A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 12 : ตรวจครรภ์

บทที่ 12 : ตรวจครรภ์

ฉันและคุณปัถย์เราใช้เวลาศึกษาดูใจกันอย่างมนุษย์คู่รักทั่วไปได้สองเดือนแล้ว แต่ก็ฉันยังคงเสียเปรียบอยู่เสมอเวลาที่เราใกล้ชิดกัน อย่างไรก็ดีไม่มีการเสียเปรียบครั้งไหนที่มากมายเท่ากับครั้งที่ฉันไปทะเล่อทะล่าสารภาพความจริงในวันนั้นอีกแล้ว คิดแล้วก็ยังเขินจนถึงทุกวันนี้ คุณปัถย์ได้แต่พร่ำเพ้อพูดว่า ฉันเป็นเด็กชอบทำบาป...รู้ไหมว่าเค้าอยากจะกินฉันมากแค่ไหน(อยากให้ได้ยินเสียงเวลาเค้าพูดเสียจริง) มันช่างเร้าอารมณ์ของฉันได้เหลือเกิน



คุณปัถย์ทำตัวเป็นคนดีเสมอเสมอปลายเค้ามักจะพาฉันไปกินข้าว ดูหนัง และกิจกรรมอื่นๆที่คู่รักพึงจะกระทำด้วยกัน ลืมบอกไปว่าตอนนี้ พ่อกับแม่ กลับมาคุยกับฉันแล้วนะ เพราะคุณปัถย์ไปพูดอธิบายให้ฉัน แต่เขาไม่ยอมให้ฉันอยู่ฟังตอนที่เขาเล่าให้พ่อกับแม่ฉันฟังน่ะสิ(มีความลับอะไรกันนะ)




“หนูแป๋ม...ฝากท้องตาหนูที่ไหนล่ะลูก” ในขณะที่ฉันกำลังนั่งทานอาหารกลางวันกับครอบครัวของคุณปัถย์ คุณหญิงพจนีย์ก็เอ่ยถึงเรื่องตั้งครรภ์ทันที





“เอ่อ....” ฉันพยายามมองหน้าคุณปัถย์ที่นั่งฝั่งตรงข้าม แต่กลับกลายเป็นว่าเค้ากลับไม่สนใจที่จะมองกลับแถมมีหน้านั่งอมยิ้มอีกนะ





“แล้วแพ้บ้างรึเปล่าล่ะหนูแป๋ม” โอยยยยยยยยย....จะแพ้ได้ไงค่ะคุณลุงปราชญ์ หนูไม่ได้ท้องงงงงง





“แต่ป้าว่าหนูแป๋มไม่เห็นแพ้เลยนะลูก สงสัยตาหนูคงรักแม่น่าดู” ไปกันใหญ่แล้วววว ฉันพยายามที่จะเอื้อมเท้าไปเขี่ยคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม แล้วอีโต๊ะกินข้าวนี่ก็จะกว้างไปไหน





“เอางี้ไหมล่ะ คุณหญิง เดี๋ยวพรุ่งนี้เราพาหนูแป๋มไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยกันเลย อยากเห็นหน้าหลานแล้ว” ป๊าดดดดดดดดดดดดดด....จะไปเห็นได้ไง เห็นแต่ไส้ฉันน่ะสิ คราวนี้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามฉัน เผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น อีตาบ้านี่ทำไมยังอารมณ์ขันอยู่ได้ เครียดน่ะโว๊ย





“ตาปัถย์...ขำอะไรของแก ดูหน้าหนูแป๋มสิ เหลอหลาซะขนาดนี้ แล้วลูกแกทั้งคนนะ” ใช่ใช่ ขำอะไรของแกฮ่ะ ลูกน่ะลูก





“ผมพูดแค่ว่า ไม่แน่อาจจะมีทายาทของเรา แค่นั้นเองนะครับ”





“มันจะไม่มีได้ยังไงล่ะ วันนั้นก็หายขึ้นไปข้างบนด้วยกัน” คุณป้าอย่าพูดอย่างนั้นนนนน หนูเสียหายนะ วันนั้นไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เกือบเท่านั้นเอง





“ตามใจถ้าคุณแม่อยากตรวจ” ฉันล่ะอยากจะจับพ่อตัวดีมาถามจริงจริง แกจะไปเอาลูกมาจากไหนห๊ะ





ทันทีที่เราได้อยู่ตามลำพัง ฉันเลยใส่คุณปัถย์แบบไม่ยั้ง



“พี่ปัถย์พูดแบบนั้นได้ไงค่ะ”





“แบบไหนล่ะ” ยังมีหน้ามาถามอีก





“ก็ไปบอกคุณป้าได้ไงว่าให้แป๋มไปตรวจ”



“อ้าว...แม่เค้าอยากให้ตรวจก็ไปสิ พอไปถึงไม่มีลูก ก็ค่อยบอกว่า ไม่มี สงสัยไม่ติดลูก เดี๋ยวค่อยมาผลิตใหม่” พูดมาได้ ไม่อายปากเลย



“พี่ปัถย์...แป๋มซีเรียสนะ”





“บอกแล้วไม่เชื่อพี่ ถ้าผลิตไปตั้งแต่วันนั้น เราก็ไม่เครียด” แหน๊ะ...ยังมาพูดเล่นอีก







“โอ๋ๆ...อย่างอนนะ คุณพ่อกะคุณแม่ท่านคงอยากเห็นหลานจริงจริง”







“แล้วแป๋มจะทำไงดี”







“พี่เชื่อว่าแป๋มทำได้ เรื่องที่เอาตัวรอด”







“ทำไม่พี่ปัถย์ไม่ช่วยแป๋ม ทำไมต้องให้แป๋มทำคนเดียว” อะไรอะไรก็โยนมาที่ฉัน มันจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ





“เพราะพี่ก็อยากมีลูกเหมือนที่คุณพ่อกับคุณแม่อยากมีหลานนั่นแหละ” ฉันได้แต่ตาค้างอึ้งหลังจากที่ คุณปัถย์กระซิบที่ข้างหูฉัน คุณปัถย์ช่างเป็นผู้ชายที่ฉันไม่ควรปรึกษา ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดใดทั้งสิ้น เพราะเขาจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับฉันอย่างออกนอกหน้า





คราวนี้เลยกลายเป็นฉันที่นั่งไม่ติดเก้าอี้ เดินวนเวียนไปมาในห้องนอนส่วนที่เป็นห้องทำงานของคุณปัถย์





“แป๋มจะเดินไปมาทำไม พี่เวียนหัว”





“ก็แป๋มกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไง พรุ่งนี้ต้องไปตรวจแล้ว” ใครจะไปนั่งอ่านข่าวสบายอารมณ์อย่างแกล่ะ



“อ่า...พี่คิดออกแล้ว” คุณปัถย์เอ่ยขึ้น ทันใดนั้นฉันเลยถลาตัวไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับที่เขานั่งทำงานอยู่





“พี่ปัถย์คิดออกแล้วเหรอ...บอกแป๋มหน่อยนะค่ะ”





“แล้วพี่จะได้อะไรจากแป๋ม” นี่แกยังหวังจะเอาอะไรอีกเหรอ





“พี่ปัถย์จะเอาอะไรอีกเนี่ย”



“แหม..พี่เป็นนักธุรกิจนะ พี่จะทำอะไรก็ต้องคิดถึงกำไรและผลตอบแทนของพี่สิ” งก...งก.....งก

“แม้กระทั่งกับแป๋มเนี่ยนะ”







“ยิ่งกับแป๋มนะ...ยิ่งต้องเอากำไร ถ้าทบต้นได้นะ...ยิ่งดีเลยล่ะ” ดูพูดเข้า...เรื่องนี้อีกแล้ว





“พี่ปัถย์เจ้าเล่ห์อ่ะ....แป๋มนะขาดทุนตลอด”





“รู้ได้ยังไง...แป๋มได้กำไรตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้วนะ” ดูทำตาเข้า เดี๋ยวจิ้มตาหลุดเลย





“แล้วตกลง...เราจะทำไงกันดี”





“ไม่รู้เหมือนกัน” กรี๊ดดดดดดดดดดดด.....คุณปัถย์หลอกแป๋มอ้ะ ยังมีหน้ามายิ้มใส่อีก ไม่รักคุณปัถย์จะได้ไหมเนี่ยต้องมนต์




บทที่ 12 : ตรวจครรภ์ - - - (70%)ครบ


ฉันได้แต่นั่งกระวนกระวายใจ จวบจนกระทั่งอาหารมื้อเย็น คุณป้าและคุณลุงต่างพูดคุยกันแต่เรื่องหลาน(หลานอะไรของเค้า) ฉันได้แต่นั่งเขี่ยข้าวในจาน เอาจริงตอนนี้กินไม่ลง ถ้าไปตรวจแล้วเกิดหมอจับได้ว่าไม่ท้อง...ที่แน่แน่ถ้าไปแล้วเกิดหมอจับได้ว่ายังไม่ได้ผิดผีกัน โอ๊ยยยยยยยยยย....คราวนี้ล่ะ คุณป้าคุณลุงได้เผาพริกเผาเกลือแช่งชักหักกระดูกฉันเป็นแน่ แล้วดูอีตาปีศาจนี่สิ นั่งสบายอารมณ์เหลือเกิน อยากจะเป็นพ่อพันธุ์ซะเต็มประดาเลย...วุ๊ยยย ไม่มีใครได้ดั่งใจต้องมนต์เลยสักคน



“พรุ่งนี้ป้ากับลุง จะไปรับหนูตอนสายสายนะ”
ง่า.......ขอให้รถยางแตก




“นี่ตกลงพ่อกับแม่จะเอาจริงเหรอเนี่ย” ปีศาจพูดได้




“เอ้า...จริงสิตาปัถย์ ถามประหลาด นี่มันกี่เดือนแล้ว”
คุณหญิงพจนีย์ยังคงตั้งมั่นในการตรวจครั้งนี้





“แล้วถ้าไม่ท้องล่ะครับ”
เยี่ยมมาก...ถามเลย ถามเลย




“มันไม่น่าจะพลาดนะตาปัถย์....ถ้าพลาดแกเองนั่นแหละที่ไม่แม่น”
กรี๊ดดดด...คุณลุงทำไมพูดท้าทายแบบนี้.....หนูลำบากนะ





“เอ่อ...แป๋มว่า..ไม่ต้องตรวจก็ได้มั้งค่ะ...คือว่า แป๋มก็ไม่ได้มีอาการอะไรเลย แบบว่า..เค้าอาจจะยังไม่มาเกิดก็ได้นะค่ะ”
ถ้ามาอยู่ในท้องฉันได้ ก็ประหลาดเหนือปลาทองแล้ว





“ไม่ต้องกังวลหรอกลูก...ลองไปตรวจดู ถ้าไม่มีหมอเค้าจะได้แนะนำวิธีมาให้”
ฮือออออ...ยังไงก็จะไปให้ได้ใช่ไหมคุณป้า ไม่สงสัยคุณปัถย์ดื้อเหมือนใคร





“เอ่อ....คะ ค่ะ งั้นก็...ตะ ตามนั้นค่ะ”
ฉันจะไปสามารถสู้รบปรบมืออะไรได้ คราวนี้ล่ะ ต้องมนต์สิ้นลมหายใจชัวร์



ทันทีที่คุณปัถย์ส่งฉันถึงบ้าน เขายังมีหน้ากำชับว่าให้ทำใจให้สบายไม่ต้องกังวล ไม่ตรวจวันนี้ยังไงก็ต้องตรวจสักวันนึง...ถือว่าไปขอเคล็ดลับจากหมอแล้วกัน ไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งความคิดอันฟุ้งซ่านของฉันได้ เลยกลายเป็นว่าคืนนั้นฉันเลยเกิดอาการนอนไม่หลับ ประกอบกับข้าวที่ไม่ได้ตกถึงท้อง ฉันเลยได้ไปโรงพยาบาลโดยไม่ต้องรอให้ถึงเช้า...สมใจผู้ใหญ่ถ้วนหน้าเลยล่ะ




เพราะสุดท้ายแล้วกลางดึกของคืนวันเดียวกัน แม่และพ่อเลยต้องรีบพาฉันไปส่งห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้บ้านเพราะเกิดอาการโรคกระเพาะอาหารกำเริบ ฉันปวดท้องอย่างมากและอาเจียนอยู่หลายรอบ อ่อนระโหยโรยแรงเลยล่ะ แต่เรื่องราวยิ่งใหญ่โตขึ้นไปอีกเมื่อไปถึงโรงพยาบาล แม่ไปบอกข้อมูลว่าฉันกำลังจะแต่งงาน และมีแฟนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้คุณหมอประจำห้องฉุกเฉินเลยอธิบายว่า จำเป็นต้องพาฉันไปตรวจภายในเนื่องจากอาการปวดท้องอาจจะเป็นต้นเหตุของโรคร้ายที่เกี่ยวกับอวัยวะสำคัญในผู้หญิงได้....พระเจ้าช่วยย แม่ไปบอกทำไมมมม ฉันรู้ดีว่าอาการนี้เกิดจากโรคประจำตัวของฉันกำเริบ พยาธิประท้วงร้องขออาหารไปประทังชีวิต แต่ในเมื่อฉันไม่ได้กินเข้าไปตามที่พวกมันเรียกร้อง มันเลยพากันก่อกบฏ ตีอกชกช่องท้องฉันเป็นการใหญ่ แต่ทว่ากลับกลายเป็นฉันต้องไปตรวจภายในเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก ให้มันได้อย่างนี้สิ (มันไม่เกี่ยว หนูเป็นโรคกระเพาะ)




“ใจเย็นนะแป๋ม..เดี๋ยวคุณปัถย์กับที่บ้านเค้ากำลังจะมา”
เย้ย...ยกโขยงมาทำไม




“แม่บอกพวกเค้าทำไม”




“อ้าว...หลานแม่ทั้งคนนะ แม่ก็เป็นห่วง”




“ก็แป๋มบอกแล้วว่า..เป็นโรคกระเพาะ”




“เหอะน่า...แกน่ะไม่รู้อะไร”
แม่นั่นแหละไม่รู้อะไร หนูนะรู้ รู้ว่ามันไม่ใช่ลูกของหนู




ฉันนอนรอคุณปัถย์และครอบครัวของเขาไม่เกินสิบห้านาที สงสัยพี่คนขับรถคงซิ่งนรกแตกเป็นแน่ ทันทีที่คุณลุงและคุณป้าพบหน้าฉัน ท่านทั้งสองก็ต่างเข้ามาจับไม้จับมือฉันที่นอนพะงาบพะงาบอยู่บนเตียง(โชคดีที่หมอฉีดยาบรรเทาอาการปวดท้องให้แล้ว) ท่านทั้งสองปลอบโยนกับฉันว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ลูกคนแรกก็อย่างนี้ แต่ทว่าพ่อตัวดีกลับยืนขำตัวหงิกตัวงออยู่ข้างหลัง อย่าให้ฉันหายนะ แม่จะฟาดไม่เลี้ยง(เก่งแต่ปาก..นี่แหละฉันตัวจริง)




สิ่งที่ฉันกังวลนั่นคือฉันไม่เคยตรวจภายในหรืออะไรที่เกี่ยวกับสูตินารีทั้งหลาย และอีกอย่างฉันยังไม่ได้เสียตัวให้กับบุรุษหน้าไหนทั้งนั้น...เฮ้อ พี่บุรุษพยาบาลนำพาฉันมาที่แผนกสูตินารีเวช(ขนลุกขนพองตอนเข้ามาแผนกนี้เหลือเกิน) คุณหมอให้ฉันเปลี่ยนชุดเตรียมตัวเข้าพิธีกรรม...ขึ้นขาหยั่ง...ฮือออออ โดยคุณหมอเชิญผู้ร่วมเดินทาง อันได้แก่ พ่อและแม่ของฉันกับคุณปัถย์ออกไปนอกห้องให้หลงเหลือไว้เพียง(ว่าที่)สามีเท่านั้น




ฉันยังไม่เปลี่ยนชุดในทันที ทั้งที่พยายาบาลก็มาลากให้ฉันไปเปลี่ยน ฉันได้แต่ดื้อดึงยื้อยุดฉุดกระฉากไม่ยอมท่าเดียว พยายามที่จะไปนั่งข้างคุณปัถย์ให้ได้ พร้อมส่งสายตาความหวังครั้งสุดท้ายไปที่เขา..ช่วยฉันเถิดดดดด พ่อพระแห่งปิลันธบุตร คุณปัถย์ได้แต่นั่งอมยิ้มพร้อมสายหน้าน้อยน้อยกลับมาให้ฉัน ความหวังครั้งสุดท้ายฉันคงดับสูญแล้วสินะ





“เอ่อ..คุณหมอครับ คือผมกับคุณต้องมนต์เรายังไม่มีอะไรกันนะครับ”
พ่อเทพบุตร...พ่อยอดบุรุษของต้องมนต์.....ซาบซึ้ง




“อ้าว...แล้วทำไมคุณแม่ของคุณต้องมนต์บอกว่า คุณสองคนเคยมีเพศสัมพันธ์กันแล้ว เมื่อไม่นานมานี้” เอิ่ม...หมอพูดซะเห็นภาพเลย






“คือว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยน่ะครับ คืออย่างนี้.............”




ฉันยืนมองพ่อเทพบุตรอธิบายเหตุผลให้กับนายแพทย์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามฟัง นายแพทย์ได้แต่พยักหน้าตอบรับแบบงงๆ คุณปัถย์ก็พยายามยืนยันว่าฉันยังไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม แล้วก็พยายามขอร้องคุณหมอว่า ฉันยังใหม่กับการขึ้นขาหยั่งยิ่งนัก ยังไงก็ละเว้นลูกเป็ดตาดำดำเช่นฉันเถิด คุณหมอหันกลับมามองหน้าฉันพักนึง ฉันส่งสายตาวิงวอนสุดฤทธิ์กลับไป คุณหมอจึงได้กล่าวว่า เอาอย่างนั้นก็ได้(ฟู่........ไม่ต้องขึ้นขาหยั่งแล้วววววว)




“เป็นไงบ้างลูก..เห็นหน้าหลานไหม”
คุณหญิงพจนีย์รีบปรี่เข้ามาถามฉันทันทีหลังจากที่บุรุษพยาบาลเข็ญฉันออกมา




“ไม่มีหลานค่ะ..คุณป้า”




“ครับแม่...แป๋มไม่ได้ท้องแต่แป๋มเป็นโรคกระเพาะ”
พ่อเทพบุตรเอ่ยขึ้นสมทบ




“อ่าว...แล้วได้ถามหมอไหมว่า ทำยังไงถึงจะมี”




“จะถามทำไมล่ะครับแม่...ผมมั่นใจในฝีมือตัวเองนะ” ยี้....ขี้โม้ซะไม่มี แต่ก็เอาเถอะ เขาคือวีรบุรุษสำหรับตอนนี้ ปล่อยเขาไป




เป็นอันว่าการตรวจครรภ์ของฉันผ่านพ้นไปด้วยดี ถึงแม้คุณท่านทั้งสองจะผิดหวังบ้างแต่ พ่อเทพบุตรฉันก็ให้สัญญาว่า หลังจากพ้นพิธีมงคลสมรสจะพาฉันไปฮันนีมูนสักเดือนนึง ถ้าไม่มีหลานให้ท่านได้เฉยชมจะไม่ขอกลับจากฮันนีมูนเลย(ดูมุ่งมั่นมาก) คุณปัถย์บอกว่า พี่แก่แล้ว เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้ คุณปัถย์เค้าเพิ่งรู้ตัวรึไงนะ




ครอบครัวเราทั้งสองออกมารอรับยาและจ่ายเงินด้านหน้าของโรงพยาบาล ฉันเห็นสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับฉันนั่งรอที่เก้าอี้ไม่ใกล้ไม่ไกลกับครอบครัวของเราทั้งสองนัก หล่อนพยายามหันมาสบตาพ่อเทพบุตรของฉันหลายครั้ง แต่พ่อเทพบุตรก็ไม่ได้หันไป ฉันจึงตัดสินใจสะกิดบอกเขาให้รู้ตัว




“พี่ปัถย์ค่ะ...ผู้หญิงคนนั้นเค้ามองพี่ปัถย์ตั้งแต่เรามานั่งล่ะนะ”




“หืม...ใคร”
คุณปัถย์หันไปตามมือที่ฉันพยายามชี้บอก



“เดี๋ยวพี่มานะแป๋ม”




คุณปัถย์ลุกขึ้นเดินตรงไปยังผู้หญิงคนนั้นทันที ฉันได้แต่มองตามร่างสูงเดินออกไป จนกระทั่งนั่งลงใกล้ใกล้กับผู้หญิงคนนั้น




“ใครน่ะลูก”
แม่สะกิดถามฉัน




“ไม่รู้น่ะแม่...แป๋มเห็นเค้ามองคุณปัถย์อยู่นานก็เลยบอกคุณปัถย์”
ฉันเอ่ยตอบแม่ไป




“ส๊วย...สวยนะลูก ว่าแต่เขาโรงพยาบาลเวลานี้ทำไม”
....ง่ะ ลูกแม่ไม่สวยใช่ไหม




“นั่นสิแม่”




“แม่ว่าหน้าคุ้นคุ้นนะ...เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักที่......”
แม่ไปคุ้นเคยอะไรได้ไง




“...................”
ฉันหันไปมองหน้าแม่อย่างสงสัยใคร่รู้






“แต่แม่ก็จำไม่ได้...........”
ขอบคุณมากแม่...หนูสบายใจขึ้นเยอะเลย ปั๊ดโธ่!!!!!!





คุณปัถย์และสตรีนิรนามพูดคุยกันอยู่นาน จนกระทั่งพนักงานที่เคาท์เตอร์เรียกชื่อฉันให้ไปชำระเงิน คุณปัถย์ถึงได้ผละออกมา ฉันยังคงมองคนทั้งคู่ไม่วางตา(ว่าที่สามีฉันทั้งคนนี่น่า) ผู้หญิงคนนั้นกลับส่งยิ้มน้อยๆมาให้ฉัน แต่ฉันไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรกลับไปเลย(ฉันดูหยิ่งเนอะ)




“ใครน่ะค่ะ..พี่ปัถย์”
ทันทีที่เราเดินออกจากโรงพยาบาลไปยังลานจอดรถ ฉันเลยตัดสินใจถามคุณปัถย์




“อ่อ...เพื่อนน่ะ”
คุณปัถย์ตอบเพียงแค่นี้แล้วก็ชวนฉันคุยเรื่องอื่นแทน อย่างนี้มันไม่ชอบมาพากลแล้วนะ




ฉันทนเก็บเรื่องราวของผู้หญิงนิรนามคนนั้น จวบจนกระทั่งรุ่งสางของวันใหม่ ด้วยว่าความอยากรู้อยากเห็นมันสุมอก ฉันจึงหอบร่างกายอันทรุดโทรมตัดสินใจขับรถไปหาเพื่อนสาวที่แสนดีของฉันทันที เมื่อถึงบ้านของขิง ฉันรีบเล่าเรื่องยองผู้หญิงคนนั้นกับสิ่งที่คุณปัถย์พยายามปิดบังฉันให้มันฟัง คราวนี้มันถึงกับตบหัวเข่าตัวเองพร้อมทั้งพูดว่า มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลหลายเรื่องนัก




“ไว้ใจไม่ได้ล่ะแป๋ม...แกต้องสืบ สืบให้รู้ความจริง”




“สืบไรอ่ะ”




“แล้วที่แกบึ่งมาหาฉันแต่เช้าตรู่นี่เรื่องอะไรล่ะ...วู้ว ถามแปลกแปลก”
มันตวัดตามามองฉันทันที




“ฉันต้องการที่ปรึกษานี่น่า”




“เฮ่ยขั้นนี้แล้ว ปรึกษาอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องลงมือให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลย เรามันคนจริงนะเว่ย...อย่าให้ใครมาหยาม”
ดูมันพูดเข้า ยังกับจะไปท้าต่อยกับใครเค้าอย่างนั้นล่ะ




“อะไรของแกว่ะ จะไปรบกะใครเนี่ย”





“แกน่ะ...มันความรักบังตา มองไม่เห็นสิ่งผิดพลาดหรอก ถ้าอย่างที่แกเล่านะ ว่าที่สามีแกกำลังทำอะไรที่ผิดต่อแกเป็นแน่”
ขิงทำท่าใส่อารมณ์กับคำพูดมันมาก มันจริงจังเกินไปไหม




“แกว่างั้นเหรอ”




“เออสิ...ตอนนี้ฉันว่าแกควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณปัถย์ให้เยอะที่สุด ว่าในอดีตจนถึงปัจจุบันเค้าเคยคบหากับใครอะไรยังไงอยู่บ้างรึเปล่า นี่ฉันบอกตามตรงเลยนะเว่ย ตอนแรกที่ฉันรู้ว่าแกชอบคุณปัถย์น่ะ ฉันยังไม่คิดว่ากะโปโลแบบแก จะไปได้คนแบบเค้ามาเป็นคู่เลย นึกว่าแกบ้าบ้าเพ้อเพ้อ เดี๋ยวก็จบ กลายเป็นว่า เค้ากลับอยากได้แกเป็นเมียซะงั้น เล่นจูบเช้า จ้องจะปล้ำเย็นอย่างนี้”




“บ้า....แกก็พูดเว่อร์ไป”




“บ้าไรล่ะ..ฉันพูดจริงนะ แกลองคิดดู อย่างคุณปัถย์หาผู้หญิงได้ดีกว่าแกร้อยเท่า(มันหมายความว่าไงฟร่ะ) เอาง่ายๆนะในปัจจุบันผู้ชายแบบคุณปัถย์ไม่เหลือตกถึงท้องแกหรอกจะบอกให้”
อ้าวเฮ้ย...แล้วที่ฉันกำลังจะแต่งงานด้วยนี่ มาจากดาวดวงไหนล่ะเนี่ย




“ไอ่ขิงบ้า...แกพูดซะฉันอยากไปเกิดใหม่”




“ก็บอกให้รู้ว่าแกต้องมองความจริงบ้าง คนแบบนี้นะมันต้องมีอดีตบ้างแหละ สุดท้ายแล้วถ้าแกพบว่าเค้ามีเมียสามลูกสองขึ้นมา แกยังจะแต่งกับเค้าไหมว่ะ”
เฮ้ย...เยอะขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ




“.......ไม่รู้เหมือนกัน”
โลกคงไม่โหดร้ายกับฉันขนาดนั้นหรอกมั้ง





“เพราะฉะนั้น...แกต้องเริ่มค้นหาความจริง” แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ




ฉันฟังขิงพูดถึงเรื่องราวของคุณปัถย์จนเริ่มรู้สึกหวาดผวาไปด้วย แต่กระนั้นเลยความไว้เนื้อเชื่อใจที่ฉันมีต่อเค้ามันก็ยังคงอยู่ ฉันไม่อาจบอกได้เต็มปากเต็มคำหรอกว่า ฉันไม่สงสัยเรื่องที่เห็นด้วยตาของตัวเอง แต่ฉันคงยังไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวแบบนี้มากกว่าล่ะมั้ง คุณปัถย์โทรศัพท์หาฉันตอนประมาณสิบโมงเช้า กำชับว่าอย่าลืมกินยาและกินข้าวให้ตรงเวลา วันนี้เขามีธุระนิดหน่อยต้องไปสะสาง ในใจฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า เรื่องที่เขาต้องไปสะสางเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนดังกล่าวด้วยหรือไม่




ฉันและขิงต่างพยายามหาข้อมูลของคุณปัถย์ให้ได้มากที่สุด จากเพื่อนสนิทของเรา(พี่กูเกิ้ล) แต่พี่กูเกิ้ลก็หาได้ข้อมูลครบถ้วนอย่างที่ใจฉันอยากได้ไม่ ขิงเลยแอบแดกดันว่า คุณปัถย์นี่ก็ไฮโซนะ แต่โลว์โปรไฟล์ชิบ เสียงโทรศัพท์ฉันดังขึ้นขณะที่ฉันกำลังจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ





“ว่าไงค่ะแม่...แป๋มยังอยู่บ้านขิงอยู่เลย”





“แล้วทำไมไม่ยอมพักผ่อนอยู่บ้าน ไปเล่นบ้านเพื่อนอยู่ได้”






“ก็แวะมาเยี่ยมมันแปบนึงนะแม่....แม่มีอะไรเหรอค่ะ”





“เปล่า แม่จะบอกว่า แม่นึกออกแล้วว่าคนที่เราเจอที่โรงพยาบาลเมื่อวานตอนดึกน่ะใคร”
กรี๊ดดดดดดด...แม่หนูชนะเลิศ





“ใครน่ะแม่”





“แม่เพิ่งเจอรูปเค้าในนิตยสารเล่มนึงน่ะ พอดีแม่ว่าจะเก็บหนังสือไปทิ้ง เลยลองเปิดเปิดดูข้างใน ปรากฏว่าเจอรูปเค้าพอดีเลย”




“เค้าเป็นนางแบบหรือดาราอ่ะแม่”





“นางแบบลูก....สวยมากเลย สูง ขายาว ขาว คนเดียวกันเลยลูก เดี๋ยวแม่จะเก็บเล่มนี้ไว้ให้”
เก็บไว้เพื่อ...เป็นหนามยอกใจลูกแม่นะนั่น





“ขอบคุณมากนะแม่ เขาชื่ออะไรอ่ะแม่”






“เดี๋ยวแปบนึงนะลูก...ปกติชื่อนางแบบเค้าจะเขียนไว้ตรงไหนอ่ะ..แม่ก็ตาไม่ค่อยดี รอแปบนึงนะ เดี๋ยวไปหยิบแว่นมาก่อน”





“จ่ะแม่”
แม่ฉันหายไปไม่เกินห้านาทีก็กลับมา





“มาแล้ว...ชื่อ ริต้า เฉิน พิสิษฐ์ดำรงค์ ไม่มีประวัติเลยน่ะแป๋ม มีแค่ชื่อนางแบบ ชื่อช่างแต่งหน้า และ ก็ชื่อช่างภาพ”





“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ขอบคุณมากนะแม่ เดี๋ยวตอนเย็นซื้อซาลาเปาทอดเจ้าเดิมไปฝาก”ฉันแอบหยอดทิ้งท้ายให้แม่ไม่สงสัยมากนัก แต่ในใจตัวเองนะเหรอ คิดไปไกลแล้วนั่น




- - - - - - - - - - - - - - - - - - -

มาแล้ววววว...บทที่สิบสองครบพอดี ตอนนี้เลยมีตัวละครเพิ่มมาให้หนูแป๋มหวั่นไหวอีกหนึ่ง ว่าแต่คราวนี้หนูแป๋มเริ่มจะสงสัยอะไรในตัวคุณปัถย์ซะแล้ว
ตอนหน้าจะได้รู้ว่า คุณริต้า นี่เป็นใครมาจากไหน แล้วหนูแป่มของเราจะไปสืบอะไรจากคุณปัถย์ ต้องรอลุ้น เพราะไรเตอร์ก็กำลังนั่งนิมิตรเหมือนกัน(ฮาาาาาาา)

ขอบคุณทุกรีวิวเลยยยยยยยย มีคนให้ความสนใจจจมากขึ้นนนนนนน
แฟนคลับก็มากมายยยยยยยยย......
น่ารักอ้ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ยังไงก็มาช่วยกันให้กำลังใจป๋อมแป๋มด้วยนะ
รักคนอ่านมากมายเหมือนตาแห...จ๊วบจ๊วบ




คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ส.ค. 2554, 16:31:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ส.ค. 2554, 16:31:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 2580





<< บทที่ 11 : ตัวละครลับ   บทที่ 13 : ริต้า เฉิน พิสิษฐ์ดำรง >>
pretty 18 ส.ค. 2554, 16:49:35 น.
ขอแบบให้นู๋แป๋มชนะคุณปัถย์บ้างสิคะ น่าสงสารออก โดนแกล้งตลอดเลย


คุณิณพัณณ์ 18 ส.ค. 2554, 17:41:14 น.
ไม่ต้องกลัวค่ะ...เดี๋ยวไม่นานคุณปัถย์ก็จะกลายเป็นแมวนอนหวดล่ะค่ะ :))


chadum 18 ส.ค. 2554, 18:21:35 น.
รีบๆๆๆมาอัพน่ค่ะ สู้ๆๆค่ะ


รอให้เป็นเล่ม 18 ส.ค. 2554, 20:13:33 น.
หญิงสาวจากเมืองจีน???


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account