ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา

ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย

ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย

ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ

การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 3

ตอน 3
กรณ์ยกมือขึ้นกอดร่างอรชรไว้ทันที ชิญาดาผลักมือนั้นออกแต่ไม่ออก แล้วมองผู้หญิงที่เธอตามมาด้วยความไว้ใจ แต่กลับหักหลังเธอด้วยการหลอกมาให้ผู้ชาย ที่เธอไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นใคร ความโกรธเกลียดฉายชัดขึ้นมาบนใบหน้าและแววตา “ปล่อยฉันนะ” เธอแว้ดใส่คนที่กอดเธอไว้ แต่เขานิ่งเฉย เธอก็ดิ้นแต่ก็ไม่หลุด จึงโวยวายกับผู้หญิงที่พามา “ไหนว่าคุณจะบอกในสิ่งที่ฉันสงสัย”

“เขาก็ตอบเธอได้”

“ฉันเชื่อใจคุณ แต่คุณกลับหลอกฉันเหรอ”

“ใช่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แล้วเธอจะขอบคุณฉันทีหลัง ฉันไปละ” ว่าแล้วกรองแก้วก็เดินไปขึ้นรถ ขณะที่ชิญาดาก็ดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนแกร่ง พร้อมกับพยายามพูดเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้

“ไม่นะ คุณจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ไม่ได้นะ ปล่อยนะ” เธอแกะมือที่จับแน่นราวกับคีมเหล็ก และผลักไสร่างสูงให้ออกไปจากตัว แต่ไม่ขยับเขยื้อนหรือเคลื่อนออกเลยไป ขณะที่รถที่พาเธอมาทิ้งไว้ก็วิ่งออกไป

ชิญาดาพยายามจะตามไปแต่ติดมืออีกฝ่าย น้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจและกลัว สองมือกำเข้าหากันเมื่อแน่ชัดแล้วว่าถูกทิ้ง ได้แต่ยืนมือรถที่วิ่งออกไปจนลับตา

กรณ์ทอดสายตามองร่างอรชร ก่อนจะหรี่มองมือที่จับเธอไว้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะมาอยู่ในมือเขา ผู้หญิงที่เขาเห็นแค่รูปก็ถูกใจ จากนั้นเมื่อได้กลับไปเมืองไทย ก็จะตามดูแต่ได้เห็นแค่แวบๆ เพราะงานที่รัดตัวไม่อาจทำได้อย่างใจ แต่จากนี้ไปเขาจะกำเธอไว้ไม่ปล่อยให้ห่างไปอีกตลอดชีวิต

แรกที่เห็นหน้า หัวใจเขาฟูด้วยความดีใจ ไม่คิดถึงเรื่องใด นอกจากอยากจะเข้าไปกอดเธอไว้แนบอก ซบหน้ากับแก้มนวล ไล่สายตามองไปทุกส่วนประกอบที่เกิดมาเป็นเธอ อยากยิ้มให้กับทุกสิ่งรอบตัว แม้กระทั่งฝุ่นสิ่งเล็กๆที่มองไม่เห็น ก็จะยิ้มเพราะดีใจเหลือเกิน แต่ที่ทำได้คือความนิ่งเฉย เมื่อเขารู้ใจตัวเองแต่ไม่รู้ใจเธอ และไม่รู้ว่าเธอจะให้ใจเขาหรือเปล่า

โทรศัพท์ที่เขารับสายก่อนมาที่นี่ มาจากบอดี้การ์ดของญาติสาว ซึ่งก็คือคนของเขาที่ส่งไปดูแลเธอ ส่งข่าวที่คงได้รับคำสั่งมาบอกให้เขาได้รู้ว่าจะมารออยู่ที่บ้าน แต่ไม่ได้พูดว่าจะมีใครมาด้วยเลย แล้วเธอมาอยู่กับญาติสาวของเขาได้ยังไง

ชิญาดากะพริบตาให้หยาดน้ำตาเลือนหาย เมื่อคิดได้ว่าเธอจะมายืนเจ็บช้ำน้ำใจอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วหันมามองหน้าคนที่จับมือเธอไว้ ความหล่อเหลา ดูดี ที่เห็น ไม่สามารถเรียกความชื่นชมจากเธอได้ เพราะเธอตราหน้าเขากับผู้หญิงคนนั้นไปแล้วว่าเป็น ‘คนเลว’ รู้หน้าไม่รู้ใจ ทำดีให้น่าเชื่อถือ แต่ความจริงแล้วคือหลอกลวง

เธอบิดมือออกจากมือเขา กรณ์หรี่ตามองแวบเดียว ก็คลายมือออกให้ แต่พอเธอขยับตัว ก้าวเดินจากไป เขาก็เดินไปขวางทางไว้ “ทางออกของเธอคือเข้าไปอยู่ในบ้าน ไม่ใช่ไปจากหลังบ้านนี้”

“ฉันจะไป”

“ถ้าเธอต่อไปอีกก้าวเดียว ฉันจะลากเธอเข้าไปในบ้าน”

เสียงนั้นบอกไม่ได้พูดเล่น แต่ชิญาดาไม่สนคำขู่ ความโกรธของเธอเลยผ่านจุดนั้นมาแล้ว เดินผ่านตัวเขาไปทันที แล้วตัวก็หมุนคว้าง เมื่อถูกกระชากตัวกลับมา ถลาไปตามแรงดึงของเขา ที่เดินเข้าไปในบ้าน เธอจิกปลายเท้ากับพื้นขืนตัวไว้สุดๆ แต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ถูกลากให้เดินตามไปติดๆ

เธอพยายามเกาะเกี่ยวทุกอย่างที่เห็น ทั้งต้นไม้ ขอบประตู เพื่อเหนี่ยวรั้งตัวเองไม่ให้ตามเขาไป และแกะมือเขาออกแต่นิ้วเขาแข็งล็อกข้อมือเธอไว้ ไม่คลายออกแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างที่ทำจึงเหนื่อยเปล่า

กรณ์พาเธอเข้ามายืนอยู่กลางห้องโถง ปล่อยมือเธอแล้วยกมือขึ้นกอดอก สายตามองหน้าเธอนิ่งๆ แต่ชิญาดามองเขาด้วยความโกรธ และถามออกมาด้วยเสียงที่บอกว่าชิงชัง “ต้องการอะไร”

“ดูแล”

“ดูแลฉันทำไม”

“ทำอะไรมาละ”

“หมายความว่าไง” เธอถามแล้วเริ่มคิดออก ความโกรธที่มีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นมาอีก “คุณรู้ทุกเรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นทำกับฉัน ร่วมมือกันงั้นเหรอ”

กรณ์ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะเขายังไม่รู้อะไรเลย แต่คิดว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง ญาติของเขาถึงได้พาเธอมาที่นี่หรือสุภาษิตที่ว่าแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย กำลังจะเกิดขึ้นมา เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าอดีตนั้นสร้างรอยแผลอะไรไว้ให้บ้าง หลังจากนี้คงต้องโทรไปถามให้รู้เรื่อง

“เลวเหมือนกันไม่มีผิด”

“ถ้ายังไม่มีอะไรแน่ชัด ไม่มีหลักฐานความน่าจะเป็น ก็อย่าตัดสินคนอื่น เพราะถ้าคิดแบบนั้น ฉันก็ทำได้เหมือนกัน ว่าเธอก็เลว” น้ำเสียงเขานิ่งๆ แต่เชือดเฉือนอย่างโหดร้าย

ชิญาดาโกรธขึ้นมาอีกเท่าตัว เมื่อถูกต่อว่า ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ “คิดจะปกปิดความผิดของตัวเองด้วยการโยนบาปให้คนอื่นงั้นเหรอ เลวไม่มีที่ติจริงๆ แล้วยังมีอะไรที่ไม่แน่ชัดอีก เมื่อฉันเห็นชัดอยู่ทนโท่ว่าถูกหลอกให้มาที่นี่ ผู้หญิงคนนั้นทำเป็นหวังดี จะช่วยฉัน แล้วยังไง หน้าเนื้อใจเสือดีๆนี่เอง”

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันจะเลวเหมือนกัน”

“ก็คุณคงเป็นเทือกเถาเหลาก่อของเธอ ก็ต้องเลวเหมือนกันซิ”

“ไม่คิดว่าฉันจะผ่าเหลาบ้างเหรอ และแทนที่จะโกรธแบบนี้ ทำไมไม่เปลี่ยนมาขอให้ฉันช่วยแทน”

ชิญาดาเหยียดริมฝีปากออกหยัน มั่นใจว่าไม่มีทาง แต่สมองอีกส่วนก็คิดว่าลองดูก็ไม่เสียหาย ถ้าพูดแล้วเขาช่วยก็จะได้ไปจากนี้เสียที แต่ถ้าไม่ช่วยก็เสมอตัว แล้วจำไว้เป็นบทเรียนว่าอย่าหวังพึ่งเขาอีก เสียงพูดจึงอ่อนลงเล็กน้อย

“งั้นไม่ต้องช่วย แค่ปล่อยฉันไปก็พอ”

“ไม่ได้”

เสียงเขาเด็ดขาดเพราะหวงห่วง แต่เธอยิ่งหยันเพราะไม่รู้และไม่ถามหาเหตุผล นอกจากที่คิดไว้แล้ว และไม่คิดจะพูดอะไรอีก นอกจากคิดหาทางที่จะหนีไปให้ได้

กรณ์มองอย่างรู้ทันและยิ้มขำอยู่ในใจที่เธอช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ครั้นจะให้เขาบอกออกไป เธอก็คงไม่เชื่อ เพราะปักใจไปแล้วว่าเขา...เลว

“อยู่ในบ้าน ห้ามออกไปไหน จนกว่าฉันจะพาออกไปหรือไปด้วยกัน” พูดจบเขาก็จะเดินออกไปโทรหาญาติสาว แต่คิดได้ว่าเธอคงไม่ฟัง จึงหันมาขู่อีกว่า “ถ้าไม่ฟัง ฉันจะปล่อยหมาออกมาให้กัด” แล้วเดินออกจากห้องไปทันที

ชิญาดามองจนเขาเดินเลี้ยวหายไปจากสายตา ก็เดินออกไปหน้าบ้าน ไม่สนคำขู่ ไม่รอความหวัง ไม่เชื่อใจใครอีกแล้วนอกจากตัวเอง แต่เพียงก้าวลงบันไดเดินไปตามทางเท้า ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงสุนัขเห่าดังมาให้ได้ยิน ก่อนจะเห็นตัว

สุนัขร็อตไวเลอร์สีดำตัวใหญ่ เดินวางมาดดุดันพลางเห่ากรรโชก ให้เธอกลัว ไม่กล้าขยับขาเดินต่อ ยิ่งมันจ้องตรงมาราวกับจะกระโจนใส่ ก็รีบถอยหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน คอยมองรอคอยให้มันเดินไปทางอื่น แต่มันกลับนั่งชูคอเหมือนเฝ้าเธอเสียอย่างนั้น เธอเม้มริมฝีปากอย่างเคืองๆ และโกรธคนขู่เพิ่มขึ้นไปอีก โดยไม่เอะใจว่าเขารู้ได้ยังไง ว่าเธอกลัวสุนัข

เธอถอยไปนั่งบนโซฟาตัวยาว ขัดเคืองใจที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งรอ แล้วฆ่าการรอคอยด้วยการมองไปรอบๆห้องที่เธอนั่งอยู่ ของทุกอย่างที่ตกแต่งนั้นล้วนแล้วแต่คุ้นตาเพราะมาจากบ้านเกิด เธอคิดแล้วนึกย้อนไปตั้งแต่ประตูรั้วที่เปิดให้รถวิ่งเข้ามา สองข้างเป็นสนามหญ้า มีไม้ยืนต้นไม้ดอกไม้ประดับ ที่เธอคุ้นเคยและรู้จัก กระทั้งรถวิ่งมาจอดหน้าบันไดหินอ่อนของบ้านชั้นเดียวสีขาว

เปิดประตูลงมาจากรถก็เห็นรูปปั้นนางกินรีสีทอง อวดรูปร่างอรชรอยู่กลางน้ำตกจำลอง แวดล้อมด้วยต้นไม้นานาพันธ์ ที่จัดวางไว้อย่างสวยงาม บอกให้รู้ว่าเจ้าของอนุรักษ์นิยมไม่น้อยแม้จะอยู่ในที่ต่างถิ่นก็ตาม

แม้กระทั่งในห้องนี้ ตู้ไม้สักทองวางเครื่องเบญจรงค์ลายครามสวยงาม ภาพติดผนังลายไทย แจกัน โคมไฟเป็นลายฉลุ งดงามปราณีเข้าชุดกันอย่างงดงาม ถ้าไม่เจอด้วยตาตัวเอง คงคิดว่าบ้านหลังนี้อยู่ในประเทศไทยแน่นอน เธอชื่นชมอยู่ในใจ แต่ความพึ่งพอใจค่อยๆหายไปเมื่อถูกกำจัดอิสรภาพ ได้แต่ชะเง้อมองไปที่สุนัข ซึ่งมันยังมองเธออยู่ และไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านก็คอยมองเธออยู่เช่นกัน


กรณ์ยืนอยู่ในห้องทำงาน ที่อยู่ตรงปีกซ้ายด้านหน้าของตัวบ้าน สามารถมองเห็นสนามหญ้ากับสวน และคนที่เข้าออกบ้านเขา ซึ่งเมื่อเขาอยู่บ้าน คนขับรถที่เปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจ กลายมาเป็นบอดี้การ์ดพาสุนัขที่เลี้ยงไว้ มาเดินออกกำลังกายตรวจตรารอบขอบรั้วบ้าง ปล่อยให้เดินเล่นอยู่ภายในบ้านบ้างถ้าไม่เจอสิ่งผิดปรกติก็ไม่ได้หวังให้ทำอันตรายใคร

เขายิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นแม่คนเก่ง ถอยร่นไม่เป็นท่า แล้วกดโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือหาญาติสาว รอสัญญาณไม่นาน เสียงหวานๆก็ดังมา “ถึงบ้านแล้วค่ะ กำลังเตรียมอาหารเย็นของโปรด อย่างน้ำพริก ปลาสลิด...”

“ไม่ได้อยากรู้” เขาขัดออกไป “อย่าเล่นตัว รู้ไม่ใช่เหรอว่าที่อยากรู้คืออะไร”

ปลายเสียงเงียบไปก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงนุ่มนิ่งตามสไตล์ของตัวเอง “ไม่รู้อะไรเลยค่ะ วันนี้กรองมีตรวจเช็กสุขภาพที่โรงพยาบาล พบเจอเข้าโดยบังเอิญ แล้วที่เข้าไปยุ่งเพราะเธอมีเรื่องกับเอวา ที่มีอะไรให้น่าสงสัย และคงไม่มีใครที่จะพ้นไปจากมือนางหงส์ผู้นี้ได้เท่ากับการเอาไปไว้ในมือกรณ์”

“แน่ใจเหรอ” เขาถามแล้วท้าวความถึงคำพูดของเธอก่อนจะจากไป ‘เอามาให้แล้ว ดูแลให้ดีก็แล้วกัน’ มันหมายความว่ายังไง รู้อะไรมาหรือเปล่า” เขาว่าเมื่อคำพูดกับการกระทำมันสวนทางกันให้น่าสงสัย

“เปล่าค่ะ” คนที่รู้อยู่แก่ใจยังปฏิเสธออกมา และยังบอกอีกว่า “แค่สงสารคนบ้านเดียวกันเปรียบเหมือนลูกนกลูกกาที่พลัดบ้านมา ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ช่วยกันไว้ก็ไม่เสียหาย หรือจะไม่ช่วย ถ้างั้นก็ส่ง...”

“ช่วย” เขาแทรกขึ้นโดยไม่ต้องคิด เพราะชอบตั้งแต่เห็นรูป เฝ้าดูอยู่ห่างๆมาเป็นปีๆ เมื่อมาอยู่ใกล้แล้วจะปล่อยให้ห่างไปอีกได้ไง ส่วนที่สงสัยก็เก็บไว้ก่อน “แล้วรู้หรือยังว่ามีเรื่องอะไรกัน”

“ยังไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าเธอมีเรื่องกับเอริค แล้วมีเอวาเข้ามาเกี่ยวก็คงเพราะห่วงลูก กรณ์ต้องไปถามเธอเอาเอง ตะล่อมดีๆนะคะเพราะพยศไม่น้อย กรองเสียพลังไปเยอะเหมือนกัน กว่าเธอจะยอมเชื่อใจ”

“ยากแล้วละ เพราะการไว้ใจถูกทำลายด้วยการหลอกลวง การจะเชื่อใจกันอีกครั้งคงไม่มีแล้ว”

“แต่มีความจริงใจ ก็คงไม่ยากเกินไปใช่ไหม”

คำถามทิ้งท้ายแล้วปลายสายก็ตัดสัญญาณ กรณ์ถอยไปยืนอิงโต๊ะทำงาน ครุ่นคิดหลายสิ่งหลายอย่างแล้วเริ่มลงมือ สืบสาวราวเรื่องต่างๆเพื่อ...ปกป้องเธอ
*********
ดวงดาราเหนือหลังคาโรงพยาบาล เริ่มกระจ่างส่องแสงวิบวับขึ้นมากลางความมืดดำของท้องฟ้า คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น เริ่มรู้สึกตัว เปลือกตากะพริบสองสามครั้งก็เปิดขึ้นมา แสงไฟสีขาวสะท้อนเข้านัยน์ตาทำให้ต้องหรี่ตาปรับสายตาให้ชิน และเริ่มคิดว่าที่นี่ที่ไหน เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลายๆคำถามเกิดขึ้นในสมอง แล้วค่อยๆเรียกความทรงจำกลับคืนมา

‘ปัง’

ร่างกายกระตุกเล็กน้อย เมื่อจำเสียงปืนที่ดังขึ้นก่อนสติเธอจะดับวูบไป “น้องหนู” เสียงดังแผ่วลอดออกมาจากริมฝีปาก เมื่อความทรงจำหลั่งไหลกลับมา เอียงหน้าส่ายสายตามองหาคนที่เอ่ยชื่อออกมา แต่ต้องนิ่งงันเมื่อสบตากับคนที่ทำร้ายกัน “เอริค”

เจ้าของชื่อนั่งอยู่บนโซฟาที่วางชิดติดผนัง แววตาที่มองมานั้นมีความเฉยเมย แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเดินมายืนชิดเตียงคนป่วย ก้มหน้าลงมองนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แต่ไม่มีความรู้สึกสงสาร ซ้ำเติมด้วยการเหยียดริมฝีปากออกหยันแล้วถามด้วยเสียงกระด้างคุกคามอยู่ในท่าที

“ของฉันอยู่ไหน”

“ไปลงนรกเสีย” เธอสาปส่ง แววตาของคนถูกแช่งกร้าวขึ้นมาทันที

“ไม่จำสิ่งที่ฉันทำลงไปใช่ไหม หรืออยากจะเจออีกหรือไง”

หญิงสาวเอียงหน้าหลบตามองไปทางอื่นด้วยความกลัว รสชาติของความเจ็บเธอยังจำได้ดี แม้แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว แล้วจะหาทางออกให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ยังไงดีเธอคิดแล้วความคิดก็ชะงักงัน “โอ๊ย” เสียงเธอร้องออกมา เมื่อถูกเอริคบีบปลายคาง บังคับให้หันหน้ามามอง เค้นเสียงถามออกมา

“บอกสิ่งที่ฉันอยากรู้มา”

“ฉันไม่รู้”

ปลายนิ้วกดปลายคางจนหน้าเธอบิดเบ้ด้วยความเจ็บ และเจ็บมากขึ้นเมื่อเขาออกแรงกด เธอดิ้นให้หลุดพ้นแต่ยากเหลือเกินเมื่อร่างกายอ่อนแอ แต่เธอไม่ยอมแพ้ ไขว่คว้าทุกอย่างที่พอจะเอื้อมถึง กระทั่งมือไปปัดแก้วน้ำตกแตก คนที่ยืนอยู่หน้าห้องได้ยินเสียง

ผู้ชายสองคนก็เปิดประตูผลุนผลันเข้ามาดูทันทีแต่หยุดชะงัก ยืนดูอยู่ห่างๆไม่กล้าทำอะไร เพราะลูกชายเจ้านายหันขวับมามองด้วยความน่ากลัว แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“ออกไป”

ทั้งสองคนหันหน้ามาปรึกษากันด้วยสายตาว่าจะเอายังไงดี คำสั่งที่ให้มาเฝ้าหญิงสาวแล้วพาตัวไปเมื่อฟื้น ดูจะยากเสียแล้ว เพราะลูกของเจ้านายมาเฝ้าอยู่ก่อน แล้วจังหวะนั้นหญิงสาวที่ไม่มีใครสนใจก็หาตัวช่วยให้ตัวเอง คว้าตัวกดเรียกพยาบาลมาหา ผู้ชายสองคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าถอยออกไป รายงานคนที่สั่งการมาดีกว่าดันทุรังให้เจ็บตัว ทั้งคู่เดินออกจากห้องไป

เอริคก็หันกลับมามองเธอ ที่มองคนที่ออกไปอย่างเสียดาย “อย่าคิดที่จะพึ่งพาใคร ถ้าฉันไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เธอก็ไปไหนไม่ได้”

“สารเลว”

“เธอทำให้ฉันเลวต่างหาก รีบบอกสิ่งที่ฉันอยากรู้มา ไม่งั้น...”เขาหรี่ตามองที่ลำคอเธอพร้อมกับเลื่อนปลายนิ้วลงมาช้าๆ ยิ้มเหี้ยมๆออกมาแล้ว...

“ต้องการอะไรคะ”

เขาหันไปมองด้านหลัง พอเห็นว่าเป็นใคร ท่าทางก็เปลี่ยนจากจะบีบคอเป็นจัดเสื้อจับผ้าห่มให้เธอทันที ขณะที่นางพยาบาลที่ถูกเรียกมา ก็เดินมายืนชิดเตียงคนไข้ มองคนไข้ที่มีท่าทางแปลกๆ สลับกับมองคนที่มาเยี่ยมและเฝ้าอยู่นานแล้ว

“ต้องการอะไรคะ” นางพยาบาลถามซ้ำ

“ฉันอยากพักค่ะ ไม่อยากให้ใครรบกวน”

“งั้นเชิญคุณกลับไปก่อนนะคะ”

เอริคยืนนิ่งไม่สนใจคำเชิญ แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาก็ยอมถอยออกไป ให้หญิงสาวแปลกใจ เพราะไม่ใช่วิสัยของเขาที่จะยอมง่ายๆ ยิ่งยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ จะไม่ยอมรามือเด็ดขาด เธอคิดแล้วค้างคาไว้ หันมาสนใจนางพยาบาล ที่เข้ามาช่วยเธอได้ทันเวลา

“ใครพาฉันมาที่นี่คะ ใช่ผู้หญิงเอเชียหรือเปล่า”

“ใช่ค่ะ”

“แล้วตอนนี้เธออยู่ไหนคะ”

“ไม่ทราบค่ะ ไม่เห็นเธอนานแล้ว”

“แล้วนอกจากเขาแล้ว มีใครมาหาฉันอีกบ้าง”

“ไม่มีค่ะ แต่มีผู้ชายสองคนยืนอยู่ที่หน้าห้อง”

หญิงสาวคิดทันทีว่าเป็นคนของเอริคแน่ๆ มิน่าถึงได้ยอมเดินออกไปง่ายดาย “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว แต่เมื่อกี้ฉันทำแก้วน้ำตก ช่วยเก็บให้ด้วยนะคะ” เธอบอกนางพยาบาล แล้วหลับตาลงให้เห็นว่าเธอพักแล้วจริงๆ

นางพยาบาลมองหาแก้วที่แตกอยู่พื้น สลับมองคนป่วยด้วยความสงสัยว่าทั้งที่มีคนมาเฝ้าดูแล แล้วทำแก้วตกแตกได้ยังไง เธอครุ่นคิดแวบเดียวก็เลิกสนใจเพราะเธออาจพลั่งเผลอทำตกจริงก็เดินออกไปบอกแม่บ้านให้มาจัดการ

ทันทีที่เสียงประตูปิดลง คนป่วยก็ลืมตาขึ้นมา สีหน้ามีแต่ความกลัวผสมกับความหวั่นวิตก คิดว่าจะทำยังไงถึงจะออกไปจากที่นี่ หนีให้พ้นจากเอริค ที่ต้องกลับมาทำร้ายเธอจนกว่าจะได้ของที่ต้องการ ซึ่งเธอให้ไม่ได้ ไม่งั้นลมหายใจเธอก็จะหมดไปเช่นกัน

เธอคิดหาทางอย่างหนัก แล้วยิ้มนิดๆเมื่อคิดออก “น้องหนู” ใช่ คนที่จะช่วยเธอได้ มีแต่เพื่อนรักเท่านั้น แต่จะติดต่อได้ยังไง จะมีวิธีไหน เพราะตอนนี้เธอไม่มีโทรศัพท์ เบอร์ติดต่อก็จำไม่ได้ ความดีใจหายวาบไปทันที ที่เกิดปัญหาให้ขบคิดอีก หรือต้องรอเพื่อนรักกลับมาหา ซึ่งเธอเชื่อว่าต้องกลับมาแน่นอน แต่เธอจะได้เจอหรือเปล่า เพราะคนที่เฝ้าคงไม่ยอมให้เข้ามาได้ง่ายๆ
**********
คฤหาสน์ของผู้ดีเก่า แสงไฟเปิดสว่างทั่วทุกมุม ผู้หญิงที่เป็นเจ้าของอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่ชุดสบายๆแต่ยังเรียบหรูดูดี นั่งอยู่ในห้องทำงาน ตรวจผลประกอบการของธุรกิจที่ทำอยู่ เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ดังขึ้นหยุดปากกาในมือ วางลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นทนายความที่สั่งงานไว้ ก็กดรับสายทันที

“ฟื้นแล้วเหรอ”เธอถามออกไปทันที ปลายสายก็ตอบกลับทันควัน เพราะรู้นิสัยเจ้านายดีว่าไม่ชอบยืดเยื้อ ชอบเบ็ดเสร็จสำเร็จเร็วๆ

“ครับ แต่เอาตัวมาไม่ได้ คุณเอริคเฝ้าไม่ห่าง และไม่ยอมลงให้ใคร ขู่ไม่ให้ใครเข้าไปแตะต้องเธอ ไม่งั้นแม้แต่ศพก็จะไม่พบครับ” เมอเรย์รายงานไปตามที่คนของเขาบอกมา ว่าถูกข่มขู่ยังไงบ้าง

เอวาฟังแล้วไม่ชอบใจ แต่ยังจัดการอะไรไม่ได้ ก็ต้องหาข้อมูลต่อไป “แล้วรู้อะไรเพิ่มมาบ้าง”

“ถ้าเรื่องของคุณเอริคกับเธอ ยังไม่ทราบครับว่ามีปัญหาอะไรกัน แต่ผู้หญิงที่นายหญิงแห่งบลูโน โค เอาตัวไป พอจะทราบเรื่องของเธอแล้วครับ ว่าเป็นหญิงสาวชาวไทยจริงๆ เพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้ และมาที่นี่เพื่อมาเที่ยวเท่านั้น ไม่มีประวัติสีเทา ขาวสะอาดครับ”

“และที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ก็เพราะเป็นเพื่อนกับผู้หญิงของเอริคเท่านั้นซินะ”

“ครับ แต่เราจะเข้าไปยุ่งกับเธอยากเสียแล้วครับ เพราะนายหญิงแห่งบลูโน โค พาเธอไปอยู่ในมือของคุณกรณ์เสียแล้ว”

เอวาอึ้งอย่างคิดไม่ถึง และรู้สึกเสียดแทงในใจทุกครั้งที่ได้ยินคำว่านายหญิงแห่งบลูโน โค เพราะมันคือตำแหน่งที่ทรงเกียรติที่สุด ที่เธอเคยได้รับมาก่อน และยังหวังลึกๆอยู่ในใจว่าสักวันจะได้กลับไปอยู่ในตำแหน่งนี้ แต่ว่าทำไมกรองแก้วถึงทำอย่างนั้น แล้วเหยียดยิ้มเมื่อพอจะเดาคำตอบได้

“ปกป้องงั้นเหรอ”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะเธอมีปัญหากับเราและคุณเอริค ฉะนั้นที่ๆจะทำให้เธอปลอดภัย หรือยากที่ใครจะเข้าไปแตะต้องได้ ก็คือคุณกรณ์”

ผู้ชายที่เต็มไปด้วยฝีมือ อดีตสามีของเธอก็ถือหางอยู่ข้างหลัง เอวาคิดอย่างเจ็บใจ ที่สำคัญเป็นขวากหนาม ที่ทำให้เธอไม่อาจทำอะไรกับกรองแก้ว เหมือนที่เคยทำกับเราเซล การใส่ร้ายป้ายสี หาเด็กหนุ่มๆที่พร้อมจะชอบไก่แก่ เพราะเงินหนา ฟาดเงินใส่หน้าก็มีเรื่องฉาว มาให้ต้องมีมลทินแล้ว เสียดายที่เธอไม่มีโอกาสจะทำเลย

“งั้นจับตาดูทั้งหมดไว้ให้ดี มีอะไรก็รายงานเข้ามา”

“ครับ”

ทนายเมอเรย์รับคำสั่งแล้วเอวาก็ตัดสัญญาณ วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ครุ่นคิดว่าทำไมกรองแก้วดึงญาติตัวเองเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ปกป้องอย่างที่เธอคิดไว้นั้น...น่าจะใช่ แต่ทำไมต้องปกป้องขนาดนั้น หญิงสาวคนนี้สำคัญยังไง เธอคิด แล้วไหนจะลูกของเธออีก ที่อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของ เหมือนไม่ต้องการให้ใครไปยุ่งด้วยมันต้องมีอะไรมากกว่าที่เธอได้เห็นและรู้มา หรือว่าหญิงสาวจะมีส่วนรู้เห็น เรื่องสำคัญของลูกเธอ!

แสงไฟในห้องทำงานของกรณ์ วิจิตรนาถ ที่สว่างมาหลายชั่วโมง ถูกดับลง เมื่อเขาสะสางงานเสร็จเรียบร้อย ร่างสูงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก้าวเดินออกมาจากห้องทำงาน เพียงปิดประตูหัวใจที่สงบนิ่ง เพราะสมาธิที่จดจ่ออยู่กับงาน ก็พุ่งตรงไปหาหญิงสาว เจ้าของหัวใจเขาทันที สองเท้าก้าวยาวๆมาไม่นาน ก็หยุดยืนนิ่ง เมื่อเห็นร่างอรชรนอนหลับอยู่บนโซฟาตัวยาว กลางห้องโถง ไม่คิดว่าเธอจะสิ้นฤทธิ์ได้ง่ายดายเพียงนี้

เขาเดินไปนั่งข้างตัวเธอ ยิ้มเต็มหน้าที่ได้มองเธอเต็มตา เต็มตื้นไปทั้งหัวใจแบบนี้ยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ปรกหน้าผากออก แล้วเลื่อนปลายนิ้วมาไล้แก้มนุ่มเบาๆเรื่อยมาหยุดนิ่งที่ริมฝีปาก แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากแทบจะแตะเรียวปากนุ่ม ก็ชะงักเพราะดวงตาที่ปิดสนิท เริ่มกะพริบ เขาก็ยกมือออก แต่ไม่ขยับตัวถอยห่าง

ชิญาดาลืมตาขึ้นเต็มตา มองหน้าสบตากับคนที่มองอยู่อย่างงงๆ ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดลงมา ทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ไม่กี่อึดใจก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ เพราะจำได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน เธอมองไปนอกบ้านทันที ฟ้ามืดดำไปหมดแล้ว สุนัขที่เฝ้าเธออยู่ก็ไม่มีแล้ว นี่เธอเผลอหลับไปหลายชั่วโมงเลยเหรอ คงเพราะเหนื่อยจากการเดินทางแล้วยังมาเจอเรื่องหนักๆเข้าไปอีก จึงหลับไปโดยไม่รู้ตัว แล้วคราวนี้จะหนีไปจากที่นี่ยังไง เมื่อเขามานั่งจ้องแทนสุนัขอยู่อย่างนี้

“หิวใช่ไหม”

‘หิวซิ’ เธออยากตอบเขาไปอย่างนั้น เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องวุ่นๆ ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ที่บอกไปคือ “จะปล่อยฉันไปได้หรือยัง”

“ลุกเถอะ ไปหาอะไรกินกัน”

“ฉันไม่หิว”

“อย่าหยิ่ง ให้ตัวเองต้องอด เพราะกองทัพมันต้องเดินด้วยท้อง สมองจะได้มีกำลังคิด ว่าจะจัดการกับชีวิตต่อไปยังไง” เขาบอกสอนเธอไปในตัว แต่เธอกวนกลับมา

“ฉันเดินด้วยสองขา”

กรณ์หรี่ตาลงเพื่อรับมือกับความดื้อของเธอ แล้วยืดตัวขึ้น หวดเธอด้วยคำพูดว่า “จะลุกดีๆหรือให้ฉันฉุด”

ชิญาดาโกรธขึ้นมาทันที แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็ข่มได้ หย่อนขาลงมายืนข้างโซฟา ทำท่าเหมือนไม่เต็มใจ แล้วเพียงพริบตาเดี๋ยวก็คิดหนี เธอก็วิ่งผ่านตัวเขาออกไป แต่ไม่ไวไปกว่าคนที่เตรียมตั้งรับ คว้าแขนเธอไว้แล้วกระชากตัวกลับมา ร่างอรชรหมุนขวางกลับมาสู่อ้อมแขน

“โอย”

เธอร้องออกมาเบาๆ เมื่อปะทะกับอกเขาเต็มๆ ดิ้นขลุกขลักให้เขาปล่อย เมื่อไม่ปล่อยก็ออกฤทธิ์เดชกระทืบเท้าเขา ซ้ายไม่โดนขวาไม่โดน ก็หยิกก็ทุบ จนคนตั้งรับรับไม่ทันเสียหลักพาเธอล้มลงไปบนโซฟา ปลายจมูกของเธอจึงไปหอมแก้มเขาเต็มๆ
หัวใจสาววูบวาบขึ้นมาทันที อึ้งกึมกี่เหมือนโดนไฟช็อตไม่กี่วินาทีก็ได้สติ ผลักไหล่เขาดันตัวออกห่าง แต่ห่างได้แค่ช่วงแขน เมื่อเขาไม่ปล่อยมือ “ปล่อยซิ” เธอแว้ดใส่ แต่กรณ์นิ่งเฉย ก็ยกมือขึ้นจะทุบ แต่ค้างอยู่แค่นั้น เพราะเสียงดุๆที่พูดขึ้นมา

“ถ้าทุบฉันจะจูบ ถ้าดิ้นก็จะยิ่งกอด และถ้าโดนมากกว่ากอดก็อย่ามาโวยวาย เพราะฉันถือว่าเธอให้ท่า”

ชิญาดาเหวอไปกับข้อกล่าวหาที่รุนแรงของเขา อยากจะกรี๊ดใส่ ทุบๆๆๆด้วยความโมโห แต่ได้แค่คิด ยอมลดมือลงเพราะคนที่เธอปักใจแล้วว่าเลว อาจจะทำได้ทุกอย่าง ยิ่งถูกเขากอดอยู่อย่างนี้ ขืนแรงใส่ถูกเขาขืนใจขึ้นมาจะทำไง ได้แต่ขึงเครียดเกลียดเขามากขึ้นไปเท่านั้นเอง

กรณ์มองท่าสิ้นฤทธิ์ แล้วขำอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่เธอเห็นคือนิ่งเฉย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วคลายอ้อมแขนออกทั้งที่ไม่อยากทำ เธอก็ดีดตัวออกมายืนอยู่ห่างๆ เขาก็ลุกขึ้นเดินมาจับมือเธอ ดึงหรือลากก็ไม่แน่ใจ เพราะเจ้าตัวลากขาเดินตามเหมือนไม่ยินยอม เดินมาที่ห้องครัวที่มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะพร้อมแล้ว ซึ่งญาติของเขาทำแบ่งมาให้เป็นประจำ

ผินที่รู้ใจเขา ก็จัดไว้ให้อย่างรู้เวลาเป็นประจำ ส่วนเรื่องความสะอาดของบ้าน ไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไม่อยู่ เขาก็จ้างบริษัทให้ส่งแม่บ้านมาทำให้อาทิตย์ละสามวันเขาให้เธอนั่งบนเก้าอี้ที่ใกล้ตัว แล้วนั่งลงพร้อมกับบอกเธอว่า

“ตามสบาย คิดว่าเป็นบ้านตัวเองก็แล้วกัน”

“ไม่คิด”

“ก็ดีแล้ว”

เขาว่าหน้าตาเฉย แต่คิดจะทำให้เป็นเสียเลย ซึ่งเธอไม่รู้ จึงค่อนขอดเขาอยู่ในใจ ว่าถ้าดีแล้วเขาจะพูดให้เธอคิดทำไม แล้วดูอาหารไทยๆสามสี่อย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ หน้าตาน่ากิน จนเธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความอยาก เจ้าของบ้านที่มองอยู่เห็นอย่างนั้นก็หยิบโถข้าว ตักให้เธอก่อนจะตักให้ตัวเอง วางโถข้าวไว้ข้าวตัว ก็หยิบช้อนตักผัดผักกับน้ำพริกใส่จานเธอ

ชิญาดานิ่งไปนิดไม่คิดว่าเขาจะเทคแคร์เธอ แต่เธอไม่ขอบคุณเพราะเกลียดเขา หยิบช้อนขึ้นมาตักกับข้าวมาทานเอง รสชาติอาหารอร่อย จนทำให้เธอลืมเรื่องอื่นๆไปชั่วขณะ และเขาก็ยังทยอยตักกับข้าวมาให้เธอ ซึ่งก็ตักทานเหมือนลืมความเกลียดเขาไปด้วย
******
ติ๊ดติ๊ดติ๊ด เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนที่นอน ส่งสัญญาณเรียกเจ้าของ ซึ่งนั่งพิงหัวเตียงดูนิตยสารแฟชั่นระดับโลกอยู่ สายตาตวัดมามอง แล้วเอื้อมมือมาหยิบไปดูชื่อที่ปรากฏขึ้นหน้าจอ คิ้วเรียวเลิกขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปาก็เหยียดยิ้มออกมา วางหนังสือไว้บนโต๊ะข้างเตียง หย่อนขาลงมายืนกับพื้น แล้วเดินไปที่ระเบียง มองแสงไฟยามค่ำที่สว่างขึ้นมา ดาษดื่นสุดไกลตา

เธอกดรับสัญญาณ เสียงคนที่โทรมา ก็ดังขึ้นมาทันที “คุณราเซล”

“ใช่ ฉันเอง มีอะไร”

“แสงไฟสวยนะครับ”

“คุณรู้หรือว่าฉันอยู่ที่ไหน”

“ผมเป็นใคร คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ”

ราเซลบิดริมฝีปากเยาะ ขณะมองไปรอบๆที่เธอยืนอยู่ แต่ไม่เห็นอะไรเลย เพราะนี่คือคอนโดหรูหลายสิบชั้น ที่มองเห็นทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ ไม่อาจเดาได้ว่าเป็นอะไร หรือมีใครแอบมองอยู่ตรงไหนบ้าง แต่เขาจะแอบมองมาจากที่ไหน หรือเดาเอาเอง เธอก็ไม่สนใจ

“บอกได้หรือยัง ว่าติดต่อมาทำไม”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่อยากได้เงินเล็กๆน้อยๆ ใส่บัญชีให้เลขมันสวยๆขึ้นเท่านั้นเอง” เสียงปลายสายเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม

“ก็ต้องขึ้นอยู่กับของที่เอามาแลกเปลี่ยน ว่าน่าสนใจแค่ไหน”

“งั้นผมจะบอกแค่ครึ่งเดียวก่อนก็แล้วกัน ส่วนอีกครึ่งถ้าคุณสนใจ ก็แต่งบัญชีผมให้เลขสวยๆขึ้นเท่านั้นเอง”

“จะบอกอะไรก็พูดมา อย่าโยกโยให้ฉันรู้สึกจะอ้วก”

“หึๆ” ปลายสายหัวเราะมาก่อน แล้วพูดให้ฟัง ด้วยน้ำเสียงที่ไร้การล้อเล่นอีกแล้ว “ลูกชายของอดีตนายหญิงคนแรกของบลูโน โค ทำร้ายผู้หญิง ถึงขั้นนอนโรงพยาบาล พอจะทำให้หายอ้วกไหมครับ”

ราเซลนิ่งไปนิด ก็ยิ้มออกมา เพราะเป็นข่าวดีที่จะทำให้เธอถอนขนนางหงส์ผู้ยิ่งใหญ่ ให้เจ็บแสบสะท้านไปถึงการคาดหวังตำแหน่งประธานของตระกูล จะได้สั่นคลอนก็คราวนี้ “ได้ ฉันจะจัดการให้ เล่าที่เหลือมาได้เลย”

ปลายสายเล่าทุกอย่างที่รู้ ให้เธอรู้ โดยไม่จำเป็นต้องยื่นหมูยื่นแมว เพราะเชื่อใจกันอยู่แล้ว จากนั้นราเซลก็ใช้สายสัมพันธ์ในวงการบันเทิงที่เธอเคยอยู่ ให้คนที่มีความสามารถทำให้เรื่องลับๆนี้มันแดงขึ้นมา

หลังอาหารผ่านไป เจ้าบ้านก็พาเธอออกมาเดินที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เพื่อให้สายลม แสงดาว บรรยากาศยามค่ำ ช่วยให้เธอผ่อนคลายมากขึ้น เขายืนกอดอกอยู่ใกล้ๆ ส่วนตัวเธอนั่งบนเก้าอี้เหล็กดัดที่วางอยู่ใกล้น้ำพุจำลอง กลิ่นดอกไม้หอมอ่อนๆลอยมาตามลมให้ดมชื่นใจ แต่ทุกสิ่งที่เขาทำ สร้างความจรรโลงใจให้เธอเพียงไม่นาน ความกังวลใจก็กลับมา

สายตาเหม่อมองไปไกล ชิญาดาคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญอย่างไม่ทันตั้งตัว ห่วงทั้งตัวเองและเพื่อน ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง จะฟื้นแล้วหรือยัง และผู้ชายที่ทำร้ายจะยอมรามือ ไม่กลับไปทำอะไรอย่างที่ผู้หญิงที่หลอกเธอมาที่นี่ บอกไว้หรือเปล่า

“อยากให้ฉันช่วย ก็เล่าทุกอย่างมาให้ฟังก่อน”

เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมๆกับสายตาที่มองไปในความมืด เมื่อคนที่ปล่อยความคิดให้ล่องลอยปรายตามามอง จึงเห็นแค่เพียงความเฉยเมยเท่านั้น จึงชั่งใจว่าจะเชื่อคำพูดเขาได้แค่ไหน ที่สำคัญเขาเป็นพวกเดียวกับคนที่หลอกเธอมา ความเชื่อใจมีค่าเท่ากับศูนย์และยังขังเธอไว้ที่นี่อีก แต่... ความสงสัยกลับเพิ่มมาอีกอย่าง ว่าทำไมทั้งสองคนถึงได้ทำอย่างนี้ ในเมื่อเธอไม่เคยเกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่ได้มีความลับอะไรที่ต้องปิดบังซ่อนเร้นไว้ จะมีก็แต่...

ชิญาดาเม้มริมฝีปากนิดๆเมื่อคิดออก ...เรื่องของเพื่อนเธอ ที่เจอมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่เธอก็ไม่ได้รู้อะไรเลย แล้วพวกเขาจะมาเอาอะไรกับเธอ เธอถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

“ต้องแลกเปลี่ยน” เธอตัดสินใจพูดออก เมื่อนิ่งไว้ ก็ไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น ลองเปิดใจพูดดูอาจจะทำให้สิ่งที่อึมครึมอยู่อาจจะกระจ่างก็ได้

“ต้องการอะไรว่ามา

“คุณรู้จักฉัน ฉันรู้จักคุณ”

“ได้” เขารีบตกลงทั้งที่รู้จักเธออยู่แล้ว แต่ทำเหมือนไม่รู้กัน แล้วหันมามองเธอ “อยากรู้อะไรถามมา”

“คุณชื่ออะไร ทำอะไรอยู่ที่นี่ เป็นอะไรกับผู้หญิงที่หลอกฉันมา”

“ชื่อกรณ์ เป็นนักธุรกิจ ค้าขาย ส่งออก ขาวบ้าง เทาบ้างแล้วแต่สถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่จะขาว เป็นญาติกับคนที่พาเธอมา รู้ชื่อแล้วใช่ไหม”

“กรองแก้ว”
พูดออกมาแล้ว ชิญาดาก็รู้สึกว่าคุ้นอีกแล้ว แต่ก็นึกไม่ออกเช่นเคยว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน ขณะที่กรณ์ก็สังเกตปฏิกิริยาของเธอว่าจะมีทีท่าว่ารู้หรือไม่ และที่เห็นคือไม่ แสดงว่าเมื่อสี่ห้าปีที่แล้วเธออาจจะไม่ได้สนใจ หรือไม่ก็ไม่มีใครบอกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

“ฉันชื่อชิญาดา”

“มีชื่ออื่นไหม”

สีหน้าเธอออกจะงงที่เขาถาม สมองก็บอกว่าอย่าบอก แต่หัวใจไม่ฟัง “น้องหนู” บอกไปแล้วเธอก็หน้างอเพราะเคืองตัวเอง ขณะที่คนที่ได้ฟัง หัวใจอุ่นซ่านนัก ขบกรามไว้ไม่ให้ยิ้มออกมา

“น้องหนู”

“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องใช้ด้วย เพราะเราไม่สนิทกัน”

เธอสั่งระรัว ขณะที่ตาก็ดุเขาด้วย กรณ์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักที่ต้องปั้นหน้าให้นิ่ง ไม่ให้ยิ้มออกมา แต่ไม่รับปากเธอ ชิญาดาคิดว่าเขาเข้าใจแล้ว จึงพูดเรื่องที่ค้างอยู่ต่อ “คุณบอกว่าคุณเป็นญาติกับเธอ แล้วเธอไม่ได้เล่าให้คุณฟังเหรอว่า ทำไมถึงเอาตัวฉันมาที่นี่”

“ปกป้อง”

“หมายความว่าไง” เธอถามกลับอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมต้องทำอย่างนั้น ในเมื่อฉันไม่ได้มีศัตรูที่...” คำพูดหยุดค้างไว้แค่นั้น เมื่อเหตุการณ์ที่อพาร์ทเม้นท์กับโรงพยาบาลย้อนกลับมา การคุกคามของผู้หญิงคนนั้นกับปืนของผู้ชายอีกคน การเงียบของเธอทำให้คนที่ยืนจับตามองอยู่ รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไร

“เกิดอะไรขึ้น”

ชิญาดาสบตาคมที่มองอยู่ เธอจะเชื่อเขาได้แค่ไหน การพูดออกไปจะเป็นผลดีหรือผลเสีย แม้เขาจะบอกว่าปกป้อง แต่คนไม่รู้จักกัน จะปกป้องกันทำไม หรือสงสารคนบ้านเดียวกันที่พลัดถิ่นมาเท่านั้น ซึ่งเชื่อได้น้อย แม้รู้น้ำใจคนไทยด้วยกัน แต่ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันต้องมีเหตุผลอื่นที่เขาทำ

“ญาติของคุณเธอเป็นใคร ทำอะไรอยู่ที่นี่”

“เป็นเมียมหาเศรษฐี”

“ก็เลยสงสารลูกนกตาดำๆอย่างฉัน ที่ต้องมาเจอคนรังแก”

“ไปทำอะไรเข้าถึงโดนรังแก” เขาถามเธอก็นิ่ง “บอกมาเถอะ ฉันรับรองด้วยเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ทุกอย่างที่มีในชีวิต ว่าไม่ได้คิดร้ายกับเธอแม้แต่นิดเดียว มีแต่จะปกป้องอย่างที่บอกไปเท่านั้น ญาติของฉันก็เช่นกัน ที่ทำไปอาจจะไม่ถูกใจเธอบ้าง ขอโทษก็แล้วกัน”

หัวใจของชิญาดารู้สึกแปลกๆกับคำขอโทษที่เสมือนเขายอมให้เธอ ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน ซ้ำยังเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีเพียงเพื่อความเชื่อใจ ความโกรธ ขัดเคืองใจในตัวเขาลดลง และมองเขาราวกับค้นหาเหตุผลในการยินยอม แต่ไม่เห็นอะไรเลย แต่เพียงพอทีจะทำให้เธอเปิดปากเล่าเรื่องราวให้เขาฟังคร่าวๆ

“ฉันไปเจอเพื่อนถูกทำร้าย ก็เลยแจ้งความจะเอาผิดกับคนทำ แต่ดูเหมือนพวกเขามีอิทธิพลพอสมควรถึงได้เขี่ยตำรวจกระเด็น และใช้เงินฟาดหัวฉัน เมื่อฉันไม่ยอมการข่มขู่ก็เกิดขึ้น กระทั่งญาติของคุณเอาตัวฉันออกมาแต่ท่าทางพวกเขาดูจะไม่พอใจเท่าไร”

“คนที่เธอมีเรื่องด้วยคือเอริค ลูกชายของเอวา ผู้หญิงแถวหน้าของเมืองนี้และเคยเป็นภรรยาของสามีญาติฉัน การที่เธอไปมีเรื่องด้วย เท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ยิ่งไม่ยินยอม เรื่องก็ยิ่งบานปลาย พวกเขาคงไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ”

“ทำไมคะ ฉันสำคัญอะไร ถึงกับต้องหาทางมัดกันไว้”

กรณ์นิ่งอย่างใช้ความคิด ปล่อยมือจากอก มองเข้าไปในความมืด ที่เปรียบเหมือนปัญหาที่ยังคิดไม่ออก และเหมือนจะเห็นแสงสว่าง เมื่อได้ยินเธอบอกว่า

“ฉันอยากไปหาเพื่อน คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”

“พรุ่งนี้”

“ตอนนี้ได้ไหมคะ” เขาหันกลับมาด้วยสายตาที่เป็นคำถาม ว่าทำไม “เขาทำร้ายเพื่อนฉัน ด้วยอาวุธที่ปลิดลมหายใจเมื่อเธอไม่เป็นอะไรไป คุณคิดว่าเขายังจะปล่อยเธอไว้เหรอ”

กรณ์หรี่ตาลงนิดๆแล้วพยักหน้า ชิญาดาก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ไปกระแทกใจคนที่มองอยู่ จ้องจนเธอรู้สึกเขิน แล้วลุกขึ้นเป็นการบอกว่าเธอพร้อมแล้ว กรณ์เดินนำไปที่รถ เขาขับเองโดยไม่ใช้คนขับ เพราะต้องการอยู่กับเธอสองคน
*******


ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2561, 08:53:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ต.ค. 2561, 08:53:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 916





<< ตอน 2   ตอน 4 >>
แว่นใส 2 ต.ค. 2561, 07:37:54 น.
เรื่องชักจะซับซ้อน ซ่อนเงื่อนนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account