กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: บทที่ ๑๕ ระยะห่าง (75%)

มันถูก... ส่งมาเมื่อคืน



‘รักเขามากล่ะสิ เสือลายพาดกลอนแบบแกถึงได้หงอเป็นแมวเชื่องๆ แบบนี้น่ะ’



‘ก็รัก... ทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะรักได้มากเท่านี้’



แรกเห็น แรกฟังหัวใจเธอคล้ายจะหยุดเต้นได้จริงๆ



ศศิพิมพ์หัวเราะคิกเมื่อคิดถึงเรื่องในคืนที่ผ่านมา ทั้งยังหน้าแดงที่ซึ่งไม่ใช่ผลจากพิษไข้ เธอรีบกดปิดโทรศัพท์มือถือเมื่อเห็นจิรสินก้าวออกมาจากห้องน้ำ หญิงสาวส่งยิ้มหวานให้กับเขา



ข้อความถัดจากคลิปวิดีโอยังมีต่อนิดหน่อย



‘ก็ช่วยกันหลายคนครับ แต่คนไม่รู้มีแค่เจ้าสินคนเดียว ค่าที่มันเจ้าเล่ห์นักเลยจัดให้ แต่ผมบอกคุณพิมพ์ไว้เสียก่อนนี่ก็เพราะถ้าคุณพิมพ์โมโห จะได้รู้ว่ามีจำเลยอีกหลายคน’



ศศิพิมพ์นอนอีกหนึ่งคืนเต็มๆ อาการไข้ก็สร่างไป ส่วนอาการระบมยังคงมีอยู่และมันก็ทำให้เธอเดินไม่สะดวกอยู่หน่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงกับเดินเป็นเป็ดให้อายคน



วันที่สามแล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้เข้าไปเช็กบัญชีของโครงการนี้ จิรสินบอกว่าไว้ให้เธอหายดีแน่ๆ ค่อยไปจะดีกว่าเพราะเขากลัวว่าเธอจะไข้กลับขึ้นมาอีก



“วันนี้เขามีอะไรกันเหรอคะ เห็นคนงานตื่นเต้นกันใหญ่”



ศศิพิมพ์เอ่ยถามสามีตอนเดินออกมาสมทบหลังไปเดินเล่นแก้เบื่อ ตอนนี้บ่ายแก่แล้ว แสงอาทิตย์ค่อยรอนลงเกือบแตะเหลี่ยมเขา จิรสินวางงานในมือและเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้เธอ



“เห็นว่ามีงานฉลองอะไรเนี่ยแหละค่ะ ก็เทศกาลประจำปีน่ะค่ะ พิมพ์อยากไปดูไหมคะ”



“ได้เหรอคะ”



ท่าทางดีใจของเธอทำเขาอมยิ้ม “พิมพ์ไม่ใช่นักโทษนี่คะ ไข้ก็ไม่มีแล้วทำไมพี่จะไม่พาไปล่ะ”



“ขอบคุณนะคะ”



จิรสินนิ่งอึ้ง หาใช่เพราะคำขอบคุณแต่เป็นรอยอุ่นข้างแก้มเสียมากกว่า และกว่าเขาจะหายอึ้ง ศศิพิมพ์ก็เดินหายลับเข้าห้องนอนไปแล้ว ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบข้างแก้ม ดวงตามองไปยังทิศที่ภรรยาเดินหายไป ราวกับว่าเขาได้ถูกมนตร์สะกดเข้าอย่างจัง



ศศิพิมพ์ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน



และเชื่อเถอะหัวใจเขาเต้นจนเจ็บอก มันดีใจจนพูดไม่ออกเพราะการกระทำของเธอราวจะย้ำว่า เขามีที่ยืนในหัวใจเธอบ้างแล้ว









บรรยากาศนั่นก็เหมือนงานวัดทั่วไป ไม่ใช่งานใหญ่แต่คนกลับมีมากอย่างนึกไม่ถึง จากการสอบถามนี่เป็นงานฉลองอุโบสถของวัดแถวนี้ แต่มหรสพจัดนอกวัดและห่างพอสมควร เนื่องจากกลัวรบกวนพระเณรที่จำวัดแล้วจะพลอยบาปมากกว่าได้บุญ



บริเวณนั้นเป็นไหล่เขาค่อยลาดลงไปเป็นแอ่งกระทะ ร้านขายของหนาตา ส่วนใหญ่เป็นร้านปาลูกโป่ง ที่ตั้งอยู่ตรงกลางงานคือชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุนมีหลายเจ้าและล้วนแต่คิวยาวกันทั้งนั้น



อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฝนตกค่อนข้างมาก พอตกค่ำอากาศจึงเย็นพอสมควร ศศิพิมพ์ห่อตัวเมื่อลมเย็นพัดผ่าน จิรสินเห็นเข้าจึงโอบแขนไปรอบเอวเล็กคอด ดึงเธอเข้ามาชิดตัว



“หื้อ พี่สินคะอายเขา”



เธอพยายามจะปลดมือเขาออก แต่กลับพบว่ามันเหนียวเสียยิ่งกว่าหนวดปลาหมึก



“พี่กลัวพิมพ์หลงค่ะ กันไว้ก่อน” คนพูดนัยน์ตาวิบวับ ศศิพิมพ์ค้อนขวับและหยิกหมับเข้าให้ที่หลังมือหนา เขาร้องอู้ยแต่กระนั้นก็หายอมปล่อยไม่ “มือเย็นมาก หนาวมากหรือคะ กลับกันไหม”



ความห่วงของเขาทำเธออมยิ้ม



“ไม่ต้องมายิ้มค่ะ” เขาดุเสียอีก “มือเย็นหมดแล้ว ให้ใส่เสื้อหนาๆ ก็ไม่เชื่อ ถ้าไข้กลับจะทำยังไงคะ”



ศศิพิมพ์ยิ่งยิ้มหวาน เธอแนบศีรษะกับอกกว้างของคนที่โอบเอวเธอไว้ มือวางแทบอกหนาใกล้กับหัวใจ



เท่านั้นจิรสินก็หยุดบ่น นับเป็นวิธีที่ศศิพิมพ์ค้นพบว่าทำอย่างไรจะให้เขาหยุดพูดได้


เราเดินเที่ยวงานกันเสียจนทั่ว ศศิพิมพ์อยากขึ้นชิงช้าสวรรค์ แต่พอเห็นเด็กๆ เข้าแถวต่อคิวยาวเหยียดจึงถอดใจ เธอคิดจะชวนสามีกลับรีสอร์ตแต่จิรสินรั้งไว้

“รอดูพลุก่อนนะคะ” เขาก้มมองนาฬิกา “ใกล้แล้วด้วย มาทางนี้ดีกว่าค่ะจะได้เห็นชัดๆ” เขาจับจูงมือเธอเดินฝ่าคนไปยังริมทางที่ทำรั้วกันไว้ กว่าจะฝ่าไปถึงก็เกือบสิบนาที แต่มันก็คุ้ม

ท้องฟ้าสีมืดถูกย้อมด้วยสีสันของพลุไฟ แสงสีส้มสว่างวาบครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนต่างเมียงมองไปยังจุดเดียวกัน

ใช่ สวย พลุที่จุดสวยมาก

แต่เชื่อไหม จิรสินกลับคิดว่าแสงที่สว่างซึ่งปะทะกับใบหน้าของศศิพิมพ์ยามนี้สวยยิ่งกว่า รอยยิ้มของเธอ ทุกอย่างบนใบหน้าของเธองดงามน่าหลงใหล

ดวงตาเขาละมุนทอประกายหวานวับ

ไม่รู้ตัวสักนิดว่าได้ยื่นมือไปแตะยังนวลแก้มเนียน ศศิพิมพ์ชะงักหันกลับมามองเขา จิรสินแนบมือใหญ่กับแก้มนุ่มนั้น หัวใจเขาพองคับอกยามเธอยิ้มตอบและเอียงแก้มแนบมือของเขา

ชายหนุ่มโน้มหน้าลงใกล้ และหยุดแค่เพียงนิ้วกั้น

“พี่รักพิมพ์มากนะคะ”

เสียงพลุดังสนั่นกลบเสียงของเขาจนหมดสิ้น แต่เชื่อหรือไม่เล่า ว่าศศิพิมพ์ได้ยินคำหวานซ่านใจนั่นทุกคำ

เธอยกมือขึ้นแนบมือเขาซึ่งทาบแก้มของเธอ

“พิมพ์ก็รักพี่สินค่ะ”

เสียงเบา เบายิ่งกว่า แต่... จิรสินกะพริบตา ดวงตาคู่คมที่สะท้อนแสงไฟ ส่องให้เห็นน้ำตาคลอ เขายิ้ม ยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคย อยากดึงเธอเข้ามากอด อยากจูบเธอให้สมรักแต่ก็รู้ไม่ควร

สิ่งเดียวที่ทำได้คือเขากุมมือทั้งสองข้างไว้แน่นและยกขึ้นแนบแก้มตนเองแผ่วเบา

แววตานั้นราวกับจะบอกทุกคนในโลกนี้ว่า เขามีความสุขมากแค่ไหน มันสุขมากเสียจนรู้สึกเหมือนได้ครองโลกไว้ทั้งใบ




เธอจูบเขาก่อน และมันจะเป็นจูบที่เขาจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต

เรากลับกันมาถึงบ้านพักตอนเกือบเที่ยงคืน หัวใจอิ่มเอมเสียจนไร้คำจะพูดกันด้วยซ้ำ เขาแค่กุมมือเธอไว้และจับจูงก้าวเดินพร้อมกัน

จิรสินไม่ปฏิเสธว่าต้องการเธอ แต่เพราะคำบอกของคุณหมอทำให้เขาอดทน ซึ่งมันก็ไม่ได้มากมายอะไร ดังนั้นเมื่อศศิพิมพ์โอบเอวเขาด้วยวงแขนเล็กๆ ของเธอและเงยหน้ามองมาพร้อมกับยิ้มละลายใจ เขาก็เหมือนต้องมนตร์ก้มลงมาหาในทันทีทันใด

หัวใจเขาแทบระเบิดเพราะมือเรียวที่เลื่อนลูบผ่านเนื้อผ้าแถวอกกว้างอย่างช้าๆ มันเลื่อนขึ้นมาคล้องกับลำคอเขาและจากนั้นเธอก็รั้งให้เขาก้มลงไปหา

จูบเธอหวาน และชวนมึนเมา มันทำให้เสพย์ติดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลอง จิรสินหลงเคลิ้มไปกับสัมผัสแผ่วเบาราวปีกผีเสื้อนั่น ลูกศิษย์เขาหัวไวจนน่ากลัว เธอเลียนแบบจูบของเขาแทบจะไม่ผิดเพี้ยน

และเขาก็แทบละลายลงไปกองแทบเท้าเธอ

เขากลายเป็นทาส แล้วก็คงจะเป็นไปตลอดกาล

จิรสินเลื่อนมือลูบผิวเนียนที่เอวคอด ลอดผ่านใต้เนื้อผ้าเพื่อสัมผัสผิวนุ่มโดยไม่มีสิ่งกั้นขวาง เขาบดเบียดแนบชิดให้รู้ถึงความต้องการและเธอก็ตัวสั่น แต่ก็ยังไม่ยอมหยุด

จิรสินลืมสิ้นทุกอย่าง เขาบดจูบหนักหน่วงยิ่งขึ้น และรีบจัดการกับกระดุมเสื้อตัวที่เธอสวม เธอถอนหายใจเมื่อเขาถอนจูบและดึงเสื้อนั่นให้พ้นไป ดวงตาของจิรสินเป็นประกายด้วยไฟเสน่หารุนแรง เขาพึงพอใจในตัวของภรรยาและหลงใหลเป็นที่สุด

แทบเรียกได้ว่าลุ่มหลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้เข้าใจแจ่มชัดถึงคำพูดที่เคยได้ยิน ว่าทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นเช่นไร

เราสองเกาะเกี่ยวจนไร้ช่องว่าง ก็โรมรันพันตูกันเสียจนแยกจะยาก เพราะต่างก็ไขว่คว้ากันและกัน เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันอย่างถึงที่สุด ในวินาทีที่ความอดทนเกือบสิ้นสุด จิรสินหยุดตัวเองไว้ เหนืออื่นใดความเป็นห่วงในตัวเธอยังอยู่เหนือทุกอารมณ์

เขาหอบหายใจหนักหน่วงและเธอก็ไม่แพ้กันยามเขากระซิบแนบที่ข้างหู

“พิมพ์คะ... ยังเจ็บอยู่ไหม”

คำถามราวกับจะให้เธอตัดสินใจ แต่ฝ่ามือที่กอบกุมพุ่มทรวงกลับขยับ หญิงสาวเผลอส่งเสียงรัญจวนและแอ่นหยัดขึ้นหาเขาอย่างไร้ยางอาย เธอคล้ายหมดแรงและทำได้เพียงส่ายหน้า

จิรสินกดจูบตรงซอกหูและโอบวงแขนรอบตัวเธอแน่นขึ้นขณะแทรกตัวชำแรกเข้ามา หญิงสาวสะดุ้งและเขาชะงัก ชายหนุ่มก้มมองคนรักในวงแขน และเธอก็ส่งยิ้มให้เขา มือน้อยเลื่อนลูบลำไหล่กว้าง เขาขบกรามแน่นจนเห็นเส้นเอ็นนูนขึ้นที่ข้างขมับ ศศิพิมพ์หยัดตัวขึ้นและจูบที่ข้างแก้มสากใกล้ไรหนวด คำพูดน่าอายติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ครั้นพอคิดได้ว่าคนที่พูดด้วยไม่ใช่ใครที่ไหน เธอก็ข่มความอายนั้นกระซิบบอก

“กอดพิมพ์นะคะ”


มาต่อนิดนึงจ้า


“กอดพิมพ์นะคะ”

คำหวานนั้นวาบลึกเข้าไปในหัวอก และหวามใจยิ่งนัก จิรสินแตะจูบกับริมฝีปากอิ่มและขยับเชื่องช้ายามแทรกตัวเข้าไปเพื่อให้เราได้ชิดใกล้กัน เรียวขาขาวถูกจับให้โอบรอบเอวสอบและเขาก็ดันตัวเข้าจนสุดทาง ร่างเล็กในอ้อมแขนเกร็งและผ่อนคลายลงในนาทีถัดมา

เขาเริ่มขยับตัวมากขึ้นและเธอก็จิกเล็บกับแผ่นหลังเขาหนักขึ้น

เซ็กส์ก็เหมือนขนมหวาน หากได้ลองก็ยากจะตัดใจ

ศศิพิมพ์เพิ่งรู้ เพิ่งเข้าใจก็เมื่อวงแขนกว้างใหญ่นี่โอบกอดเธอไว้และไม่มีท่าว่าจะยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระได้โดยง่าย

และเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่เธอผล็อยหลับกับอกกว้าง โดยไร้สิ่งใดกางกั้น เธอหลับไปพร้อมกับเสียงหัวใจเต้นดังแนบริมหู มันดังเป็นจังหวะคล้ายจะบอกซ้ำย้ำๆ ว่ารัก







ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2561, 19:40:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2561, 21:13:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 856





<< บทที่ ๑๕ ระยะห่าง (50%)   ๑๖ หวั่นไหว (25%) >>
์nuch 30 ก.ค. 2561, 20:33:31 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account