กาลครั้งหนึ่งนั้น(ในความบังเอิญ)
เธอกับเขา ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมาก็แค่... อดีตกิ๊ก!
Tags: แต่งงาน,อดีต,รัก,บุพเพสันนิวาส,พรหมลิขิต

ตอน: ๑๙ คลางแคลง -จบตอน-

“เอ ตาว่าลืมซื้อแป้งมาทำบัวลอย” หล่อนเอ่ยและมองนาฬิกา “เพิ่งบ่ายสองโมงเอง ตาชวนลุงไปซื้อดีกว่า เดี๋ยวมานะคะป้า” พูดแล้วก็เผ่นออกจากห้องครัว ศศิพิมพ์มองตามและเห็นจิรสุตาไปชักชวนผู้เป็นลุง ไม่รู้ชวนกันอีท่าไหน คนไปกลายเป็นปุณณมากับคนชวนแค่สองคน ส่วนสองหนุ่มนั่นอุ้มเด็กหญิงเดินออกไปข้างนอกบ้าน

“คงพายายหนูไปเล่นที่สนาม ช่วงนี้มีร่มละอากาศไม่ร้อนมาก”

ศศิพิมพ์ละสายตามามองคนพูด

“ทะเลาะอะไรกันลูก”

หญิงสาวเม้มปากแน่น

“แม่ถามเพราะเป็นห่วง เห็นตึงๆ กันตั้งแต่ลงจากรถละ พี่เขาทำอะไรให้พิมพ์ไม่สบายใจบอกแม่มาเถอะ เผื่อแม่จะช่วยได้”

หากพูดปุณณมาก็อาจจะต้องย้ายออกไป

สะใจไหมก็คงใช่ แต่แล้วหลังจากนั้นเล่า

ศศิพิมพ์ผ่อนลมหายใจ เธอไม่ได้อยากเป็นคนมีเหตุผล ไม่อยากเป็นคนที่ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรมากกว่าอารมณ์ แต่...

แม่เธอบอกเสมอ

สะใจก็ได้แค่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ถ้าทำถูกต้อง เธอจะได้ความสบายใจ ตรงไหนที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี อึดอัดเราก็แค่เดินหนีมาเสีย

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ คุณแม่อย่าห่วงเลย”

สุพนิตลูบเบาๆ ที่กลุ่มผมหญิงสาว ศศิพิมพ์เป็นเด็กดี แม้ขาดพ่อแต่แม่สอนดีนัก ดูอย่างนี้ก็พอรู้

“ถ้าไม่ไหวบอกแม่นะลูก”

ศศิพิมพ์เหลียวมองแม่สามีแล้วยิ้ม รู้สึกว่าน้ำตาซึมนิดๆ

เมื่อคิดดีๆ แล้วที่ทะเลาะก็เพราะพูดกันไม่รู้เรื่อง และที่พูดกันไม่รู้เรื่องก็เพราะเอาแต่อารมณ์

ต้นเหตุคืออารมณ์ เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เธอต้องแก้ไขก็คืออารมณ์ของตัวเธอเอง

“ทะเลาะกันบ่อยๆ คนเขาบอกว่าลูกดก”

จิรศักดิ์เอ่ยกับลูกชายที่มองกลับเข้าไปในตัวบ้าน พี่เลี้ยงเด็กหญิงเข้ามารับหน้าที่ต่อ หล่อนวางเด็กน้อยลงบนเสื่อภายในคอกไม้สี่เหลี่ยมที่ยกได้

“แต่กับแก” คนพูดรอจนจิรสินหันกลับมามอง “คงไม่ดกเท่าไหร่ แต่งงานกันมาสองปีเพิ่งจะเห็นแกกับหนูพิมพ์ทะเลาะกัน ทั้งๆ ที่ก่อนแต่งอยู่ใกล้กันแทบไม่ได้ งับกันจนได้แผลทุกที”

“พูดเสียอย่างกับว่าผมเป็นหมาเลย”

จิรศักดิ์หัวเราะแผ่วๆ ขณะยืนเอามือไขว้หลัง

“พูดแบบนี้แปลว่ายอมรับ แล้วนี่มีเรื่องอะไรกัน ทำไมไม่คุยกันดีๆ ปล่อยไว้คาราคาซังเดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องใหญ่”

“พยายามแล้วครับแต่มันอดโมโหไม่ได้”

“หือ” คนเป็นพ่อหรี่ตามองลูก “แล้วไอ้ที่อดไม่ได้นี่เกี่ยวกับหึงหรือไม่หึงใช่ไหม”

จิรสินกลอกตา “นั่นก็เรื่องหนึ่งครับพ่อ” อ้อมแอ้มตอบออกไปแล้วก็พาลต่อ “วิ่งโร่มาฟ้องพ่อกับแม่ก็คงยายตาใช่ไหมครับ”

“รู้ดีนี่” บิดาผู้อารมณ์ดีบอกยิ้มๆ “ถึงยายตาไม่มาบอกพ่อก็รู้ ได้ข่าวว่าเจ้าณวัฒน์ฟื้นแล้วแถมช่วงนี้ไปๆ มาๆ บ่อย แล้วยังไง ขานั้นมันป่วยมานาน เป็นทั้งเพื่อนเก่าหนูพิมพ์อีก อะไรไปกระตุ้นต่อมแกถึงได้ฟิวส์ขาด หึงไม่ดูตาม้าตาเรือ”

“ผมก็ไม่รู้ แต่พิมพ์ดูเปลี่ยนไป มีเรื่องให้คิดอยู่ตลอดเวลาผมไม่ชอบเลย ตั้งแต่คุยกันเราสัญญากันแล้วว่าจะพูดกันทุกเรื่อง”

“แกคิดว่าการแต่งงานเป็นผัวเป็นเมียมันคืออะไรเจ้าสิน”



“ก็เป็นคนเดียวกัน พึ่งพากัน ใช้ชีวิตด้วยกันเชื่อใจกัน เป็นคนที่เราจะคุยได้ทุกเรื่อง ไม่มีความลับต่อกัน”

“ถ้าแกพูดแบบนี้ฉันก็ขอบอกว่าแกใจแคบ”

“อ้าวพ่อ!”

“ก็จริงไหมเล่า!”

“สรุปคือพ่อจะหลอกด่าผมใช่ไหมเนี่ย”

“ไม่หลอกหรอกด่ามันตรงๆ เนี่ยแหละ” จิรศักดิ์หัวเราะหึๆ “ฟังพ่อนะสิน ที่แกพูดมามันก็ถูกแต่แกลืมเรื่องเคารพความเป็นส่วนตัวของกันไหม แต่งงานแล้วก็ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นนายเขาที่เขาต้องรายงานเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะคิดจะรู้สึกยังไงก็ต้องรายงานไปเสียหมด เราต้องให้เขาได้ตัดสินใจเอง ถ้าเขาไม่ไหวเราถึงเข้าไปช่วย ไม่ใช่คอยแต่จะยื่นมือแส่เข้าไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาต้องการหรือไม่ต้องการ”

“ผมรู้แต่เขาก็มาบ่อยเกินไป บางครั้งผมว่านอกจากผมก็เป็นเขานั่นแหละที่พิมพ์ได้เจอบ่อยที่สุด เช้าถึงเย็นถึง เสาร์อาทิตย์ถึง โทร.หา ไลน์มา บ้าอะไรขนาดนั้นผมทนไม่ไหวก็เลย--” เขาถอนใจ “ทะเลาะกัน”

จิรศักดิ์ฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งฉุนลูกชาย

“แล้วยังไงแกจะเอายังไงกับคนป่วยเล่า คนป่วยทางใจก็ย่อมต้องขวนขวายหาที่พึ่งทางใจ จริงไหม ณวัฒน์น่ะน่าสงสาร หนูพิมพ์ก็ทำไม่ถูกจริงๆ ตอนนั้นอาการเขาเลยแย่มาก นี่เท่ากับเป็นโอกาสให้หนูพิมพ์ได้ไถ่บาปในใจ แค่เท่านี้แกจะไม่ช่วยให้เมียแกสบายใจเลยเหรอ แล้วนะที่แกหึงหวงอยู่นี่มันแสดงออกกลายๆ ว่าแกไม่เชื่อใจหนูพิมพ์”

จิรศักดิ์ปรายตามองลูกชายทางหางตา

“ไม่ใช่ไม่เชื่อใจพิมพ์นะพ่อ แต่ผมว่ามันมากเกินไป”

“เออดี แล้วแกลองคิดตามฉันนะ ลองคิดเทียบกันกับการที่แกพาหนูจันทร์กับยายหนูมาอยู่ในบ้านพ่อแม่นี่ แกว่าหนูพิมพ์จะไม่คิดอะไรเลยเหรอ”

จิรสินถึงกับสะอึก “แต่ผมก็ขอความเห็นจากพิมพ์แล้วนะครับ ถ้าพิมพ์ไม่ชอบใจก็ต้องบอกว่าไม่แล้วสิ”

“แกนี่มันบทจะโง่ก็โง่นะ แกบอกว่ารักหนูพิมพ์ แต่งงานกันมาเป็นปีๆ แกดูไม่ออกเหรอเมียแกเป็นยังไง อย่างหนูพิมพ์น่ะเหรอจะบอกว่าไม่ ขี้ใจอ่อนก็เท่านั้น ขี้สงสารก็เท่านั้น แถมเมียแกยังมีแม่ดี สั่งสอนลูกดี ตัวลูกเขาก็ดี เห็นคนตกทุกข์ได้ยากมาอย่างนี้คิดว่าเมียแกจะบอกอีกหรือไงว่าไม่ค่ะ เสียดายเป็นเสือผู้หญิงแต่ดันดูไม่ออก เสียชาติเกิดละเจ้าสินเอ๊ย”

ครั้นเห็นลูกชายไม่เถียงและนิ่งไปจิรศักดิ์ก็ผ่อนลมหายใจ

“แกโตกว่าหนูพิมพ์ คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ปล่อยให้หึงมันขึ้นหน้าก็สมควรจะถูกด่าไหม เอ้าคิดดู”

พูดจบคนเป็นพ่อก็ผละจากมา จิรสินหมุนตัวมองตามบิดา จิรศักดิ์เข้าไปนั่งในคอกกับเด็กหญิงตัวน้อย เขาอุ้มขึ้นประคองให้ยืนและไม่วายพูดกระทบลูกชายไปอีกหนึ่งดอก

“ยายหนูเอ๊ยยายหนู พ่อทูนหัวยายหนูมันโตแต่ตัว!”

จิรสินฟังแล้วก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาหัว เขาตีหน้าผากตัวเองสองสามครั้งเมื่อได้สติสตังกลับคืนมา

ก็อย่างที่พ่อว่า เขาใช้อารมณ์นำหน้าจนลืมมองความจริงไป




ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2561, 22:50:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2561, 22:50:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 759





<< ๑๙ คลางแคลง (255%)   บทที่ ๒๐ สุดทาง (50%) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account