หักเหลี่ยมร้ายซ่อนลายรัก (จีนโบราณ)
เขาคืออดีตขุนนางที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์

ส่วนนางคือลูกสาวพ่อค้าที่ต้องจำใจเป็นชายด้วยภาระหน้าที่

เพียงแรกเจอเขาก็ล่วงรู้ความลับที่ทำให้ใจสั่น

ว่านางคือหญิงงามในร่างชายเข้าให้แล้ว...


หนึ่งบุรุษไร้รัก หนึ่งสตรีงามไร้ใจ

ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมรักครั้งนี้



+++++++++++


ไม่ได้มาลงนานเลยค่ะ
มัวแต่เขียนจีนอยู่ >//<
ตอนนี้เขียนจบภาค 1 แล้ว ภาค 2 ก็ใกล้จะจบแล้ว
ขอฝากอีบุ๊กด้วยนะคะ

https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTg3NjI2MCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijc2NjI4Ijt9

Tags: นิยายจีน จีนโบราณ นิยายรักจีนโบราณ ผจญภัย ดราม่า ปลอมตัว

ตอน: บทที่ 1 / แปดด้านหาเก้าด้าน 1

ช่วงกลางรัชกาลจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ ยุคทองของฮั่นตะวันตกเริ่มเห็นเค้าลางความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายหลังการเสียชีวิตของฮั่วชีปิ้งขุนพลคู่บัลลังก์ แผ่นดินจงหยวนยังคงสู้รบกับชนเผ่าซยงหนูนอกด่านอย่างต่อเนื่องจนเงินท้องพระคลังที่เคยรุ่งโรจน์เริ่มหดหาย

เหรียญเงิน เหล็ก เกลือ และสินค้าหลายชนิดกลายเป็นกิจการที่ถูกริบโดยรัฐ เป็นของต้องห้ามที่ถูกควบคุมราคา เป็นต้นทางของการเริ่มต้นยุคข้าวยากหมากแพงอย่างที่ไม่เคยปรากฏ

สินค้าชนิดหนึ่งซึ่งมีค่าและเป็นที่เลื่องลือขจรขจายคือ "ผ้าไหม" ต้นเหตุที่บรรดาพ่อค้าวานิชต่างเสาะแสวงหาเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้างดงามหาใดเปรียบในโลกหล้า

"เส้นทางสายไหม" จึงถือกำเนิดขึ้นในรัชกาลจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้นับแต่นั้น...



หยวนเผิง ศกปีที่ 29 ในรัชกาลจักรพรรดิฮั่นอู่

พื้นดินชุ่มน้ำฉ่ำนองทั่วผืนป่าหลังหยาดฝนซาลงไปพักใหญ่ สองร่างเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นแข่งกับเวลาเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย แต่หนทางกลับยิ่งไกลห่างเหมือนหลงอยู่ในป่าสนวนกลับไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับหาทางไปต่อไม่ได้เมื่อดูจากแผนที่ในมือ

ร่างกายอ่อนล้าเริ่มประท้วงด้วยเสียงท้องร้องไม่หยุดเพราะรอนแรมมานานหลายชั่วยาม ชุดผ้าต่วนเนื้อหยาบสีเทาหม่นที่สวมใส่เปรอะเปื้อนโคลนดินสองนายบ่าว ผู้เป็นนายร้องทักเมื่อสายตาสอดส่ายเจอกับอะไรบางอย่างจึงชะงักฝีเท้าพลันออกคำสั่ง

“ช้าก่อน! ข้าได้ยินเสียงเหมือนน้ำไหล ทางนั้นน่าจะมีธารน้ำข้าว่าเราแวะพักก่อนดีกว่า”

"แต่เรามีหมั่นโถวเหลืออีกไม่มากแล้ว หากมืดค่ำไปข้าเกรงจะหาเสบียงเพิ่มเติมกับที่พักลำบากนะคุณชาย”

“ข้ารู้” ผู้เป็นนายเอ่ยเสียงขึ้นจมูก “แต่ขอเวลาครู่เดียวคงไม่มีอะไรแย่กว่านี้กระมัง”

“เช่นนั้นไปให้ถึงที่หมายก่อนดีหรือไม่ขอรับ”

“ไม่! เจ้าดูสิข้าสกปรกมอมแมมมากแค่ไหนไล่ตามเจ้าพวกปล้นม้านั่นไม่พอยังหลงทาง ข้าเหนื่อยแทบขาดใจอยากลงแช่ในลำธารนั่นแล้ว”

“แต่ว่า...”

“อย่าขัดใจข้า”

“ก็ต้องเป็นเช่นนั้นขอรับ” คนตัวเล็กครึ่งเซียะแต่อวบกว่ามากจำใจพยักหน้าพลางบ่นไล่หลัง “ข้าแค่อยากให้คุณชายคิดดี ๆ อีกครั้งหนึ่ง หากใครมาเห็นเข้าจะ...”

“อย่าทำกลัวเป็นกลัวตาย” ผู้เป็นนายค่อนแคะจบไม่ฟังคำทักท้วงกลับก้าวเดินนำไปทำให้อีกฝ่ายต้องเดินแกมวิ่งพลางร้องเรียกด้วยความหวาดหวั่น

“รอด้วยขอรับ คุณชาย! ข้าเดินตามไม่ทันแล้ว”

“ตามไม่ทันก็นอนรออยู่ที่นั่นไป”

ร่างอ้วนป้อมเบ้หน้าเพราะถูกอีกฝ่ายไม่ใยดีจำต้องวิ่งตามไปเมื่อถูกทิ้งห่าง แต่แค่ไม่กี่ฝีก้าวแอ่งน้ำขนาดใหญ่ใต้น้ำตกไหลแรงก็ปรากฏแก่สายตาจนน่าตื่นตะลึง

ประกายน้ำสะท้อนแสงจันทร์ระยิบระยับ เหล่าแมลงกลางคืนส่งเสียงขานขับราวท่วงทำนองเพลง แสงกะพริบของหิ่งห้อยรายล้อมจนสองนายบ่าวถึงกับตกตะลึงในความงาม มิคาดว่าหุบผาป่าสนแห่งนี้ยังมีความอุดมสมบูรณ์ถึงเพียงนี้...

ร่างผอมเพรียวถอดรองเท้าฟางเปื้อนโคลน ดึงผ้าผูกเอวออกรุดลงริมลำธารพลางร้องสั่ง “เร็ว ๆ เข้า เจ้านี่ชักช้าร่ำไร”

“ก็ข้าต้องระวังหลังให้คุณชาย”

บ่าวร่างอวบเอ่ยพลันสืบเท้าก้าวตามเสียงดังสวบสาบแต่ยังตามไม่ทันก็ได้ยินเสียงน้ำตูมใหญ่ เพียงครู่เดียววงน้ำก็ค่อย ๆ กระจายเป็นวงกว้างก่อนจะปรากฏร่างงามผมยาวกลางหลังเปียกลู่ผุดขึ้นกลางวงน้ำแทนที่



ร่างกำยำผงกศีรษะขึ้นทันทีที่ได้ยินวัตถุตกกระทบผืนน้ำ คิ้วหนาไม่เป็นระเบียบย่นเข้าหากันด้วยความสงสัย มืดค่ำป่านนี้ยังมีผู้ใดนอกจากเขากลางหุบผาป่าสนแห่งนี้ คิดดังนั้นจึงผุดลุกนั่งคุกเข่าค่อย ๆ แหวกพงหญ้าไม่ให้มีเสียง ดวงตาคมปลาบมองออกไปครู่หนึ่งแล้วถึงกับขยี้ตาเพ่งมองซ้ำสองก่อนจะรำพึงรำพัน

“หรือข้าตาฝาด นั่นผีสางหรือนางไม้กัน...”

ภาพที่ปรากฏไม่ใกล้ไม่ไกลคือร่างอรชรผิวขาวราวหิมะกำลังแหวกว่ายสายธารา ผมสยายเส้นเล็กตรงยาวราวแพรไหมเปียกลู่ถูกเสยขึ้นเผยดวงหน้างดงามดุจภาพวาด ดวงตาระริกสดใสคล้ายกวางป่านั้นสะกดสายตาให้จ้องมองและสุดท้ายต้องสะดุดอยู่ตรงริมฝีปากอวบอิ่มสีดอกท้อที่กำลังแย้มยิ้มสดชื่น
งดงามจนไม่อยากละสายตา...

แต่เสียงหยอกล้อแผ่วเบาที่ได้ยินนั้นดึงสติบุรุษหนุ่มให้กลับมาเงี่ยหูฟังอีกครั้งด้วยความอยากรู้

“เร็วๆ เข้าเถอะคุณหนู อย่ามัวแต่แหวกว่ายอยู่เลย”

“ข้ายังอยากอยู่ต่ออีกครู่”

“คุณหนูบอกข้าว่าครู่เดียวหรือมิใช่” อีกฝ่ายตอกย้ำ

ร่างสูงใหญ่หลังพงหญ้าลอบมองร่างอรชรตีน้ำใส่บ่าวที่นั่งยองริมตลิ่งจนอีกฝ่ายหลบลี้พัลวัน ตามด้วยเสียงหัวร่อต่อกระซิก พลันถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความลืมตัวเมื่อร่างนั้นรับผ้าคลุมมาพันกายแล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นจากลำธาร

อา... ช่างพลิ้วไหวราวสกุณางาม...

สตรีอรชรผู้นี้ช่างไม่เหมือนผู้ใด แม้แต่เสียงที่เปล่งจากริมฝีปากยังไพเราะราวสดับเพลงพิณ หรือเป็นเพราะว่าห่างเหินจากอิสตรีมานานจึงเป็นเช่นนี้

หยางซุนหยางใจลอยเคลิบเคลิ้มไปกับภาพตรงหน้าพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใกล้หลังเท้า มือแข็งแรงล้วงหยิบมีดพับจากบั้นเอวออกมากำมั่นก่อนจะหันกลับไปหาที่มาของสิ่งน่าสงสัยแล้วพุ่งประชิดก่อนที่อีกฝ่ายจะทันรู้ตัว

“โธ่เอ๊ย! เจ้ากระต่ายป่าเกือบไปแล้ว”

แรกเห็นว่าเป็นสิ่งใด ดวงหน้าคมก็แย้มยิ้มมือโอบอุ้มกระต่ายน้อยมาวางแนบตัก ลูบขนปุยสีขาวอมเทายาวนุ่มดุจปุยเมฆเอาไว้ด้วยความเอ็นดู ดวงตากระต่ายน้อยงดงามราวทับทิมสีชาดอีกทั้งขนนุ่มนั้นยาวเกือบถึงพื้นอย่างที่ไม่เคยพบเจอ

คงมีแต่กระต่ายในป่าสนอมตะแห่งนี้กระมังที่งดงามถึงเพียงนี้ ไม่ต่างจากสกุณางามร่างอรชรในธารน้ำสีเงินสะท้อนแสงจันทร์นั้นเลย

แล้วหยางซุนหยางถึงกับชะงักเมื่อเจ้าขนนุ่มกระโดดหนีจากออกจากตัก เขาได้แต่มองตามมันลับสายตา พอหันกลับมาร่างงามในลำธารก็หายไป ครั้นผุดลุกขึ้นตามหาก็ต้องทรุดหลบหลังพงหญ้าอีกคราเพราะเสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งดังสวบสาบใกล้เข้ามา

เงาตะคุ่มสองร่างทอดเป็นทางยาวมีแสงจากตะเกียงวับแวมให้เห็นว่ากำลังเดินขึ้นมาจากทางดินริมลำธารมาทางที่เขาหลบซ่อนตัวอยู่

บุรุษหนุ่มร่างสูงกว่าแปดเซียะ ขยับเข้าหลังต้นไม้มองตามทั้งสองผ่านไปด้วยความสงสัย เสียงกังวานแต่ห้าวห้วนหนึ่งในสองสะกิดใจให้ลุกและย่องตามไปอย่างเงียบเชียบ

ด้านหน้าเป็นทางสามแพร่ง ทางหนึ่งคือทิศตะวันตกที่ทั้งสองเพิ่งเดินผ่าน ด้านซ้ายเป็นทางขึ้นเขาทิศเหนือหนทางรกทึบกว่าอีกทางที่พวกเขาทำสัญลักษณ์ไว้เมื่อครู่ใหญ่

“เหตุใดวนมาที่เดิม เจ้าหยิบแผนที่ให้ข้าทีสิ... สวี่ลี่”

“ขอรับคุณชาย” บ่าวร่างอวบกล่าวนอบน้อมพลางล้วงห่อผ้าหยิบสิ่งที่ต้องการมากางให้ “ข้าก็อยากรู้ว่าเหตุใดจึงยังวนไปวนมาอยู่ที่เดิม”

“อันที่จริงเราน่าจะถึงโรงเตี๊ยมตั้งแต่ครึ่งชั่วยามแล้ว” ร่างสูงกว่าชี้นิ้วลงบนจุดสำคัญในแผนที่พลันหัวคิ้วขมวดมุ่น “เจ้าคิดเห็นเช่นข้าหรือไม่”

“ข้าดูไม่ออกหรอกขอรับ”

คุณชายลอบถอนใจ นิ้วเรียวยาวไล่ไปตามเส้นทางในแผนที่แล้วชี้ไปด้าน อีกฝ่ายชูตะเกียงให้พลางชี้มือไปที่จุดปลายด้านล่างสุดมุมซ้าย สีหน้านิ่งของคุณชายเริ่มส่อแววกังวลพร่ำบ่นแผ่วเบา

“เหมือนยังไปไม่ถึงไหน หากเป็นเช่นนี้อาจไม่ทันกำหนดที่ข้าให้ไว้กับท่านพ่อก็เป็นได้”

“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ อีกอย่างสิ่งที่เจ้าสำนักรู้มาหาได้มีการพิสูจน์ว่ามีจริงดังคำกล่าวหรือไม่”

“ข้าจึงอยากพิสูจน์อย่างไรเล่า หากมีจริงท่านพ่อต้องพอใจและไว้วาลใจข้ามากกว่าเดิม”

หยางซุนหยางที่ปีนขึ้นนั่งบนกิ่งไม้เงียบเชียบได้แต่ลอบฟังพลางก้มมองแผนที่ในมือคุณชายนิรนามที่ละม้ายแผนที่ในมือตนไม่วางตา ช่างต่อกันได้ราวกับมาจากช่างวาดคนเดียวกัน แต่เขาต้องม้วนแผนที่เก็บใส่สาบเสื้อด้วยความเร่งรีบเมื่ออีกฝ่ายเริ่มก้าวเดินต่อ

“ข้าเห็นแสงจากราวป่าฝั่งโน้น อาจมีโรงเตี๊ยมหรือบ้านคน” ร่างอ้วนกล่าวพลางชี้มือให้ผู้เป็นนายเหลียวมองตาม “เราควรพักค้างแรมกันก่อนที่จะเดินลึกเข้าไปกว่านี้ดีหรือไม่คุณชาย”

“ก็ดี อาจเป็นโรงเตี๊ยมนี้ก็ได้ที่เห็นในแผนที่ เช่นนั้นข้าจะได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดนี้เลอะเทอะเต็มทน”

“คืนนี้ข้าคงนอนฝันดีไม่ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเหมือนวันก่อน ๆ เรารีบไปกันดีกว่าขอรับคุณชาย”

ผู้เป็นนายพยักหน้าสีหน้าวิตกเล็กน้อยมือกระชับห่อผ้าแน่นราวกับกลัวมันจะหล่นหาย

“เราเหลือตั๋วเงินไม่มาก เสียดายที่โดนไอ้พวกสารเลวนั่นปล้นเสบียงกับม้าไป มิเช่นนั้นคงไม่ต้องลำบากเช่นนี้”

“ข้าว่าเราล้มเลิกความคิดดีหรือไม่คุณชาย”

“ไม่ได้!”

“แต่ข้าเกรงว่า...”

“โอกาสท่องโลกกว้างเช่นนี้ไฉนจะมาถึงบ่อย ๆ มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีของติดมือกลับไปเห็นทีจะมิได้”

“เช่นนั้นมิได้ก็คงไม่ได้สินะขอรับ” ร่างอวบกว่าโอดครวญก่อนจะก้าวยาวตามไปติดๆ



บุรุษหนุ่มกระโจนลงจากต้นไม้ยืนมองทั้งสองเดินตามกันไป เงาทอดยาวของสองนายบ่าวสาดลงบนพื้นแบ่งแยกลักษณะส่วนบุคคลชัดเจนจนแม้ไม่มองก็พอจำได้ ทั้งเรื่องเสบียง ม้าที่โดนขโมยต้องนอนกลางดินกินกลางทรายเพื่อดั้นด้นไปบนเขา มันต้องมิใช่เรื่องดี

นับวันพวกนอกด่านจะเหิมเกริมใหญ่ หากเป็นพวกซยงหนูแฝงตัวลอบเข้ามาเขตแดนจงหยวน เขาต้องรู้ให้ได้ว่าทั้งสองประสงค์สิ่งใดจึงได้รุกล้ำเข้ามาในเขตหุบผาป่าสนอมตะที่แม้แต่ชาวจงหยวนเองยังมิอาจหาญกล้ามาเหยียบได้แต่เพียงเดินทางสิ้นสุดแค่ตีนเขาเท่านั้น

เห็นทีจะต้องหาทางเค้นเอาความจริงให้จงได้...

หยางซุนหยางขบกรามครุ่นคิดคำพูดของสองนายบ่าว หากพวกมันคิดการใหญ่หาญกล้าขโมยผ้าโบราณพันปีในตำนานจากจงหยวนนำไปขายต่อ ควรหรือไม่ที่เขาจะตัดต้นไม่ให้เหลือรากกลับไป คิดดังนั้นร่างสูงใหญ่จึงลัดเลาะตามไปอย่างเงียบเชียบ...

ไม่กี่อึดใจสองนายบ่าวก็ก้าวเข้าสู่หมู่บ้านนิรนาม แสงสว่างจากตะเกียงเริ่มริบหรี่ลง ผู้เป็นนายหยุดยืนและเอ่ยเสียงเบาอย่างระแวดระวัง

“ปล่อยให้ดับไป”

“ขอรับ”

ร่างอ้วนรีบทำตามไม่รั้งรอก่อนจะก้าวประชิดนายพลางเหลียวมองซ้ายขวาด้วยความระแวง ยิ่งขนลุกขนชันหนักเมื่อเสียงสุนัขเห่าหอนสลับกับเสียงกระพือปีกของสกุณายามค่ำคืน คนขี้กลัวยิ่งหวาดหวั่นจนร้องเรียก

“คุณชาย! รอข้าด้วย”

“ก็รีบเดินเข้าสิ”

ร่างอวบตามไม่ลดละกระซิบถามผู้เป็นนาย “นั่นตัวอะไรขอรับ เหตุใดตามันช่างน่ากลัวยิ่งนัก”

ผู้เป็นนายขมวดคิ้วมุ่น เงยหน้ามองสนต้นใหญ่เรียงรายในความมืดแล้วทอดถอนใจ ดวงตาสดใสราวกวางป่าสบเข้ากับแสงแวววาวหลากชนิดบนนั้นอย่างไม่มีทีท่ากริ่งเกรง ไม่เหมือนบ่าวร่างอวบที่ยืนตัวสั่นงันงกอยู่เบื้องหลัง

“ระวังนะขอรับ!”

“เจ้านี่อยู่มาจนป่านนี้เหตุใดกลัวแม้แต่สัตว์เล็กเช่นนี้อยู่เล่า” คุณชายร่างเพรียวกระตุกยิ้มเย้า

“คุณชายก็ดูตามันสิขอรับ มันจ้องข้าเขม็งเชียว” บ่าวที่เคยปากกล้าลิ้นคมถึงกับโอดครวญ “เกิดมาข้ายังไม่เคยเจอสัตว์หน้าตาน่าเกลียดน่าชังเช่นนี้มาก่อนเลย มันมีชื่อว่าอย่างไรหรือขอรับ”

“มันคือนกฮูกเทาใหญ่ภูมิลำเนาอยู่บนป่าสนตอนเหนือบนเทือกเขานี้เท่านั้น”

“มิน่าเล่า ข้าจึงไม่เคยเห็น”

ผู้เป็นนายฟังแล้วกลอกตามองร่างอ้วนด้วยความระอาจึงบ่นอีกครา“ข้าก็บอกแล้วให้เจ้าไปเรียนหนังสือกับข้าก็ไม่ไป มัวแต่เที่ยวเล่นปล่อยเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเช่นนี้”

“ข้ารู้ขอรับ คุณชายบ่นข้าทุกวันแล้ว...” ร่างอวบอ้วนพ้อลากเสียงราวล้อเลียนก่อนจะเดินแกมวิ่งตามติดนายน้อยของตน “ต่อไปข้าคงต้องขอเรียนวิชารอบตัวจากคุณชายบ้างแล้ว คุณชายยังจะสอนข้าหรือไม่ขอรับ”

“สอนสิหากเจ้าอยากเรียน แต่ขอให้จริงอย่างที่เจ้าพูดเถอะ” คุณชายตัวบางกลอกตาด้วยความระอาก่อนจะหันหลังเดินนำไป

กิริยาประหลาดเหมือนบุรุษก็มิใช่สตรีก็ไม่เชิงของคุณชายนิรนามช่างดูน่าสงสัยจนบุรุษพเนจรเหยียดยิ้มพลันรุดออกจากที่ซ่อนยืนมองสองร่างลับหายไปเข้าไปภายในหมู่บ้าน ความสงสัยยิ่งทวีคูณเมื่อครุ่นคิดคำพูดเมื่อครู่

“เจ้าหนุ่มนี่ท่าทางไม่เบา ดูเหมือนคนได้รับการศึกษาหรือมิใช่พวกซยงหนู แล้วมาหุบผาป่าสนนี่เพื่อการใดกันแน่”

หยางซุนหยางลูบคางครุ่นคิดแต่เพียงครู่เดียวรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้า ดูทีว่าเขาคงต้องตามติดให้ใกล้ชิดเพื่อดูท่าทีทั้งคู่...



++++++++++++++++

เรื่องนี้เป็นแนวผจญภัยค่ะ
แบ่งเป็นสองภาค ภาคผจญภัย กับ ภาคเมืองหลวงค่ะ
ขอฝากนิยายด้วยค่า ^^




lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ค. 2561, 13:59:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ค. 2561, 13:59:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 845





<< บทนำ   บทที่ 1 / แปดด้านหาเก้าด้าน 2 >>
ปริยาธร 30 ก.ค. 2561, 18:41:57 น.
มารอตอนต่อไปค่า


lovereason2 1 ส.ค. 2561, 10:06:42 น.
พี่นุ้ย ปริยาธร - ขอบคุณมากค่า ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account