ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา

ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย

ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย

ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ

การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 2

ตอน 2
เอวาต้องข่มความรู้สึกต่างๆไว้ ขณะสายตายังมองอีกฝ่าย กรองแก้ว นายหญิงคนปัจจุบันของตระกูลบลูโน โค ขณะที่เธอเป็นแค่อดีต เข้ามาขวางการปูพรมของเธอ หนามชิ้นใหญ่ที่หยอกอก ทำให้เธอต้องคอยระวัง และแสดงออกใดๆไม่ได้ นอกจากการไว้ตัวเพื่อให้อีกฝ่ายเกรงใจ เธอเชิดหน้าขึ้นน้อยๆคนมาใหม่ก็ยิ้มเยือนกลับไป แล้วหันไปมองหญิงสาวที่มองอยู่เช่นกัน

“เป็นคนไทยใช่ไหม”

เสียงพูดภาษาบ้านเกิดที่ชัดแจ๋ว ทำให้แววตาของชิญาดาเต็มไปด้วยความดีใจ ไม่ได้เอะใจว่าอีกฝ่ายรู้ต้นกำเนิดเธอได้ยังไง รีบตอบรับออกมา “ค่ะ”

“ฉันกรองแก้ว” เธอแนะนำตัวเองแค่ชื่อ แล้วบอกต่อว่า “ฉันรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และขอให้เชื่อฉันปล่อยมือจากเรื่องนี้ แล้วเดินไปกับฉัน”

ชิญาดาจะบอกว่าไม่ได้ แต่สถานการณ์ที่เผชิญอยู่ค่อนข้างอันตรายในตอนนี้ ทำให้ต้องนิ่ง ยอมรับข้อเสนอของอีกฝ่าย นายหญิงตระกูลบลูโน โค ยิ้มอย่างพอใจ แล้วหันมาบอกอดีตภรรยาของสามีว่า “ฉันคุยกับเธอแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก็ถือว่าจบกันไป ฉันจะพาเธอกลับไปกับฉัน”

“ไม่ได้”

เสียงกร้าวที่ดังขึ้นมาจากคนที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่เกิดเรื่อง เอริคลุกขึ้นยืน มองผู้หญิงทั้งสามคนสลับกันไปมา แล้วหยุดนิ่งที่หญิงสาว ประกาศออกมาว่า “เธอเป็นของผม ห้ามใครมายุ่งหรือพาไปไหนเด็ดขาด”

“แต่ฉันรู้มาว่า เธอไม่ได้เป็นของใครยังไม่มีใครเป็นเจ้าของเธอ ฉะนั้นถ้าเธอจะไปไหน ก็เป็นสิทธิ์ของเธอ” นายหญิงแห่งบลูโน โค ตอบกลับ

“เธอเป็นสิทธิ์ของผม”

“อยากให้มีเรื่องเหรอคะ”

คำท้าทายนั้นทำให้เอริคตาลุกวาว ก้าวมาเหมือนจะเอาเรื่องเมียใหม่ของพ่อ เอวาต้องรีบเอาตัวไปขวางไว้ เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของลูกที่เธอพยายามทำให้ขาวสะอาดต้องเสียไป เพราะการงัดข้อกับนายหญิงที่ทุกคนควรเกรงใจ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน อีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยังคาราคาซังอยู่ ถ้าไม่หยุด ไม่จบเสียตั้งแต่ตอนนี้ ปัญหาใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาอีก ควรจะนิ่งไว้เป็นดีที่สุด

เธอเองก็ใช่ว่าจะยินดี รู้สึกเหมือนถูกหักหน้าด้วยซ้ำ แต่จำต้องอ่อนดีกว่าหัก จนทุกอย่างต้องพังลงไป วันข้างหน้ายังมีไม่ใช่มีแค่วันนี้ ห้ามลูกด้วยสายตาว่าให้หยุด แต่เอริคยังฮึดฮัดเหมือนจะไม่ยินยอม จึงจับแขนกดปลายเล็บหยิกเนื้อให้รู้สึก เขาจึงข่มใจลงได้ แต่สีหน้ากับแววตายังกระด้างอยู่ เอวาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วปล่อยมือจากแขนลูก หันมามองนายหญิงแห่งบลูโน โค เชิดหน้าไว้ตัวเล็กน้อย ก็บอกว่า
“เอริคยังเด็ก อาจจะวู่วามไปบ้าง อย่าถือสาก็แล้วกัน”

“ถ้ารู้ตัว ฉันก็ไม่ถือหรอกค่ะงั้นขอตัวนะคะ”

กรองแก้วตวัดสายตามาที่หญิงสาว แล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง ชิญาดาปรายตามองสองแม่ลูกเพียงนิด ก็ก้าวตามไปติดๆ

ขณะที่สองแม่ลูกหันหน้าเข้าหากัน สายตาของคนเป็นแม่เต็มไปด้วยการตำหนิ และจับผิด อยากรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และเหตุผลที่ทำไมถึงอยากจะเก็บผู้หญิงคนนั้นไว้ทั้งๆที่ควรจะจัดการ การขัดขวางที่เกิดขึ้นมันน่าสงสัย แต่สถานที่ไม่อำนวยให้ซัก จึงบอกให้ทนายเมอเรย์ไปจบคดีกับกับนายตำรวจใหญ่ อย่าให้โผล่มาสร้างความรำคาญใจให้อีก แล้วพาลูกชายกลับบ้าน
*******
ชิญาดาเดินตามผู้หญิงตรงหน้า ที่โผล่มาช่วยเธอ โดยมีผู้ชายใส่สูทผูกไทสองคน ที่เธอเพิ่งเห็นว่ายืนรออยู่หน้าห้องเมื่อกี้ เดินตามมาข้างหลัง คงเป็นบอดี้การ์ดของเธอ พลางลอบสังเกตลักษณะท่าทางของผู้หญิงตรงหน้า รูปร่างหน้าตา บุคลิกนั้นดูดีมาก สง่างาม ใบหน้าสวยติดจะนิ่งๆ ยิ่งมองเธอก็ยิ่งรู้สึกคุ้น แต่ไม่คิดจะทบทวนว่าเคยเห็นหรือเคยเจอที่ไหน เพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้คิด นั่นคือ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมสองคนที่เปรียบเหมือนเสือที่คอยขย้ำเธออยู่ ถึงได้ยอมถอย เปิดทางให้เดินออกมาได้อย่างง่ายดาย คงสำคัญและมีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้หญิงที่ไว้ตัวคนนั้นแน่ อีกอย่างที่เธอลืมไปและเริ่มจะคิดขึ้นมาคือ การรู้ต้นกำเนิดของเธอ

นัยน์แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยและคำถามมากมาย กระทั่งผู้หญิงที่เดินอยู่ตรงหน้าหยุดยืนนิ่ง หันมามองเธอ ยิ้มน้อยๆให้ เธอก็ยกมือไหว้พร้อมกับบอกว่า “ขอบคุณค่ะ”

“ไม่เป็นไร”

“งั้น ฉันขอตัวนะคะ” เธอพูดแบบนี้เพราะอายุของอีกคน ที่คาดคะเนไว้คงห่างจากเธอไม่น่าจะเกินสิบปี แล้วก็จะเดินจากไปทั้งๆที่มีคำถามจะถามอีกมากมาย แต่ไม่อยากละลาบละล้วง อีกอย่างคิดว่าคงไม่ได้เจอกันจึงไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องของอีกฝ่าย แต่ต้องชะงัก เมื่อมีคำถามๆมาว่า

“คิดว่าปลอดภัยแล้วเหรอ”

ชิญาดาชะงักพลางสบตาที่มองอยู่ และรับฟังสิ่งที่พูดเตือนออกมาอีกว่า “ถ้าฉลาดแล้ว ก็ควรจะเอาตัวรอดให้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ใช่แค่เพิ่งเริ่มก็คิดว่ามันจะจบแล้ว”

“หมายความว่าไงคะ”

“ท่าทางของสองคนนั้น บอกอะไรเธอบ้างละ”

“อันตราย”

กรองแก้วยิ้มให้กับความฉลาด ซึ่งคงได้มาสายเลือด ประสบการณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่ชายมาบ้าง ไม่มากก็น้อย “แล้วยังคิดจะเดินจากไป หรือไปต่อกับฉันละ”

ชิญาดานิ่วหน้าอย่างใช้ความคิดและเมื่อมีเวลาคิด ความละเอียดรอบคอบก็มีมากขึ้น แรกที่คิดว่าผู้หญิงที่ไว้ตัวคนนั้น คงไม่ทำอะไรเธอในโรงพยาบาล มันไม่แน่นอนเสียแล้ว เพราะแม้แต่คนที่เป็นตำรวจยังกระเด็นออกไปจากห้อง แล้วเธอที่เป็นผู้หญิงต่างชาติ ที่เปรียบเสมือนมดตัวกระจิ๊ดริดในประเทศนี้

ถ้าจะหายไปหรือตายจากไป คงไม่แคล้วคดียอดฮิต ที่ไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดให้มากความอย่างฉกชิงวิ่งราว ปล้น ฆ่าข่มขืน จับมือใครดมไม่ได้ หรือจับได้ก็คงมีใครเป็นแพะรับปาก เพราะอิทธิของผู้หญิงคนนั้น ฉะนั้น...เธอมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่...

“คุณเป็นใครคะ และรู้ว่าฉันเป็นคนไทย และรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง”

“ฉันจะตอบเท่าที่ตอบได้ก็แล้วกัน แต่จะให้ตอบตรงนี้ที่นี่คงไม่ได้ เพราะถ้าเธอยังรู้ถึงอันตราย ที่นี่ก็ไม่ได้ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์”

“แล้วเพื่อนฉันละคะ”

“ฉันมั่นใจ ว่าไม่เป็นอะไรแน่นอน”

“อะไรทำให้คุณถึงมั่นใจขนาดนั้นคะ”

“หลังจากที่เธอได้รู้ว่าสองคนนั้นเป็นใคร เธอก็จะรู้คำตอบ”

พูดจบกรองแก้วก็เดินต่อไปยังรถที่จอดรออยู่ โดยไม่จำเป็นต้องบอกให้หญิงสาวเดินตามไปเพราะฉลาดที่จะคิดก็ต้องเดินตามมาแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่คิด ชิญาดาก้าวตามไปด้วยความหนักใจ ไม่คิดว่าเพียงวันแรกที่มาเยือนเมืองที่ใฝ่ฝัน ก็เป็นเหมือนฝันร้ายไปเสียแล้ว และไม่รู้เลยว่าการไว้ใจครั้งนี้ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของหัวใจ
*********
ณ ใจกลางเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเส้นหลักของธุรกิจ อาคารสีขาวห้าชั้นตั้งโดดเด่นใกล้ถนนมีป้ายชื่อสีทองติดว่าซี ราเซลภายนอกตกแต่งด้วยรูปปั้นโชว์สรีระสวยงาม หลากหลายแบบ เพราะเป็นสถานที่รับรองผู้คนที่ชื่นชอบการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และยังมีต้นไม้ น้ำพุที่จัดวางจัดสรรไว้ให้เย็นตา สบายใจอีกด้วย

ภายในอาคารมีเทรนการออกกำลังกายทุกรูปแบบ ครบวงจร ทั้งการเต้น หมัดมวย โยคะ เทรนไหนว่าดีว่าฮิตจากทุกทวีปของโลก ที่นี่มีหมด และยังให้ผ่อนคลายสบายๆกับสปาร้อนเย็นอีกด้วย เจ้าของที่นี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตภรรยาคนที่สองของ โจนส์ บลูโน โค เธอคือราเซลนั่นเอง โดยมีลูกสาวเรนียาช่วยดูแลอีกด้วย

สองแม่ลูกนั่งอยู่ในห้องทำงานบนชั้นห้า เรนียานั่งดูเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เธอมีความสวยไม่ต่างจากคนเป็นแม่ แต่เรียบร้อยกว่าและไม่ค่อยสนใจเรื่องความบาดหมางที่ได้รู้เห็นมามากนัก ไม่มักมากในทรัพย์สมบัติ เพราะเท่าที่มีก็สะดวกสบายมากแล้ว

เธอปรายตามองคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาหนานุ่มกลางห้อง สีหน้ายังบอกอารมณ์ที่คุกกรุ่นจากการโดนอดีตภรรยาคนแรกของพ่อดูถูกเอา เธออยากจะบอกว่าอย่าไปใส่ใจ คำคนเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น คิดแค้นไปก็มีแต่ทุกข์ใจเปล่าๆ แต่ที่ผ่านมาเมื่อเธอพูดออกไป คำพูดของเธอไม่ได้เป็นน้ำเย็นชโลมจิตใจ แต่เป็นน้ำมันเติมเชื้อไฟให้โหมขึ้นมาอีก จึงได้แต่นิ่งเท่านั้น

ราเซลไม่อาจนั่งนิ่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อีกแล้ว เมื่อในสมองมีแต่ความโกรธแค้นและเจ็บปวดใจ เธอคว้ากระเป๋าที่วางไว้ข้างตัวแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ยังไม่ทันก้าวไปไหน คนที่นั่งจับตามองอยู่ก็ถามออกมาทันที

“แม่จะไปไหนคะ”

“คลายความทุกข์”

เรนียานิ่งคิดถึงที่ๆคาดว่าคนเป็นแม่จะไป พอได้คำตอบ ก็เอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังว่า “เรยาว่า” ชื่อแทนตัวของเธอ “แม่จะทุกข์เพิ่มขึ้นเปล่าๆนะคะ”

ราเซลหันไปมองหน้าลูก แล้วบอกว่า “ฉันยอม ดีกว่านั่งให้ไฟมันเผาใจอยู่อย่างนี้”

“แต่...”

“ทำงานของแกไป ถ้าไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้ ก็อยู่เฉยๆ”

ฟังคำตัดรอนแล้วเรนียาก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ยังไม่ถอดใจและไม่อยากให้แม่คิดว่าเธอไม่ใส่ใจ “แม่คะ ไม่ใช่เรยาไม่อยากช่วย แต่เราพอเพียงและอยู่กันอย่างเพียงพอก็ได้แล้วนี่ค่ะ ไม่เห็นจะต้องดิ้นรน ให้เดือดเนื้อร้อนใจไปทำไม อีกอย่าง... แม่ แม่คะ”

เธอร้องเรียก เมื่อคนเป็นแม่เดินออกจากห้องไป เพราะไม่ต้องการคำฟังพูดของเธออีก จึงได้แต่ส่ายหน้า แล้วลุกขึ้นเดินตามไป

ราเซลลงลิฟต์มายังชั้นสาม ที่เปิดให้บริการด้านสปามีทั้งการนวด อาบน้ำแร่ แช่น้ำนม จึงถึงนอนแช่ออนเซ็น เธอเดินไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุด แล้วผลักประตูห้องให้เปิดออก เดินเข้าไป ภายในโอ่อ่า เรียบหรู ตกแต่งด้วยโทนสีเทา มีบันไดหินให้เดินขึ้นไปที่อ่างออนเซ็นขนาดใหญ่กลางห้อง รอบอ่างเป็นหินแกรนิตสีนิลมันวาว ผนังห้องติดรูปดอกซากุระที่ดูพลิ้วไหวให้ความอ่อนไหว อ่อนโยน อ่อนหวานสวยงาม แต่ภาพเหล่านั้นก็ยังไม่งดงามเท่าวิวนอกกระจกใสบานใหญ่การผสมผสานระหว่างธรรมชาติที่มีอยู่ก่อนมนุษย์จะเกิด กับสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นมา

เธอไม่ได้สนใจมองตึกมองฟ้า มองอย่างเดียวคือคนที่ในแช่น้ำอยู่ในอ่างออนเซ็น ลูกชายที่เธอหวังจะให้แข็งแกร่งเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นประธานอาณาจักรบลูโน โค แต่กลับอ่อนปวกเปียก ไม่สนใจ ไม่พยายามไขว่คว้าสิ่งที่มีอยู่ให้มาอยู่ในมือ กลับมานอนแช่น้ำสบายใจอยู่แบบนี้ มองแล้วขัดใจขัดตาไปหมด แต่ก็ต้องข่มความขุ่นเคืองทั้งหมดไว้เดินไปยืนใกล้ๆแล้วยิงคำถามใส่ทันที

“ทำไมถึงไม่อยู่คุยกับคุณพ่อ ให้ท่านได้รู้ว่างานที่ทำ ที่ดูแลอยู่ เป็นไปด้วยดี มีกำไรให้ท่านได้ชื่นใจ และชื่นชมออกมา”

คนที่นอนหลับตาอย่างสบายอารมณ์ จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร คิ้วเข้มขมวดหากันบอกความขัดใจ แล้วตอบทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ “ผมมีงาน และเบื่อความโลภของแม่เต็มทนแล้ว”

“ราฟ” เสียงเธอสุดจะขุ่น ดวงตาวาวไปด้วยความโกรธ “เบื่ออย่างนั้นเหรอ แล้วที่แกนอนเสวยสุขอยู่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่แกเรียกว่าเบื่อหรอกเหรอ”

“ก็ใช่ แต่ไม่จำเป็นต้องไปไขว่คว้าอีก ที่มีอยู่ก็มากมายพอแล้ว”

“ไม่พอ” เสียงเธอเกือบตวาดออกมา อารมณ์ที่ข่มไว้แทบจะระเบิด เมื่อลูกสองคนไม่ได้อย่างใจ มีความเห็นสวนทางกับเธอ ทั้งๆที่พยายามทำให้มีความมั่นคงเพิ่มขึ้นในชีวิต “แกคิดหรือว่า ถ้าแกไม่ไขว่คว้าไว้ แล้วคนที่ได้ทุกอย่างไป จะให้แกสุขสบายอยู่แบบนี้ น้ำหน้าอย่างพวกมัน มีแต่เหยียบให้ซ้ำย้ำให้จมดินไปเท่านั้น”

“งานผมก็มี”

“ไอ้บริษัทเวดดิ้งที่แกทำอยู่งั้นเหรอถึงมันจะเติบโตได้ดี แต่ก็ยังอยู่ภายใต้เครือข่ายของตระกูล ไม่มีงานอะไรที่แกก่อร่างสร้างมากับมือของตัวเองสักอย่าง แล้วเมื่อสามแม่ลูกนั้นขึ้นมาเหนือแกเมื่อไร ไม่มีทางที่มันจะไม่บีบบังคับเอาคืนไป แล้วแกจะเหลืออะไร"

ราฟลืมตาขึ้นมาทันที สบกับคนเป็นแม่ แล้วบอกความเชื่อมั่นของตัวเองออกมา “ไม่มีวันนั้นหรอกครับ”

“แกเอาอะไรมาประกัน ขนาดฉันที่แต่งงานจดทะเบียนกับพ่อแกเรียบร้อย สุดท้ายยังโดนใส่ร้ายจนต้องเลิกรากันไป แล้วนับอะไรกับความแน่ใจที่ไม่มีความแน่นอนอะไรมาประกัน ว่าจะเปลี่ยนผันไม่ได้”

ราฟลุกขึ้นนั่ง เอื้อมมือไปหยิบเสื้อคลุมมา ลุกขึ้นใส่ ก้าวขึ้นมาจากอ่าง รูปร่างเขาผอมเพรียว ผิวพรรณขาวเนียนลออ ทุกอย่างบนใบหน้าไม่ว่าจะเป็น ดวงตา จมูก ริมฝีปาก เข้ากันราวกับอิสตรี ร่างสูงเดินมายืนเผชิญกับคนเป็นแม่ ที่แววตายังบอกความทุกข์ใจ แต่เขาไม่มีความทุกข์ร้อนให้เห็นแล้วบอกว่า

“งั้นผมก็ต้องควรก่อร่างสร้างตัวด้วยสองมือของตัวเองซิครับ”

“มันช้าไปแล้ว ตราบใดที่สามแม่ลูกนั้นยังอยู่ แกไม่มีทางที่แกจะทำสำเร็จ มันจะขัดขวางแกทุกวิธีทาง ทางเดียวที่แกจะทำให้สำเร็จได้ ก็คือเชื่อฉัน” น้ำเสียงเธออ่อนลง และเริ่มปะเลาะให้ลูกคล้อยตาม “ทำตามที่ฉันบอก แล้วแกจะประสบความสำเร็จ จะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงว่าจะต้องไปดิ้นรน กระเสือกกระสนให้ได้กินอิ่มนอนหลับ เหมือนที่ฉันเคยเป็นมา”

“ไม่ละครับ ใครอยากได้ อยากรวย อยากอยู่เหนือใคร ก็ให้ดิ้นกันไปเอง ผมไม่สนใจ ตราบใดที่คุณพ่อยังอยู่ ผมเชื่อว่าท่านจะดูแลลูกให้สุขสบายได้”

พูดจบเขาก็เดินไปยังห้องอาบน้ำ ทิ้งให้คนเป็นแม่ยืนอ้าปากค้างเพราะเจ็บ จุก อยู่ในอก ด้วยคิดไม่ถึงว่าลูกจะทำได้เพียงนี้ทั้งๆที่เริ่มจะคล้อยตาม เธอกำมือข่มความรู้สึกเจ็บๆไว้ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดจะรามือ จะกล่อมจนกว่าจะเห็นด้วยกับเธอ

เรนียาที่มายืนรับฟังอยู่ด้วย ส่งสายตาผ่านประตูห้องน้ำเห็นใจพี่ชาย ยิ้มอ่อนๆให้กำลังใจ แล้วหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ

ราฟเปิดประตูห้องอาบน้ำออกมา เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องปิดลง สีหน้าแววตาไม่เหมือนยามอยู่ต่อหน้าคนเป็นแม่ ที่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร ตอนนี้ดิ่งลึกราวกับขบคิดอะไรอีกมากมาย แล้วปิดประตูลงเสมือนไม่ต้องการให้ใครเห็นความรู้สึกในแววตา
**********
แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบมุมเหลี่ยมอาคารบลูโน โค เกิดแสงวิบวับ เป็นประกายคล้ายประกาศความยิ่งใหญ่ของตระกูล ภายในอาคารเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอาการชั้นดี พนักงานทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ แต่ที่เงียบสนิทคือชั้นของท่านประธาน แทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย กระทั่งมีเสียงย่ำเดินบนพื้นพรหมดังขึ้นเบาๆ

เลขาวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นจากเอกสาร มองตรงไปยังต้นเสียง ก็ได้เห็นร่างสูงในสูทสีดำ ใบหน้าคมไปทุกสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นดวงตา คิ้ว จมูก ริมฝีปากรับกันอย่างลงตัว สีผิวไม่ได้ขาวอย่างชาวยุโรป ออกสีน้ำผึ้งละมุน ยิ่งทำให้ดูสมาร์ท เดินตรงมาหา สบตาอย่างคุ้นเคย เผยรอยยิ้มทักทายให้เล็กน้อย เธอก็ทักทายกลับไป

“คุณกรณ์ ลมหนาวยังไม่มานะคะ คุณกลับมาก่อนเวลา”

“พายุโซนร้อนกำลังจะเข้า ก็เลยต้องกลับมาก่อน” เสียงทุ้มตอบกลับมา เลขาวัยกลางคน ยิ้มอย่างเข้าใจความหมาย ก็บอกว่า

“หวังว่าไม่เกินการรับมือนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

ร่างสูงเดินผ่านโต๊ะเลขาตรงไปยังห้องท่านประธาน ยกมือขึ้นเคาะประตูเพียงสองครั้ง ก็ได้ยินเสียงอนุญาตให้เข้าไปได้ มือหนาเปิดประตูออก สองเท้าก้าวพาตัวเข้าไปข้างใน ดวงตาคมมองคนที่นั่งหันหลังให้อยู่บนโซฟานุ่มมุมห้อง ที่จัดไว้เป็นมุมผ่อนคลาย พักร่างกายพักสายตาจากงานเครียดๆ เพราะตรงหน้าเป็นผนังกระจกใส มองเห็นความเป็นไปของกับสิ่งแวดล้อมของเมือง

สองเท้าหยุดยืนอยู่หลังโซฟา สองมือล้วงกระเป๋า สายตามองไปนอกกระจก หยุดสายตาอยู่ที่ท้องฟ้าสีคราม ไร้เมฆบดบัง ไม่มีคำพูดใดดังขึ้นมา ความเงียบยังทำหน้าที่ให้เวลาทั้งสองคน และเมื่อมีนกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า คนที่นั่งอยู่ก็พูดออกมา “การเดินทางเรียบร้อยดีไหม”

“ครับ”

“คำตอบนี้รวมถึงการคุยกับหลังบ้านท่านรัฐมนตรีด้วยหรือเปล่า”

กรณ์ยิ้มที่มุมปาก ภาพการเอาใจภรรยารัฐมนตรีที่มีอำนาจตัดสินใจโครงการยักษ์ใหญ่ ปรากฏขึ้นมา ความดีใจของเธอบอกเขาว่างานนี้ไม่น่าจะมีปัญหา “ผมเพิ่งกำนัลเธอด้วยของที่หายาก ภาพวาดสมัยโบราณของราชวงศ์จีน ชนิดที่ใครก็หามาให้ไม่ได้ นอกจากตระกูลบลูโน โค”

คำพูดนี้ก่อให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าโจนส์ คิดไม่ผิดที่ขอให้กรณ์ไปเดินเกมนี้ ด้วยบุคลิก ความฉลาด การถ่อมตน รู้จักผ่อนปรนในบางเกม ฝีมือที่เฉียบขาด ทำให้ผลของงานที่ออกมายอดเยี่ยมมาก และการให้เครดิตกับตระกูลเขา เป็นการต่อยอดงานให้สำเร็จ และน้อยคนที่จะรู้ว่าท่านรัฐมนตรีนั้นเกรงใจภรรยามาก เพราะเธอคือเบื้องหลังที่ทำให้ท่านขึ้นมานั่งบนยอดเขา

โจนส์เดินเกมด้านหลัง ขณะที่พวกอีวาน ไรท์ เดินเกมด้านหน้าการพาท่านไปตีกอล์ฟ กีฬาที่โปรดปรานคงพลาดโฮอินวันก็คราวนี้ โจนส์ยิ้มกว้างขึ้นแล้วลุกขึ้นเดินมายืนข้างกรณ์ ยกมือตบบ่าเขาพร้อมกับบอกว่า “ขอบใจมาก”

กรณ์แค่ยิ้มให้เท่านั้น ประธานโจนส์พยักหน้ารู้ว่าที่เขาทำให้เพราะภรรยาของท่าน ที่เป็นญาติกับเขา “กรองแก้วไปเช็กสุขภาพ ไม่นานก็คงกลับ ดื่มกาแฟกันก่อนไหม” ท่านบอกให้รู้ เพื่อให้เขารอ

“ผมอยากพักมากกว่า” กรณ์ปฏิเสธ ท่านก็เข้าใจ เพราะงานนี้เบียดเวลาการพักร้อนของเขา

“ขอโทษที่ทำให้เวลาการพักผ่อนของคุณสั้นลง”

“ผมชินแล้วครับ”

ประธานโจนส์ยิ้ม พลางมองคนที่ไม่ได้ผูกพันกันด้วยสายเลือด แต่ผูกพันกันด้วยความสัมพันธ์ เป็นลูกพี่ลูกน้องหรือจะเรียกว่าเป็นญาติ มีศักดิ์เป็นพี่ชายของภรรยาคนปัจจุบันของเขาก็ได้

กรณ์ วิจิตรนาถ

หนุ่มฉกรรจ์ที่พร้อมสรรพไปทุกอย่าง ทั้งรูปร่างสูงบึกบึนรูปลักษณ์หล่อคมเข้มตามเชื้อสายชาวเอเชียและทรัพย์สมบัติธุรกิจที่มั่นคง ครบเครื่องทั้งสติปัญญาความสามารถ ซ้ำยังทระนงในเกียรติยศและศักดิ์ศรี เสียดายที่เขามีวาสนาได้แค่เกี่ยวข้องไม่ได้ผูกพันมีเลือดเดียวกัน แต่ได้ตัวมายืนอยู่ตรงนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว

“ฉันได้ข่าวบางข่าวที่ไม่ค่อยดี” จู่ๆโจนส์ก็พูดขึ้นมา สีหน้ายิ้มๆก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“ผมมันแค่คนนอกนะครับ” กรณ์รีบออกตัว เพราะไม่อยากเอาตัวเข้าไปอยู่ในทุกเรื่องของตระกูลนี้ แม้ที่จะทำนั่นเพื่อญาติสาว แต่ก็มีธุรกิจเขาพ่วงอยู่ด้วยเหมือนกัน และสิ่งที่พูดไปก็ได้แค่พูดเพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้ออกห่างเลย ซึ่งตรงกับความต้องการของโจนส์พอดี

“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”

“ผมไม่อยากก้าวก่าย”

การออกตัวเป็นครั้งที่สอง ทำให้ประธานโจนส์ต้องหันหน้าไปมองท้องฟ้า ตอนนี้สายลมพัดพาเมฆมามาบดบังท้องฟ้าครามแล้ว แต่ฟ้าก็ยังเป็นฟ้าที่ตั้งมั่นไม่หวั่นอะไรเช่นเดิม เช่นเดียวกับเขา

“ที่ผ่านมาฉันไม่เคยบังคับอะไรคุณ และรู้ว่าคุณลำบากใจ และรู้อีกว่าที่คุณมายืนอยู่ตรงนี้เพราะอะไร แต่คุณก็มาทุกครั้ง ซึ่งฉันก็ถือว่าคุณตกลง”

กรณ์ขบฟันหยันตัวเอง ที่ปล่อยให้อีกฝ่ายรู้ทัน แต่ไม่เคยเสียรู้ ที่รู้ว่าเหตุผลที่เขามานั่นคือ กรองแก้ว ญาติสาวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ แล้วมาตกหลุมรักชายสูงวัย ที่ให้ความรักความอบอุ่น เข้าใจ ดูแล ราวกับเธอเป็นลมหายใจ ที่ขาดไปไม่ได้เลย แต่ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นและหอมหวาน เมื่อเขาไม่ใช่คนชนชั้นทั่วไป แต่เป็นถึงมหาเศรษฐี มั่งมีทั้งเงินทองอำนาจบารมี ที่สำคัญคือมีลูกติด

ความรักจึงไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่ยังมีอีกหลายคนเข้ามาเกี่ยวข้องและวุ่นวาย แต่ละคนที่เขาเห็น ได้รู้จักจากธุรกิจที่ทำอยู่ นั่นบอกเขาว่าอย่าไว้ใจ เขาจึงไม่อาจปล่อยมือ ต้องปลีกตัวจากธุรกิจของตัวเอง มาคอยดูคอยกันคนที่คอยทำลายทำร้ายเธออยู่ห่างๆอย่างห่วงใย

“ข่าวที่ว่าคืออะไร”

“ค้าประเวณี”

กรณ์ปรายตาไปมองคนพูด ที่เกลียดเรื่องผิดกฎหมายและหลีกเลี่ยงมาตลอด ถึงขั้นที่ถ้าจะลงทุนร่วมงานกับใคร มีข่าวแว่วมาเพียงนิด ก็จะยกเลิกคว่ำกระดานทันที โดยไม่สนใจว่าจะสูญเสียเม็ดเงินไปเท่าไร แต่มาพูดเรื่องนี้กับเขามันมีอะไรซ่อนอยู่ เขาคิดพร้อมฟังเสียงที่บอกออกมาราวกับรู้ความคิดเขา

“ยังไม่มีอะไรแค่มีการเตือนมาจากพวกมีสีที่ฉันมีบารมีด้วยเท่านั้น”

“ถ้าไม่มีจริง พักร้อนผมคงเย็นสบายไปแล้ว”

ประธานโจนส์หันมามองหน้าคม นัยน์ตามีแววขำกับคำประชดที่รู้ทันของอีกฝ่าย แล้วเผยความคิดที่ไปในทิศทางเดียวกัน “ใช่ เมื่อก่อนการเตือนจะมาจากพันธมิตรด้านการค้า ที่ฉันสามารถตัดขาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้มาจากผู้มีกฎหมายอยู่ในมือ นั่นแสดงว่าอาจจะมีใครในตระกูลบลูโน โค เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไม่ก็เป็นเป้าหมาย”

“จะใครก็ช่าง ถ้าไม่เกี่ยวกับคนของผม คือไม่ยุ่ง”

“กลับความคิดเสีย เพราะไม่สามารถตัดใครออกไปได้ ไม่ว่าชายหรือหญิง ทุกคนมีสิทธิ์เกี่ยวข้องหรือเป็นเป้าหมาย เท่าๆกัน ความยุ่งยากเกิดขึ้นแน่นอน”
กรณ์ขบฟันเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ เมื่อไม่อาจสลัดปัญหาออกไปได้ ต้องคอยจับตามองคนที่เปรียบเหมือนแมลงที่กัดต่อยญาติเขาให้เจ็บๆคันๆระคายเคืองบ้าง แต่ไม่เคยแพ้ถึงขั้นต้องนอนล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ครั้งนี้ ถ้าคำเตือนที่โจนส์ได้มาเป็นจริง ใครที่กำลังทำเรื่องเลวร้ายนี้

“งั้นก็ภาวนาอย่าให้เลือดของคุณแปดเปื้อนก็แล้วกัน ที่สำคัญอย่าให้กระเด็นมาโดนคนของผมเข้า ไม่งั้นหน้าของคุณก็หยุดผมไม่ได้”

“แม้จะขอร้อง”

“ถ้าคุณลองมาเป็นผม คุณจะรู้คำตอบ”

พูดจบกรณ์ก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ประธานโจนส์ไขคำถามที่ได้เป็นคำตอบว่า การค้าประเวณี ไม่ว่าใครเข้าไปเกี่ยวข้อง คืออันตรายเท่าชีวิต ยิ่งเกิดกับคนที่รักความเจ็บปวดนั่นแสนสาหัสนัก เพราะผู้หญิงที่ตกไปอยู่ในวงโคจรนี้ เท่ากับตกนรกทั้งเป็น ถูกย่ำยีร่างกายไม่พอ อาจจะทรมานด้วยการตกเป็นทาสของยาเสพติด ฉะนั้นคำว่าอภัยไม่มีอยู่ในหัวเลยแล้วใครกันที่จะทำเรื่องเลวร้ายนี้!

ความคิดของท่าน ไม่ต่างไปจากความคิดของกรณ์ วิจิตรนาถ แม้จะเดินจากมากระทั่งมายืนอยู่หน้าอาคารบลูโน แล้ว ก็ยังคิดคำนึงถึงเรื่องนี้ แล้วตวัดสายตามองไปที่รถยนต์ส่วนตัวของเขา ที่คนขับขับมาจอดตรงหน้า เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งทันที เสียงโทรศัพท์ส่วนก็ดังมา

เขาสบตากับคนขับ ชื่อผินซึ่งเปรียบเสมือนคนรู้ใจเพราะอยู่ด้วยกันมาหลายปี พยักหน้าให้เคลื่อนรถออกไปได้ ก็หยิบโทรศัพท์มากดรับสาย รับฟังเสียงที่ดังมา สายตาก็เริ่มแสดงความสงสัยออกมา ผิดกับคนที่โทรมาหา ใบหน้านั้นมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วย...เลศนัย
*********
ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นพลิ้วไหวไปตามสายลม กิ่งใหญ่ๆดูจะไม่สะเทือน แต่กับกิ่งเล็กๆใบเล็กๆที่ไหวไปมานั้นสะท้อนมายังคนที่ยืนมองอยู่ เพราะกำลังเผชิญกับเรื่องที่ทำให้จิตใจสั่นไหวเหมือนใบไม้ อดีตนายหญิงคนแรกของตระกูลบลูโน โค ยืนอยู่ที่สวนข้างคฤหาสน์ ที่ให้ความสำราญใจกับเธอมาตลอด แต่วันนี้ความรู้สึกเหล่านั้นหมดสิ้นไป เพราะปัญหาที่ลูกชายก่อขึ้นมา

เอวาหันมามองหน้าลูกชาย ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดลายเถาวัลย์สีเขียว ข้างๆกันนั้นคือทนายความ ที่ต้องมารับฟังพร้อมหาทางแก้ปัญหา ตั้งแต่กลับมาถึงคฤหาสน์เธอก็เดินมาข่มอารมณ์อยู่ที่นี่ เพราะก่อนที่จะกลับมา เธอได้แวะไปดูหญิงสาวที่นอนเจ็บอยู่ในห้องฉุกเฉิน ความสงสัยนั้นมีอยู่มากมาย และตอนนี้ก็ได้เวลาซักถามกันแล้ว

“ผู้หญิงที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินนั้นเป็นใคร สำคัญยังไง ถึงได้ลดตัวลงไปทำเรื่องให้เกิดเรื่องขึ้นมา” ไม่มีคำตอบจากลูกชาย แถมยังเมินมองไปทางอื่น ไม่คิดจะสนใจหรือสบตาเธอจึงตวัดสายตาไปมองทนาย ตัดสินใจตัดปัญหา สั่งเสียงเด็ดขาดว่า“จัดการเธอเสีย”

“อย่ายุ่งกับเธอ”เสียงเอริคขุ่นอย่างไม่พอใจ พร้อมกับดึงสายตามามองหน้าคนเป็นแม่ ซึ่งประสานสายตาสั่งให้พูดทุกอย่างออกมา แต่ได้ยินเพียง “เธอคือความจำเป็น ผมต้องเก็บเธอไว้ ผมบอกแม่ได้แค่นี้”

“แต่พูดแค่นี้ไม่พอที่จะทำให้แม่ยกเลิกคำสั่งนะเอริค เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ลูก ผู้หญิงคนนั้น แล้วก็แม่อีกแล้ว แต่มีเมียใหม่ของพ่อของลูกยื่นเท้าเข้ามาวุ่นวายด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่าเข้ามาได้ยังไง หรือว่าเธอรู้จักคู่กรณีของลูก”

“ผมไม่รู้”

“อาจจะเป็นคนบ้านเดียวกัน เพราะภาษาพูดที่เหมือนกัน” เสียงคาดคะเนนี้ดังมาจากปากของทนายเมอเรย์ สองแม่ลูกตวัดสายตาไปมอง แล้วเอวาก็สรุปออกมาว่า

“คนไทยงั้นเหรอ”

ไม่มีใครค้านความเห็นเธอ มีแต่การนิ่งเงียบที่บอกได้ว่าคือใช่ สร้างความหนักใจให้เธอขึ้นไปอีกแต่ที่หนักกว่าคือการที่ลูกของเธอไม่พูดความจริงออกมาเสียที จึงได้แต่ขู่ออกไปว่า “อย่าทำให้แม่หมดความอดทนนะเอริค”

เอริคเหยียดมุมปากออก ไม่มีความกลัวในแววตา เพราะรู้ว่าคนเป็นแม่ไม่ทำอย่างที่พูดแน่นอน เมื่อเขาเป็นความหวังเดียว ที่จะลบปมทุกอย่างในใจท่านให้หมดไป ดังนั้นคำขู่ใดๆที่พูดออกมา จึงไม่มีผลอะไรกับเขาทั้งสิ้นจึงบอกไปว่า

“ไม่ว่าแม่จะกลัว กังวล เรื่องอะไรอยู่ ถ้าไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็จัดการขวากหนามเอาเอง” ว่าแล้ว ก็จะเดินออกไป เอวาจับแขนรั้งไว้ แล้วบอกว่า

“ลูกไม่เห็นความยุ่งยากหรือไง ถึงได้พูดปัดสวะแบบนี้”

“มันจะไม่ยุ่ง ถ้าแม่ไม่ยุ่ง”

“แล้วใครทำให้ยุ่ง”

“แม่” เสียงเอริคแทบจะตะคอกออกมา ด้วยความอัดอั้น “ผมโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็ก ที่แม่จะมาวุ่นวายจัดการขีดเส้นให้เดิน เลิกวุ่นวายเลิกสนสะพายชีวิตผมเสียที” ว่าแล้วก็สะบัดแขนออกจากมือ ฝ่ามือแม่ก็สะบัดใส่หน้าทันที

“เพี้ยะ”

ใบหน้าของเอริคหันไปตามแรงตบ ความเจ็บแผ่ซ่านไปทั้งหน้าลึกไปถึงใจ แต่นิ่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ต่างจากความเย็นชาของคนเป็นแม่ ที่โกรธลูกที่ไม่เคยเห็นความรักความหวังดีของเธอ ซ้ำยังทำเหมือนเธอเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ

“แม่รักลูก ยอมทำทุกอย่างก็เพื่อลูก แต่ทุกอย่างกำลังจะพัง เพราะการไร้หัวคิด ชักศึกเข้าบ้านมาแทนที่จะปิดประตูจัดการให้สิ้นซาก กลับปล่อยไว้ให้เผาบ้านจนวอดวายหรือไง”

“แล้วแต่จะคิด”
“เอริค” เสียงเธอแทบจะไม่รอดไรฟันออกมา บอกถึงความเจ็บแน่นไปทั้งอก แต่จะมีความเห็นใจจากลูกรึก็ไม่ ซ้ำยังเดินจากไป ไม่คิดจะหยุดเหลียวมามองเลย

เอวาจิกปลายนิ้วกับรองเท้าเพื่อข่มความโกรธให้เยือกเย็นลง ก็เชิดหน้าขึ้นไว้ตัวให้สง่างามดังหงส์ดุจเดิม หันไปสั่งทนายความด้วยเสียงเย็นชาว่า “ไปสืบมา ว่าผู้หญิงที่กรองแก้วเอาตัวไปเป็นใคร ส่วนคนที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน ส่งคนไปดูแลไว้อาการดีขึ้นมาเมื่อไร เอาตัวมาให้ฉัน”

“แต่คุณเอริค” ทนายเมอเรย์รู้สึกหวั่นใจ เพราะความเดือดดาลที่ได้เห็นเมื่อกี้ ทำให้เขาไม่ค่อยกล้า แต่ความรู้สึกเหล่านั้นหายไปทันที เมื่อมีคำถามมาว่า

“ใครเป็นเจ้านาย”

ทนายเมอเรย์รีบก้มหน้ารับคำสั่ง เพราะคำถามที่สื่อถึงความน่ากลัว ซึ่งเขาไม่อยากเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยง จึงเลี่ยงด้วยการเอ่ยคำลาเพื่อรีบไปจัดการให้ทันที

ส่วนเอวายังยืนอยู่ที่เดิม ความเป็นหงส์ได้หายไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ราวกับคนที่ถูกสูบเรี่ยวแรงออกไป เพราะการตบหน้าลูกไม่ใช่เธอไม่เสียใจ แต่ต้องแข็งกร้าวเพื่อให้ลูกได้เห็นถึงความผิดพลาดที่ได้ทำลงไป การเอาแต่ใจตัวเอง เก็บงำทุกอย่างไว้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น

เธอต้องมานั่งคิดถึงปัญหาที่ยังเป็นปริศนาให้คิดไม่ตกว่า ทำไมลูกของเธอถึงปกป้องผู้หญิงสองคนนั้น ทั้งที่ไม่เคยออกหน้าให้ผู้หญิงคนไหนมาก่อน ที่ผ่านมาไม่ว่าเธอจะยื่นมือเข้าไปจัดการกับผู้หญิงคนไหน ก็ไม่เคยที่จะต่อต้านขนาดนี้ นี่ถึงกับมองความห่วงใยของเธอเป็นความชั่วร้าย มันคืออะไรกัน ที่สำคัญคือทำไมเมียใหม่ของอดีตสามี จึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ลูกของเธอก่อขึ้นมา
***********
รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านประตูรั้วไปบนถนนคอนกรีต คนที่นั่งอยู่ในรถมองสองข้างทางด้วยความสนใจ ไม้ยืนต้นให้ความร่มรื่นไปตลอดทาง สนามหญ้าเขียวชอุ่ม ล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงและต้นไม้เล็กๆที่แซมอยู่ระหว่างต้น ชูช่อดอกสีขาวเล็กๆนวลตา และมีม้านั่งไม้จัดวางให้เป็นมุมพักผ่อน มีรูปปั้นกระต่ายหลายอริยบท วางอยู่ข้างๆราวกับมันมีชีวิตที่ซุกซน ช่างน่ารักนัก

ชิญาดามองแล้วอยากจะไปดูใกล้ๆ แต่ชะตากรรมที่ตัดสินใจตามผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆมา ไม่อาจรู้ว่าต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ดีหรือร้าย เธอก็ต้องระวังตัว แม้ตลอดทางที่นั่งรถมา จะมีการพูดคุยกันบ้าง แต่เป็นเรื่องทั่วไป ไม่มีการเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่ผจญมาให้น่าสงสัย

กระทั่งรถวิ่งมาจอดหน้าบันไดหินอ่อนของบ้าน มีเทอเรซสองข้าง วางเก้าอี้เล็กๆจัดเป็นมุมรับแขกหรือไม่ก็พักผ่อน เพราะเย็นตาและสวยงามด้วยน้ำตกจำลองที่มีรูปปั้นนางกินรีร่ายรำอยู่กลางสายน้ำ

ประตูรถถูกเปิดออกโดยบอดี้การ์ดของผู้หญิงที่เธอตามมา ก็ละสายตาจากนางกินรีมามองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งแย้มริมฝีปากส่งยิ้มให้เธอน้อยๆ ก็ขยับตัวออกไปยืนอยู่ข้างรถ เธอก็รีบออกมาเช่นกัน สายตากวาดไปมองรอบๆอีกครั้ง อาณาบริเวณของบ้านหลังนี้กว้างไม่ใช่น้อย ตัวบ้านก็น่ารัก ช่างเหมาะสมกับผู้หญิงที่เป็นเจ้าของ แล้วต้องละสายตาจากของรอบตัว เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์

เธอมองตรงไปยังรถยนต์สีดำที่กำลังวิ่งตรงมา แล้วปรายตาไปมองผู้หญิงที่เธอตามมา ซึ่งก็มองรถที่กำลังวิ่งตรงมาเช่นกัน แต่ในการมองนั้นมีรอยยิ้มปรากฏให้เห็น ให้เธอได้รู้ว่าคงเป็นคนที่รู้จัก

“หยุดรถ”

เสียงคนที่นั่งอยู่เบาะหลังรถยนต์สีดำ ดังขึ้นมา คนขับก็เบรกหยุดรถทันที มองคนเป็นนายทางกระจกด้วยความสนใจ แต่สายตานายไม่ได้มองตอบ กลับมองตรงไปที่ผู้หญิงสองคน ซึ่งคนหนึ่งนั้นเขารู้จักดี แต่อีกคน...สายตาดึงกลับมามองคนเป็นนาย ที่ได้เปิดประตูลงจากรถไปแล้ว

กรณ์ก้าวยาวๆตรงไปหาผู้หญิงทั้งสองคนที่มองเขาอยู่ แต่สายตาเขากลับจับจ้องอยู่แค่คนๆเดียว คนที่มองเขาอยู่ คนหนึ่งนั้นยิ้มด้วยความสมใจบางอย่าง ขณะที่อีกคนมองเฉยๆแม้รูปลักษณ์เขาจะดูดี แต่เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร กระทั่งเขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้า

ผู้หญิงที่เธอตามมา ก็เดินเข้ามาหา แล้วทำในสิ่งที่เธอไม่คาดฝัน ผลักเธอไปหาผู้ชายคนนั้น พร้อมกับคำพูดที่ทำให้เธอเย็นวาบไปทั้งตัว

“เอามาให้แล้ว ดูแลให้ดีก็แล้วกัน”
*********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ย. 2561, 09:42:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ย. 2561, 09:42:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 965





<< 1   ตอน 3 >>
แว่นใส 1 ต.ค. 2561, 12:55:17 น.
วางแผนทำไรน๊า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account