หักเหลี่ยมร้ายซ่อนลายรัก (จีนโบราณ)
เขาคืออดีตขุนนางที่มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์
ส่วนนางคือลูกสาวพ่อค้าที่ต้องจำใจเป็นชายด้วยภาระหน้าที่
เพียงแรกเจอเขาก็ล่วงรู้ความลับที่ทำให้ใจสั่น
ว่านางคือหญิงงามในร่างชายเข้าให้แล้ว...
หนึ่งบุรุษไร้รัก หนึ่งสตรีงามไร้ใจ
ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมรักครั้งนี้
+++++++++++
ไม่ได้มาลงนานเลยค่ะ
มัวแต่เขียนจีนอยู่ >//<
ตอนนี้เขียนจบภาค 1 แล้ว ภาค 2 ก็ใกล้จะจบแล้ว
ขอฝากอีบุ๊กด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTg3NjI2MCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijc2NjI4Ijt9
ส่วนนางคือลูกสาวพ่อค้าที่ต้องจำใจเป็นชายด้วยภาระหน้าที่
เพียงแรกเจอเขาก็ล่วงรู้ความลับที่ทำให้ใจสั่น
ว่านางคือหญิงงามในร่างชายเข้าให้แล้ว...
หนึ่งบุรุษไร้รัก หนึ่งสตรีงามไร้ใจ
ใครจะเป็นผู้ชนะในเกมรักครั้งนี้
+++++++++++
ไม่ได้มาลงนานเลยค่ะ
มัวแต่เขียนจีนอยู่ >//<
ตอนนี้เขียนจบภาค 1 แล้ว ภาค 2 ก็ใกล้จะจบแล้ว
ขอฝากอีบุ๊กด้วยนะคะ
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTg3NjI2MCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijc2NjI4Ijt9
Tags: นิยายจีน จีนโบราณ นิยายรักจีนโบราณ ผจญภัย ดราม่า ปลอมตัว
ตอน: บทที่ 1 / แปดด้านหาเก้าด้าน 2
โรงเตี๊ยมนักรอนแรมเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านสภาพเก่าทรุดโทรม เพียงย่างเท้าเข้าไปผู้เป็นนายถึงกับยกหลังมือปิดจมูก กลิ่นสาบรุนแรงราวกับขาดการดูแลมานานปี แม้สภาพที่มองจากภายนอกนับว่าแย่แล้วแต่ภายในกลับย่ำแย่ยิ่งกว่า พรมสีแดงกระดำกระด่างบนพื้นแค่เหยียบลงไปฝุ่นก็ตลบขึ้นมาทุกย่างก้าวจนรองเท้าสานขึ้นฝุ่นหนักกว่าย่ำเดินบนทางดินด้านนอกเสียอย่างนั้น
บ่าวร่างอวบหน้าซีดเผือด แหงนมองบนเพดานถึงกับผงะเพราะโคมกระดาษสีแดงลายอักษรทองที่แขวนขาดวิ่นเอียงคล้ายจะตกแต่ไม่ตก
“โรงเตี๊ยมนี้เปิดหรือร้างก็ไม่รู้นะขอรับ... นายท่าน”
“เจ้าดูนั่นสิแล้วจะได้คำตอบเอง” ผู้เป็นนายตอบเสียงเรียบแต่มองไปอีกทาง
ดวงตาบ่าวร่างอวบถึงกับเบิกกว้างเมื่อพบสายตากระหายใคร่รู้หลายคู่ บ้างยืนบ้างนั่งต่างจับจ้องมองมาเป็นตาเดียว สองนายบ่าวทำใจดีสู้เสือเดินตรงเข้ามาถามหาห้องพัก
“ข้าต้องการห้องพักสำหรับค้างแรมในคืนนี้ มิทราบว่า...”
หนึ่งบุรุษผิวเข้มมีรอยบากบนหน้าที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดกลับเดินหนี ทำให้ผู้เป็นนายอ้าปากค้างแต่เพียงครู่เดียวก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากม่านกั้น ดวงตาเรียวหรี่ของอีกฝ่ายจ้องทั้งสองอย่างระแวงระวัง หมวกเก่าคร่ำคร่าฟ้องการใช้งานสมบุกสมบัน ไรผมสีขาวข้างหูทั้งสองข้างบ่งบอกความชรา
คนผู้นั้นค้อมศีรษะให้อย่างเอาใจก่อนเอ่ย “นายท่านต้องการห้องพักสำหรับงานประมูลในคืนนี้ใช่หรือไม่”
“งานประมูลหรือ?” ร่างอวบอ้วนออกหน้าถาม “ประมูลสิ่งใดหารู้ไม่ เราสองคนเพียงต้องการที่พักและเสบียงอาหารสำหรับเดินทางต่อ”
“ถ้าหากพวกท่านมิได้มาเพื่อการประมูล” เจ้าของโรงเตี๊ยมหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนเอ่ย “งั้นพวกท่านจะไปที่ใดกัน”
“พวกข้าจะขึ้นไปบนเขา”
“บนเขา?” เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกันแต่ละคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เป็นเช่นนั้น” คราวนี้ผู้เป็นนายเป็นคนกล่าว
ทว่าเสียงแตกฮือดังกว่าครั้งแรกมากนัก สองนายบ่าวมองหน้ากันด้วยความงุนงงแต่ผู้เป็นนายก้าวมาดักเจ้าของโรงเตี๊ยมหนึ่งก้าวกล่าวเสียงหนักแน่น
“พวกข้าจะไปหุบผาอมตะ ท่านทราบหรือไม่ว่าต้องไปอีกกี่ชั่วยาม”
“โอว! พวกเจ้าคิดผิดแท้ ๆ ที่จะไปหุบผาอมตะ” ชายหน้าเสี้ยมเจ้าของโรงเตี๊ยมทวนคำสีหน้าหวาดหวั่น
“ต้องไปกี่ชั่วยามข้ามิอาจรู้ได้แต่หากเหยียบย่างไปแล้วมิอาจมีผู้ใดไม่มีอันเป็นไป แต่หากพวกเจ้าดึงดันจะไปก็ต้องผ่านโรงเก็บศพไร้ญาติทางผ่านป่าไผ่ไปก่อน”
“โรงเก็บศพไร้ญาติหรือ” บ่าวร่างอวบถามพลางหดคอด้วยความหวาดกลัว
ชายหน้าเสี้ยมพยักหน้าโดยเร็วก่อนเอ่ย “ทว่าจะผ่านที่แห่งนั้นไปได้ก็ต้องใช้ความเก่งกล้าเป็นอันมาก”
“มันน่ากลัวมากหรือ”
สองนายบ่าวถามพร้อมกันก่อนจะหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อได้รับคำตอบคืออากัปกิริยาหวาดกลัวจากคนถูกถาม ไม่เว้นแม้แต่บุรุษพเนจรที่นั่งดื่มสุราราวกับไม่สนใจสิ่งใดแต่ที่จริงลอบฟังอยู่นานแล้ว
“ไม่ต้องกลัวหรอกสวี่ลี่” ผู้เป็นนายเอ่ยปลอบ
“ได้ห้องแล้วพวกเจ้าต้องการอาหารด้วยหรือไม่” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามหน้านิ่งเช่นเดิม
“ย่อมต้องการ แต่ข้าขอถามอีกข้อ...”
“เช่นนั้นข้าจะนำพวกเจ้าไปที่ห้อง ส่วนอาหารจึงจะตามไป” เจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวตัดบทท่าทางลุกลี้ลุกลนถือกุญแจพวงใหญ่เดินนำหน้าขึ้นบันไดไป
สวี่ลี่หันหาผู้เป็นนายพลันเอ่ย “ดูสิขอรับคุณชาย ข้ายังไม่ทันถามเรื่องนั้นเลยเหตุใดจึงเดินหนีไปเช่นนี้เล่า”
“เอาเถอะ... ตามไปก่อน” คุณชายน้อยตัดบทเดินตามเจ้าของโรงเตี๊ยมไปเงียบ ๆ
ประมาณยามไฮ่ สองนายบ่าวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังต่อเนื่องมาจากราวป่าด้านทิศตะวันตก เสียงนั้นเหมือนสตรีร้องขอความช่วยเหลือ บ่าวร่างอวบกระเด้งตัวขึ้นนั่งหยิบมีดพกปลายคมกริบจากผ้าคาดเอวมากระชับมั่นกระโจนหลบซุ่มดูอยู่ตรงหน้าต่างบานกระดาษริมทางเดินผู้เป็นนายรีบแต่งเนื้อตัวกระชับกระบี่ด้ามยาวซุ่มยืนอีกฝั่งของหน้าต่างเช่นกัน
“ข้าว่าชอบกลอยู่ ด้านนั้นที่ว่ากันว่าเป็นที่ตั้งโรงเก็บศพไร้ญาติ เหตุใดจึงมีเสียงร้อง... หรือว่า... ”
“อย่าคิดหากไม่เห็นด้วยตา เช่นนั้นข้าว่าเราน่าจะไปดูว่าเกิดเหตุใด” ผู้เป็นนายแนบหน้ากับหน้าต่างที่เปิดแง้มไม่ละสายตา
“อย่าเลยคุณชาย หาใช่เรื่องของเราไม่”
สวี่ลี่ดึงนายน้อยห้ามปรามแต่ยังไม่ทันได้คำตอบ แสงไฟวิบวับจำนวนมากด้านนอกบ่งบอกว่ามีการเคลื่อนไหวของผู้คนกลุ่มใหญ่คล้ายอันตรายคล้ายไม่ใช่ทำให้สองนายบ่าวต่างมองตากันด้วยความกังวลอีกครั้ง
นอกจากจะต่างถิ่นแล้ว คำพูดของบุรุษร่างเล็กเจ้าของโรงเตี๊ยมนั่นยังทำให้คุณชายผู้อ่อนเยาว์อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนคิดจะลอบออกไปดูมิใยที่บ่าวร่างอวบจะทัดทาน
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้านะคุณชาย”
“แต่เสียงร้องนั่น เจ้าไม่ได้ยินรึว่าโหยหวนเพียงใด”
“แต่นี่มิใช่เรื่องของเรา” สวี่ลี่แย้งอีกครั้ง ถึงรู้ว่าพูดไปก็ไม่สามารถห้ามผู้เป็นนาย
“หรือเจ้ากลัวเป็นกลัวตาย”
“นึกแล้วว่าคุณชายต้องว่าข้าขี้ขลาดตาขาวแต่เราสองคนใช่ว่าวิทยายุทธ์จะเก่งกาจ” บ่าวร่างอวบบ่นกระปอดกระแปด
“แต่คนขอความช่วยเหลือไม่คิดยื่นมือจะมีหน้าออกท่องยุทธภพให้อายผู้ใดเล่า” ผู้เป็นนายเอ่ยฉุนเฉียวพลันถอดกลอนประตู สวี่ลี่กลับยั้งไว้จนผู้เป็นนายเอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าอย่าขัดใจข้า”
“เช่นนั้นข้ารึจะห้ามคุณชายได้”
สุดที่บ่าวร่างอวบจะคิดหาคำใดมาดึงรั้งไว้ได้อีก นายน้อยผู้ปราดเปรียวเปิดประตูออกไปอย่างเงียบกริบไม่สนคำห้ามปราม
เพียงคล้อยหลังลับตา บุรุษพเนจรก็ออกมาจากห้องตรงข้ามแล้วย่างด้วยฝีเท้าเบาที่สุดเข้าไปภายในห้องก่อนจะปิดประตูย่องไปยังเตียงนอนเพื่อค้นหาสิ่งต้องสงสัย
ข้าวของในห่อเป็นระเบียบเรียบร้อย มีชุดฮั่นฝูของบุรุษเป็นผ้าแพรไหมสีครีมอ่อนประเมินค่ามิได้ หยางซุนหยางสะดุดใจแต่ไม่ทันคิดอะไรสายตาพลันสะดุดเข้ากับป้ายหยกสีเขียวอ่อนสลักนาม
“คุณชายหลิวเสียะแห่งสำนักการค้าหลิวซือซือ”
หยางซุนหยางทวนคำบนแผ่นป้ายในห่อผ้าก่อนจะวางลงข้าง ๆ ค้นลึกไปจนเจอม้วนแผนที่นอนก้นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู ภาพที่ปรากฏบนนั้นต่อกันกับแผนที่ของเขาได้พอดีราวกับเป็นภาพที่วาดมาจากแหล่งเดียวกัน ทั้งลายเส้น ตัวอักษร น้ำหนักอ่อนเบาของปลายพู่กันช่างคล้ายคลึงกัน ชายหนุ่มง่วนหาพู่กันเพื่อคัดลอกแผนที่ฉบับนั้น แต่ทั้งห้องกลับไม่มี ครั้นจะหนีก็ไม่ทันเมื่อมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจึงรีบดับตะเกียงแล้วหลบวูบเข้าหลังฉากกั้น
สองนายบ่าวเปิดประตูเข้ามาภายในด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ร่างอวบรั้งท้ายปิดกลอนประตู ส่วนคุณชายร่างเพรียวก็ผละมาตรงฉากกั้น หยางซุนหยางเห็นท่าไม่ดีรีบหลบหลังม่านอีกชั้นด้านในสุดด้วยใจระทึก
“อาลี่... ข้าจะแช่น้ำสักหน่อย”
“สุดแต่คุณชายเถอะ อยากไม่เชื่อข้ามิเช่นนั้นคงได้พักผ่อนเอาแรงไม่ต้องเหงื่อไหลไคลย้อยเช่นนี้”
“เชื่อเจ้าแล้วหดหัวอยู่ในห้องหรือ เจ้าก็รู้มิใช่นิสัยข้า” คุณชายผู้ปราดเปรียวเอ่ยน้ำเสียงขบขันไม่ทุกข์ร้อนพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก
“เช่นนั้นข้านอนก่อนนะขอรับ”
บ่าวร่างอวบส่งเสียงมาหลังสำรวจตรวจตราสัมภาระสองห่อบนที่นอนพบว่ายังอยู่ดีก็เบาใจจึงล้มตัวลงนอนที่พื้นหน้าเตียงอีกครั้ง
“เจ้าอย่าบ่นนักเลย ง่วงก็นอนเสียข้าอึดอัดเต็มทีขอนอนสะอาดๆ”
“ตามใจคุณชายเถอะขอรับ ข้าหรือจะขัดได้” เสียงบ่าวกระเง้ากระงอดครู่เดียวก็เงียบไป
บุรุษพเนจรพรูลมหายใจโล่งอกค่อยๆ ก้าวออกจากหลังม่านเมื่อเหลือบมองเห็นคุณชายหันหลังให้และง่วนอยู่กับการถอดชุดด้านในอีกชั้น
ยังไม่ทันก้าวพ้นฉากกั้น บุรุษพเนจรก็หันกลับมามองอีกครั้งพลัน ต้องขยี้ตาด้วยความตื่นตะลึงเมื่อร่างนั้นเล็กกว่าที่คิดไม่พอหนำซ้ำยังผิวขาวราวหิมะ เอวนั้นคอดกิ่วไร้ริ้วรอย
ลักษณะของอิสตรีโดยแท้...
ร่างนั้นคลายปมผ้าสีขาวรอบอกม้วนออกทีละชั้นจนทรวงอกอวบนูนคู่งามปรากฏแก่สายตา เพียงแค่เห็นด้านข้างไม่เต็มตายังพาให้เขาตะลึงถึงเพียงนี้ และยิ่งชวนให้ตื่นตาหนักยิ่งกว่าเมื่อร่างขาวราวหิมะนั้นค่อย ๆ หย่อนกายลงแช่ในอ่างอย่างเชื่องช้า เรียวขาเล็กไร้ริ้วรอยชวนมองจนไม่อยากละสายตา เสียงฮัมเพลงเบา ๆ หวานแว่วนั่นอีกที่ทำให้หนุ่มพเนจรเผลอมองอย่างเคลิบเคลิ้มใหลหลง
ที่แท้สกุณางามในลำธารก็มาปรากฏกายอยู่ที่แห่งนี้...
ไม่น่าเชื่อว่าอิสตรีงดงามถึงเพียงนี้จะทำให้เขาหลงคิดว่านางเป็นบุรุษไปได้ นางสกุณาตัวน้อยดูกลมกลืนกับชุดฮั่นฝูราวกับมิต้องเสริมเติมแต่งใด ๆ
เหตุใดกันที่ทำให้นางต้องซ่อนกาย หรือเพราะเป้าหมายของนางคือผ้าโบราณพันปีบนหุบผาป่าสนอมตะเป็นเหตุ...
ต้องใช่แน่!
นางต้องมีเจตนารมณ์เดียวกับเขา ยิ่งป้ายสลักในห่อผ้านั้นบ่งบอกว่าเป็นของสำนักการค้าที่ใหญ่ที่สุดในฉางอันด้วยแล้วยิ่งแทบคลายความสงสัย นอกจากขายออกไปแล้วยังรับประมูลของมีราคาจากทั่วทุกสารทิศ นับว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักให้ถวายสิ่งของในหลายครั้งคราวด้วยแล้ว
แต่น่าแปลกที่นั่นมีเพียงบุตรชายสืบทอดกิจการเพียงคนเดียว และกิจการที่ต้องติดต่อกับวังหลวงเนือง ๆ ต้องอาศัยบุตรชายสืบทอดจึงจะได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้
แล้วเหตุใดนางงดงามผู้นี้จึงกลายเป็นคุณชายหลิวเสียะแห่งหลิวซือซือไปได้!
เขาต้องค้นหาความจริง...
หยางซุนหยางรู้สึกแปลก ๆ เหมือนร้อนรุ่มภายใน มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว หลังมือยกอังจมูกด้วยความเคยชินพลันถึงกับงุนงงเมื่อเลือดกำเดาไหลหลั่งโดยไม่รู้ตัว ไวเท่าความคิดมือแข็งแกร่งกระตุกผ้าพันอกผืนบางที่พาดอยู่หลังฉากขึ้นมาซับโดยไม่ละสายตาจากดวงหน้างามที่เห็นเพียงด้านข้าง กลิ่นหอมจากกายสาวที่ติดอยู่บนผ้ายิ่งทำให้เขารู้สึกเลือดลมในกายพุ่งพล่าน
อา... หรือว่าเพราะห่างหายจากกลิ่นกายของอิสตรีมานานร่างกายจึงทรยศด้วยการหลั่งเลือดกำเดาเช่นนี้
กว่าจะรู้ตัวว่าควรออกไปจากห้องก็ต่อเมื่อเสียงน้ำในอ่างไม้ไหวกระฉอก หยางซุนหยางสะดุ้งสุดตัวปล่อยผ้าผืนเดิมร่วงหล่นแล้วกระโดดผลุงออกไปทางหน้าต่างโดยที่ร่างอรชรไม่ทันได้รู้ตัว
หลิวเสียะชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงสวบสาบ รีบเอื้อมหยิบเสื้อขึ้นมาคลุมอย่างเร่งรีบก่อนจะหยิบกระบี่คู่ใจกระชับมั่น แต่เสียงประหลาดเมื่อครู่เงียบไป นางมองหาไม่มีแม้เงาผู้ใด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่วางใจจึงเอ่ยถามบ่าวคู่ใจอีกครา
“เจ้ายังไม่นอนหรือ สวี่ลี่”
เงียบ... มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากร่างที่นอนอยู่เท่านั้น
“เช่นนั้นข้าคงหูแว่ว” นางเอ่ยพลันเก็บกระบี่เข้าฝักก่อนจะก้าวออกจากอ่างอาบน้ำมาหยิบผ้าพันรอบอก ทว่ากลับมีบางสิ่งผิดปกติ มีหยดเลือดปรากฏบนผ้าที่นางใช้พันอก เมื่อครู่มันยังสะอาดไม่มีรอยเลือด หลิวเสียะเหลียวมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น
หรือจะมีคนลักลอบเข้ามาในห้อง!
แต่ใครกันที่กล้า...
ดวงตากวางมองปราดไปที่ประตูไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ กลอนยังคงถูกลงไว้จากด้านใน มีทางเดียวที่แขกมิได้รับเชิญยามวิกาลจะออกไปได้คงเป็นทางหน้าต่างเท่านั้น
ร่างอรชรจัดแจงแต่งกายชุดฮั่นฝูด้วยความเร่งรีบดับแสงตะเกียงล้มตัวลงนอน แต่กลับไม่สามารถข่มตาหลับลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ อาจมีใครบางคนสอดรู้สอดเห็นถึงกับลอบเข้ามา ที่แน่ ๆ ต่อไปนี้ทั้งนางและบ่าวต้องระวังตัวให้มากกว่านี้อีกหลายเท่าเพราะกว่าจะถึงหุบผาคงอีกหลายชั่วยาม
ร่างอรชรในคราบคุณชายนอนกอดกระบี่หลับ ๆ ตื่น ๆ ระวังภัยกลับต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนราวกับเจ็บปวดทรมานดังขึ้นอีกครั้ง มันสะดุดหูและรบกวนจิตใต้สำนึกด้านดีของนางอย่างร้ายกาจ
นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!
หลิวเสียะผุดลุกนั่งมองสวี่ลี่หลับสนิทก็ตัดสินใจย่องไปแอบฟังเสียงประหลาดที่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบ
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ใครก็ได้... ช่วยด้วย!...”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาตามทางเดินผ่านหน้าห้องนางไปไม่พอยังมีเสียงเหมือนโลหะหนักกระทบพื้นดังเป็นระยะตลอดแนวทางเดินก่อนจะจางหายไป คุณชายน้อยแห่งหลิวซือซือตั้งท่าจะกระโจนออกไปแต่บ่าวร่างอวบที่นอนหลับเมื่อครู่ผุดลุกขึ้นโผมารั้งไว้ได้ทัน
“คุณชาย! อย่าไป!”
“เจ้าได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินหรือไม่” นางเอ่ยเสียงเบาแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจก่อนเอ่ย “ช่างเถอะ... พูดกับพวกนอนกินบ้านกินเมืองอย่างเจ้าจะรู้อะไร รอที่นี่ก็แล้วกันข้าจะออกไปดูลาดเลา”
“มิใช่กงการของเราอย่าไปเลยขอรับ” บ่าวแย้งทั้งงัวเงีย “นอนเอาแรงดีกว่า”
“ข้าหรือจะหลับลงหากไม่เห็นกับตาตัวเอง” คุณชายน้อยตอบกลับสีหน้าเป็นกังวล “น้ำเสียงนางเจ็บปวดเช่นนั้น ข้าอยากไปดูว่าพอจะช่วยได้หรือไม่”
“แต่เราต้องออกเดินทางต่อพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักจะดุเอา”
“แล้วเจ้าจะให้ข้านิ่งดูดายงั้นหรือ”
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ” สวี่ลี่เสียงหลงทันที
“เห็นแก่มนุษยธรรมท่านพ่อต้องเข้าใจ” คุณชายน้อยกล่าวอย่างมั่นใจแต่สีหน้าปรากฏความลังเลหนึ่งส่วน “เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ยังพอมีเวลาจะกลับสำนักช้าลงสักวันสองวันคงไม่เป็นไร”
“แต่ข้าว่า...”
“อย่าขัดข้า” หลิวเสียะทำเสียงดุใส่ ดวงหน้านวลงอง้ำ
บ่าวร่างอวบหน้าเหยเกถอยออกห่างประตูพลางเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “ขอรับ... ข้ามิเคยขัดคุณชายได้อยู่แล้ว”
“รู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว ถอย!”
บ่าวร่างอวบส่ายหน้าระอารู้ทั้งรู้ว่ามิใยที่นายน้อยจะฟัง กว่าจะรู้ตัวประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในคราบบุรุษผลุบหายไปลับตา
“โธ่! คุณหนู” สวี่ลี่ได้แต่รำพึงแล้วนึกได้ตบปากตัวเองเบา ๆ “เอ๊ย! ต้องเรียกคุณชายสิ ชอบลืมอยู่เรื่อย คุณชาย! รอข้าด้วยขอรับ”
++++++++++++
บ่าวร่างอวบหน้าซีดเผือด แหงนมองบนเพดานถึงกับผงะเพราะโคมกระดาษสีแดงลายอักษรทองที่แขวนขาดวิ่นเอียงคล้ายจะตกแต่ไม่ตก
“โรงเตี๊ยมนี้เปิดหรือร้างก็ไม่รู้นะขอรับ... นายท่าน”
“เจ้าดูนั่นสิแล้วจะได้คำตอบเอง” ผู้เป็นนายตอบเสียงเรียบแต่มองไปอีกทาง
ดวงตาบ่าวร่างอวบถึงกับเบิกกว้างเมื่อพบสายตากระหายใคร่รู้หลายคู่ บ้างยืนบ้างนั่งต่างจับจ้องมองมาเป็นตาเดียว สองนายบ่าวทำใจดีสู้เสือเดินตรงเข้ามาถามหาห้องพัก
“ข้าต้องการห้องพักสำหรับค้างแรมในคืนนี้ มิทราบว่า...”
หนึ่งบุรุษผิวเข้มมีรอยบากบนหน้าที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดกลับเดินหนี ทำให้ผู้เป็นนายอ้าปากค้างแต่เพียงครู่เดียวก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากม่านกั้น ดวงตาเรียวหรี่ของอีกฝ่ายจ้องทั้งสองอย่างระแวงระวัง หมวกเก่าคร่ำคร่าฟ้องการใช้งานสมบุกสมบัน ไรผมสีขาวข้างหูทั้งสองข้างบ่งบอกความชรา
คนผู้นั้นค้อมศีรษะให้อย่างเอาใจก่อนเอ่ย “นายท่านต้องการห้องพักสำหรับงานประมูลในคืนนี้ใช่หรือไม่”
“งานประมูลหรือ?” ร่างอวบอ้วนออกหน้าถาม “ประมูลสิ่งใดหารู้ไม่ เราสองคนเพียงต้องการที่พักและเสบียงอาหารสำหรับเดินทางต่อ”
“ถ้าหากพวกท่านมิได้มาเพื่อการประมูล” เจ้าของโรงเตี๊ยมหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนเอ่ย “งั้นพวกท่านจะไปที่ใดกัน”
“พวกข้าจะขึ้นไปบนเขา”
“บนเขา?” เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกันแต่ละคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เป็นเช่นนั้น” คราวนี้ผู้เป็นนายเป็นคนกล่าว
ทว่าเสียงแตกฮือดังกว่าครั้งแรกมากนัก สองนายบ่าวมองหน้ากันด้วยความงุนงงแต่ผู้เป็นนายก้าวมาดักเจ้าของโรงเตี๊ยมหนึ่งก้าวกล่าวเสียงหนักแน่น
“พวกข้าจะไปหุบผาอมตะ ท่านทราบหรือไม่ว่าต้องไปอีกกี่ชั่วยาม”
“โอว! พวกเจ้าคิดผิดแท้ ๆ ที่จะไปหุบผาอมตะ” ชายหน้าเสี้ยมเจ้าของโรงเตี๊ยมทวนคำสีหน้าหวาดหวั่น
“ต้องไปกี่ชั่วยามข้ามิอาจรู้ได้แต่หากเหยียบย่างไปแล้วมิอาจมีผู้ใดไม่มีอันเป็นไป แต่หากพวกเจ้าดึงดันจะไปก็ต้องผ่านโรงเก็บศพไร้ญาติทางผ่านป่าไผ่ไปก่อน”
“โรงเก็บศพไร้ญาติหรือ” บ่าวร่างอวบถามพลางหดคอด้วยความหวาดกลัว
ชายหน้าเสี้ยมพยักหน้าโดยเร็วก่อนเอ่ย “ทว่าจะผ่านที่แห่งนั้นไปได้ก็ต้องใช้ความเก่งกล้าเป็นอันมาก”
“มันน่ากลัวมากหรือ”
สองนายบ่าวถามพร้อมกันก่อนจะหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย เมื่อได้รับคำตอบคืออากัปกิริยาหวาดกลัวจากคนถูกถาม ไม่เว้นแม้แต่บุรุษพเนจรที่นั่งดื่มสุราราวกับไม่สนใจสิ่งใดแต่ที่จริงลอบฟังอยู่นานแล้ว
“ไม่ต้องกลัวหรอกสวี่ลี่” ผู้เป็นนายเอ่ยปลอบ
“ได้ห้องแล้วพวกเจ้าต้องการอาหารด้วยหรือไม่” เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยถามหน้านิ่งเช่นเดิม
“ย่อมต้องการ แต่ข้าขอถามอีกข้อ...”
“เช่นนั้นข้าจะนำพวกเจ้าไปที่ห้อง ส่วนอาหารจึงจะตามไป” เจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวตัดบทท่าทางลุกลี้ลุกลนถือกุญแจพวงใหญ่เดินนำหน้าขึ้นบันไดไป
สวี่ลี่หันหาผู้เป็นนายพลันเอ่ย “ดูสิขอรับคุณชาย ข้ายังไม่ทันถามเรื่องนั้นเลยเหตุใดจึงเดินหนีไปเช่นนี้เล่า”
“เอาเถอะ... ตามไปก่อน” คุณชายน้อยตัดบทเดินตามเจ้าของโรงเตี๊ยมไปเงียบ ๆ
ประมาณยามไฮ่ สองนายบ่าวก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังต่อเนื่องมาจากราวป่าด้านทิศตะวันตก เสียงนั้นเหมือนสตรีร้องขอความช่วยเหลือ บ่าวร่างอวบกระเด้งตัวขึ้นนั่งหยิบมีดพกปลายคมกริบจากผ้าคาดเอวมากระชับมั่นกระโจนหลบซุ่มดูอยู่ตรงหน้าต่างบานกระดาษริมทางเดินผู้เป็นนายรีบแต่งเนื้อตัวกระชับกระบี่ด้ามยาวซุ่มยืนอีกฝั่งของหน้าต่างเช่นกัน
“ข้าว่าชอบกลอยู่ ด้านนั้นที่ว่ากันว่าเป็นที่ตั้งโรงเก็บศพไร้ญาติ เหตุใดจึงมีเสียงร้อง... หรือว่า... ”
“อย่าคิดหากไม่เห็นด้วยตา เช่นนั้นข้าว่าเราน่าจะไปดูว่าเกิดเหตุใด” ผู้เป็นนายแนบหน้ากับหน้าต่างที่เปิดแง้มไม่ละสายตา
“อย่าเลยคุณชาย หาใช่เรื่องของเราไม่”
สวี่ลี่ดึงนายน้อยห้ามปรามแต่ยังไม่ทันได้คำตอบ แสงไฟวิบวับจำนวนมากด้านนอกบ่งบอกว่ามีการเคลื่อนไหวของผู้คนกลุ่มใหญ่คล้ายอันตรายคล้ายไม่ใช่ทำให้สองนายบ่าวต่างมองตากันด้วยความกังวลอีกครั้ง
นอกจากจะต่างถิ่นแล้ว คำพูดของบุรุษร่างเล็กเจ้าของโรงเตี๊ยมนั่นยังทำให้คุณชายผู้อ่อนเยาว์อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นจนคิดจะลอบออกไปดูมิใยที่บ่าวร่างอวบจะทัดทาน
“พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้านะคุณชาย”
“แต่เสียงร้องนั่น เจ้าไม่ได้ยินรึว่าโหยหวนเพียงใด”
“แต่นี่มิใช่เรื่องของเรา” สวี่ลี่แย้งอีกครั้ง ถึงรู้ว่าพูดไปก็ไม่สามารถห้ามผู้เป็นนาย
“หรือเจ้ากลัวเป็นกลัวตาย”
“นึกแล้วว่าคุณชายต้องว่าข้าขี้ขลาดตาขาวแต่เราสองคนใช่ว่าวิทยายุทธ์จะเก่งกาจ” บ่าวร่างอวบบ่นกระปอดกระแปด
“แต่คนขอความช่วยเหลือไม่คิดยื่นมือจะมีหน้าออกท่องยุทธภพให้อายผู้ใดเล่า” ผู้เป็นนายเอ่ยฉุนเฉียวพลันถอดกลอนประตู สวี่ลี่กลับยั้งไว้จนผู้เป็นนายเอ่ยเสียงกร้าว “เจ้าอย่าขัดใจข้า”
“เช่นนั้นข้ารึจะห้ามคุณชายได้”
สุดที่บ่าวร่างอวบจะคิดหาคำใดมาดึงรั้งไว้ได้อีก นายน้อยผู้ปราดเปรียวเปิดประตูออกไปอย่างเงียบกริบไม่สนคำห้ามปราม
เพียงคล้อยหลังลับตา บุรุษพเนจรก็ออกมาจากห้องตรงข้ามแล้วย่างด้วยฝีเท้าเบาที่สุดเข้าไปภายในห้องก่อนจะปิดประตูย่องไปยังเตียงนอนเพื่อค้นหาสิ่งต้องสงสัย
ข้าวของในห่อเป็นระเบียบเรียบร้อย มีชุดฮั่นฝูของบุรุษเป็นผ้าแพรไหมสีครีมอ่อนประเมินค่ามิได้ หยางซุนหยางสะดุดใจแต่ไม่ทันคิดอะไรสายตาพลันสะดุดเข้ากับป้ายหยกสีเขียวอ่อนสลักนาม
“คุณชายหลิวเสียะแห่งสำนักการค้าหลิวซือซือ”
หยางซุนหยางทวนคำบนแผ่นป้ายในห่อผ้าก่อนจะวางลงข้าง ๆ ค้นลึกไปจนเจอม้วนแผนที่นอนก้นอยู่จึงหยิบขึ้นมาดู ภาพที่ปรากฏบนนั้นต่อกันกับแผนที่ของเขาได้พอดีราวกับเป็นภาพที่วาดมาจากแหล่งเดียวกัน ทั้งลายเส้น ตัวอักษร น้ำหนักอ่อนเบาของปลายพู่กันช่างคล้ายคลึงกัน ชายหนุ่มง่วนหาพู่กันเพื่อคัดลอกแผนที่ฉบับนั้น แต่ทั้งห้องกลับไม่มี ครั้นจะหนีก็ไม่ทันเมื่อมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจึงรีบดับตะเกียงแล้วหลบวูบเข้าหลังฉากกั้น
สองนายบ่าวเปิดประตูเข้ามาภายในด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ร่างอวบรั้งท้ายปิดกลอนประตู ส่วนคุณชายร่างเพรียวก็ผละมาตรงฉากกั้น หยางซุนหยางเห็นท่าไม่ดีรีบหลบหลังม่านอีกชั้นด้านในสุดด้วยใจระทึก
“อาลี่... ข้าจะแช่น้ำสักหน่อย”
“สุดแต่คุณชายเถอะ อยากไม่เชื่อข้ามิเช่นนั้นคงได้พักผ่อนเอาแรงไม่ต้องเหงื่อไหลไคลย้อยเช่นนี้”
“เชื่อเจ้าแล้วหดหัวอยู่ในห้องหรือ เจ้าก็รู้มิใช่นิสัยข้า” คุณชายผู้ปราดเปรียวเอ่ยน้ำเสียงขบขันไม่ทุกข์ร้อนพลางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก
“เช่นนั้นข้านอนก่อนนะขอรับ”
บ่าวร่างอวบส่งเสียงมาหลังสำรวจตรวจตราสัมภาระสองห่อบนที่นอนพบว่ายังอยู่ดีก็เบาใจจึงล้มตัวลงนอนที่พื้นหน้าเตียงอีกครั้ง
“เจ้าอย่าบ่นนักเลย ง่วงก็นอนเสียข้าอึดอัดเต็มทีขอนอนสะอาดๆ”
“ตามใจคุณชายเถอะขอรับ ข้าหรือจะขัดได้” เสียงบ่าวกระเง้ากระงอดครู่เดียวก็เงียบไป
บุรุษพเนจรพรูลมหายใจโล่งอกค่อยๆ ก้าวออกจากหลังม่านเมื่อเหลือบมองเห็นคุณชายหันหลังให้และง่วนอยู่กับการถอดชุดด้านในอีกชั้น
ยังไม่ทันก้าวพ้นฉากกั้น บุรุษพเนจรก็หันกลับมามองอีกครั้งพลัน ต้องขยี้ตาด้วยความตื่นตะลึงเมื่อร่างนั้นเล็กกว่าที่คิดไม่พอหนำซ้ำยังผิวขาวราวหิมะ เอวนั้นคอดกิ่วไร้ริ้วรอย
ลักษณะของอิสตรีโดยแท้...
ร่างนั้นคลายปมผ้าสีขาวรอบอกม้วนออกทีละชั้นจนทรวงอกอวบนูนคู่งามปรากฏแก่สายตา เพียงแค่เห็นด้านข้างไม่เต็มตายังพาให้เขาตะลึงถึงเพียงนี้ และยิ่งชวนให้ตื่นตาหนักยิ่งกว่าเมื่อร่างขาวราวหิมะนั้นค่อย ๆ หย่อนกายลงแช่ในอ่างอย่างเชื่องช้า เรียวขาเล็กไร้ริ้วรอยชวนมองจนไม่อยากละสายตา เสียงฮัมเพลงเบา ๆ หวานแว่วนั่นอีกที่ทำให้หนุ่มพเนจรเผลอมองอย่างเคลิบเคลิ้มใหลหลง
ที่แท้สกุณางามในลำธารก็มาปรากฏกายอยู่ที่แห่งนี้...
ไม่น่าเชื่อว่าอิสตรีงดงามถึงเพียงนี้จะทำให้เขาหลงคิดว่านางเป็นบุรุษไปได้ นางสกุณาตัวน้อยดูกลมกลืนกับชุดฮั่นฝูราวกับมิต้องเสริมเติมแต่งใด ๆ
เหตุใดกันที่ทำให้นางต้องซ่อนกาย หรือเพราะเป้าหมายของนางคือผ้าโบราณพันปีบนหุบผาป่าสนอมตะเป็นเหตุ...
ต้องใช่แน่!
นางต้องมีเจตนารมณ์เดียวกับเขา ยิ่งป้ายสลักในห่อผ้านั้นบ่งบอกว่าเป็นของสำนักการค้าที่ใหญ่ที่สุดในฉางอันด้วยแล้วยิ่งแทบคลายความสงสัย นอกจากขายออกไปแล้วยังรับประมูลของมีราคาจากทั่วทุกสารทิศ นับว่าเป็นตระกูลเก่าแก่ที่ได้รับความไว้วางใจจากราชสำนักให้ถวายสิ่งของในหลายครั้งคราวด้วยแล้ว
แต่น่าแปลกที่นั่นมีเพียงบุตรชายสืบทอดกิจการเพียงคนเดียว และกิจการที่ต้องติดต่อกับวังหลวงเนือง ๆ ต้องอาศัยบุตรชายสืบทอดจึงจะได้รับอนุญาตให้ค้าขายได้
แล้วเหตุใดนางงดงามผู้นี้จึงกลายเป็นคุณชายหลิวเสียะแห่งหลิวซือซือไปได้!
เขาต้องค้นหาความจริง...
หยางซุนหยางรู้สึกแปลก ๆ เหมือนร้อนรุ่มภายใน มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหว หลังมือยกอังจมูกด้วยความเคยชินพลันถึงกับงุนงงเมื่อเลือดกำเดาไหลหลั่งโดยไม่รู้ตัว ไวเท่าความคิดมือแข็งแกร่งกระตุกผ้าพันอกผืนบางที่พาดอยู่หลังฉากขึ้นมาซับโดยไม่ละสายตาจากดวงหน้างามที่เห็นเพียงด้านข้าง กลิ่นหอมจากกายสาวที่ติดอยู่บนผ้ายิ่งทำให้เขารู้สึกเลือดลมในกายพุ่งพล่าน
อา... หรือว่าเพราะห่างหายจากกลิ่นกายของอิสตรีมานานร่างกายจึงทรยศด้วยการหลั่งเลือดกำเดาเช่นนี้
กว่าจะรู้ตัวว่าควรออกไปจากห้องก็ต่อเมื่อเสียงน้ำในอ่างไม้ไหวกระฉอก หยางซุนหยางสะดุ้งสุดตัวปล่อยผ้าผืนเดิมร่วงหล่นแล้วกระโดดผลุงออกไปทางหน้าต่างโดยที่ร่างอรชรไม่ทันได้รู้ตัว
หลิวเสียะชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงสวบสาบ รีบเอื้อมหยิบเสื้อขึ้นมาคลุมอย่างเร่งรีบก่อนจะหยิบกระบี่คู่ใจกระชับมั่น แต่เสียงประหลาดเมื่อครู่เงียบไป นางมองหาไม่มีแม้เงาผู้ใด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่วางใจจึงเอ่ยถามบ่าวคู่ใจอีกครา
“เจ้ายังไม่นอนหรือ สวี่ลี่”
เงียบ... มีเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจากร่างที่นอนอยู่เท่านั้น
“เช่นนั้นข้าคงหูแว่ว” นางเอ่ยพลันเก็บกระบี่เข้าฝักก่อนจะก้าวออกจากอ่างอาบน้ำมาหยิบผ้าพันรอบอก ทว่ากลับมีบางสิ่งผิดปกติ มีหยดเลือดปรากฏบนผ้าที่นางใช้พันอก เมื่อครู่มันยังสะอาดไม่มีรอยเลือด หลิวเสียะเหลียวมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น
หรือจะมีคนลักลอบเข้ามาในห้อง!
แต่ใครกันที่กล้า...
ดวงตากวางมองปราดไปที่ประตูไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ กลอนยังคงถูกลงไว้จากด้านใน มีทางเดียวที่แขกมิได้รับเชิญยามวิกาลจะออกไปได้คงเป็นทางหน้าต่างเท่านั้น
ร่างอรชรจัดแจงแต่งกายชุดฮั่นฝูด้วยความเร่งรีบดับแสงตะเกียงล้มตัวลงนอน แต่กลับไม่สามารถข่มตาหลับลงเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ประหลาดเมื่อครู่ อาจมีใครบางคนสอดรู้สอดเห็นถึงกับลอบเข้ามา ที่แน่ ๆ ต่อไปนี้ทั้งนางและบ่าวต้องระวังตัวให้มากกว่านี้อีกหลายเท่าเพราะกว่าจะถึงหุบผาคงอีกหลายชั่วยาม
ร่างอรชรในคราบคุณชายนอนกอดกระบี่หลับ ๆ ตื่น ๆ ระวังภัยกลับต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนราวกับเจ็บปวดทรมานดังขึ้นอีกครั้ง มันสะดุดหูและรบกวนจิตใต้สำนึกด้านดีของนางอย่างร้ายกาจ
นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน!
หลิวเสียะผุดลุกนั่งมองสวี่ลี่หลับสนิทก็ตัดสินใจย่องไปแอบฟังเสียงประหลาดที่หน้าประตูอย่างเงียบเชียบ
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ใครก็ได้... ช่วยด้วย!...”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาตามทางเดินผ่านหน้าห้องนางไปไม่พอยังมีเสียงเหมือนโลหะหนักกระทบพื้นดังเป็นระยะตลอดแนวทางเดินก่อนจะจางหายไป คุณชายน้อยแห่งหลิวซือซือตั้งท่าจะกระโจนออกไปแต่บ่าวร่างอวบที่นอนหลับเมื่อครู่ผุดลุกขึ้นโผมารั้งไว้ได้ทัน
“คุณชาย! อย่าไป!”
“เจ้าได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินหรือไม่” นางเอ่ยเสียงเบาแต่อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจก่อนเอ่ย “ช่างเถอะ... พูดกับพวกนอนกินบ้านกินเมืองอย่างเจ้าจะรู้อะไร รอที่นี่ก็แล้วกันข้าจะออกไปดูลาดเลา”
“มิใช่กงการของเราอย่าไปเลยขอรับ” บ่าวแย้งทั้งงัวเงีย “นอนเอาแรงดีกว่า”
“ข้าหรือจะหลับลงหากไม่เห็นกับตาตัวเอง” คุณชายน้อยตอบกลับสีหน้าเป็นกังวล “น้ำเสียงนางเจ็บปวดเช่นนั้น ข้าอยากไปดูว่าพอจะช่วยได้หรือไม่”
“แต่เราต้องออกเดินทางต่อพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นท่านเจ้าสำนักจะดุเอา”
“แล้วเจ้าจะให้ข้านิ่งดูดายงั้นหรือ”
“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ” สวี่ลี่เสียงหลงทันที
“เห็นแก่มนุษยธรรมท่านพ่อต้องเข้าใจ” คุณชายน้อยกล่าวอย่างมั่นใจแต่สีหน้าปรากฏความลังเลหนึ่งส่วน “เอาเถอะ เจ้าไม่ต้องกังวลไป ยังพอมีเวลาจะกลับสำนักช้าลงสักวันสองวันคงไม่เป็นไร”
“แต่ข้าว่า...”
“อย่าขัดข้า” หลิวเสียะทำเสียงดุใส่ ดวงหน้านวลงอง้ำ
บ่าวร่างอวบหน้าเหยเกถอยออกห่างประตูพลางเอ่ยอย่างไม่เต็มใจนัก “ขอรับ... ข้ามิเคยขัดคุณชายได้อยู่แล้ว”
“รู้เช่นนั้นก็ดีแล้ว ถอย!”
บ่าวร่างอวบส่ายหน้าระอารู้ทั้งรู้ว่ามิใยที่นายน้อยจะฟัง กว่าจะรู้ตัวประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างอรชรในคราบบุรุษผลุบหายไปลับตา
“โธ่! คุณหนู” สวี่ลี่ได้แต่รำพึงแล้วนึกได้ตบปากตัวเองเบา ๆ “เอ๊ย! ต้องเรียกคุณชายสิ ชอบลืมอยู่เรื่อย คุณชาย! รอข้าด้วยขอรับ”
++++++++++++
lovereason2
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2561, 10:17:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2561, 10:17:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 772
<< บทที่ 1 / แปดด้านหาเก้าด้าน 1 | บทที่ 1 / แปดด้านหาเก้าด้าน 3 >> |