ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 5
ตอน 5
รถยนต์คันหรูสีดำมันวาว วิ่งเข้ามาจอดหน้าคอนโดหรู คนขับรถกำลังจะเปิดประตูรถลงมาจากรถ เพื่อไปเปิดประตูให้เจ้านายที่นั่งอยู่ข้างหลัง แต่มีคนมาเปิดประตูด้านหลัง แล้วสอดตัวเข้ามานั่งเสียก่อน คนขับมองหน้าคนเปิดเข้ามา แล้วเลื่อนสายตาไปมองหน้าเจ้านาย ซึ่งก็ยกมือขึ้นให้สัญญาณให้ขับรถออกไปได้
เอวาปรายตามองลูกชาย ที่เธอโทรสั่งให้ลงมารอด้วยเสียงเฉียบขาด สีหน้าของเอริคบอกความไม่พอใจอย่างชัดเจน เธอหรุบตาลงเล็กน้อย แล้วนั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรจนกระทั่ง รถยนต์คันงามวิ่งมาจอดที่สวนสาธารณะ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ สายลม และสระน้ำ คนขับรถเปิดประตูลงมามาเปิดประตูให้เธอ แล้วอ้อมรถไปเปิดให้ลูกของเธอ
เธอลงมายืนสง่าอยู่ข้างรถอึดใจเดียวก็เดินไปนั่งตัวตรงที่เก้าอี้เหล็กดัดริมน้ำ วางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นกอดอก ยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอริคลงจากรถมายืนมองคนเป็นแม่ สองมือล้วงกระเป๋า ก้าวช้าๆไปยืนอยู่ข้างๆ
“นั่งลง”
เอริคทำสีหน้าเบื่อหน่ายไม่อยากจะทำตามแต่ต้องทำ นั่งลงมองต้นไม้เหมือนว่ามันสำคัญกว่าคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอวาข่มความรู้สึกเดือดพล่านในใจไว้ภายใต้ความนิ่งเฉย แล้วพูดออกมา
“ผู้หญิงของลูกหนีไปแล้ว”
ไม่มีท่าทีตกใจจากเอริค แต่ในใจนั้นกู้ก้องอย่างหยาบคาย ‘ระยำ’ โกรธคนที่นั่งอยู่เขาถือว่าเป็นสาเหตุ ให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง ความเหยียดหยันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า และถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความรู้สึกภายในได้ดี “สมใจแล้วใช่ไหม”
“เสียงลูกเกลียดแม่นะ”
“แล้วต้องการอะไรอีก” เสียงเขาต่ำระงับความรู้สึกไว้สุดๆ
“คุณพ่อให้ไปหา เพราะเรื่องมันแดงขึ้นมาแล้ว”
“ไปแก้เอาเองแล้วกัน ผมไม่ไป”
“ไม่ได้ อย่าให้คุณพ่อต้องโกรธไปมากกว่านี้ เพราะลูกอาจจะถูกเฉดหัวออกจากตระกูล และลูกต้องบอกแม่มาเสียทีว่า ผู้หญิงคนนั้นสำคัญยังไง ถึงได้ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา”
“ให้บอกเพื่ออะไร เพื่อที่จะให้เรื่องมันยุ่งไปมากกว่านี้เหรอ ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่ามายุ่ง ผมจัดการเองได้ แล้วนี่อะไร เอาคนมาเฝ้า สุดท้ายเธอก็หนีไป แล้วยังไงอีกตอนนี้ก็คงสั่งให้คนไปตามตัวแล้วซินะ เพื่ออะไรช่วยอีกเหรอ อย่า ผมขอร้อง อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งไปมากกว่านี้อีกเลย ”
“ทำไม หรือเพราะผู้หญิงคนนั้นกำความลับอะไรของลูกไว้” ถามแล้วเธอก็จ้องหน้าลูกเขม็ง แต่เอริคก็ไม่ตอบ เอวาก็เริ่มจะแน่ใจในข้อสันนิฐานของตัวเองว่าน่าจะใช่ น้ำเสียงเธอจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เป็นน้ำเย็นแทนน้ำร้อน “ถ้าลูกมีความลับจริง ก็บอกแม่มา ก่อนที่จะมีใครหาตัวเธอเจอก่อนเรา แล้วเอาตัวเธอไป ถึงตอนนั้นลูกจะแก้ตัวก็ยากแล้ว”
แววตาของเอริคมีความหวั่นไหวเพียงเสี้ยว ก็เคร่งขรึมเหมือนเดิม ปฏิเสธน้ำเย็นๆของคนเป็นแม่ “แม่ไม่ต้องรู้หรอก แค่ทำตามที่ผมขอไว้ก็พอ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไป
เอวาไม่ทักท้วง ไม่หันไปมอง แต่กำมือไว้บอกให้รู้ว่าเธอไม่มีวันทำตามแน่นอน เธอจะต้องหาทางรู้ให้ได้ว่าความลับนั้นคืออะไร
----------
ชิญาดายืนอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อน เรื่องราวเมื่อวานย้อนกลับมาให้คิดว่า ความสุขความทุกข์มันพร้อมจะเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เธอมาที่นี่ด้วยหัวใจเปี่ยมสุขมากมาย แล้วเพียงพริบตาเดียว ก็กลายเป็นความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ชะตากรรมที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้า ไม่รู้ว่าจากนี้ไปเธอต้องพบเจอกับอะไรอีก จุดเริ่มต้นของการพบเจอ เธอจะเจอเพื่อนรักอีกไหม
“ไปกันเถอะ”
เสียงคนที่ขับรถพาเธอมาดังขึ้น เขามายืนอยู่ข้างเธอเมื่อไรไม่รู้ เพราะตอนที่เขาขับรถพามาถึงที่นี่ เธอก็เปิดประตูลงมา เดินมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วรู้สึกถึงความอุ่นที่แขน เธอหันไปมอง ความไม่พอใจเกิดขึ้นมาเหมือนเช่นทุกครั้ง ที่เขาชอบจับมือถือแขน แต่ทำไมเธอไม่สะบัดแขนหนี นิ่งเฉยเหมือนการยินยอมไปทุกทีซินะ เธอหน่ายใจกับตัวเองเดินตามเขาเข้าไปด้านใน
หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ชิญาดาเดินยิ้มเข้าไปเจรจาขอขึ้นไปห้องเพื่อน นางจ้องเขม็งไม่ยินยอมให้ขึ้นไป เพราะคราวก่อนให้ขึ้นไปก็เกิดเรื่องคราวนี้ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไม่ยอม แต่แล้ว...ก็มีบางสิ่งมาทำให้นางยินยอม ตาลุกวาวรีบคว้าเงินจำนวนไม่น้อยไปเก็บไว้ แล้วสบตาคนวาง
กรณ์มองหน้านาง แล้วถาม “เจ้าของห้องกลับมาที่นี่บ้างหรือเปล่า”
“ไม่นะ ฉันไม่เห็น ฉันเฝ้าอยู่ตรงนี้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ใครผ่านไปผ่านมา ฉันเห็นหมด” นางพูดให้ตัวเองดูดี ความจริงก็แอบนอนบ้าง และคนฟังก็รู้ว่าไม่มีใครสามารถเฝ้าได้ตลอดหรอก
“แล้วขึ้นไปได้หรือเปล่า”
“เชิญ”
“ขอบคุณ” บอกแล้วเขาก็จับแขนพาชิญาดาเดินไปที่ลิฟต์ แต่ยังได้ยินเสียงพึมพำจากด้านหลัง ‘มาถามกันจัง สำคัญอะไรนักหนา’กรณ์เก็บข้อมูลนี้ไว้ในใจ พาเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ กระทั่งลิฟต์พาทั้งคู่มาถึงห้องของเพื่อนเธอ เขาก็ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง
“รอตรงนี้”
“ทำไมมีอะไร” เธอถามด้วยความสงสัย แต่ที่เขาตอบมา
“อยากอยู่ข้างๆนานๆ”
เขาพูดหน้าตาเฉย แล้วเดินเข้าห้องไป ทิ้งเธอให้อึ้งกับคำพูดที่เขย่าหัวใจเธอ “ประสาท” เธอบ่นออกมา แล้วบอกใจให้นิ่งเฉย อย่าไปหวั่นไหวกับเขาที่เธอยังถือว่าไม่น่าไว้ใจ ซึ่งกำลังสำรวจไปทุกซอกทุกมุมห้อง และเหมือนมีบางอย่างที่ผิดแผกไป มีคนมาที่นี่ อาจจะมีใครบางคนขึ้นมาก่อนหน้าเขา แล้วเดินกลับออกมา ให้เธอเข้าไปได้
ชิญาดาเดินเข้าไป มองไปรอบๆห้องของเพื่อน เป็นห้องชุดอย่างที่เธอคิดไว้ มีห้องครัว ห้องนอน ห้องรับแขก ตกแต่งอย่างสวยงาม น่าอยู่ ถ้าไม่มีเรื่องเกิดขึ้น เธอคงได้อยู่พักอยู่ที่นี่ เธอถอยหายใจออกมาเบาๆ แล้วมองหากระเป๋าของตัวเอง ที่เธอมั่นใจว่าต้องอยู่ที่นี่ แต่ไม่เห็น คงโดนขโมยในช่วงที่ชุลมุน แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน รูปถ่ายของเธอเคียงคู่เพื่อนรัก วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง รอยยิ้มของเพื่อนทำให้เดินเข้าไปหยิบรูปขึ้นมาดู ห่วงใยไปเต็มหัวใจ แต่ไม่รู้จะไปตามหาหรือติดต่อได้ที่ไหน
“อยู่ไหนนะแคท โทรหาฉันนะ”
เธอพึมพำพลางมองไปรอบๆห้องอีกครั้งก็เดินถือรูปออกมาจากห้องเห็นคนที่บอกอยากอยู่ข้างๆ ยืนกอดอกอยู่กลางห้อง หันมามองเธอ ก่อนเดินเข้ามาหา ยื่นมือมาจะจับแขน เธอรีบถอยห่าง เบี่ยงแขนไว้ข้างหลังพร้อมกับบอกว่า “ฉันเดินเองได้”
กรณ์หรี่ตาลงเล็กน้อย ก็บอกว่า “จะพาไปเที่ยว”
ชิญาดาตาวาว เกือบจะเข้าไปจับแขนเขาด้วยความดีใจ โชคดีที่ยั้งใจไว้ทัน แล้ววางมาดเหมือนไม่ได้สนใจมากมาย “ก็ไปซิ”
“ส่งมือมาก่อน”
“ทำไมต้องจับมือด้วย” เธอถาม ก่อนบอกว่า “ฉันไม่หลงทางหรอก”
“ฉันไม่ไว้ใจต่างหาก อย่าลืมว่าอยู่ในสถานการณ์ใด เมื่อฉันบอกว่าปกป้อง ก็จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นมาเด็ดขาด”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันค่อยกระโดดกอดคุณเอง”
“แล้วทำไมต้องรอให้เกิด กันไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
เหตุผลของเขาก็พอจะฟังขึ้นหรอก แต่เธอจะยอมให้เขาจับมือเธอเดินไปไหนต่อไหนแบบนั้นได้ยังไง เมื่อไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างเรื่องมันยังไม่ได้ร้ายแรง ไม่มีภัยมาถึงตัว ถึงขนาดที่เขาจะต้องมาจับมืออยู่แบบนี้ หรือมีแผนที่จะหลอกหลวงอะไรเธออีก เธอยืนชั่งใจ ขณะที่เขาไม่ต้อง ทำตามหัวใจเท่านั้น ขยับเข้าไปดึงมือเธอมาจับไว้ พาเดินไปทันที
ชิญาดาดึงมือกลับ แต่เขาจับไว้แน่น และไม่สนใจว่าเธอจะขัดขืนยังไง ยังคงพาเธอเดินไปด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจและถ้าเธอได้เห็นหัวใจที่เต้นอยู่ คงเต้นเป็นจังหวะใดไม่ได้ นอกจากจังหวะ...รัก เพราะดวงตาที่เป็นหน้าต่างของหัวใจเขา ในยามที่เธอไม่เห็นแสดงออกมาชัดเจนเหลือเกิน
*************
ตึกสูงระฟ้าอาคารบลูโน โค ร่างสูงสง่าของอดีตนายหญิงหมายเลขหนึ่ง ยืนอยู่ในลิฟต์แก้ว ที่กำลังเลื่อนขึ้นไปยังชั้นผู้บริหาร สายตามองออกไปนอกลิฟต์ ท้องฟ้า ต้นไม้ ตึกสูง ที่มองเห็น ไม่ได้สร้างความมีชีวิตชีวาให้เธอเลย เพราะใจที่ร้อนรุ่มของเธอ แล้วหรุบตามองกระเป๋าที่คล้องอยู่ที่แขน โทรศัพท์ส่งสัญญาณดังขึ้นมา
เธอเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที มุมปากแย้มบอกความพอใจเมื่อเห็นชื่อคนโทรมาก็กดรับสัญญาณก่อนยกขึ้นแนบหู ฟังเสียงที่ดังมาโดยไม่ต้องถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าทนายเมอเรย์ จะบอกเรื่องอะไร
“รู้ตัวคนทำให้เป็นข่าวแล้วครับ”
“ดี” เธอชมออกไป และไม่ถามว่าทำยังไง เพราะรู้ว่าเงินมันช่วยเบิกทางให้เกือบทุกอย่างที่ต้องการรู้ ยิ่งพวกนักข่าว บางคนเห็นเงินก็ปากสว่างแล้ว “ส่งคนไปสั่งสอน จะได้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันอีก”
“ต้องการแบบไหนครับ”
“เลือดกบปากก็พอ”
พูดจบเธอก็ตัดสัญญาณ ยิ้มเหยียดด้วยความสะใจ เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า แล้วก็ปรับสีหน้าให้นิ่ง เมื่อลิฟต์หยุดที่ชั้นผู้บริหาร ก้าวออกมาจากลิฟต์ เดินตัวตรงไปยังห้องทำงานของอดีตสามี สองเท้าก้าวไปบนพื้นพรม ขณะสายตามองตรงไป แล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อเจอคนที่เพิ่งเลือดเย็นออกไป
“จะรีบไปไหนเหรอ”
เอวายิ้มเยาะอยู่ในแววตา ขณะที่คนทักก็ลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ เดินยิ้มเย้ยมาหยุดยืนตรงหน้า ราเซลมองนางหงส์ที่หน้าเชิดแต่อกคงระทมตรมอยู่ตอนนี้ เธอมานั่งรอ เพราะรู้ว่าข่าวที่เกิดขึ้น สองแม่ลูกต้องถูกเรียกตัวมาแน่นอน และก็จริงอย่างที่คิด แต่น่าเสียดายที่อีกคนยังไม่โผล่มาให้เห็น ซึ่งก็ดี ดีกรีความโกรธของอดีตสามีจะได้เพิ่มขึ้นอีก แล้วผลประโยชน์จะอยู่ที่ฝ่ายเธอเต็มๆ
“ต้องการอะไร”เอวาถามเสียเย็น
“อย่าทำเป็นไม่รู้ซิ” ราเซลถามหน้าซื่อตาใส “หรืออยากให้ฉันตอกย้ำ ก็ได้นะ เรื่องข่าวนั่นไง ไฟมันล้นก้นเธอแล้วซินะ ถึงได้แจ๋นมาที่นี่”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“ใครบอก เรื่องของฉันเต็มๆเลยละ เธอน่าจะรู้นะว่าเกิดเรื่องขนาดนี้ มันจะสั่นคลอนไปถึงเรื่องอะไรบ้าง และใครควรจะได้อะไร”
“อีกาอย่างเธอก็เลยชูคอขึ้นมา คิดว่าจะได้อะไรเหรอ” ว่าแล้วก็เหยียดด้วยสายตา “น่าสมเพชที่คิดอะไรง่ายไปหน่อย”
“งั้นเหรอ แต่ทำไมท่านประธานถึงได้เรียกลูกฉันมาหา นี่คุยกันอยู่นานสองนานแล้วนะ มีเสียงหัวเราะราวกับถูกใจกันนักหนา”
“พ่อลูกคุยกันแล้วมันจะแปลกตรงไหน”
ราเซลยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ หยุดแล้วพูดให้ได้ยินชัดๆว่า “ก็แปลกตรงที่ หุ้นของลูกเธอลดลงแต่ของลูกฉันเพิ่มขึ้นไง”
เอวารู้สึกเหมือนเข็มแทงใจให้เจ็บแปลบ แต่ไม่ได้ทุรนทุรายให้อีกฝ่ายได้เห็น เพราะเธอมีวิธีเอาคืนแล้ว แล้วเชิดหน้าขึ้นเดินตัวตรงไปยังห้องทำงานของอดีตสามี ราเซลยิ้มอย่างสะใจที่สุด แต่ยังไม่กลับกลับเดินตามไป เพื่อดูความสลดของนางหงส์
เลขาหน้าห้องทำหน้าที่ประสานกับเจ้านาย ไม่เกินห้านาที ทั้งสองคนก็ได้เข้าไปนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องทำงาน นายโจนส์มองอดีตภรรยาทั้งสองคน ราเซลนั่งข้างลูกชายนายราฟ ที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกตัวมาคุยเรื่องงาน ถัดมาเป็นเอวา ซึ่งไม่มีคนที่เขาอยากพบมาด้วย
“ฉันจะคุยกับเอวา คนไม่เกี่ยวข้อง กลับไปได้แล้ว”
ราเซลหน้าเสียไปเล็กน้อย ไม่อยากกลับ อุตสาห์ทำตัวเนียนๆว่ามาหาลูกชาย ทั้งที่อยากดู รู้ เห็น เรื่องทั้งหมด โดยเฉพาะเวลาที่นางหงส์โดนเล่นงาน “ขออยู่ด้วยไม่ได้เหรอคะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ยังไงเสียเราก็ยังเกี่ยวข้องกันอยู่”
เอวาปรายตามามองแล้วบอกว่า “ไม่จำเป็น เพราะฉันไม่เคยเกี่ยวข้องกับเธอ”
“แต่ฉันหวังดี”
“เก็บความหวังดี แต่ใจทรามของเธอไว้เถอะ”
“เอวา” เสียงราเซลเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที หน้าตาก็ขึงตึงเพราะโกรธจัด ลุกขึ้นยืนข่มใจให้เย็นแล้ว แล้วยิ้มหวานให้แต่ตาเกลียดชัง บอกอีกฝ่ายว่า “เธอกับฉันก็ไม่ต่างกันนักหรอก ไก่เห็นตีนงูยังไง งูก็เห็นนมไก่เช่นนั้น ระวังใจดีๆของตัวเองไว้ให้ดี สักวันมันแสดงความต่ำทรามออกมาให้ทุกคนได้เห็น เหมือนกับที่ฉันเห็นมาแล้ว”
พูดจบก็ปรายตาความเกลียดชัง ไปยังเมียคนปัจจุบันของสามี ที่นั่งอยู่อีกห้องหนึ่ง แล้วสะบัดหน้าเดินออกมา
นายโจนส์หน่ายใจกับกริยาของเธอ แล้วมองไปที่ราฟ ซึ่งมีสีหน้าที่บอกความรู้สึกไม่ต่างจากเขา และบอกคนเป็นพ่อว่า “ผมชินแล้ว ขอตัวดีกว่า ส่วนเรื่องที่คุยกัน ผมยินดี และขอบคุณมากครับ” พูดจบก็ลุกขึ้น มองภรรยาเก่าของพ่อเล็กน้อย ก็เดินออกจากห้องไป
ภายในห้องเหลือกันแค่สามคน กรองแก้วรู้ถึงสถานการณ์ของทั้งคู่ดี จึงลุกเดินออกจากห้องไปอีกคน เสียงประตูปิดแผ่วเบา คนในห้องก็รู้ถึงความเป็นส่วนตัว เอวามองอดีตสามี ภายนอกเธอนิ่งเฉย แต่ภายในใจสุดที่จะโกรธ ที่เขาลดหุ้นของลูกเธอลงมา ทั้งที่ยังไม่สอบหาความเป็นจริง
นายโจนส์มองอดีตภรรยาเช่นกัน แล้วถามด้วยเสียงเครียด “ทำไมเอริคไม่มา”
“ฉันบอกไปแล้ว แต่การที่ลูกจะมาหรือไม่มา ฉันไม่รู้”
“แน่ใจเหรอ รู้แล้วช่วยกันปิดบังมากกว่า” เขาว่า แล้วลุกขึ้นไปหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะทำงาน มาโยนตรงหน้าเธอ “เธออยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
เอวาไม่มองหนังสือพิมพ์ เพราะอ่านมาทุกตัวอักษรแล้ว แต่สงสัยว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่นั้น ก่อนจะอ๋อในใจ ภรรยาสาวของเขานั่นเอง เธอลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอดีตสามีที่ไม่มีเยื่อใยใดๆให้กันอีกแล้ว ชีวิตคู่ที่จบลงไป นอกจากหมดรักกันแล้ว ธุรกิจก็มีส่วนให้มันพังลง เมื่อต่างก็เห็นมันดีกว่าครอบครัว “ฉันแค่ไปปกป้อง ในขณะที่คุณไม่เคยทำ”
“ถ้าฉันไม่ทำ ที่ๆเธอกับลูกอยู่ คงไม่เงียบอยู่แบบนี้หรอก และก็ช่วยบอกฉันมาว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”
“ฉันไม่รู้”
“อย่าปกป้องในสิ่งที่มันผิด และอย่าปิดบัง จนทำให้ฉันต้องเลือก”
“เลือกเหมือนครั้งที่คุณเฉดหัวฉันออกไปอย่างนั้นเหรอ”
“เธอรู้ดีว่ามันเป็นยังไง จะมารำลึกให้สมเพชกันอีกทำไม” นายโจนส์สวนกลับ เพราะความจริงคือเธอบังคับให้เขาเลือก ไม่ใช่เขาบังคับให้เธอเลือก เมื่อเธออยากยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง ไม่ใช่อยู่ใต้ตระกูลเขา “แต่เมื่อมันจำเป็น เธอก็รู้ว่าฉันก็ทำได้”
เอวาข่มใจไว้อย่างสุดขืน เพราะได้รู้แล้วว่าเขาทำอะไรแล้วบ้าง การเอาหุ้นของลูกเธอไปให้ลูกอีกคน บ่งบอกได้ชัดเจน แต่เธอจะเอาเหตุผลอะไรมายื้อเวลา เพื่อไปจัดการแก้ไข เธอคิดหนักแล้วหยุดความคิดไว้ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ก่อนจะเปิดเข้ามา เธอเก็บความแปลกใจไว้ภายใต้ความนิ่งเฉย ขณะจับจ้องคนที่เดินเข้ามา
เอริคสบตาคนเป็นแม่แวบเดียว ก็บอกว่า “ผมแค่เปลี่ยนใจ” พูดจบก็เดินไปยืนตรงหน้าทั้งสองคน “ไม่ชอบคนมากเพราะเมื่อเป็นข่าว ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่นี่ จึงไม่อยากมาตอนที่ทุกคนยังอยู่ มาตอนที่ไม่มีใครอยู่ดีกว่า ไม่วุ่นวาย”
เหตุผลของเขามีน้ำหนักพอที่ทำให้คนเป็นพ่อไม่ติดใจ แต่คนเป็นแม่ที่งัดข้อกันมา รู้ดีว่าไม่ใช่ และสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ลูกเธอเปลี่ยนใจ
“ไปนั่งที่เก้าอี้” นายโจนส์บอก แล้วเดินนำสองแม่ลูกไปนั่ง เมื่อนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถามเข้าจุดทันที “อธิบายเรื่องทั้งหมดมา”
“ไม่มีอะไรครับ” เสียงเอริคเรื่อยๆ สบายๆ ไม่มีความวิตกกังวลใด “แค่รักแล้วไม่เข้าใจกัน ก็กระทบกระทั่งกันธรรมดา”
“ถ้าธรรมดาแล้ว ผู้หญิงจะหนีไปทำไม”
“พ่อรู้ข่าวเร็วจริง” เอริคว่า ไม่มีท่าทีตกใจอะไรแล้วพูดต่อว่า “แต่เธอไม่ได้หนี ผมพาเธอออกไปเอง เห็นเป็นข่าวก็ไม่อยากให้พวกนักข่าวไปตามตีจิก ก็เท่านั้น” เขาพูดได้อย่างลื่นไหล ไม่มีพิรุธใดๆ เพราะเตรียมคำตอบมาแล้ว เอวาที่นั่งฟังอยู่ก็รักษาความนิ่งไว้ดีเช่นกัน “พ่อไม่ต้องห่วง ผมจะทำทุกอย่างให้ดี ไม่ให้กระทบกับพ่ออีก ขอโทษที่ทำให้พ่อไม่สบายใจ”
คนเป็นพ่อพยักหน้า ท่าทางเหมือนไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก แต่ใจจริงแล้วไม่ใช่เลย ขณะที่คนเป็นลูกก็เบาใจ แม้สมองบางส่วนจะยังรู้สึกว่าพ่อเขาเข้าใจง่ายไปหรือเปล่า แต่เมื่อไม่ซักอะไรอีกก็ดีแล้ว เพราะก่อนจะตัดสินใจมาที่นี่ เขาก็คิดหลายตลบ เห็นด้วยกับคำพูดของแม่ ที่บอกเขาว่าอย่ายื้อ ให้เรื่องยาก เขาจึงต้องมา เพื่อให้เรื่องมันจบ จะได้เดินหน้าทำงานที่ค้างอยู่ให้สำเร็จ
ส่วนคนเป็นแม่ที่นั่งเงียบมาตลอด เมื่อเห็นว่าทุกอย่างคลี่คลาย ก็บอกให้ลูกกลับพร้อมกับเธอ แต่ก่อนจะจากไป เธอควรเรียกร้องสิทธิของลูกให้กลับคืนมา “เอริคมาอธิบายทุกอย่างแล้ว หวังว่าคุณจะทำทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ได้” นายโจนส์ตกลง แม้เธอจะไม่พูดออกมาตรงๆว่าหมายถึงเรื่องใด แต่เขาก็พอจะรู้ว่าคงเป็นเรื่องหุ้น คงมีคนบอกให้เธอรู้แล้ว
สีหน้าเอวาบอกความพอใจ และคิดในใจว่าจะต้องไปเอาคืนอีกาที่จิกกัดเธอให้สาสม แต่ความคิดเธอต้องสลายกลายเป็นความคับแค้นอยู่แค่นั้น เมื่ออดีตสามีเผยความในใจที่ซ่อนเร้นไว้ ออกมาบอกว่า
“แต่ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เมื่อฉันได้เจอผู้หญิงคนนั้น”
***********
อาคารใหญ่โต สไตล์โรโคโค สีเหลืองอร่ามตา หยุดสายตาของชิญาดาไว้จ้องนิ่งๆ ริมฝีปากอ้าค้างน้อยๆ กับความสวยงามที่ได้เห็นตรงหน้า สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของกรุงเวียนนา หนึ่งในสิ่งที่เธอใฝ่ฝันอยากมาเห็น เมื่อได้เห็นเต็มตา สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความตื้นเต้นดีใจ จนคนข้างๆที่พามามองด้วยความเอ็นดู
“สวยจัง”
“พระราชวังพระราชวังเชินบรุนน์” เสียงคนที่พามาบอกพร้อมกับจับมือเธอพาเดินตามคนอื่นๆเข้าไปชม และเล่าประวัติคราวๆให้ฟังไปด้วย “ปีหนึ่งๆจะมีคนเข้ามาชมนับล้านคนที่สำคัญยังได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกอีกด้วย ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 1,441 ห้อง อดีตเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก โดยพระเจ้าโยเซฟที่ 1 เป็นผู้ดำริในการสร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมา ต่อมาจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 ได้มีการปรับปรุงขึ้นใหม่ และแล้วเสร็จในสมัยจักรพรรดินีมาเรียเทเรซา”
เขาหยุดเดิน เพื่อให้เธอได้ดูความงดงามสุดอลังการของตัวอาคาร และเพลินเพลินกับศิลปะที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับขนบประเพณีและราชวงศ์ในออสเตรีย แล้วถามต่อ “รู้ความหมายของพระราชวังเชินบรุนน์หรือเปล่า ว่าแปลว่าอะไร”
“น้ำพุอันสวยงามค่ะ” เธอหันมาตอบด้วยความภูมิใจ เพราะหาข้อมูลมาก่อนแล้ว
“เก่ง”
ชิญาดายิ้มหวานหน้าบานที่เขาชม แล้วเดินผละไป โดยไม่รู้ว่ายิ้มของเธอทำอะไรไว้กับใจเขาบ้าง มือเธอที่ยังอยู่ในมือเขา จึงถูกกระตุกจนตัวเธอถลาเข้ามาหาอ้อมแขน แล้วปลายจมูกโด่งก็กดลงบนแก้มเธอเต็มแก้ม ดวงตาเธอเบิกกว้าง พร้อมใจที่ตึกๆแรงๆ นิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนเขา
กรณ์ยิ้มใส่ตาเธอ ที่ถ้าไม่มัวแต่นิ่งงันก็จะรู้ว่ามันบอกอะไรเธอบ้าง แต่ชิญาดาไม่สนใจจะมอง นอกจากรีบตั้งสติดันตัวออกห่างจะโวยวายก็ไม่ใช่ที่ เพราะคนเยอะแยะมากมาย จึงเดินหนีออกมา ให้ใจที่เต้นแรงนิ่งสงบสยบความรู้สึกที่ไม่ได้รังเกียจเขาเลย
“บ้าที่สุดเลย” เธอว่าตัวเอง กี่ครั้งแล้วที่เขาทำแบบนี้ แต่ไม่เคยโกรธแบบจริงจัง ดังเช่นผู้ชายคนอื่นๆที่เคยมีท่าทีแบบนี้กับเธอ “ทำไมใจง่ายนักหนา” เธอได้แต่งึมงำ โกรธตัวเองเป็นที่สุด แล้วถอนหายใจออกมาเหมือนบอกตัวเองให้เลิกคิดเรื่องนี้เสียที แต่เธอก็ทำไม่ได้ เมื่อมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ ว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับเธอ มันเกินกว่าคำว่าปกป้อง
คนที่เพิ่งเจอหน้ากัน ความสัมพันธ์ก็ใช่ว่าจะดิบดี ในสายตาเธอ เขายังติดลบด้วยคำว่าหลอกหลวง ที่ทำไปคงเป็นตามสัญชาตญาณของผู้ชายเจ้าชู้ เห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ ที่อยู่ใกล้ก็อดที่จะชื่นชมเด็ดดมแค่นั้นเอง ฉะนั้นเลิกใจเต้นไปกับเขาได้แล้ว และไม่ควรอยู่ใกล้ให้เขาเห็นเป็นดอกไม้ริมทางอีก
อีกอย่างอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเธอ เมื่อเพื่อนเธอหนีหายไปอย่างนี้ คนพวกนั้นก็คงไม่มายุ่งกับเธออีก ที่สำคัญเธอควรจะมีสิทธิในตัวเอง ไม่ใช่อยู่ใต้อาณัติของใครจากนี้ไปเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาอีก เมื่อเธอมีพร้อมทุกอย่างทั้งเงินทั้งเอกสารควรไปหาที่พักที่อื่น หรือไม่ก็ไปพักห้องเพื่อน รอเพื่อนติดต่อกลับมา น่าจะดีที่สุด ใจหนึ่งเธอก็อยากบินกลับบ้าน แต่จะให้ทิ้งเพื่อนไปในสภาวะที่เพื่อนลำบาก เธอก็ใจดำเกินไปจะอยู่รอเจอเพื่อน แล้วค่อยบินกลับบ้าน
คิดแล้ว เธอก็กระชับกระเป๋าสะพาย เตรียมตัวจะหนี แต่ตอนนี้ทำเป็นเดินชมความงดงามของวัง โดยไม่หันไปมองคนที่คอยมองเธออยู่ตลอดเวลา ให้ต้องสงสัย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กรณ์มองตามเธอทุกฝีก้าว เพราะการที่เพื่อนเธอหายไป ไม่ว่าจะหนีไปเองหรือมีใครเอาตัวไป อันตรายก็จะพุ่งตรงมาที่ตัวเธอแทน เมื่อเธอเป็นเพื่อนรัก ก็จะเป็นเบาะแสเดียวที่จะพาไปเจอคนที่หายไป ซึ่งคนๆนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
คำพูดของคนที่ดูแลอพาร์ทเม้นท์ เขายังจำได้ดี และเมื่อขึ้นไปที่ห้องพัก สิ่งที่เขาเห็นผิดแผกไป คือรอยของฝุ่นที่เกิดจากการเคลื่อนของๆที่วางอยู่ ทำให้เขารู้ว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้ก่อนหน้าเขา และ...เขากวาดตามองไปรอบๆ อาจจะมีคนคอยตามเธอก็ได้ เขารอบคอบจากประสบการณ์ ธุรกิจของเขามันไม่ได้เป็นสีขาว บางครั้งก็เจอกับสีเทา พวกมีอิทธิพลเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมการหักหลัง ทำให้เขาต้องฝึกฝนตัวเอง ให้บู้เป็น ใช้อาวุธเป็นเหมือนที่เขากล้าชนกับพวกเสือสิงห์อินทรีมาแล้ว
โชคดีที่เขาไหวตัวทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของพ่อของกรองแก้ว และได้ทำให้เจอเธอ เขายิ้มเมื่อได้คิดถึง แล้ว...ตัวเขาก็เซไปนิด เมื่อมีคนมาปะทะ เสียงขอโทษดังเบาๆ เขาพยักหน้าว่าไม่เป็นไร ก็ไม่สนใจอีก ตวัดสายตาไปมองหญิงเดียวในดวงใจ แต่...
กรณ์ขยับตัวทันที ที่มองไปทั่วห้องโถงก็ไม่เห็นร่างอรชร สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นมา สองขาก้าว สองตาตวัดมองหา หัวใจร้อนรุ่ม ที่เธอหายไป... คนที่เขาห่วงใย เดินหลบหลีกปะปนกับคนตัวสูงใหญ่ มาที่ด้านหลังพระราชวัง ที่รู้ว่ามีสวนสวย น้ำพุงใหญ่โตงดงาม แต่ ณ เวลานี้ เธอต้องมองผ่าน ไม่อาจะชื่นชม นอกจากหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้
ติ๊ดติ๊ด เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายส่งสัญญาณ เธอเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยไม่มอง เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญสำหรับเธอคือการหนี “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายขณะสายตาหาทาง แล้วหัวใจก็วาบลึกก่อนจะวาวขึ้นมาด้วยความตื้นเต้น เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา
“น้องหนู”
“แคท” เธอจำเสียงเพื่อนรักได้ทันที ละล่ำละลักถามระรัวออกไป “แคท แคทอยู่ไหน เป็นยังไงบ้าง ใครทำอะไรเธอหรือเปล่า แล้วออกจากโรงพยาบาลไปทำไม บอกที่อยู่มา หนูจะไปหา”
“ไม่ได้ ”เสียงตอบกลับมาแหบแห้ง แบบคนไม่สบาย คนที่ได้ฟังก็ยิ่งห่วงใย
“ทำไม”
“มีคนตาม”
ชิญาดาอึ้งไปเล็กน้อยก็ถามออกมา “ใคร เขาที่ทำร้ายเธอเหรอ มันเรื่องอะไรกันนะแคท ทำไมเขาต้องทำแบบ...” เธอนึกถึงภาพปืนที่เล็งมาพร้อมจะยิงได้ทุกวินาที ก่อนจะพูดออกมา “เหมือนจะหยุดลมหายใจแบบนั้น”
“แคทเลวเอง”
น้ำเสียงสั่นเครือมาเหมือนคนร้องไห้ ยิ่งทำให้ชิญาดาร้อนใจ “หมายความว่าไง บอกมานะแคท แล้วนี้อยู่ที่ไหน บอกมา หนูจะไปหา”
ปลายสายเงียบไป เธอก็เรียกซ้ำ เพราะสัญญาณยังอยู่ “แคทแคท บอกมานะ หนูจะไปรับ เราจะกลับบ้านด้วยกัน หรือให้พี่เสือส่งคนมารับก็ได้ นะ แคท นะ” เธออ้อนวอนด้วยความหวัง แต่เพื่อนรักที่เงียบไปนานตอบกลับมาแค่
“ระวังตัวนะน้องหนู ระวังให้ดี”
“แคท แคท แคท”
ชิญาดาเรียกเสียงดัง เมื่อสัญญาณหายไป เธอร้อนรนทุกข์ไปทั้งใจ หันมองไปรอบสวน เผื่อจะเห็นเพื่อนรัก แต่ไม่มีใครที่คุ้นสายตาเลย เรี่ยวแรงหดหายแทบจะทรุดลงทั้งยืน ที่ไม่สามารถยื้อให้เพื่อนรักกลับมาหาได้ สารทุกข์สุขดิบความเป็นอยู่ ร่างกายที่บอบช้ำจากการถูกทำร้ายเข้าโรงพยาบาลได้ไม่นาน ก็หนีออกมา จะดีขึ้นหรือยังก็ไม่รู้ เธอก็ได้แต่กลุ้ม และถามตัวเองว่า
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงอึมครึม มีเงื่อนงำ แล้วคนพวกนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทำไมแคทถึงกลัว กลัวถึงขนาดต้องหนี ต้องซ่อนตัว บอกให้ใครรู้ หรือช่วยได้เลยหรือไง
**********
คนที่ชิญาดาห่วงใย แคท หรือคาริสา อชิระนั่งกอดเข่าน้ำตาไหลอยู่ในห้องพักในอพาร์ทเม้นท์เดิมที่พักอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ห้องเดิม แอบอยู่ห้องข้างๆ เป็นห้องของเพื่อนที่ไปทำธุระต่างเมือง จะกลับมาอาทิตย์หน้า ซึ่งฝากห้องให้เธอช่วยดูแล และยังบอกที่ซ่อนกุญแจให้ด้วย เธอจึงใช้เป็นที่ซ่อนตัวชั่วคราว ต้องอยู่อย่างมืดๆ อาศัยอาหารในตู้เย็น ประทังชีวิต แต่ก็คิดต่อไว้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป
หลังจากที่หลบหนีออกมาจากโรงพยาบาล เธอก็ทำทุกอย่างๆที่คิดวางแผนไว้ กลับมาที่นี่ ที่ๆใครก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะกลับมา เธอเฝ้ามองคนดูแลอพาร์ทเม้นท์ อาศัยช่วงจังหวะไปแอบหลับก็แอบเข้ามา หยิบเอาของที่มีค่า เงิน และโทรศัพท์ มาไว้กับตัว หลบไปซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อเอามาไว้ติดต่อ จะได้ไม่มีใครตามเจอ และคนแรกที่เธอคิดถึงก็คือเพื่อนรัก ชิญาดาหรือน้องหนู
คิดไม่ถึงว่าเพื่อนรักจะมาหาเธอ ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์นี้ ป่านนี้เธอคงได้กอด ได้คุย ให้หายคิดถึง แล้วพาไปเที่ยว สนุกสนาน มีความสุข แต่... น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไว้ เมื่อมันไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่อาจไปหาหรือขอความช่วยเหลือ เพราะไม่อยากดึงเพื่อนรักมาเกี่ยวจนมีอันตราย เหมือนที่เธอเป็นอยู่
“ขอโทษนะ”
น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจ น้ำตาหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ ที่เป็นรูปเพื่อนรัก รอยยิ้มสดใสที่เห็นยิ่งทำให้เธอคิดถึง แต่เธอจะมานั่งอาวรณ์อยู่อย่างนี้ไม่ได้ เธอต้องเอาคืนคนที่ทำให้เธอเจ็บ เธอต้องสูญเสีย แค่คิดถึงเธอก็ปวดร้าวไปทั้งใจ เลื่อนมือมาจับที่หน้าท้อง ประกายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แล้วหยุดความเสียใจ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แววตาเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งขึ้นมามองฮาร์ดดิสต์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า พร้อมกับคิดถึงคนที่ต้องการมัน
‘เอริค บลูโน โค’
เธอมีความสัมพันธ์กับเขา รักเขาด้วยหัวใจ แต่สิ่งที่เขาทำกับเธอ มันหน้าตัวเมีย เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น เป็นทางผ่าน อยากได้ก็ทำทุกทางเพื่อให้ได้ เมื่อได้แล้วก็เขี่ยทิ้ง แม้เธอจะมีสายเลือดของเขา ก็ไม่ใยดี ให้คนมาพาตัวเธอไปทำให้เลือดก้อนนั้นหลุดจากท้องเธอไป
น้ำตาลคลอขึ้นมาเต็มสองตา สิ่งที่เขาทำทำให้เธอสุดแค้นแสนรัก และต้องเอาคืนเขาให้ถึงที่สุด แล้วเธอก็ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่จะเอาคืนเขา ... ฮาร์ดดีสอันนี้ จะทำให้ตระกูลบลูโน โค ต้องจดจำชื่อเธอไปจนวันตาย
***********
สองเท้าที่ก้าวเร่งรีบของกรณ์ค่อยๆชะลอให้ช้าลง เมื่อเห็นคนที่เขากำลังตามหา นั่งมองน้ำพุSun Fountain เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่เจอตัวเธอเสียที เขาเดินเข้าไปใกล้ แต่เธอไม่ได้หันมามอง เขาก็คิดว่าเธอดื่มด่ำกับความสวยงามของอาคาร Gloriette ที่อยู่เหนือน้ำพุขึ้นไป เป็นซุ้มระเบียงขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างมาอย่างสวยสดงดงาม นอกจากนี้ยังมีสวนเขาวงกต และสวนสัตว์ ที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดในออสเตรียอีกด้วย
เขาหยุดยืนไม่ห่างจากตัวเธอ แต่ดูเหมือนเธอยังคงเหม่อมอง จึงตวัดสายตามองไปรอบตัวเธอ ด้วยความรอบคอบ ว่าจะมีใครแอบดูเธออยู่หรือไม่ เมื่อไม่มีอะไรผิดสังเกต ก็เดินไปหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ปรายตามองความนิ่งเฉย ซึ่งไม่ใช่วิสัยของเธอที่แสดงต่อเขา ความสงสัยผุดขึ้นมา ว่าระหว่างที่เธอห่างจากเขา เธอไปเจออะไรมา
“แคท โทรมาค่ะ”
ชิญาดาพูดออกมาเหมือนรู้ความคิดเขา แต่ไม่ได้หันมามอง สายตายังเหม่อไปไกลๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด ความห่วงใยก็เพิ่มขึ้นอีกมากมาย การจะหนีห่างไปจากคนที่บอกว่าจะปกป้อง จึงต้องล้มเลิก เพราะเธอคงต้องอาศัยเขาช่วยตามหาเพื่อน และสืบหาความจริงของคำว่า ‘มีคนตาม แคทเลวเอง และระวังตัว’
“ไม่รู้ที่อยู่ ใช่ไหม”
“ค่ะ เธอไม่บอกอะไรเลย”
“คงไม่อยากให้รู้ หรือไม่ก็ไม่อยากให้เดือดร้อนไปด้วยกัน”
“แคทเป็นคนที่เข้มแข็ง รักเพื่อน ไม่ค่อยหวาดกลัวอะไร กล้าเผชิญกับทุกอย่าง เพราะครอบครัวฝึกให้ดูแลตัวเอง ส่งมาเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก กล้าได้กล้าเสีย และไม่ยอมให้ใครมาข่มแหงง่ายๆ แต่ถ้ารักใคร ก็จะทุ่มเทให้หมด เพราะโหยหาความรักจากครอบครัว จึงต้องการความรู้สึกนั้นมาชดเชย และจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ ฉันแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นคงมีความสัมพันธ์กับเธอ เขาเป็นคนยังไง”
“เสเพล เพลบอย มีเงิน มีหน้าตา ชื่อเสียง มีทุกอย่างที่ผู้หญิงต้องการ”
“แต่ไม่ชอบการผูกมัด ได้แล้วเฉดหัวทิ้ง” เธอหยันราวกับผู้ชายที่พูดถึงยืนอยู่ตรงหน้า กรณ์จึงบอกอย่างคนที่พบเจออะไรมามากกว่า
“ถ้ายังไม่รู้อะไร ก็อย่าปรักปรำ”
“ใครบอกว่าไม่รู้ สิ่งที่เขาทำ แล้วฉันได้เจอ มันเพียงพอที่จะบอกฉันได้ว่าเขา...เลว ไม่งั้นคงไม่ทำร้ายผู้หญิงแบบนั้นหรอก แล้วยังหน้าตัวเมีย หลบอยู่หลังแม่กับทนายความ ที่ใช้เงินมาฟาดหัวฉันอีก แล้วเขาจะดีตรงไหน” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งโกรธ ยิ่งนึกถึงภาพของเพื่อนรักก็ยิ่งห่วง ร้อนไปทั้งใจความใจเย็น มีเหตุผลหดหายไป “และถ้าเขาไม่เลว ฉันก็คงไม่ได้มาอยู่ในมือคุณ และคุณก็คงไม่ต้องปกป้องฉัน”
เมื่อคนหนึ่งร้อน อีกคนก็ต้องเย็นลง กรณ์ไม่พูดอะไรอีก เขานิ่งเงียบ ปล่อยให้เวลากับธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัว รักษาความร้อนในใจเธอ ก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายร้อนรน เพราะห่วงใยเธอที่หายไป แต่เมื่อเจอเธอแล้ว แล้วได้มานั่งอยู่ข้างๆอย่างนี้ เขาก็หมดห่วง ใจจึงเย็นดั่งสายน้ำ และยินดีจะรอให้เธอใช้น้ำชโลมใจ
ธรรมชาติกับเวลาช่วยชิญาดาได้จริงๆ แต่เขาคงสำคัญกว่า เพราะรับฟังความร้อนใจของเธอ ได้ระบายแล้วความทุกข์ที่มีก็ผ่อนคลายลง เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันมามองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่ต่อว่า ไม่ตำหนิ ทั้งๆที่เธอทำออกฤทธิ์ใส่ไปหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือความโกรธที่เธอหาว่าเขาหลอกลวง ถูกลดลงไป เพราะการกระทำของเขาที่ตามหาเธอจนเจอแล้วมานั่งอยู่เคียงข้าง
“ขอบคุณ และขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณร้อนใจ”
กรณ์คิดทันทีว่าเธอหมายถึงเรื่องใด แล้วก็เข้าใจ ว่าที่เธอหายไปจากสายตาเขา คงคิดหนี อีกใจก็ชื่นชมที่รู้ว่าทำผิดแล้วขอโทษ “ทำไม หรือเพราะฉันหอมแก้ม” เขาถามหาสาเหตุ แต่ชิญาดาจะตอบเขาได้ยังไง ว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำลงไป เพราะกลัวใจตัวเอง จะชอบเขาขึ้นมา
“ฉันไม่ชอบสิ่งที่คุณทำ ถ้าแค่ปกป้อง ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นกับฉัน”
“มันมากกว่านี้”
“อะไร” เธอถามกลับทันที เขาก็ตอบทันควัน แต่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะฟัง
“ที่ฉันหอมแก้มไป ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“แล้วคุณหอมแก้มฉันทำไม”
“แล้วคนที่เขาหอมแก้มกัน เพราะอะไร”
“คุณหอมฉัน ฉันไม่ได้หอมคุณ”
เธอว่าแล้วรู้สึกเคือง ที่เขาเลี่ยงตอบคำถามเธอ ลุกขึ้นยืนไม่อยากพูดกับเขาแล้ว จะเดินผละไป แต่ทำไม่ได้เช่นเคย เมื่อเขาลุกขึ้นมาจับมือเธอไว้อย่างรวดเร็ว ขยับเท้าเข้ามาใกล้ ยืนสบตาเธอราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่าง หรือต้องการให้เธอเห็นอะไร ก็คาดจะเดา แล้วใจก็เต้นแรงเมื่อเขาก้มหน้าลงมาใกล้ แล้วพูดราวกับกระซิบที่ข้างหู ว่า...
“ฉันชอบเธอ”
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
รถยนต์คันหรูสีดำมันวาว วิ่งเข้ามาจอดหน้าคอนโดหรู คนขับรถกำลังจะเปิดประตูรถลงมาจากรถ เพื่อไปเปิดประตูให้เจ้านายที่นั่งอยู่ข้างหลัง แต่มีคนมาเปิดประตูด้านหลัง แล้วสอดตัวเข้ามานั่งเสียก่อน คนขับมองหน้าคนเปิดเข้ามา แล้วเลื่อนสายตาไปมองหน้าเจ้านาย ซึ่งก็ยกมือขึ้นให้สัญญาณให้ขับรถออกไปได้
เอวาปรายตามองลูกชาย ที่เธอโทรสั่งให้ลงมารอด้วยเสียงเฉียบขาด สีหน้าของเอริคบอกความไม่พอใจอย่างชัดเจน เธอหรุบตาลงเล็กน้อย แล้วนั่งเงียบโดยไม่พูดอะไรจนกระทั่ง รถยนต์คันงามวิ่งมาจอดที่สวนสาธารณะ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ สายลม และสระน้ำ คนขับรถเปิดประตูลงมามาเปิดประตูให้เธอ แล้วอ้อมรถไปเปิดให้ลูกของเธอ
เธอลงมายืนสง่าอยู่ข้างรถอึดใจเดียวก็เดินไปนั่งตัวตรงที่เก้าอี้เหล็กดัดริมน้ำ วางกระเป๋าถือไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นกอดอก ยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอริคลงจากรถมายืนมองคนเป็นแม่ สองมือล้วงกระเป๋า ก้าวช้าๆไปยืนอยู่ข้างๆ
“นั่งลง”
เอริคทำสีหน้าเบื่อหน่ายไม่อยากจะทำตามแต่ต้องทำ นั่งลงมองต้นไม้เหมือนว่ามันสำคัญกว่าคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เอวาข่มความรู้สึกเดือดพล่านในใจไว้ภายใต้ความนิ่งเฉย แล้วพูดออกมา
“ผู้หญิงของลูกหนีไปแล้ว”
ไม่มีท่าทีตกใจจากเอริค แต่ในใจนั้นกู้ก้องอย่างหยาบคาย ‘ระยำ’ โกรธคนที่นั่งอยู่เขาถือว่าเป็นสาเหตุ ให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ลง ความเหยียดหยันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า และถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความรู้สึกภายในได้ดี “สมใจแล้วใช่ไหม”
“เสียงลูกเกลียดแม่นะ”
“แล้วต้องการอะไรอีก” เสียงเขาต่ำระงับความรู้สึกไว้สุดๆ
“คุณพ่อให้ไปหา เพราะเรื่องมันแดงขึ้นมาแล้ว”
“ไปแก้เอาเองแล้วกัน ผมไม่ไป”
“ไม่ได้ อย่าให้คุณพ่อต้องโกรธไปมากกว่านี้ เพราะลูกอาจจะถูกเฉดหัวออกจากตระกูล และลูกต้องบอกแม่มาเสียทีว่า ผู้หญิงคนนั้นสำคัญยังไง ถึงได้ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมา”
“ให้บอกเพื่ออะไร เพื่อที่จะให้เรื่องมันยุ่งไปมากกว่านี้เหรอ ผมบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่ามายุ่ง ผมจัดการเองได้ แล้วนี่อะไร เอาคนมาเฝ้า สุดท้ายเธอก็หนีไป แล้วยังไงอีกตอนนี้ก็คงสั่งให้คนไปตามตัวแล้วซินะ เพื่ออะไรช่วยอีกเหรอ อย่า ผมขอร้อง อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งไปมากกว่านี้อีกเลย ”
“ทำไม หรือเพราะผู้หญิงคนนั้นกำความลับอะไรของลูกไว้” ถามแล้วเธอก็จ้องหน้าลูกเขม็ง แต่เอริคก็ไม่ตอบ เอวาก็เริ่มจะแน่ใจในข้อสันนิฐานของตัวเองว่าน่าจะใช่ น้ำเสียงเธอจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เป็นน้ำเย็นแทนน้ำร้อน “ถ้าลูกมีความลับจริง ก็บอกแม่มา ก่อนที่จะมีใครหาตัวเธอเจอก่อนเรา แล้วเอาตัวเธอไป ถึงตอนนั้นลูกจะแก้ตัวก็ยากแล้ว”
แววตาของเอริคมีความหวั่นไหวเพียงเสี้ยว ก็เคร่งขรึมเหมือนเดิม ปฏิเสธน้ำเย็นๆของคนเป็นแม่ “แม่ไม่ต้องรู้หรอก แค่ทำตามที่ผมขอไว้ก็พอ” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นเดินจากไป
เอวาไม่ทักท้วง ไม่หันไปมอง แต่กำมือไว้บอกให้รู้ว่าเธอไม่มีวันทำตามแน่นอน เธอจะต้องหาทางรู้ให้ได้ว่าความลับนั้นคืออะไร
----------
ชิญาดายืนอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อน เรื่องราวเมื่อวานย้อนกลับมาให้คิดว่า ความสุขความทุกข์มันพร้อมจะเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เธอมาที่นี่ด้วยหัวใจเปี่ยมสุขมากมาย แล้วเพียงพริบตาเดียว ก็กลายเป็นความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ชะตากรรมที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้า ไม่รู้ว่าจากนี้ไปเธอต้องพบเจอกับอะไรอีก จุดเริ่มต้นของการพบเจอ เธอจะเจอเพื่อนรักอีกไหม
“ไปกันเถอะ”
เสียงคนที่ขับรถพาเธอมาดังขึ้น เขามายืนอยู่ข้างเธอเมื่อไรไม่รู้ เพราะตอนที่เขาขับรถพามาถึงที่นี่ เธอก็เปิดประตูลงมา เดินมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วรู้สึกถึงความอุ่นที่แขน เธอหันไปมอง ความไม่พอใจเกิดขึ้นมาเหมือนเช่นทุกครั้ง ที่เขาชอบจับมือถือแขน แต่ทำไมเธอไม่สะบัดแขนหนี นิ่งเฉยเหมือนการยินยอมไปทุกทีซินะ เธอหน่ายใจกับตัวเองเดินตามเขาเข้าไปด้านใน
หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ชิญาดาเดินยิ้มเข้าไปเจรจาขอขึ้นไปห้องเพื่อน นางจ้องเขม็งไม่ยินยอมให้ขึ้นไป เพราะคราวก่อนให้ขึ้นไปก็เกิดเรื่องคราวนี้ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไม่ยอม แต่แล้ว...ก็มีบางสิ่งมาทำให้นางยินยอม ตาลุกวาวรีบคว้าเงินจำนวนไม่น้อยไปเก็บไว้ แล้วสบตาคนวาง
กรณ์มองหน้านาง แล้วถาม “เจ้าของห้องกลับมาที่นี่บ้างหรือเปล่า”
“ไม่นะ ฉันไม่เห็น ฉันเฝ้าอยู่ตรงนี้ยี่สิบสี่ชั่วโมง ใครผ่านไปผ่านมา ฉันเห็นหมด” นางพูดให้ตัวเองดูดี ความจริงก็แอบนอนบ้าง และคนฟังก็รู้ว่าไม่มีใครสามารถเฝ้าได้ตลอดหรอก
“แล้วขึ้นไปได้หรือเปล่า”
“เชิญ”
“ขอบคุณ” บอกแล้วเขาก็จับแขนพาชิญาดาเดินไปที่ลิฟต์ แต่ยังได้ยินเสียงพึมพำจากด้านหลัง ‘มาถามกันจัง สำคัญอะไรนักหนา’กรณ์เก็บข้อมูลนี้ไว้ในใจ พาเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ กระทั่งลิฟต์พาทั้งคู่มาถึงห้องของเพื่อนเธอ เขาก็ปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง
“รอตรงนี้”
“ทำไมมีอะไร” เธอถามด้วยความสงสัย แต่ที่เขาตอบมา
“อยากอยู่ข้างๆนานๆ”
เขาพูดหน้าตาเฉย แล้วเดินเข้าห้องไป ทิ้งเธอให้อึ้งกับคำพูดที่เขย่าหัวใจเธอ “ประสาท” เธอบ่นออกมา แล้วบอกใจให้นิ่งเฉย อย่าไปหวั่นไหวกับเขาที่เธอยังถือว่าไม่น่าไว้ใจ ซึ่งกำลังสำรวจไปทุกซอกทุกมุมห้อง และเหมือนมีบางอย่างที่ผิดแผกไป มีคนมาที่นี่ อาจจะมีใครบางคนขึ้นมาก่อนหน้าเขา แล้วเดินกลับออกมา ให้เธอเข้าไปได้
ชิญาดาเดินเข้าไป มองไปรอบๆห้องของเพื่อน เป็นห้องชุดอย่างที่เธอคิดไว้ มีห้องครัว ห้องนอน ห้องรับแขก ตกแต่งอย่างสวยงาม น่าอยู่ ถ้าไม่มีเรื่องเกิดขึ้น เธอคงได้อยู่พักอยู่ที่นี่ เธอถอยหายใจออกมาเบาๆ แล้วมองหากระเป๋าของตัวเอง ที่เธอมั่นใจว่าต้องอยู่ที่นี่ แต่ไม่เห็น คงโดนขโมยในช่วงที่ชุลมุน แล้วเดินเข้าไปในห้องนอน รูปถ่ายของเธอเคียงคู่เพื่อนรัก วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง รอยยิ้มของเพื่อนทำให้เดินเข้าไปหยิบรูปขึ้นมาดู ห่วงใยไปเต็มหัวใจ แต่ไม่รู้จะไปตามหาหรือติดต่อได้ที่ไหน
“อยู่ไหนนะแคท โทรหาฉันนะ”
เธอพึมพำพลางมองไปรอบๆห้องอีกครั้งก็เดินถือรูปออกมาจากห้องเห็นคนที่บอกอยากอยู่ข้างๆ ยืนกอดอกอยู่กลางห้อง หันมามองเธอ ก่อนเดินเข้ามาหา ยื่นมือมาจะจับแขน เธอรีบถอยห่าง เบี่ยงแขนไว้ข้างหลังพร้อมกับบอกว่า “ฉันเดินเองได้”
กรณ์หรี่ตาลงเล็กน้อย ก็บอกว่า “จะพาไปเที่ยว”
ชิญาดาตาวาว เกือบจะเข้าไปจับแขนเขาด้วยความดีใจ โชคดีที่ยั้งใจไว้ทัน แล้ววางมาดเหมือนไม่ได้สนใจมากมาย “ก็ไปซิ”
“ส่งมือมาก่อน”
“ทำไมต้องจับมือด้วย” เธอถาม ก่อนบอกว่า “ฉันไม่หลงทางหรอก”
“ฉันไม่ไว้ใจต่างหาก อย่าลืมว่าอยู่ในสถานการณ์ใด เมื่อฉันบอกว่าปกป้อง ก็จะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นมาเด็ดขาด”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันค่อยกระโดดกอดคุณเอง”
“แล้วทำไมต้องรอให้เกิด กันไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
เหตุผลของเขาก็พอจะฟังขึ้นหรอก แต่เธอจะยอมให้เขาจับมือเธอเดินไปไหนต่อไหนแบบนั้นได้ยังไง เมื่อไม่ได้เป็นอะไรกัน อีกอย่างเรื่องมันยังไม่ได้ร้ายแรง ไม่มีภัยมาถึงตัว ถึงขนาดที่เขาจะต้องมาจับมืออยู่แบบนี้ หรือมีแผนที่จะหลอกหลวงอะไรเธออีก เธอยืนชั่งใจ ขณะที่เขาไม่ต้อง ทำตามหัวใจเท่านั้น ขยับเข้าไปดึงมือเธอมาจับไว้ พาเดินไปทันที
ชิญาดาดึงมือกลับ แต่เขาจับไว้แน่น และไม่สนใจว่าเธอจะขัดขืนยังไง ยังคงพาเธอเดินไปด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจและถ้าเธอได้เห็นหัวใจที่เต้นอยู่ คงเต้นเป็นจังหวะใดไม่ได้ นอกจากจังหวะ...รัก เพราะดวงตาที่เป็นหน้าต่างของหัวใจเขา ในยามที่เธอไม่เห็นแสดงออกมาชัดเจนเหลือเกิน
*************
ตึกสูงระฟ้าอาคารบลูโน โค ร่างสูงสง่าของอดีตนายหญิงหมายเลขหนึ่ง ยืนอยู่ในลิฟต์แก้ว ที่กำลังเลื่อนขึ้นไปยังชั้นผู้บริหาร สายตามองออกไปนอกลิฟต์ ท้องฟ้า ต้นไม้ ตึกสูง ที่มองเห็น ไม่ได้สร้างความมีชีวิตชีวาให้เธอเลย เพราะใจที่ร้อนรุ่มของเธอ แล้วหรุบตามองกระเป๋าที่คล้องอยู่ที่แขน โทรศัพท์ส่งสัญญาณดังขึ้นมา
เธอเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที มุมปากแย้มบอกความพอใจเมื่อเห็นชื่อคนโทรมาก็กดรับสัญญาณก่อนยกขึ้นแนบหู ฟังเสียงที่ดังมาโดยไม่ต้องถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าทนายเมอเรย์ จะบอกเรื่องอะไร
“รู้ตัวคนทำให้เป็นข่าวแล้วครับ”
“ดี” เธอชมออกไป และไม่ถามว่าทำยังไง เพราะรู้ว่าเงินมันช่วยเบิกทางให้เกือบทุกอย่างที่ต้องการรู้ ยิ่งพวกนักข่าว บางคนเห็นเงินก็ปากสว่างแล้ว “ส่งคนไปสั่งสอน จะได้ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉันอีก”
“ต้องการแบบไหนครับ”
“เลือดกบปากก็พอ”
พูดจบเธอก็ตัดสัญญาณ ยิ้มเหยียดด้วยความสะใจ เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋า แล้วก็ปรับสีหน้าให้นิ่ง เมื่อลิฟต์หยุดที่ชั้นผู้บริหาร ก้าวออกมาจากลิฟต์ เดินตัวตรงไปยังห้องทำงานของอดีตสามี สองเท้าก้าวไปบนพื้นพรม ขณะสายตามองตรงไป แล้วต้องหยุดชะงัก เมื่อเจอคนที่เพิ่งเลือดเย็นออกไป
“จะรีบไปไหนเหรอ”
เอวายิ้มเยาะอยู่ในแววตา ขณะที่คนทักก็ลุกจากโซฟาที่นั่งอยู่ เดินยิ้มเย้ยมาหยุดยืนตรงหน้า ราเซลมองนางหงส์ที่หน้าเชิดแต่อกคงระทมตรมอยู่ตอนนี้ เธอมานั่งรอ เพราะรู้ว่าข่าวที่เกิดขึ้น สองแม่ลูกต้องถูกเรียกตัวมาแน่นอน และก็จริงอย่างที่คิด แต่น่าเสียดายที่อีกคนยังไม่โผล่มาให้เห็น ซึ่งก็ดี ดีกรีความโกรธของอดีตสามีจะได้เพิ่มขึ้นอีก แล้วผลประโยชน์จะอยู่ที่ฝ่ายเธอเต็มๆ
“ต้องการอะไร”เอวาถามเสียเย็น
“อย่าทำเป็นไม่รู้ซิ” ราเซลถามหน้าซื่อตาใส “หรืออยากให้ฉันตอกย้ำ ก็ได้นะ เรื่องข่าวนั่นไง ไฟมันล้นก้นเธอแล้วซินะ ถึงได้แจ๋นมาที่นี่”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“ใครบอก เรื่องของฉันเต็มๆเลยละ เธอน่าจะรู้นะว่าเกิดเรื่องขนาดนี้ มันจะสั่นคลอนไปถึงเรื่องอะไรบ้าง และใครควรจะได้อะไร”
“อีกาอย่างเธอก็เลยชูคอขึ้นมา คิดว่าจะได้อะไรเหรอ” ว่าแล้วก็เหยียดด้วยสายตา “น่าสมเพชที่คิดอะไรง่ายไปหน่อย”
“งั้นเหรอ แต่ทำไมท่านประธานถึงได้เรียกลูกฉันมาหา นี่คุยกันอยู่นานสองนานแล้วนะ มีเสียงหัวเราะราวกับถูกใจกันนักหนา”
“พ่อลูกคุยกันแล้วมันจะแปลกตรงไหน”
ราเซลยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ หยุดแล้วพูดให้ได้ยินชัดๆว่า “ก็แปลกตรงที่ หุ้นของลูกเธอลดลงแต่ของลูกฉันเพิ่มขึ้นไง”
เอวารู้สึกเหมือนเข็มแทงใจให้เจ็บแปลบ แต่ไม่ได้ทุรนทุรายให้อีกฝ่ายได้เห็น เพราะเธอมีวิธีเอาคืนแล้ว แล้วเชิดหน้าขึ้นเดินตัวตรงไปยังห้องทำงานของอดีตสามี ราเซลยิ้มอย่างสะใจที่สุด แต่ยังไม่กลับกลับเดินตามไป เพื่อดูความสลดของนางหงส์
เลขาหน้าห้องทำหน้าที่ประสานกับเจ้านาย ไม่เกินห้านาที ทั้งสองคนก็ได้เข้าไปนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องทำงาน นายโจนส์มองอดีตภรรยาทั้งสองคน ราเซลนั่งข้างลูกชายนายราฟ ที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกตัวมาคุยเรื่องงาน ถัดมาเป็นเอวา ซึ่งไม่มีคนที่เขาอยากพบมาด้วย
“ฉันจะคุยกับเอวา คนไม่เกี่ยวข้อง กลับไปได้แล้ว”
ราเซลหน้าเสียไปเล็กน้อย ไม่อยากกลับ อุตสาห์ทำตัวเนียนๆว่ามาหาลูกชาย ทั้งที่อยากดู รู้ เห็น เรื่องทั้งหมด โดยเฉพาะเวลาที่นางหงส์โดนเล่นงาน “ขออยู่ด้วยไม่ได้เหรอคะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ยังไงเสียเราก็ยังเกี่ยวข้องกันอยู่”
เอวาปรายตามามองแล้วบอกว่า “ไม่จำเป็น เพราะฉันไม่เคยเกี่ยวข้องกับเธอ”
“แต่ฉันหวังดี”
“เก็บความหวังดี แต่ใจทรามของเธอไว้เถอะ”
“เอวา” เสียงราเซลเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที หน้าตาก็ขึงตึงเพราะโกรธจัด ลุกขึ้นยืนข่มใจให้เย็นแล้ว แล้วยิ้มหวานให้แต่ตาเกลียดชัง บอกอีกฝ่ายว่า “เธอกับฉันก็ไม่ต่างกันนักหรอก ไก่เห็นตีนงูยังไง งูก็เห็นนมไก่เช่นนั้น ระวังใจดีๆของตัวเองไว้ให้ดี สักวันมันแสดงความต่ำทรามออกมาให้ทุกคนได้เห็น เหมือนกับที่ฉันเห็นมาแล้ว”
พูดจบก็ปรายตาความเกลียดชัง ไปยังเมียคนปัจจุบันของสามี ที่นั่งอยู่อีกห้องหนึ่ง แล้วสะบัดหน้าเดินออกมา
นายโจนส์หน่ายใจกับกริยาของเธอ แล้วมองไปที่ราฟ ซึ่งมีสีหน้าที่บอกความรู้สึกไม่ต่างจากเขา และบอกคนเป็นพ่อว่า “ผมชินแล้ว ขอตัวดีกว่า ส่วนเรื่องที่คุยกัน ผมยินดี และขอบคุณมากครับ” พูดจบก็ลุกขึ้น มองภรรยาเก่าของพ่อเล็กน้อย ก็เดินออกจากห้องไป
ภายในห้องเหลือกันแค่สามคน กรองแก้วรู้ถึงสถานการณ์ของทั้งคู่ดี จึงลุกเดินออกจากห้องไปอีกคน เสียงประตูปิดแผ่วเบา คนในห้องก็รู้ถึงความเป็นส่วนตัว เอวามองอดีตสามี ภายนอกเธอนิ่งเฉย แต่ภายในใจสุดที่จะโกรธ ที่เขาลดหุ้นของลูกเธอลงมา ทั้งที่ยังไม่สอบหาความเป็นจริง
นายโจนส์มองอดีตภรรยาเช่นกัน แล้วถามด้วยเสียงเครียด “ทำไมเอริคไม่มา”
“ฉันบอกไปแล้ว แต่การที่ลูกจะมาหรือไม่มา ฉันไม่รู้”
“แน่ใจเหรอ รู้แล้วช่วยกันปิดบังมากกว่า” เขาว่า แล้วลุกขึ้นไปหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะทำงาน มาโยนตรงหน้าเธอ “เธออยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ”
เอวาไม่มองหนังสือพิมพ์ เพราะอ่านมาทุกตัวอักษรแล้ว แต่สงสัยว่าเขารู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่นั้น ก่อนจะอ๋อในใจ ภรรยาสาวของเขานั่นเอง เธอลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับอดีตสามีที่ไม่มีเยื่อใยใดๆให้กันอีกแล้ว ชีวิตคู่ที่จบลงไป นอกจากหมดรักกันแล้ว ธุรกิจก็มีส่วนให้มันพังลง เมื่อต่างก็เห็นมันดีกว่าครอบครัว “ฉันแค่ไปปกป้อง ในขณะที่คุณไม่เคยทำ”
“ถ้าฉันไม่ทำ ที่ๆเธอกับลูกอยู่ คงไม่เงียบอยู่แบบนี้หรอก และก็ช่วยบอกฉันมาว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง”
“ฉันไม่รู้”
“อย่าปกป้องในสิ่งที่มันผิด และอย่าปิดบัง จนทำให้ฉันต้องเลือก”
“เลือกเหมือนครั้งที่คุณเฉดหัวฉันออกไปอย่างนั้นเหรอ”
“เธอรู้ดีว่ามันเป็นยังไง จะมารำลึกให้สมเพชกันอีกทำไม” นายโจนส์สวนกลับ เพราะความจริงคือเธอบังคับให้เขาเลือก ไม่ใช่เขาบังคับให้เธอเลือก เมื่อเธออยากยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง ไม่ใช่อยู่ใต้ตระกูลเขา “แต่เมื่อมันจำเป็น เธอก็รู้ว่าฉันก็ทำได้”
เอวาข่มใจไว้อย่างสุดขืน เพราะได้รู้แล้วว่าเขาทำอะไรแล้วบ้าง การเอาหุ้นของลูกเธอไปให้ลูกอีกคน บ่งบอกได้ชัดเจน แต่เธอจะเอาเหตุผลอะไรมายื้อเวลา เพื่อไปจัดการแก้ไข เธอคิดหนักแล้วหยุดความคิดไว้ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ก่อนจะเปิดเข้ามา เธอเก็บความแปลกใจไว้ภายใต้ความนิ่งเฉย ขณะจับจ้องคนที่เดินเข้ามา
เอริคสบตาคนเป็นแม่แวบเดียว ก็บอกว่า “ผมแค่เปลี่ยนใจ” พูดจบก็เดินไปยืนตรงหน้าทั้งสองคน “ไม่ชอบคนมากเพราะเมื่อเป็นข่าว ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่นี่ จึงไม่อยากมาตอนที่ทุกคนยังอยู่ มาตอนที่ไม่มีใครอยู่ดีกว่า ไม่วุ่นวาย”
เหตุผลของเขามีน้ำหนักพอที่ทำให้คนเป็นพ่อไม่ติดใจ แต่คนเป็นแม่ที่งัดข้อกันมา รู้ดีว่าไม่ใช่ และสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ลูกเธอเปลี่ยนใจ
“ไปนั่งที่เก้าอี้” นายโจนส์บอก แล้วเดินนำสองแม่ลูกไปนั่ง เมื่อนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถามเข้าจุดทันที “อธิบายเรื่องทั้งหมดมา”
“ไม่มีอะไรครับ” เสียงเอริคเรื่อยๆ สบายๆ ไม่มีความวิตกกังวลใด “แค่รักแล้วไม่เข้าใจกัน ก็กระทบกระทั่งกันธรรมดา”
“ถ้าธรรมดาแล้ว ผู้หญิงจะหนีไปทำไม”
“พ่อรู้ข่าวเร็วจริง” เอริคว่า ไม่มีท่าทีตกใจอะไรแล้วพูดต่อว่า “แต่เธอไม่ได้หนี ผมพาเธอออกไปเอง เห็นเป็นข่าวก็ไม่อยากให้พวกนักข่าวไปตามตีจิก ก็เท่านั้น” เขาพูดได้อย่างลื่นไหล ไม่มีพิรุธใดๆ เพราะเตรียมคำตอบมาแล้ว เอวาที่นั่งฟังอยู่ก็รักษาความนิ่งไว้ดีเช่นกัน “พ่อไม่ต้องห่วง ผมจะทำทุกอย่างให้ดี ไม่ให้กระทบกับพ่ออีก ขอโทษที่ทำให้พ่อไม่สบายใจ”
คนเป็นพ่อพยักหน้า ท่าทางเหมือนไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก แต่ใจจริงแล้วไม่ใช่เลย ขณะที่คนเป็นลูกก็เบาใจ แม้สมองบางส่วนจะยังรู้สึกว่าพ่อเขาเข้าใจง่ายไปหรือเปล่า แต่เมื่อไม่ซักอะไรอีกก็ดีแล้ว เพราะก่อนจะตัดสินใจมาที่นี่ เขาก็คิดหลายตลบ เห็นด้วยกับคำพูดของแม่ ที่บอกเขาว่าอย่ายื้อ ให้เรื่องยาก เขาจึงต้องมา เพื่อให้เรื่องมันจบ จะได้เดินหน้าทำงานที่ค้างอยู่ให้สำเร็จ
ส่วนคนเป็นแม่ที่นั่งเงียบมาตลอด เมื่อเห็นว่าทุกอย่างคลี่คลาย ก็บอกให้ลูกกลับพร้อมกับเธอ แต่ก่อนจะจากไป เธอควรเรียกร้องสิทธิของลูกให้กลับคืนมา “เอริคมาอธิบายทุกอย่างแล้ว หวังว่าคุณจะทำทุกอย่างให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“ได้” นายโจนส์ตกลง แม้เธอจะไม่พูดออกมาตรงๆว่าหมายถึงเรื่องใด แต่เขาก็พอจะรู้ว่าคงเป็นเรื่องหุ้น คงมีคนบอกให้เธอรู้แล้ว
สีหน้าเอวาบอกความพอใจ และคิดในใจว่าจะต้องไปเอาคืนอีกาที่จิกกัดเธอให้สาสม แต่ความคิดเธอต้องสลายกลายเป็นความคับแค้นอยู่แค่นั้น เมื่ออดีตสามีเผยความในใจที่ซ่อนเร้นไว้ ออกมาบอกว่า
“แต่ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เมื่อฉันได้เจอผู้หญิงคนนั้น”
***********
อาคารใหญ่โต สไตล์โรโคโค สีเหลืองอร่ามตา หยุดสายตาของชิญาดาไว้จ้องนิ่งๆ ริมฝีปากอ้าค้างน้อยๆ กับความสวยงามที่ได้เห็นตรงหน้า สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่สำคัญของกรุงเวียนนา หนึ่งในสิ่งที่เธอใฝ่ฝันอยากมาเห็น เมื่อได้เห็นเต็มตา สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความตื้นเต้นดีใจ จนคนข้างๆที่พามามองด้วยความเอ็นดู
“สวยจัง”
“พระราชวังพระราชวังเชินบรุนน์” เสียงคนที่พามาบอกพร้อมกับจับมือเธอพาเดินตามคนอื่นๆเข้าไปชม และเล่าประวัติคราวๆให้ฟังไปด้วย “ปีหนึ่งๆจะมีคนเข้ามาชมนับล้านคนที่สำคัญยังได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกอีกด้วย ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 1,441 ห้อง อดีตเคยเป็นที่ประทับของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก โดยพระเจ้าโยเซฟที่ 1 เป็นผู้ดำริในการสร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นมา ต่อมาจักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 ได้มีการปรับปรุงขึ้นใหม่ และแล้วเสร็จในสมัยจักรพรรดินีมาเรียเทเรซา”
เขาหยุดเดิน เพื่อให้เธอได้ดูความงดงามสุดอลังการของตัวอาคาร และเพลินเพลินกับศิลปะที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับขนบประเพณีและราชวงศ์ในออสเตรีย แล้วถามต่อ “รู้ความหมายของพระราชวังเชินบรุนน์หรือเปล่า ว่าแปลว่าอะไร”
“น้ำพุอันสวยงามค่ะ” เธอหันมาตอบด้วยความภูมิใจ เพราะหาข้อมูลมาก่อนแล้ว
“เก่ง”
ชิญาดายิ้มหวานหน้าบานที่เขาชม แล้วเดินผละไป โดยไม่รู้ว่ายิ้มของเธอทำอะไรไว้กับใจเขาบ้าง มือเธอที่ยังอยู่ในมือเขา จึงถูกกระตุกจนตัวเธอถลาเข้ามาหาอ้อมแขน แล้วปลายจมูกโด่งก็กดลงบนแก้มเธอเต็มแก้ม ดวงตาเธอเบิกกว้าง พร้อมใจที่ตึกๆแรงๆ นิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนเขา
กรณ์ยิ้มใส่ตาเธอ ที่ถ้าไม่มัวแต่นิ่งงันก็จะรู้ว่ามันบอกอะไรเธอบ้าง แต่ชิญาดาไม่สนใจจะมอง นอกจากรีบตั้งสติดันตัวออกห่างจะโวยวายก็ไม่ใช่ที่ เพราะคนเยอะแยะมากมาย จึงเดินหนีออกมา ให้ใจที่เต้นแรงนิ่งสงบสยบความรู้สึกที่ไม่ได้รังเกียจเขาเลย
“บ้าที่สุดเลย” เธอว่าตัวเอง กี่ครั้งแล้วที่เขาทำแบบนี้ แต่ไม่เคยโกรธแบบจริงจัง ดังเช่นผู้ชายคนอื่นๆที่เคยมีท่าทีแบบนี้กับเธอ “ทำไมใจง่ายนักหนา” เธอได้แต่งึมงำ โกรธตัวเองเป็นที่สุด แล้วถอนหายใจออกมาเหมือนบอกตัวเองให้เลิกคิดเรื่องนี้เสียที แต่เธอก็ทำไม่ได้ เมื่อมีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ ว่าทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับเธอ มันเกินกว่าคำว่าปกป้อง
คนที่เพิ่งเจอหน้ากัน ความสัมพันธ์ก็ใช่ว่าจะดิบดี ในสายตาเธอ เขายังติดลบด้วยคำว่าหลอกหลวง ที่ทำไปคงเป็นตามสัญชาตญาณของผู้ชายเจ้าชู้ เห็นผู้หญิงเป็นดอกไม้ ที่อยู่ใกล้ก็อดที่จะชื่นชมเด็ดดมแค่นั้นเอง ฉะนั้นเลิกใจเต้นไปกับเขาได้แล้ว และไม่ควรอยู่ใกล้ให้เขาเห็นเป็นดอกไม้ริมทางอีก
อีกอย่างอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเธอ เมื่อเพื่อนเธอหนีหายไปอย่างนี้ คนพวกนั้นก็คงไม่มายุ่งกับเธออีก ที่สำคัญเธอควรจะมีสิทธิในตัวเอง ไม่ใช่อยู่ใต้อาณัติของใครจากนี้ไปเธอไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาอีก เมื่อเธอมีพร้อมทุกอย่างทั้งเงินทั้งเอกสารควรไปหาที่พักที่อื่น หรือไม่ก็ไปพักห้องเพื่อน รอเพื่อนติดต่อกลับมา น่าจะดีที่สุด ใจหนึ่งเธอก็อยากบินกลับบ้าน แต่จะให้ทิ้งเพื่อนไปในสภาวะที่เพื่อนลำบาก เธอก็ใจดำเกินไปจะอยู่รอเจอเพื่อน แล้วค่อยบินกลับบ้าน
คิดแล้ว เธอก็กระชับกระเป๋าสะพาย เตรียมตัวจะหนี แต่ตอนนี้ทำเป็นเดินชมความงดงามของวัง โดยไม่หันไปมองคนที่คอยมองเธออยู่ตลอดเวลา ให้ต้องสงสัย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กรณ์มองตามเธอทุกฝีก้าว เพราะการที่เพื่อนเธอหายไป ไม่ว่าจะหนีไปเองหรือมีใครเอาตัวไป อันตรายก็จะพุ่งตรงมาที่ตัวเธอแทน เมื่อเธอเป็นเพื่อนรัก ก็จะเป็นเบาะแสเดียวที่จะพาไปเจอคนที่หายไป ซึ่งคนๆนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
คำพูดของคนที่ดูแลอพาร์ทเม้นท์ เขายังจำได้ดี และเมื่อขึ้นไปที่ห้องพัก สิ่งที่เขาเห็นผิดแผกไป คือรอยของฝุ่นที่เกิดจากการเคลื่อนของๆที่วางอยู่ ทำให้เขารู้ว่ามีคนเข้ามาในห้องนี้ก่อนหน้าเขา และ...เขากวาดตามองไปรอบๆ อาจจะมีคนคอยตามเธอก็ได้ เขารอบคอบจากประสบการณ์ ธุรกิจของเขามันไม่ได้เป็นสีขาว บางครั้งก็เจอกับสีเทา พวกมีอิทธิพลเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมการหักหลัง ทำให้เขาต้องฝึกฝนตัวเอง ให้บู้เป็น ใช้อาวุธเป็นเหมือนที่เขากล้าชนกับพวกเสือสิงห์อินทรีมาแล้ว
โชคดีที่เขาไหวตัวทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของพ่อของกรองแก้ว และได้ทำให้เจอเธอ เขายิ้มเมื่อได้คิดถึง แล้ว...ตัวเขาก็เซไปนิด เมื่อมีคนมาปะทะ เสียงขอโทษดังเบาๆ เขาพยักหน้าว่าไม่เป็นไร ก็ไม่สนใจอีก ตวัดสายตาไปมองหญิงเดียวในดวงใจ แต่...
กรณ์ขยับตัวทันที ที่มองไปทั่วห้องโถงก็ไม่เห็นร่างอรชร สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นมา สองขาก้าว สองตาตวัดมองหา หัวใจร้อนรุ่ม ที่เธอหายไป... คนที่เขาห่วงใย เดินหลบหลีกปะปนกับคนตัวสูงใหญ่ มาที่ด้านหลังพระราชวัง ที่รู้ว่ามีสวนสวย น้ำพุงใหญ่โตงดงาม แต่ ณ เวลานี้ เธอต้องมองผ่าน ไม่อาจะชื่นชม นอกจากหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้
ติ๊ดติ๊ด เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายส่งสัญญาณ เธอเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายโดยไม่มอง เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญสำหรับเธอคือการหนี “สวัสดีค่ะ” เธอทักทายขณะสายตาหาทาง แล้วหัวใจก็วาบลึกก่อนจะวาวขึ้นมาด้วยความตื้นเต้น เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับมา
“น้องหนู”
“แคท” เธอจำเสียงเพื่อนรักได้ทันที ละล่ำละลักถามระรัวออกไป “แคท แคทอยู่ไหน เป็นยังไงบ้าง ใครทำอะไรเธอหรือเปล่า แล้วออกจากโรงพยาบาลไปทำไม บอกที่อยู่มา หนูจะไปหา”
“ไม่ได้ ”เสียงตอบกลับมาแหบแห้ง แบบคนไม่สบาย คนที่ได้ฟังก็ยิ่งห่วงใย
“ทำไม”
“มีคนตาม”
ชิญาดาอึ้งไปเล็กน้อยก็ถามออกมา “ใคร เขาที่ทำร้ายเธอเหรอ มันเรื่องอะไรกันนะแคท ทำไมเขาต้องทำแบบ...” เธอนึกถึงภาพปืนที่เล็งมาพร้อมจะยิงได้ทุกวินาที ก่อนจะพูดออกมา “เหมือนจะหยุดลมหายใจแบบนั้น”
“แคทเลวเอง”
น้ำเสียงสั่นเครือมาเหมือนคนร้องไห้ ยิ่งทำให้ชิญาดาร้อนใจ “หมายความว่าไง บอกมานะแคท แล้วนี้อยู่ที่ไหน บอกมา หนูจะไปหา”
ปลายสายเงียบไป เธอก็เรียกซ้ำ เพราะสัญญาณยังอยู่ “แคทแคท บอกมานะ หนูจะไปรับ เราจะกลับบ้านด้วยกัน หรือให้พี่เสือส่งคนมารับก็ได้ นะ แคท นะ” เธออ้อนวอนด้วยความหวัง แต่เพื่อนรักที่เงียบไปนานตอบกลับมาแค่
“ระวังตัวนะน้องหนู ระวังให้ดี”
“แคท แคท แคท”
ชิญาดาเรียกเสียงดัง เมื่อสัญญาณหายไป เธอร้อนรนทุกข์ไปทั้งใจ หันมองไปรอบสวน เผื่อจะเห็นเพื่อนรัก แต่ไม่มีใครที่คุ้นสายตาเลย เรี่ยวแรงหดหายแทบจะทรุดลงทั้งยืน ที่ไม่สามารถยื้อให้เพื่อนรักกลับมาหาได้ สารทุกข์สุขดิบความเป็นอยู่ ร่างกายที่บอบช้ำจากการถูกทำร้ายเข้าโรงพยาบาลได้ไม่นาน ก็หนีออกมา จะดีขึ้นหรือยังก็ไม่รู้ เธอก็ได้แต่กลุ้ม และถามตัวเองว่า
นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมทุกอย่างถึงอึมครึม มีเงื่อนงำ แล้วคนพวกนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ทำไมแคทถึงกลัว กลัวถึงขนาดต้องหนี ต้องซ่อนตัว บอกให้ใครรู้ หรือช่วยได้เลยหรือไง
**********
คนที่ชิญาดาห่วงใย แคท หรือคาริสา อชิระนั่งกอดเข่าน้ำตาไหลอยู่ในห้องพักในอพาร์ทเม้นท์เดิมที่พักอยู่ แต่ไม่ได้อยู่ห้องเดิม แอบอยู่ห้องข้างๆ เป็นห้องของเพื่อนที่ไปทำธุระต่างเมือง จะกลับมาอาทิตย์หน้า ซึ่งฝากห้องให้เธอช่วยดูแล และยังบอกที่ซ่อนกุญแจให้ด้วย เธอจึงใช้เป็นที่ซ่อนตัวชั่วคราว ต้องอยู่อย่างมืดๆ อาศัยอาหารในตู้เย็น ประทังชีวิต แต่ก็คิดต่อไว้แล้วว่าจะทำยังไงต่อไป
หลังจากที่หลบหนีออกมาจากโรงพยาบาล เธอก็ทำทุกอย่างๆที่คิดวางแผนไว้ กลับมาที่นี่ ที่ๆใครก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะกลับมา เธอเฝ้ามองคนดูแลอพาร์ทเม้นท์ อาศัยช่วงจังหวะไปแอบหลับก็แอบเข้ามา หยิบเอาของที่มีค่า เงิน และโทรศัพท์ มาไว้กับตัว หลบไปซื้อซิมโทรศัพท์เพื่อเอามาไว้ติดต่อ จะได้ไม่มีใครตามเจอ และคนแรกที่เธอคิดถึงก็คือเพื่อนรัก ชิญาดาหรือน้องหนู
คิดไม่ถึงว่าเพื่อนรักจะมาหาเธอ ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์นี้ ป่านนี้เธอคงได้กอด ได้คุย ให้หายคิดถึง แล้วพาไปเที่ยว สนุกสนาน มีความสุข แต่... น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไว้ เมื่อมันไม่มีทางเป็นไปได้ เธอไม่อาจไปหาหรือขอความช่วยเหลือ เพราะไม่อยากดึงเพื่อนรักมาเกี่ยวจนมีอันตราย เหมือนที่เธอเป็นอยู่
“ขอโทษนะ”
น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความเสียใจ น้ำตาหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ ที่เป็นรูปเพื่อนรัก รอยยิ้มสดใสที่เห็นยิ่งทำให้เธอคิดถึง แต่เธอจะมานั่งอาวรณ์อยู่อย่างนี้ไม่ได้ เธอต้องเอาคืนคนที่ทำให้เธอเจ็บ เธอต้องสูญเสีย แค่คิดถึงเธอก็ปวดร้าวไปทั้งใจ เลื่อนมือมาจับที่หน้าท้อง ประกายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แล้วหยุดความเสียใจ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา แววตาเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งขึ้นมามองฮาร์ดดิสต์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า พร้อมกับคิดถึงคนที่ต้องการมัน
‘เอริค บลูโน โค’
เธอมีความสัมพันธ์กับเขา รักเขาด้วยหัวใจ แต่สิ่งที่เขาทำกับเธอ มันหน้าตัวเมีย เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น เป็นทางผ่าน อยากได้ก็ทำทุกทางเพื่อให้ได้ เมื่อได้แล้วก็เขี่ยทิ้ง แม้เธอจะมีสายเลือดของเขา ก็ไม่ใยดี ให้คนมาพาตัวเธอไปทำให้เลือดก้อนนั้นหลุดจากท้องเธอไป
น้ำตาลคลอขึ้นมาเต็มสองตา สิ่งที่เขาทำทำให้เธอสุดแค้นแสนรัก และต้องเอาคืนเขาให้ถึงที่สุด แล้วเธอก็ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่จะเอาคืนเขา ... ฮาร์ดดีสอันนี้ จะทำให้ตระกูลบลูโน โค ต้องจดจำชื่อเธอไปจนวันตาย
***********
สองเท้าที่ก้าวเร่งรีบของกรณ์ค่อยๆชะลอให้ช้าลง เมื่อเห็นคนที่เขากำลังตามหา นั่งมองน้ำพุSun Fountain เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่เจอตัวเธอเสียที เขาเดินเข้าไปใกล้ แต่เธอไม่ได้หันมามอง เขาก็คิดว่าเธอดื่มด่ำกับความสวยงามของอาคาร Gloriette ที่อยู่เหนือน้ำพุขึ้นไป เป็นซุ้มระเบียงขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างมาอย่างสวยสดงดงาม นอกจากนี้ยังมีสวนเขาวงกต และสวนสัตว์ ที่เรียกได้ว่าเก่าแก่ที่สุดในออสเตรียอีกด้วย
เขาหยุดยืนไม่ห่างจากตัวเธอ แต่ดูเหมือนเธอยังคงเหม่อมอง จึงตวัดสายตามองไปรอบตัวเธอ ด้วยความรอบคอบ ว่าจะมีใครแอบดูเธออยู่หรือไม่ เมื่อไม่มีอะไรผิดสังเกต ก็เดินไปหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ ปรายตามองความนิ่งเฉย ซึ่งไม่ใช่วิสัยของเธอที่แสดงต่อเขา ความสงสัยผุดขึ้นมา ว่าระหว่างที่เธอห่างจากเขา เธอไปเจออะไรมา
“แคท โทรมาค่ะ”
ชิญาดาพูดออกมาเหมือนรู้ความคิดเขา แต่ไม่ได้หันมามอง สายตายังเหม่อไปไกลๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนพูด ความห่วงใยก็เพิ่มขึ้นอีกมากมาย การจะหนีห่างไปจากคนที่บอกว่าจะปกป้อง จึงต้องล้มเลิก เพราะเธอคงต้องอาศัยเขาช่วยตามหาเพื่อน และสืบหาความจริงของคำว่า ‘มีคนตาม แคทเลวเอง และระวังตัว’
“ไม่รู้ที่อยู่ ใช่ไหม”
“ค่ะ เธอไม่บอกอะไรเลย”
“คงไม่อยากให้รู้ หรือไม่ก็ไม่อยากให้เดือดร้อนไปด้วยกัน”
“แคทเป็นคนที่เข้มแข็ง รักเพื่อน ไม่ค่อยหวาดกลัวอะไร กล้าเผชิญกับทุกอย่าง เพราะครอบครัวฝึกให้ดูแลตัวเอง ส่งมาเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก กล้าได้กล้าเสีย และไม่ยอมให้ใครมาข่มแหงง่ายๆ แต่ถ้ารักใคร ก็จะทุ่มเทให้หมด เพราะโหยหาความรักจากครอบครัว จึงต้องการความรู้สึกนั้นมาชดเชย และจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ ฉันแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นคงมีความสัมพันธ์กับเธอ เขาเป็นคนยังไง”
“เสเพล เพลบอย มีเงิน มีหน้าตา ชื่อเสียง มีทุกอย่างที่ผู้หญิงต้องการ”
“แต่ไม่ชอบการผูกมัด ได้แล้วเฉดหัวทิ้ง” เธอหยันราวกับผู้ชายที่พูดถึงยืนอยู่ตรงหน้า กรณ์จึงบอกอย่างคนที่พบเจออะไรมามากกว่า
“ถ้ายังไม่รู้อะไร ก็อย่าปรักปรำ”
“ใครบอกว่าไม่รู้ สิ่งที่เขาทำ แล้วฉันได้เจอ มันเพียงพอที่จะบอกฉันได้ว่าเขา...เลว ไม่งั้นคงไม่ทำร้ายผู้หญิงแบบนั้นหรอก แล้วยังหน้าตัวเมีย หลบอยู่หลังแม่กับทนายความ ที่ใช้เงินมาฟาดหัวฉันอีก แล้วเขาจะดีตรงไหน” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งโกรธ ยิ่งนึกถึงภาพของเพื่อนรักก็ยิ่งห่วง ร้อนไปทั้งใจความใจเย็น มีเหตุผลหดหายไป “และถ้าเขาไม่เลว ฉันก็คงไม่ได้มาอยู่ในมือคุณ และคุณก็คงไม่ต้องปกป้องฉัน”
เมื่อคนหนึ่งร้อน อีกคนก็ต้องเย็นลง กรณ์ไม่พูดอะไรอีก เขานิ่งเงียบ ปล่อยให้เวลากับธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัว รักษาความร้อนในใจเธอ ก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายร้อนรน เพราะห่วงใยเธอที่หายไป แต่เมื่อเจอเธอแล้ว แล้วได้มานั่งอยู่ข้างๆอย่างนี้ เขาก็หมดห่วง ใจจึงเย็นดั่งสายน้ำ และยินดีจะรอให้เธอใช้น้ำชโลมใจ
ธรรมชาติกับเวลาช่วยชิญาดาได้จริงๆ แต่เขาคงสำคัญกว่า เพราะรับฟังความร้อนใจของเธอ ได้ระบายแล้วความทุกข์ที่มีก็ผ่อนคลายลง เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันมามองคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่ต่อว่า ไม่ตำหนิ ทั้งๆที่เธอทำออกฤทธิ์ใส่ไปหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือความโกรธที่เธอหาว่าเขาหลอกลวง ถูกลดลงไป เพราะการกระทำของเขาที่ตามหาเธอจนเจอแล้วมานั่งอยู่เคียงข้าง
“ขอบคุณ และขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณร้อนใจ”
กรณ์คิดทันทีว่าเธอหมายถึงเรื่องใด แล้วก็เข้าใจ ว่าที่เธอหายไปจากสายตาเขา คงคิดหนี อีกใจก็ชื่นชมที่รู้ว่าทำผิดแล้วขอโทษ “ทำไม หรือเพราะฉันหอมแก้ม” เขาถามหาสาเหตุ แต่ชิญาดาจะตอบเขาได้ยังไง ว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำลงไป เพราะกลัวใจตัวเอง จะชอบเขาขึ้นมา
“ฉันไม่ชอบสิ่งที่คุณทำ ถ้าแค่ปกป้อง ทำไมถึงต้องทำแบบนั้นกับฉัน”
“มันมากกว่านี้”
“อะไร” เธอถามกลับทันที เขาก็ตอบทันควัน แต่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจะฟัง
“ที่ฉันหอมแก้มไป ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”
“แล้วคุณหอมแก้มฉันทำไม”
“แล้วคนที่เขาหอมแก้มกัน เพราะอะไร”
“คุณหอมฉัน ฉันไม่ได้หอมคุณ”
เธอว่าแล้วรู้สึกเคือง ที่เขาเลี่ยงตอบคำถามเธอ ลุกขึ้นยืนไม่อยากพูดกับเขาแล้ว จะเดินผละไป แต่ทำไม่ได้เช่นเคย เมื่อเขาลุกขึ้นมาจับมือเธอไว้อย่างรวดเร็ว ขยับเท้าเข้ามาใกล้ ยืนสบตาเธอราวกับกำลังตัดสินใจบางอย่าง หรือต้องการให้เธอเห็นอะไร ก็คาดจะเดา แล้วใจก็เต้นแรงเมื่อเขาก้มหน้าลงมาใกล้ แล้วพูดราวกับกระซิบที่ข้างหู ว่า...
“ฉันชอบเธอ”
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ต.ค. 2561, 10:18:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ต.ค. 2561, 10:18:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 974
<< ตอน 4 | ตอน 6 >> |