณแก้วก็ได้”

นี่นะหรือแฟนของนายภาวสุทธิ์ที่คุณแม่อวดนักอวดหนา และก็คงจะไม่ต่างจากที่ท่านพูดเพราะดูแล้วเธอก็มีท่าทีอ่อนหวาน มารยาทงาม ฐติวัธน์คิดชมแฟนสาวของเพื่อนอยู่ในใจก่อนจะเลื่อนระดับสายตาไปที่หญิงสาวอีกคน และนั่นก็คงจะเป็นน้องสาวของเธอ หัวใจของเขาเต้นแรง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แฟนของเจ้าภาวสุทธิ์เพื่อนเลิฟของเขา

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เจ้าหนุ่มเอ่ยเสียงสุภาพ ค้อมหัวให้เล็กน้อย

“เช่นกันค่ะ”

แก้วกาญจน์ยกมือขึ้นพนมอย่างมีมารยาท ทุกท่วงท่ากิริยาของเธอช่างดูอ่อนหวานนัก รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นในหน้า ก่อนจะถูกส่งมาให้กับฐติวัธน์ที่ยืนมองอยู่ด้วยความชื่นชม

“นั่นกัญจนา หรือจะเรียกเธอสั้นๆ ว่ากันเกราก็ได้ เธอเป็นน้องสาวของคุณแก้วน่ะ”

ภาวสุทธิ์ผายมือไปข้างหลัง ตรงที่เด็กสาวยืนอยู่ กัญจนาหันมามองเขาด้วยสายตาน้อยใจ ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่ชายหนุ่มอีกคนที่เธอก็เพิ่งจะรู้จัก

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณกัญจนา”

ชื่อนี้ เขาจะจดจำไปจนวันตาย เธอคือคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็ว อย่างไม่มีเหตุผล

“เรียกกันเกราเฉยๆ ก็ได้จ๊ะ คุณ”

นึกกระดากที่จะพูดกับเขาขึ้นมาเฉยๆ หากแต่ฐติวัธน์กลับเข้าใจว่าเธอต้องการที่จะรู้จักชื่อของเขา จึงรีบต่อชื่อของตนเองให้ด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ฐติวัธน์ครับ เรียกผมว่าวัธน์เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอกครับ”

“เอ่อ ค่ะ” ตอบคำถามนั้นจบ หญิงสาวจึงก้มหน้าหงุด กุมมือพี่สาวเอาไว้แน่น

“แก้วว่า เราเข้าไปเที่ยวข้างในกันเถอะค่ะ ยิ่งสายคนก็ยิ่งเยอะ ไปเถอะค่ะ”

เห็นทั้งหมดยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน แก้วกาญจน์จึงเอ่ยแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ เธอรู้ น้องสาวของเธอในเวลานี้กำลังรู้สึกเช่นไร

“ไปเพื่อน คุณแก้วกับกันเกราตามมาเลยนะครับ หวังว่าคุณจะไม่ว่าอะไรถ้าหากผมจะขอคุยกับเพื่อนสักนิด”

ภาวสุทธิ์เอ่ยออกตัวกับหญิงสาว ไม่ใช่ว่าเขาจะคิดทิ้งให้เธอเดินเที่ยวกับน้องสาวตามลำพัง เพียงแต่ในเวลานี้เขาอยากจะพูดคุยกับเพื่อนให้หายคิดถึง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน

แก้วกาญจน์ส่งยิ้มให้กับบุคคลทั้งสอง เหตุผลนี้เธอก็รู้ ภาวสุทธิ์คงอยากจะพูดคุยกับฐติวัธน์จริงๆ เธอจึงไม่อยากจะขัดเขา

“ค่ะ ไปกันเถอะกันเกรา”

ทั้งสองสาวเดินตามทั้งสองหนุ่มที่เดินนำเข้าไปภายในบริเวณวัด จุดแรกคือพระอุโบสถ ทั้งสี่คนเข้าไปกราบไว้องค์พระข้างในก่อนจะพากันออกมาเดินดูศิลปะอันล้ำค่านอกวัด หลายครั้งที่กัญจนาฉายแววดีใจและตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่พบเห็น สองมือน้อยกอบกุมมือของผู้เป็นพี่สาวเอาไว้แน่นเมื่อแก้วกาญจน์ชี้ให้เธอดูความงามของบานหน้าต่างไม้แกะสลักลงรักปิดทองอันวิจิตรตระการตา

ขณะที่ทั้งสองสาวกำลังชื่นชมกับสิ่งที่เห็นอยู่นั้น ฐติวัธน์จึงเขยิบมากระซิบถามเพื่อนหนุ่มอย่างสนใจ

“แกโชคดีมากเลยนะที่กำลังจะได้แต่งงานกับคุณแก้วกาญจน์ บอกตรงๆ ว่าฉันอิจฉามากๆ เลยว่ะที่เพื่อนมีแฟนที่สวยเพียบพร้อมอย่างเธอ”

ฐติวัธน์เอ่ยชมเพื่อนจากใจจริง ขณะที่ภาวสุทธิ์ได้แต่อมยิ้มรับคำชมนั้น

“ของมันแน่อยู่แล้ว นายได้ยินภาษิตโบราณที่เขาว่าเอาไว้ว่า เนื้อคู่กันแล้ว ไม่แคล้วกันหรอก มั้ยว่ะ และคุณแก้วเธอก็คงจะเป็นเนื้อคู่ของฉันจริงๆ”

“โหย ไอ้ขี้โม้ แค่นี้ทำไมต้องโม้ให้มากความด้วยว่ะ”

ฐติวัธน์โวยลั่นกับคำโม้ของเจ้าเพื่อนจอมอวด

“ฉันแค่จะถามแกว่า ฉันขอฝากเนื้อฝากตัวสักคนจะได้มั้ย บอกตรงๆ คุณกัญจนาเธอเป็นนางฟ้าของฉันเลยล่ะ”

เห็นใบหน้าเจี๋ยมเจี้ยมของเจ้าฐติวัธน์แล้ว ภาวสุทธิ์ก็เพิ่งรู้ ที่แท้มันไม่ได้ชมเขา แต่มีผลประโยชน์แอบแฝงนี่เอง

“ที่แท้นายไม่ได้ชมฉัน แต่นายจะบอกฉันว่านายสนใจกันเกราใช่มั้ย”

ภาวสุทธิ์ถามเสียงเรียบ นึกมั่นไส้อยู่ในใจ

“คร๊าบ บ บ” ฐติวัธน์ลากเสียงยามอย่างกวนในวาจา “ว่าแต่นายคงจะไม่หวงนะเพื่อน”

เขาตบหัวไหล่หนาของเพื่อนหนุ่มเบาๆ เป็นการขอร้อง หากแต่ภาวสุทธิ์กลับยิ้มเหี้ยม ตอบเสียงสะบัด

“ไม่!!!”

“หมายความว่านายไม่ปฏิเสธ”

ฐติวัธน์ต่อคำนั้นด้วยน้ำเสียงสดใส แต่คำต่อมาของเจ้าเพื่อนรักกลับทำให้รอยยิ้มนั้นเก้อไปในทันที

“ไม่ได้”

“อ้าว ไอ้คุณเพื่อนสุดเลิฟ ทำไมเป็นงั้นไปว่ะ แกจะหวงทำห่าไปทำไม”

ฐติวัธน์เอ่ยท้วงเสียงห้วน หน็อย คิดจะแอบกินเองเลยหรือวะไอ้เพื่อนทรยศ เขาบ่นอุบอิบอยู่ในใจอย่างไม่พอใจ

“ไม่หวงได้ไงว่ะ นายก็เห็นกันเกรายังเด็กอยู่ ถ้านายคิดจะกินเธอเล่นๆ ฉันไม่ยอมแน่ แต่ถ้าหากนายจริงใจกับเธอก็ควรที่จะลองคบไปก่อน คบนะเพื่อน อย่าคิดที่จะ-เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเอ็งโดนนี่แน่”

ภาวสุทธิ์ยกกำปั้นขึ้นชู พร้อมกับใบหน้าเหี้ยม เห็นแล้วฐติวัธน์กลับเปิดเสียงหัวเราะออกมากับอารมณ์หวงของเจ้าเพื่อนรัก

“บอกจริงๆ ฉันปิ๊งคุณกัญจนาเธอจริงๆ นายเคยรู้จักมั้ยว่ารักแรกพบนะ นายก็รู้ว่าคนอย่างนายฐติวัธน์ถ้ารักใครแล้วจริงใจเสมอ”

ฐติวัธน์ย้ำเตือนเสียงเข้มจนภาวสุทธิ์นึกมั่นไส้อยู่ในใจ แต่เขาก็ยังยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของเพื่อนหนุ่ม เขารู้ถ้าหากฐติวัธน์รักใครแล้วก็จะรักคนนั้นตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง เขาเชื่อได้ว่าฐติวัธน์จะปกป้องดูแลกัญจนาได้อย่างแน่นอน จึงคิดที่จะเปิดโอกาสให้เพื่อนได้ทำคะแนนกับเธอ น้องสาวของว่าที่ภรรยาของตน

“ก็ได้ ฉันจะเปิดโอกาสให้นายสักครั้ง แต่ถ้าหากวันใดนายผิดสัญญาที่ให้ไว้ ฉันนี่แหละจะเป็นคนฆ่านายเอง”

ภาวสุทธิ์เอ่ยเสียงจริงจัง เช่นเดียวกับใบหน้าหล่อคมที่จ้องนิ่งอยู่ที่หน้าของเพื่อนหนุ่มคล้ายดั่งจะให้คำมั่นสัญญาต่อกัน

*********
ตอนที่ 5

ประตูห้องค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ร่างของหญิงกลางคนค่อยๆ แทรกผ่านเข้าไปอย่างแผ่วเบา พร้อมกับสายตาที่สอดส่องมองไปตามบริเวณโดยรอบอย่างระแวดระวังสุดขีด แววตาทั้งสองข้างฉายชัดซึ่ง “ความเจ้าเล่ห์” และ “เหลี่ยมจัด” เป็นยิ่งนัก

นางกระเพราค่อยๆ ย่องแผ่วเบาตรงไปยังฟูกที่นอนของบุตรสาว จุดประสงค์ในครั้งนี้คือเงินของกัญจนาบุตรสาวของนางที่เห็นในวันนั้น

นัยน์ตาของนางวาวโรจน์เมื่อสองมือที่ซุกล้วงเข้าไปที่ใต้หมอนเจอเข้ากับสิ่งหนึ่งที่วางนิ่งอยู่ในนั้น ก่อนจะหยิบมันออกมามองด้วยแววตาที่ดีใจ

“โอ้โห เกือบสองหมื่น เจ้าแม่โว้ย นังกันเกรามันเก็บเงินเอาไว้มากขนาดนี้ทำไมข้าไม่รู้ว่ะ”
นางกระเพราหัวเราะชอบใจกับเงินที่ตนนั่งนับ

“อย่างน้อยเอ็งก็ยังช่วยรักษาบ้านไม่ให้ไอ้เสี่ยกำจรพังได้ล่ะวะ นังกันเกรา”
ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจกับการกระทำ แต่จะทำยังไงได้เมื่อความจำเป็นบีบบังคับ

นางกระเพราซุกเงินจำนวนนั้นลงในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบลุกขึ้นและออกจากห้องนั้นในทันที ปานว่าจะกลัวใครเข้ามาเห็นการกระทำที่ “เลือดเย็น” ของนาง

การกระทำของผู้เป็นมารดาช่างเป็นเรื่องที่เลวร้ายเป็นยิ่งนัก นางหารู้ไม่ว่าบัดนี้ตนกำลังได้ทำลายอนาคตของบุตรสาวไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าหากกัญจนารู้เรื่องนี้เข้าเธอจะเสียใจขนาดไหนนางไม่เคยสนใจ การกระทำของตนว่าจะทำร้ายหัวใจของผู้เป็นบุตรสาวขนาดไหน

*****
การออกมาท่องเที่ยวในวันนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้กัญจนามีความสุขมากอยู่เหมือนกัน ภาพสวยจากสิ่งที่ไม่เคยเห็นทำให้เธอลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วขณะ ถึงแม้บางครั้งความเสียใจจะเดินทางมาถึงเป็นครั้งคราวจากภาพสวีท ของภาวสุทธิ์กับผู้เป็นพี่สาว หากแต่ทั้งสองก็ยังแสดงออกมาแต่พอควรไม่เหมือนคู่รักทั่วไปที่ชอบแสดงออกมาโดยไม่เกรงใจต่อสังคม

“ดูเหมือนว่าวันนี้น้องสาวของพี่จะสดใสขึ้นมากเลยนะจ๊ะ”

แก้วกาญจน์หันมาถามกัญจนาที่เดินเยื้องไปข้างหลังเคียงคู่กับฐติวัธน์ที่คอยสร้างสัมพันธ์อันดีกับหล่อน

“จ๊ะพี่แก้ว”
เด็กสาวอมยิ้ม ดวงตาคู่สวยฉายแววอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด

“งานนี้ต้องขอบคุณ คุณภาวสุทธิ์ที่พาพวกเรามาเที่ยวในวันนี้”
หญิงสาวหันไปทางแฟนหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่ด้วยใบหน้าสุขใจไม่แพ้กัน

เมื่อยามชื่อของเขาลอยผ่านเข้าหู พร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างเอ็นดูของเขาทำให้เด็กสาวหัวใจพองโต ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีท่าทีกับเธอมากไปกว่าคำว่า “พี่ชายกับน้องสาว” หากแต่เธอก็มีความสุขกับการที่เขาได้ส่งรอยยิ้มมาให้

“สำหรับพี่ เห็นทุกคนมีความสุขโดยเฉพาะกันเกรา พี่ก็ดีใจแล้ว ว่ายังไงบ้างเจ้าฐติวัธน์”
ภาวสุทธิ์หันไปหากำลังเสริมจากฐติวัธน์ที่ยืนนิ่งอยู่ หวังเพื่อจะให้มันได้ทำคะแนนบ้าง

“ใช่ครับ ว่าแต่กันเกราอยากจะไปเที่ยวที่ไหนอีกจ๊ะ เดี๋ยวพี่อาสาพาไปเอง”

“เอ้ ที่ไหนดีนะ”

เด็กสาวทำท่านิ่งคิด ด้วยรอยยิ้มสดใส ก่อนที่อาการทั้งหมดจะเปลี่ยนไปเมื่อสายตาของเธอหันไปสะดุดกับภาพหวานเบื้องหน้า ภาวสุทธิ์กำลังใช้มือโอบกอดรอบเอวบางของพี่สาวของเธออย่างรักใคร่

“เอาไว้วันหลังก็ได้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

พูดจบหญิงสาวก็เดินจากไปในทันที ปล่อยให้ทุกคนที่ยืนอยู่ถึงกับอึ้งกับภาพที่เห็น แววความสดใสในแววตาของกัญจนาจู่ๆ ก็พลันหายไป ฐติวัธน์มองตามร่างหญิงสาวด้วยความเห็นใจ นึกสงสัยอยู่ในใจว่าเด็กสาวตรงหน้ากำลังเป็นอะไรอยู่กันแน่

“ตามเธอไปสิเพื่อน”

ภาวสุทธิ์เดินเข้ามากระซิบสนับสนุน ฐติวัธน์มองเลยไปที่แก้วกาญจน์เหมือนจะขออนุญาต หลังหญิงสาวพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจเขาจึงตัดสินใจเดินตามร่างบางที่นำลิ่วไปข้างหน้า

สายลมเย็นพัดผ่าน ส่งผลให้อาณาบริเวณโดยรอบดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิมมาก ฐติวัธน์เดินตรงมาหากัญจนาที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองภาพตรงหน้าด้วยความคิดที่เลื่อนลอย ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงหวานใส

“คิดอะไรอยู่ครับ คุณกัญจนา”

หญิงสาวหันกลับมามองเขาด้วยรอยยิ้มชนิดหนึ่งแล้วพูดออกตัว

“เรียกกันเกราจะดีกว่านะคะ คุณวัธน์”
“ครับกันเกรา”

ยามเรียกชื่อของเธอ หัวใจของชายหนุ่มก็ยิ่งเต้นแรง มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่เจอเธอครั้งแรก จนบัดนี้มันก็ยังไม่ยอมผ่อนแรงลงสักน้อยนิด ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งเต้นแรงมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

“ฉันกำลังคิดอะไรเพลินๆ เท่านั้นแหละค่ะ ไม่ได้มีอะไรหรอก”

กัญจนาเอ่ยบอกเขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ลอยมากับน้ำเสียงเหล่านั้นด้วย หญิงสาวกำลังเศร้าและเสียใจอะไรอยู่กันแน่

“หวังว่ากันเกราจะไม่ว่าอะไรนะครับ ถ้าหากผมจะขอนั่งตรงนี้ด้วย”
“ตามใจสิจ๊ะ ที่นั่งตรงนี้ไม่ได้มีชื่อของใครติดเอาไว้นี่ค่ะ”

เด็กสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ พยายามปกปิดรอยสะอื้นในหัวใจอย่างเต็มที่ เธอจะให้เขารู้ไม่ได้นะว่าเธอคิดยังไงกับเพื่อนเขา และกำลังเศร้ากับเรื่องอะไร หญิงสาวพร่ำย้ำเตือนอยู่ในใจ

ฐติวัธน์ส่งยิ้มให้กับหล่อนหวังทอดสะพาน อย่างน้อยเธอก็ไม่รังเกียจเขา ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด จากที่ได้พูดคุยกัน อยู่เช่นนั้นทำให้ฐติวัธน์เริ่มจะเข้ากับหญิงสาวไปในระดับหนึ่ง กัญจนาเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย แถมเธอยังมีอัธยาศัยดี เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหากับฐติวัธน์ที่จะทำความรู้จักกับเธอเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

ความสัมพันธ์จากแค่คนรู้จัก กลับกลายเป็นเพื่อนสนิท ในเวลาไม่ถึงวัน เพราะฐติวัธน์มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คล้ายกับเด็กสาว หลายครั้งที่เขาทำให้เธอยิ้มออกมาได้ หลายครั้งที่ชายหนุ่มทำให้เธอหัวเราะ จนในบางครั้งหญิงสาวก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงหัวเราะออกมาได้ ทั้งๆ ที่ภายในใจของเธอเศร้าขนาดไหน

“มาเที่ยวครั้งนี้ กันเกราว่าสนุกมั้ยครับ” ช่วงหนึ่งชายหนุ่มได้วกมาหาคำถามที่หญิงสาวถึงกับชะงัก

รอยยิ้มสดใสเผือดลงไปในทันที หากแต่เธอก็ยังมีสติพอที่จะไม่ยอมให้มันแสดงออกมามากเกินไป ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามข่มหัวใจตัวเองอย่างเต็มที่

“ถ้าจะให้ฉันตอบว่าสนุกไหม กันเกราก็จะบอกคุณแต่เพียงว่า ในช่วงชีวิตนี้ฉันไม่เคยออกมาเที่ยวอย่างนี้สักครั้ง คุณลองคิดสิค่ะว่าถ้าคนๆ หนึ่งได้ออกมาเปิดหูเปิดตามองโลกอีกโลกหนึ่งแบบนี้เป็นครั้งแรกแล้ว เขาจะรู้สึกอย่างไร”

จากประโยคเรียงคำของหญิงสาวชวนให้ฐติวัธน์นั่งนิ่งและมองหน้าของเธอนิ่งด้วยแววตาที่นึกทึ่งต่อคำพูดของเธอ กัญจนา เธอคนนี้ไม่ใช่เด็กสาวที่ไร้เดียงสาเหมือนกับวัยรุ่นในวัยเดียวกัน หากแต่ความคิดของเธอกลับเป็นอีกแบบหนึ่งที่ใครๆ ต่างจะไม่คิดกัน

“กันเกราเรียนหนังสืออยู่ปีไหนแล้วครับ ดูความคิดของคุณแล้วไม่เหมือนกับคนทั่วไปเลย”

จากคำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของเธอสลดลงอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะกลบรอยเศร้านั้นด้วยเสียงหัวเราะที่ดังออกมาแทน ไหนเลยฐติวัธน์จะไม่รู้ว่าเธอมีความรู้สึกเป็นเช่นไร เพราะกิริยาที่เธอแสดงออกมาถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่เขาก็มองออกว่าในเวลานี้หญิงสาวกำลังเศร้าใจและหนักใจกับเรื่องที่เขาถาม

“ฉันหรือคะ”

น้ำเสียงนั้นเบาหวิว จนอีกคนรู้สึกวูบในอารมณ์ไปด้วย

“ตอนนี้กันเกรายังไม่ได้เรียนหนังสือหรอกค่ะ พอจบม. 6 ฉันก็ออกมาช่วยพี่แก้วหาเงินเลี้ยงแม่ ลำพังหาเงินไปวันๆ นั้นก็แย่อยู่แล้ว คุณวัธน์จะให้ฉันไปเอาเวลาที่ไหนมาเรียนหนังสืออีกละค่ะ”

“แล้ว คุณอยากคิดที่จะเรียนมั้ยครับ”

คำถามจากชายหนุ่มทำให้เด็กสาวที่ก้มหน้ามองพื้นเงยขึ้นมาสบตาคู่คมของเขาในทันที ภายในดวงตาคู่นั้นของเธอเป็นดวงตาที่ฐติวัธน์บอกได้คำเดียวว่าเป็นแววตาของคนที่มีความหวังและดีใจ

“คำว่า “โอกาส” ถ้าหากได้หยิบยื่นไปให้ใครแล้ว เขาคนนั้นก็คงจะต้องอยากจะรับมันเอาไว้อยู่แล้ว ฉันก็เป็นปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าหากโอกาสเดินทางมาถึงฉันก็ต้องคว้าเอาไว้เหมือนกัน คุณฐติวัธน์รู้มั้ยคะว่าโอกาสที่กันเกราพูดถึงอยู่นี้มันกำลังจะลอยมาหาฉันแล้วนะคะ”

ขณะพูด แววตาของเธอก็สดใส ปราศจากสิ่งที่เคลือบแคลงใดๆ เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเห็นประกายตานี้จากเธอ ทุกครั้งที่เธอยิ้ม ทุกครั้งที่เธอแจ่มใส ทำไมโลกทั้งใบถึงได้สดชื่นไปด้วย ชีวิตของเธอคนนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก ถ้าหากโอกาสที่ถูกหยิบยื่นให้เธอเป็นความจริง ชีวิตของเด็กสาวผู้นี้ก็คงจะประสบผลสำเร็จขนาดไหน เพราะกัญจนามีทั้งความหวัง ความกระตือรือร้น และอีกอย่างก็คือความฝันที่หลายคนอาจจะไม่มี

“โอกาส ที่คุณพูด มันหมายถึงอะไรครับ”

“ก็โอกาสที่เรากำลังพูดอยู่นี่ยังไงละค่ะ ตอนนี้กันเกราได้เก็บเงินเอาไว้จำนวนหนึ่งเพื่อนจะนำมันไปสมัครเรียนหนังสือ ถึงจะเป็นมหาวิทยาลัยระดับต่ำ แต่ฉันก็ภูมิใจค่ะที่ได้เรียนหนังสือ”

“จริงหรือครับ ผมดีใจด้วยนะครับ ถ้าหากมีข้อขัดข้องอะไร บอกผมได้นะครับ ผมยินดีช่วย”

เขาเอ่ยด้วยความหวังดีจากใจจริง หญิงสาวผินกรอบหน้าสวยมาทางเขาอีกครั้ง ด้วยสายตาขอบคุณ ถึงแม้จะเพิ่งเคยพบและรู้จักกัน แต่เธอก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เลวร้ายอะไร ตรงกันข้าม เขากลับเป็นคนที่เมื่ออยู่ใกล้แล้วกลับรู้สึกอบอุ่นและวางใจ

“ขอบคุณนะคะ สำหรับความมีน้ำใจจากคุณ เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่านะคะเพราะตอนนี้ฉันได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมจนหมดแล้ว”

หญิงสาวเอ่ยเลี่ยงคำขอจากเขาอย่างสุภาพ เธอไม่อยากจะให้เขาผูกมัดกับเธอด้วยวิธีนี้ หญิงสาวรู้ตัวดีว่าจะควรทำเช่นไร และก็รู้แล้วด้วยว่าเหตุใด ฐติวัธน์ถึงได้เดินเข้ามาในชีวิตของเธอ เขากำลังสนใจเธอ

“และเหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ เราเพิ่งรู้จักกัน ฉันไม่อยากจะให้คุณไว้ใจฉันมากจนเกินไป บางทีกันเกราอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณเห็นนี้อยู่ก็ได้”

“แต่ผมยินดีจะช่วยคุณจริงๆ นะครับ”

เธอรู้ว่าเขาพูดจริง และยินดียื่นมือเข้ามาช่วยด้วยความจริงใจ ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง แต่เธอก็ยอมไม่ได้ที่จะเริ่มต้นกับเขาด้วยวิธีนี้

“ค่ะ กันเกราเข้าใจว่าคุณต้องการช่วย ฉันขอเถอะนะคะ เพราะกันเกราไม่อยากที่จะให้คุณเสียใจ เอาไว้เรารู้จักกันให้มากกว่านี้ดีกว่านะคะ บางที โอกาสที่ว่านั้นมันอาจจะเปิดโอกาสให้กับคุณก็ได้”

เด็กสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ จนทำให้อีกคนสัมผัสรู้ได้ถึงความน่ารักของเธอที่แสดงออกมาทางแววตา ใช่สิ เราอาจจะใจร้อนเกินไปอย่างที่เธอว่าก็ได้ เมื่อเธอต้องการจะพิสูจน์นาย นายก็ย่อมจะดีใจไม่ใช่หรือที่จะรอให้เธอได้เห็นถึงการเป็น “คนจริง” ของนาย

“ขอบคุณนะครับ สำหรับคำให้กำลังใจของคุณ”

ฐติวัธน์เอ่ยขอบคุณด้วยหัวใจที่พองโต อย่างน้อยเธอก็บอกอยู่นัยๆ ว่า เธอกำลังจะให้ “โอกาส” กับเขา และให้ “เวลา” พิสูจน์สิ่งที่เป็นไป

“ถ้าอย่างนั้นเราออกไปเดินทางด้านโน้นกันดีกว่าครับ เห็นว่ามีสระน้ำด้วย บรรยากาศน่าจะดีนะ”

ฐติวัธน์เปลี่ยนเรื่องพร้อมกับเอ่ยชวนเธอให้เดินไปอีกด้านหนึ่ง ขณะที่หญิงสาวได้แต่ยิ้มรับกับการทอดสะพานของเขา ดวงตาคู่สวยหลุบลงต่ำมองพื้นคล้ายดั่งจะคิดว่ามันจะเป็นการบังควรหรือไม่ ต่อเมื่อเธอเห็นสายตาอ้อนวอนของเขาแล้วจึงยิ้มในที่สุด

“ก็ได้ค่ะ” เธอลุกขึ้น ก่อนจะเดินนำเขาออกไป

ทั้งสองหนุ่มสาวเดินมาหยุดอยู่ตรงริมสระน้ำแห่งนั้นในเวลาต่อมา กัญจนาเดินออกไปยืนอยู่ตรงริมสระ ก่อนจะยกมือทั้งมองขึ้นกางและผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก สายลมที่พัดระเลียดผิวกาย ไอเย็นของมันที่กระทบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายจนทำให้เด็กสาวรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันที

กรอบหน้าสวยแดงซ่านด้วยรอยเลือดฝาด หญิงสาวทอดมองไปที่ภาพตรงหน้าที่คล้ายดั่งภาพวาด ดวงตาคู่คมค่อยๆ มองไล่ระดับไปบนผิวน้ำที่พะเยิบพะยาบตามแรงลมที่พัดผ่าน จากซ้ายไปทางขวาอย่างเชื่องช้า ภาพตรงหน้าทำให้เธอเห็นสัตว์นานาชนิดที่กำลังดำเนินชีวิตไปตามวิถีของมัน

เนิ่นนาน จากท้องฟ้าสีครามตรงหน้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปทีละนิด ขอบฟ้าไกลลิบมีหมู่เมฆดำเคลื่อนลอยมารวมตัวกัน จากนั้นไม่นานทั่วบริเวณนั้นก็มืดครึ้มไปด้วยเหล่าเมฆฝน ไอเย็นจากเม็ดฝนที่ตกไกลออกไปแผ่เข้ามากระทบผิวกายของบุคคลทั้งสองจนหนาวสะท้าน

“ดูฝนท่าจะตกแล้ว ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยบอกและคำถามนั้นยังไม่ทันจบลงด้วยซ้ำ หยาดพิรุณเม็ดใหญ่ที่เย็นเฉียบก็ตกลงมากระทบผิวกายของทั้งสองจนรู้สึกหนาวสะท้าน ก่อนเม็ดอื่นๆ จะพากันร่วงพรูตามกันลงมาอย่างไม่ขาดสาย ฐติวัธน์รีบคว้าข้อมือบางของหญิงสาวพาวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปที่รถในทันที หากแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะรถของเขาและภาวสุทธิ์อยู่ไกลเกินไป ประกอบกับฝนที่ตกลงมายิ่งหนาเม็ดดังนั้นจึงทำให้ทั้งสองหนุ่มสาวตัดสินใจแวะเข้าไปหลบในศาลาริมทางแทน

“ฝนตกเยอะจังนะครับ”

ฐติวัธน์เอ่ยบอกพร้อมกับรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย เม็ดฝนเม็ดใหญ่ที่พากันร่วงพรูลงมาจากชั้นฟ้าช่างเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งจากขั้วโลกก็ไม่ปาน ก่อนจะหันมามองหญิงสาวที่วิ่งเข้ามาด้วยกัน บัดนี้เธอได้เดินเข้าไปนั่งด้านในสุด สองแขนถูกโอบกระหวัดรัดร่างของตัวเองเอาไว้แน่นเมื่อความหนาวจู่โจมเข้ามาเกาะกุมอย่างทารุณจนทำให้ร่างบางสั่นสะท้าน

“คุณ เอ่อ กันเกราหนาวหรือครับ”

ชายหนุ่มพูดเสียงสั่น ได้ยินเสียงฟันกระทบกันอย่างชัดเจน เขาเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวแล้วดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดผมให้กับเธอ ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยสายตาขอบคุณ

“ขอบคุณนะคะ”

เด็กสาวเอ่ยเสียงเบาหวิว สองหูอื้ออึง กรอบหน้าสวยแดงซ่านจนรู้สึกร้อนผะผ่าว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมซะอีกที่ต้องขอโทษคุณที่พาเดินมาไกลจนทำให้คุณต้องเปียกฝนแบบนี้”

เขาสบตาเธอ ก่อนจะรู้สึกวูบไหวในหัวใจไปกับรอยยิ้มตอบรับของเธอ ถึงแม้จะรู้สึกเหน็บหนาว หากแต่เขาก็อบอุ่นในหัวใจเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับเธอเช่นนี้

“ไม่หรอกค่ะ ฉันต่างหากที่ยืนอยู่ตรงนั้นนานจนเกินไป โดยไม่เกรงใจคุณฐติวัธน์ที่ยืนรออยู่ข้างหลัง”

คำพูดต่อมาต้องหลุดหายไปเมื่อนิ้วชี้ของฐติวัธน์ถูกยกขึ้นมาปิดตรงริมฝีปากอิ่มของเธอเป็นเชิงห้ามไม่ให้พูด “อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ เอาเป็นว่าเราทั้งสองต่างผิดด้วยกันทั้งคู่ดีกว่านะ”

เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน ขณะที่หญิงสาวได้แต่ยิ้มอย่างน่ารัก กรอบหน้าสวยเงยขึ้นมองอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะไล่สายตามองเลยออกไปด้านนอกของศาลาที่บัดนี้เม็ดฝนกำลังกระหน่ำตกลงมาแบบไม่หยุด

“ฝนตกลงมาเยอะจังนะคะ เหมือนอย่างมันจะร้องไห้ เสียใจกับอะไรสักอย่าง”

ใบหน้าสวยสลดลงเมื่อเธอนึกถึงใบหน้าของเขาคนนั้น “ภาวสุทธิ์” ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนนะ คุณกำลังโอบกอดพี่แก้วอยู่หรือเปล่า คุณมอบความอบอุ่นให้กับพี่สาวของฉันจนหายหนาว แล้วฉันล่ะ ฉันจะได้รับโอกาสแบบนั้นจากคุณบ้างไหม หญิงสาวนึกอิจฉาพี่สาวของตนเองและนึกน้อยใจกับความอับโชคของตัวเองที่เจอเขาช้าไป เขาและพี่สาวของเธอจะนึกห่วงเธอบ้างไหมนะ หรือว่าทั้งสองกำลังมีความสุขกับการอยู่ด้วยกันสองคน โดยปล่อยให้น้องสาวของตัวเองอยู่กับใครก็ไม่รู้ที่เพิ่งจะรู้จักกันแค่วันเดียวเท่านั้น

คนใจร้าย คุณจะเคยนึกเป็นห่วงฉันบ้างมั้ย คุณภาวสุทธิ์

เด็กสาวเอ่ยตัดพ้ออย่างน้อยใจก่อนจะไล่สายตามามองคนที่นั่งข้างๆ ถึงจะรู้จักกับฐติวัธน์เพียงวันเดียว แต่เธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม เวลาที่อยู่ใกล้กับเขาแล้ว ความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครถึงได้เกิดขึ้นมาได้นะ

ฉันรู้ว่าคุณไม่เป็นอันตรายกับฉัน หญิงสาวบอกเขาผ่านทางสายตาอันหม่นเศร้า ก่อนจะต้องรีบหลบสายตาเมื่อฐติวัธน์เริ่มรู้ตัวว่าคนข้างๆ กำลังมองเขาอยู่อย่างชื่นชม รอยยิ้มถูกระบายขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่เขาจะถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“หนาวหรือครับ”

น้ำเสียงอ่อนโยน รู้สึกตกใจกับใบหน้าของเธอที่บัดนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีซีดอย่างน่าใจหาย

“ค่ะ”

กัญจนาเอ่ยบอกเสียงสั่นและเบาหวิว ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวลงไปที่อกกว้างของเขาที่เปิดรับอย่างยินดี ฐติวัธน์โอบสองมือกอดรัดร่างบางเอาไว้แน่น ไม่อยากจะให้เธอหนีไปไหน และส่งมอบความอบอุ่นไปให้กับเธออย่างแสนรัก

“รัก” อย่างนั้นหรือ ชายหนุ่มบอกกับตัวเอง ผมรักคุณนะครับกันเกรา คุณจะรู้มั้ยนะว่าคุณทำให้หัวใจของผมเต้นรัว คุณคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าความรัก และรักโดยไม่รู้สาเหตุมาก่อนว่าเพราะอะไร

ร่างบางเริ่มสั่นไหวเมื่อความหนาวเกาะกุมเข้าถึงหัวใจอย่างทารุณ แต่เมื่อไออุ่นจากอกหนาของเขาแผ่กระทบเข้ามาอาการทั้งหมดจึงค่อยๆ ทุเลาลง หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งด้วยสายตาขอบคุณ คุณฐติวัธน์ ฉันขอโทษนะคะที่ใช้คุณแทนเพื่อนของคุณ ฉันจะนึกว่าในเวลานี้คุณคือคุณภาวสุทธิ์ คนที่ฉันรักเขาหมดหัวใจ และบัดนี้เขาก็กำลังโอบกอดฉันอยู่ ฉันรู้ว่าคุณรักฉัน ถึงแม้ว่ามันไม่ควรที่จะเริ่มต้นเร็วแบบนี้ แต่ฉันก็สัมผัสได้ค่ะว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับฉัน ขอบคุณนะคะ ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมอบให้กับฉันอย่างไม่มีเหตุผล ถ้าหากสิ่งนี้ตอบแทนได้ด้วยความจริงใจและคำว่าเพื่อน ฉันก็ยินดีที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับคุณ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ

หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงอีกครั้งอย่างมีความสุข เธอขยับร่างเข้าไปซุกในอกกว้างอย่างไม่อาย เพราะในเวลานี้ภาพของฐติวัธน์กลับกลายเป็นเขา คนที่มอบความรักให้กับเธออย่างเต็มเปี่ยม

เช่นเดียวกับเขาที่ก้มลงมองร่างบางอย่างสุขใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มเอื้อมมือกระชับร่างบางเอาไว้แน่น ไม่อยากให้เธอหนีไปไหนได้อีกต่อไป กัญจนา ผมอยากจะให้คุณอยู่ในอ้อมกอดของผมแบบนี้ตลอดไป คุณจะยอมไหมครับ

ชายหนุ่มก้มหน้าลงถามหญิงสาวผ่านทางสายตา หากแต่ไร้ซึ่งคำตอบเพราะบัดนี้เธอหลับไปแล้ว และอีกประการหนึ่งที่เขานึกหวั่นในเวลานี้คือ ถ้าหากเขาถามเธอไปในตอนนี้ มันจะไม่ได้รับคำตอบที่ตรงกับหัวใจของเขา เขาและเธอเพิ่งเจอกันครั้งแรก โอกาสของคนที่จะบอกรักกันมันคงจะห่างมากจนเกินไป ถึงแม้ตนจะรู้สึกดีกับเธอมากแค่ไหน แต่เธอก็คงจะยังไม่พร้อม และเวลาจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด เพื่อจะ พิสูจน์เขา

*****
ร่างบางระหงในสภาพเปียกปอนรีบโผตรงไปที่ฟูกนอนของตนด้วยความตกใจ เมื่อภาพตรงหน้าของเธอในเวลานี้คือฟูกที่เคยเป็นที่นอน บัดนี้มันกระจุยกระจาย หัวใจสาวสลดวูบในทันทีเมื่อมือของเธอที่ควานไปที่ใต้หมอนและไร้ซึ่งสิ่งที่เคยอยู่ในนั้น

เงิน!!

หมดกัน สิ่งที่เธอเคยเก็บสะสมเอาไว้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่วาดฝันมลายหายไปเสียสิ้น

หยาดน้ำตาใสเอ่อนองขอบตา และเอ่อล้นไหลลงมาที่สองแก้ม หญิงสาวรู้สึกโลกรอบตัวหมุนวนอย่างรวดเร็ว โหดร้าย ทารุณ ทำไมมันโลกถึงได้ทารุณกับเธอแบบนี้ด้วย

ร่างบางค่อยๆ ทอดกายซุกนิ่งอยู่บนกองสิ่งของเหล่านั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็นิ่งสนิทเหมือนมันจะต้องการหยุดเวลาเอาไว้เพียงแค่นั้น มันเหมือนจะตอกย้ำให้กับเธอได้จมดิ่งอยู่กับกองทุกข์แบบนี้ตลอดไป

“กันเกรา นี่พี่เองนะ เป็นยังไงบ้าง”

เสียงเรียกและเสียเคาะประตูของจากผู้เป็นพี่สาวฉุดดึงให้เด็กสาวที่นอนนิ่งและจมอยู่กับกองทุกข์ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก

หลังจากที่เสียงเคาะประตูและเสียงร้องเรียกของเธอนั้นหายไปกับความเงียบของห้องของน้องสาว แก้วกาญจน์จึงเริ่มจะเอะใจ คิ้วงามขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างสงสัย ก่อนที่ความรู้สึกเป็นห่วงจะเข้าแทนที่

“กันเกราเธอเป็นอะไร เปิดประตูให้พี่เดี๋ยวนี้เลยนะ กันเกรา ได้ยินพี่มั้ย”

เสียงเรียกแกมสั่งของพี่สาวทำให้กัญจนารีบเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า และรีบจัดของในห้องให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยมากที่สุด ก่อนจะเดินมาที่ประตู ค่อยๆ เอื้อมมือจับลูกบิดและเปิดมันออกอย่างช้าๆ

“มีอะไรจ๊ะพี่แก้ว” พยายามปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด

“เธอเป็นอะไรกันเกรา พี่เรียกตั้งนานทำไมไม่เปิดประตู” ผู้เป็นพี่สาวไล่สายตามองร่างกะทัดรัดตรงหน้าอย่างห่วงใย “แล้วนี่อะไร ชุดเปียกไปหมดทำไมไม่เปลี่ยน เดี๋ยวจะเป็นหวัดนะ ไปเลย เปลี่ยนมาเดี๋ยวนี้เลย”

แก้วกาญจน์สาบานได้ว่าเธอเพิ่งเคยเห็นแววตาหวั่นเกรงและความเศร้าเสียใจที่เหมือนจะอมเอาความทุกข์ของโลกเอาไว้ทั้งใบ เป็นครั้งแรก มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของเธอ และก่อนที่เด็กสาวจะทันได้หันหลังเข้าห้องไป หญิงสาวจึงกระชากแขนของกัญจนาเอาไว้ได้ทันเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนกันเกรา”

เด็กสาวหันกลับมาด้วยรอยยิ้มจางๆ และนั่นก็ยิ่งทำให้แก้วกาญจน์มั่นใจว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นมันไม่ผิดเลย

“เกิดอะไรขึ้น บอกพี่มาเดี๋ยวนี้นะ”

“อะไรจ๊ะ กันเกราเป็นอะไร”

“ก็สีหน้าและแววตาของเธอมันบ่งบอกอย่างชัดเจน กันเกรา บอกพี่มาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

“เอ่อ คือ ฉัน”

เด็กสาวใบหน้าซีดเผือดลงไปในทันที จะให้ปิดจนมิดอย่างไร สำหรับแก้วกาญจน์แล้วเธอไม่เคยปิดอะไรได้สักที

“บอกพี่มาเดี๋ยวนี้ ถ้าหากว่าเธอยังเห็นพี่เป็นพี่สาวของเธออยู่ กันเกรา”

แก้วกาญจน์ส่งน้ำหนักการบีบไปที่แขนของน้องสาวอย่างเป็นห่วง กันเกราก็ชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อย เมื่อมีความทุกข์มักจะปฏิเสธการช่วยเหลือหรือการปลอบใจจากใคร เธอเป็นคนที่ชอบเก็บอาการได้เก่ง แต่สำหรับแก้วกาญจน์แล้ว ยากนักที่น้องจะปิดบังพี่ได้

“เงิน เงินที่กันเกราเก็บเอาไว้ ฮือๆ มันหายไปแล้วจ๊ะ” ตัดสินใจบอกความจริงไปในที่สุด

“หา อะไรนะ”

สิ่งที่น้องสาวเอ่ยบอกถึงกับทำให้ผู้เป็นพี่สาวช็อคไปเหมือนกัน ก่อนที่เธอจะพยายามปรับความรู้สึกทั้งหมดให้เป็นปกติแล้วถามหาสาเหตุจากกันเกรา

“มันเกิดอะไรขึ้นกันเกรา เธอเก็บมันเอาไว้ที่ไหน ทำไมถึงได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น”

แก้วกาญจน์รีบถลาเข้าไปในห้อง ก่อนจะเจอกับคำตอบ ห้องของน้องสาวที่ถูกจัดวางอย่างลวกๆ นั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเพิ่งผ่านการถูกรื้อค้นไปไม่นานจากนี้เอง

“ตอนที่เราไม่อยู่บ้าน มีขโมยมารื้อค้นของในห้องของฉัน แล้วเอาเงินไปจ๊ะ”

ผู้เป็นน้องสาวเอ่ยบอกเสียงสั่น ก่อนจะทรุดกายลงกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

“ต่อไปนี้สิ่งที่กันเกราฝันเอาไว้ มันก็คงจะไม่เป็นความจริงอีกแล้ว กันเกราคงจะไม่ได้เรียนหนังสือแล้วล่ะจ๊ะพี่แก้ว”

เด็กสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้า

“ทำใจดีๆ ไว้กันเกรา เธออย่าเพิ่งคิดแบบนั้นสิ พี่ยังอยู่ทั้งคนจะกลัวไปทำไม”

“พี่แก้ว กันเกราไม่ได้กลัว แต่ที่ฉันรู้สึกมันคือความรู้สึกของคนที่หมดหนทางต่างหาก ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านมันมืดมนไปหมดแล้ว มันไม่มีทางที่จะให้ฉันเดินไปได้สักทางแล้ว”

ดวงตาคู่สวยคลอรื้นไปด้วยน้ำตา ค่อยๆ ช้อนขึ้นมองพี่สาวเหมือนจะสื่อสารให้เธอรู้ว่า บัดนี้เธอเจ็บมากเพียงไร เจ็บที่หนึ่งคือสิ้นหวังในความรัก เจ็บที่สองคือหมดหนทางที่จะสานฝัน แล้วจะให้เธอทำอย่างไรต่อไปมันถึงจะได้รอดพ้นไปจากบ่วงเหล่านี้ได้ ไม่มีอีกแล้ว

“อย่าคิดเช่นนั้นกันเกรา น้องสาวของพี่จะต้องเข้มแข็งสิ หนทางทุกอย่างมันย่อมจะมีทางไป มันไม่มีทางที่จะสิ้นสุดได้ตรงจุดใดจุดหนึ่งหรอก ถึงความมืดมันจะเข้าครอบคลุม สักวันแสงสว่างมันก็ต้องถูกจุดขึ้นมา สวรรค์มันไม่ได้โหดร้ายเสมอไปหรอก”

“แล้วถ้ามันไม่มีทางไปอีกแล้วล่ะจ๊ะ”

เด็กสาวถามเสียงแผ่ว ซุกหน้าลงกับอ้อมกอดของผู้เป็นพี่สาวคล้ายเข้าหากับไออุ่นที่ยากนักจะหาเจอได้จากผู้เป็นมารดา

“เธอก็ทำให้มันมีสิ พี่เชื่อว่าเธอจะต้องทำได้แน่ อย่าลืมสิว่าพี่จะอยู่ข้างๆ เธอตลอดไป”

รอยยิ้มจากพี่สาวทำให้เด็กสาวที่ช้อนตาขึ้นสบเริ่มดีขึ้น ม่านน้ำใสๆ ที่มันคลอรื้นเอ่อนองออกมาอาบสองแก้ม เด็กสาวค่อยๆ เปิดยิ้ม ได้ เธอจะลองสู้มันอีกสักครั้ง สู้เพื่อที่ตนจะได้เห็นวันสำเร็จของตัวเอง สักวันหนึ่ง

“ได้จ๊ะ กันเกราจะลองสู้มันดูอีกสักครั้ง”



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 เม.ย. 2554, 19:20:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 เม.ย. 2554, 19:23:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1761





<< ตอนที่ 3 ขอแต่งงาน   ตอนที่ 6 ทาสชะตากรรม >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account