ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 6
ตอน 6
ราเซล อดีตนายหญิงคนที่สองของบลูโน โค หลังจากได้สร้างความทุกข์ตรมไว้ในใจให้นางหงส์เอวา ก็มาเดินช้อปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำด้วยความสุขใจ โอกาสที่เธอรอจะเอาคืน ไม่ได้มีกันง่ายๆ เมื่อมาถึงเวลาแล้วได้ทำ มันช่างให้สะใจเสียจริงๆ
ครั้งที่เธอแต่งงานได้เป็นภรรยาคนที่สองของโจนส์นั้น เธอเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพราะได้หลุดพ้นจากความจน ได้หลุดจากการทำงานที่หนักที่ต้องแข่งขันสูง ของอาชีพดารานางแบบ แต่เธอมีความสุขอยู่ได้ไม่นาน มารหัวใจก็เริ่มเกิดขึ้นมา เมื่ออดีตภรรยา ผู้หญิงที่สื่อยกให้เป็นแถวหน้าของเมือง เพราะชาติกำเนิดและการวางตัวที่ดี เกิดหวงก้างขึ้นมา เริ่มเอาหน้าที่การงาน การสังคมสงเคราะห์ต่างๆ และเรื่องของลูกมาพบเขาบ่อยๆ
แรกนั้นเธอก็ใจกว้าง เข้าใจ แต่หลายครั้งการแสดงออกต่อหน้าเธอ ลับหลังเขานั่นไม่ใช่ มันคือการเยาะเย้ย นิ่งลึกด้วยแผนการต่างๆ และเริ่มเขย่าสวรรค์ของเธอให้กลายเป็นนรก ด้วยการให้ผู้ชายมากหน้าหลายคนมาพัวพันกับเธอ แม้จะทำเหมือนแค่ฉาบฉวยและรู้จักกันผิวเผิน แต่ทุกอย่างที่เกิด ถูกบันทึกไว้ แล้วกระจายไปทำลายชื่อเสียงของเธอ
เธอเริ่มมีปากเสียงกับโจนส์ เพราะเขารักหน้าตา ชื่อเสียงของตระกูล ต้องไม่ต่างพร้อย ชีวิตเบื้องหลังเธอก่อนจะแต่งงานกับเขานั่น เขาไม่สนใจว่าจะเป็นยังไง แต่เมื่อเป็นภรรยาเขาแล้ว ก็ต้องดูดี ไม่มีเรื่องข่าวคาวใดๆ แล้วสุดท้ายน้ำที่หยดลงหินทุกวันจนหินกร่อน ก็แตกร้าวออกมาด้วยความเมาของเธอ ที่ขาดสติไปหลับนอนกับผู้ชายคนอื่น จนเธอต้องหย่าขาดกับเขา ลูกที่มีก็ไม่อาจจะยื้อเอาไว้ได้
ความเลวร้ายที่นำไปสู่การความร้าวฉาน จนต้องเลิกรา ถูกปิดเงียบ ข่าวที่ออกมาเหตุของการหย่าร้าง คือความแตกต่างทางสังคมและนิสัย เธอเสียใจ เจ็บปวด หน้าชื่นอกตรม เพราะส่วนหนึ่งที่ชีวิตต้องพังทลายเพราะตัวเธอเอง แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องราวต่างๆก็เริ่มเปิดเผยออกมา เมื่อเธอกลับไปสู่วงจรนางแบบ ก็เริ่มได้ยินข่าวซุบซิบมาถึงหูว่าแท้ที่จริงเรื่องทั้งหมดนั้นมาจาก...นางหงส์เอวา
เธอสุดจะเคียดแค้น และแค้นหนักขึ้นไปอีก เมื่อข่าวที่เล็ดรอดออกมาก็เป็นฝีมือนางหงส์ ที่ต้องการต้องการช้ำเติม เยาะเย้ยให้เธอยิ่งเจ็บ ที่เสียโง่ให้มัน แล้วไม่มีหลักฐานใดๆที่จะไปแก้ต่าง เอาคืนก็ยากเพราะคนชนชั้นธรรมดาอย่างเธอ ไม่มีอำนาจที่จะทำ จะไปสู้กับชนชั้นอย่างมันที่มีอำนาจและคนรองมือรองเท้า และท้ายที่สุดแล้วคือความเลวของเธอเอง
เธอจึงได้เกลียดชังอีกฝ่ายนัก รูปลักษณ์หน้าตาที่เห็นว่าดี แท้ที่จริงแล้วคือนางมารนั่นเอง มาวันนี้ที่เธอได้เอาคืน จึงสะใจนัก และพร้อมที่จะเหยียบให้จมดิน ให้ต้องพินาศกันไปข้างหนึ่ง
ราเซลยิ้มให้กับความสุข เธอซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้รางวัลกับตัวเอง แล้วซื้อรองเท้ากับเสื้อผ้าด้วย จนเวลาผ่านไปมืดค่ำ ก็เดินหิ้วถุงช็อปปิ้งกลับมาที่รถ เธอโดยไม่รู้ว่ากำลังมีภัยร้ายรอคอยอยู่ ลานจอดรถสำหรับลูกค้าสำคัญ จะเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เธอเปิดประตูท้ายรถเอาของใส่ เรียบร้อยก็ใช้กุญแจรีโมทปิดท้ายรถ ก็เดินไปเพื่อจะเปิดประตูนั่งหลังพวงมาลัย แล้วต้องตกใจ เมื่อมีชายคนหนึ่งโผล่มาประชิดตัว
“เพี๊ยะ”
“โอย” เธอร้องออกมา เมื่อโดนตบโดยไม่ทันตั้งตัว จะร้องขอความช่วยเหลือมือมันก็ปิดที่ปาก เธอมองหน้าคนทำ ซึ่งเห็นไม่ชัด เพราะมันใส่เสื้อที่มีฮู้ดคลุมหัวปิดมาครึ่งหน้า
“อย่าสาระแน” เสียงมันกร้าวอย่างน่ากลัว แล้ว... “เพี๊ยะ”
“โอย”
ราเซลร้องด้วยความเจ็บ รู้สึกถึงเลือดที่ซึมอยู่ในปาก และตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว เมื่อมันดึงคมมีดวาววับมาทาบหน้าเธอ ก่อนจะเลื่อนมาที่ปากแล้วขู่ด้วยเสียงเหี้ยมๆว่า “ถ้าปากยื่นปากยาวเหมือนอีกาอีก...ตาย” มันแสยะปากทิ้งท้าย แล้ววิ่งหนีไป
ราเซลถึงกับเข่าอ่อน ตัวรูดกับข้างรถลงไปกองกับพื้น นั่งตัวสั่น น้ำตาไหล ไม่นานก็รีบรวบรวมสติตะเกียกตะกายขึ้นมา เปิดประตู เข้าไปนั่งในรถ กดล็อกทุกระบบกระทั่งความหวาดกลัวลดลง สมองก็เริ่มทำงานจำคำพูดสุดท้ายที่มันทิ้งไว้ ก็สุดแสนจะเจ็บแค้น กำมือทุบพวงมาลัยด้วยความเจ็บใจ เพราะคำว่าอีกา ทำให้เธอรู้ว่าเป็นฝีมือของ...ใคร
“อีสารเลว”
เธอตะโกนออกมาลั่นรถ น้ำตาแห่งความคับแค้นใจไหลพรากออกมา แล้วสัญญากับตัวเองว่าเธอต้องเอาคืน “ถึงทีกูเมื่อไร กูจะกระทืบให้มึงตายคาตีน”
***********
แสงไฟถูกมนุษย์ผลิตขึ้นมาให้ความสว่างแทนดวงอาทิตย์ ทั่วทั้งเมืองบ้านเรือน อาคาร สถานที่ต่างๆ รวมถึงสถานบันเทิง ผับของลูกชายตระกูลบลูโน โค ก็เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว แบ่งแยกสไตล์การฟังเพลงแต่ละประเภทอย่างชัดเจน จึงครอบคลุมคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะหญิงสาวที่เข้ามา เพราะเจ้าของรูปหล่อพ่อรวย มีชื่อเสียง ที่สำคัญคือยังโสด แม้จะมีข่าวว่าเขาควงผู้หญิงมากมาย แต่เมื่อยังไม่มีใครเป็นตัวจริง ทุกคนก็มีสิทธิ์
เสียงเพลงดังขึ้นคลอบรรยากาศรื่นรมย์ เครื่องดื่มสีต่างๆในแก้วกระทบแสงไฟหลากสี เป็นประกายงดงาม โต๊ะที่นั่งถูกจับจองด้วยนักท่องราตรีที่เข้ามาหาความสำราญ ผ่อนคลายความตึงเครียด เสียงพูดคุย หัวเราะ ทักทายดังขึ้นไประยะ พนักงานต้อนรับ เด็กเสิร์ฟเดินให้บริการไปตามชั้น ตามโต๊ะต่างๆ รับออเดอร์และส่งอาหารด้วยความยิ้มแย้ม และเป็นกันเอง
เอริน่า บลูโน โค น้องของเจ้าของร้าน ใส่ชุดซีทรูสีดำ แค่เข่า เปิดแผ่นหลังให้เซ็กซี่ เดินเข้ามาดูแลร้านในคืนนี้ ตามคำสั่งของคนเป็นแม่ ซึ่งเธอชอบเที่ยวแบบนี้อยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหา แต่จะไม่ค่อยมายุ่งวุ่นวายกับกิจการของพี่ชาย เธอชอบที่จะไปเฮฮากับเพื่อนๆที่อื่นมากกว่า
เธอพอจะรู้เรื่องที่พี่ชายก่อขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเอามาใส่ใจ เพราะถือว่าชีวิตของใครของมัน ดูแลกันเอาเองก็แล้วกัน แต่การยอมคนเป็นแม่ในคืนนี้ นอกจากที่ชอบแล้ว เธอยังได้มากกว่าเสีย ธุรกิจด้านความงาม ต้องเจาะกลุ่มคนกลางคืนด้วย อีกอย่างด้วยรูปลักษณ์ที่ดีพร้อม ภมรก็โฉบเฉี่ยวมาให้เธอได้บริหารเสน่ห์เช่นกัน
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าของ ซึ่งยืนมองลงมาจากชั้นสามของร้าน แต่สายตาที่มองผ่านกระจกสีทึมนั้น ไร้อารมณ์ เฉยเมยกับทุกอย่าง แม้กระทั่งภาพของเอริน่าที่กำลังพูดล้อต่อกระซิบกับผู้ชาย ที่เขารู้ว่าเป็นเสือผู้หญิง เขาก็ไม่สนใจนั่นเพราะเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องคิดนั่นเอง
‘ได้ เมื่อพาผู้หญิงคนนั้นมาหาฉัน’
คำพูดของคนเป็นพ่อยังก้องอยู่ในหู ตามมาด้วยคำตอบของคนเป็นแม่ ที่บอกให้เขารู้สาเหตุให้หายสงสัยหลังจากออกมาจากห้องพ่อ ว่า ‘หุ้นของลูก ถูกยกให้ลูกบ้านที่สอง’
เอริคขบกรามเข้าหาแน่น คิดไม่ถึงว่าพ่อจะลงโทษและบีบบังคับเขาด้วยวิธีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เป็นกุญแจสำคัญ หายไปยังหาไม่เจอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เขาไม่ได้หันไม่มอง ไม่เอ่ยปากอนุญาต เพราะไม่ต้องการคุยกับใคร แต่ดูเหมือนจะมีเสียงประตูเปิดเข้ามา แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง
แก้วเครื่องดื่มสีขาว เหล้าแรงๆ ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า เขาหรุบตามองเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นมาถือไว้ คนที่เอามาให้ เหยียดริมฝีปากออกยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดออกมา “เฉยชาจริงนะพี่ชาย ก่อเรื่องขึ้น ก็ต้องกลุ้มอย่างนี้แหละ”
เอริน่าว่าเข้าให้ยกแก้วพั้นซ์สีสวยขึ้นจิบพลางมองลงไปข้างล่าง หลังจากเทภมร ที่คุยแล้วไม่ถูกใจ ก็เดินขึ้นมาบนนี้
“โผล่มาทำไม”
“ผู้หญิงแถวหน้าขอร้อง” เธอบอกให้รู้ว่าไม่ได้อยากจะมา แต่ขัดคนเป็นแม่ ที่คนในสังคมเรียกกัน ไม่ได้เท่านั้นเอง
“กลับไปเสีย ฉันไม่ต้องการความคิดเห็น หรือเห็นใจปลอมๆ”
“ก็ไม่มีให้อยู่แล้ว” เธอบอกอย่างไม่ยี่หระ เมื่อต่างก็รู้ว่าพี่น้องสองคน มีทางเดินของตัวเอง พ่อแม่ที่แยกกัน สนใจแต่ธุรกิจ ไม่ได้ใยดีกับลูกที่ร่วมกันทำให้ก่อเกิดขึ้นมา สายใยสายสัมพันธ์จึงผูกพันกันน้อยเหลือเกิน “ฉันว่าแทนที่พี่จะมายืนอมทุกข์ รีบหาตัวเธอให้เจอไม่ดีกว่าเหรอ เคยคั่วกันอยู่ จะไม่รู้จักเพื่อน หรือที่ๆเธอชื่นชอบที่จะไปที่ไหนบ้างหรือไง เธออาจจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ได้”
เอริคคิดก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่ทำเหมือนไม่ไหวตัว เพราะเขารู้ว่ามีคนทำอยู่แล้ว แต่เอริน่าไม่รู้ และเมื่อพูดออกไปแล้ว เขายังเฉย เธอก็เลิกสนใจ ลงไปสนุกข้างล่างดีกว่า คิดเสร็จ เธอก็เดินออกจากห้องไป และมีคนเดินสวนเธอเข้ามา คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่าเขาคือทนายของคนเป็นแม่
ทนายเมอเรย์เดินมายืนข้างทายาทของเจ้านาย สายตามองไปลงข้างล่าง แสงสีเสียงกำลังให้ความสุนทรีย์กับนักท่องเที่ยว ต่างสำเริงสำราญ หัวเราะต่อกระซิก ปลดปล่อยชีวิตกันอย่างมีความสุข ซึ่งอดีตเขาก็เคยใช้ชีวิตแบบนี้ แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น เขาต้องการแค่เพลงเบาๆ กับไวน์ชั้นเลิศเท่านั้น แต่นั้นหมายถึงต้องมีเงินมากพอด้วยที่จะซื้อด้วย ซึ่งเขาก็กำลังหาอยู่
เขาละสายตากลับมามองคนข้างๆ ความสนใจในตัวเขายังไม่มี ก็ขอทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการบอกว่า “คุณเอวาให้ผมมาหา”
“ฉันไม่มีอะไรจะบอก” เอริคบอกอย่างพอจะรู้ว่าคนเป็นแม่ ส่งทนายหน้าหอมาทำไม ถ้าไม่ใช่ล้วงความลับเรื่องที่เขาปิดบังไว้
“ผมไม่ได้มาเพื่อสิ่งนั้น แต่จะมาบอกว่า คนของเรายังหาตัวเธอไม่เจอ ที่ๆอันตรายที่สุดอย่างห้องของเธอ เธอก็ไม่ได้กลับไป และคนที่เปรียบเป็นสะพานทอดไปหาเธอ เราก็ไม่อาจจะผลีผลาม เข้าถึงตัวได้”
“ใคร” เอริคถามอย่างสนใจ แต่ท่าทียังเก็บความรู้สึกได้เก่งไม่ต่างจากคนเป็นแม่
“เพื่อนของเธอ ผู้หญิงที่ไม่ยอมคุณ” คนฟังคิดตาม นึกภาพออกทันทีว่าคือคนที่จะเอาเขาเข้าคุก คนพูดเห็นว่าอีกฝ่ายคิดออกแล้วก็พูดต่อ “ผมได้ประวัติคราวๆของเธอมาแล้ว ชื่อชิญาดา อภิราชไพศาลนันท์...”
ทนายเมอเรย์เล่าประวัติที่ได้มาให้ฟัง แต่ที่สำคัญที่ทำให้เอริคต้องขบกรามข่มความรู้สึกไว้ลึกๆคือ “และที่บอกว่าเราเข้าถึงตัวเธอได้ยาก เพราะเธออยู่ในมือของคุณกรณ์”
“ผู้ชายที่เป็นญาติของนายหญิงคนใหม่ของตระกูลบลูโน โค” เขาบอกอย่างพอจะจำได้ แต่ไม่เคยใส่ใจมากมาย เมื่อไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่รู้ว่าพ่อของเขาค่อนข้างที่จะไว้ใจ เพราะนอกจากจะมีธุรกิจร่วมกันแล้ว พ่อเขายังเรียกมาคุยเหมือนที่ปรึกษาด้วย
“ครับ ” ทนายเมอเรย์ยอมรับออกมา “ภายนอกที่เห็นเขาก็เหมือนนักธุรกิจทั่วไป หล่อ โสด สปอร์ตแมนรูปร่างรูปลักษณ์ดีไปหมด แต่ภายในเขามีพิษสงรอบตัว ดูได้จากคุณกรองแก้ว ที่แม่ของคุณแตะต้องไม่ได้เลย”
“งั้นก็ไม่ต้องแตะ แค่เข้าถึงก็เพียงพอ”
“หมายความว่าไง”
เอริคไม่ตอบ เพราะถ้าทนายรู้แม่เขาก็ต้องรู้ แล้วก็เข้ามายุ่งอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการ และไม่สงสัยเรื่องที่ทนายเมอเรย์มาพูดให้ฟัง เพราะรู้อยู่แล้วว่าแม่เขาคงสั่งให้ส่งคนไปตามดู
ความนิ่งเงียบของอีกฝ่าย ทนายเมอเรย์ไม่กล้าเซ้าซี้ขอคำตอบ เพราะกิตติศักดิ์ความเลือดร้อนของเขา แม้แต่ผู้หญิงก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลมาแล้ว จึงไม่กล้าเสี่ยง กลัวตัวเองจะไม่ได้ไปนอนแค่ในโรงพยาบาลแต่ต้องไปนอนตัวอยู่ในโลง ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องคิดหาคำตอบเพื่อไปบอกคนเป็นนาย และเมื่อหมดเรื่องพูดเขาก็ขยับตัวเพื่อจะกลับ แต่...
“เอ๊ะ!” เสียงเขาดังขึ้นบอกความแปลกใจ เมื่อมองไปข้างล่างเห็นใครบางคน ที่ไม่คิดว่าจะมาที่นี่ เขาหันมามองคนข้างๆ แต่ขยับตัวเดินลิ่วไปที่ประตูแล้ว ทนายเมอเรย์จึงยังไม่กลับ ยืนรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
*********
รถยนต์ของกรณ์วิ่งเข้ามาจอดหน้าร้านสถานบันเทิง ดับเครื่องยนต์แล้วหันมามองคนที่มากับเขาด้วย ชิญาดาทำเหมือนไม่เห็นการมอง หันไปมองดูร้านอย่างสนใจ วันนี้ทั้งวัน หลังจากเขาบอกความรู้สึกให้รู้ เธอก็นิ่งเฉย ขณะที่เขาก็ทำตัวปรกติพาเธอไปเที่ยวต่อที่พระราชวังฮอฟบวร์ก
พระราชวังเก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีอายุกว่า600 ปี ปัจจุบันกลายเป็นที่พักและทำเนียบของประธานาธิบดี เพียงก้าวแรกที่เธอเดินเข้าไป ก็ต้องตะลึงกับความสวยงามของซุ้มประตูสไตล์บารอค ด้านในพบกับที่ประทับของจักรพรรดิ ที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเเสนวิจิตรตระการตา ต่อด้วยการเดินชมพิพิธภัณฑ์ของ Hofburg Palace ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ และเครื่องแต่งกายที่เเสนจะหรูหราของราชวงศ์ฮอฟบวร์ก
เขาพาเธอเที่ยวชมได้แค่นี้ แสงอาทิตย์ก็ลาลับฟ้า ความงดงามยามพระอาทิตย์ตก ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำกับกล้องถ่ายรูปในโทรศัพท์ แล้วเขาก็ขับรถพาเธอมาที่นี่ ซึ่งเธอคิดว่าคงพามาทานข้าว อาคารที่เห็นด้านหน้าเป็นกระจก แสงไฟเปิดสว่างให้เห็นผู้คนข้างใน ที่นั่งดื่มนั่งกิน พูดคุยกัน เสียงประตูรถเปิดออก ทำให้เธอต้องหันมามอง ก็เห็นคนขับยืนอยู่ข้างรถแล้ว เธอจึงเปิดประตูออกไปบ้าง
ร่างสูงเดินมายืนเคียงข้างเธอ ยื่นมือมาจับมือเธอไว้เหมือนเคย เจ้าของมือหรุบตามอง ไม่มีการดื้อดึงเหมือนคราวก่อนๆ เพราะรู้ซึ้งแล้วว่าถ้าเขาไม่ปล่อยเธอก็ได้แค่ทำเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อไปจากเขาไม่ได้ เธอก็ต้องยอมรับความผิดแผกไปของหัวใจตัวเอง และเมื่อเธอไม่ต่อต้านคนจับก็ยิ้มนิดที่มุมปาก ขณะสายตามองไปรอบร้านที่เขาพาเธอมาอย่างละเอียด มีที่นั่งทั้งด้านนอกและด้านใน ด้านในเป็นส่วนของผับ แสงสียั่วยวนกิเลสในใจให้อยากเข้าไปไม่น้อย ขณะที่ด้านนอกก็มีเพลงเบาๆให้ฟัง แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่หนึ่งที่มีใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่
เขาดึงสายตากลับมามองคนที่จับมืออยู่ การที่เขาพาเธอมาที่นี่ นอกจากทานข้าวแล้ว ยังมีบางอย่างที่เขาต้องการด้วย กรณ์หยุดความคิดนี้ไว้ แล้วหันมาบอกกับคนที่จับมือไว้ว่า “ที่นี่อาหารอร่อย มีเพลงเพราะๆให้ฟังด้วย คงถูกใจ”
“แสดงว่ามาทานบ่อย”
“ไม่เคย”
ชิญาดาทำหน้าแปลกใจ ที่คำพูดเขามันฟังสวนทางกัน บอกอาหารอร่อยเพลงเพราะ แต่ไม่เคยมา กรณ์เห็นสีหน้าเธอก็เลยบอกว่า “มาตามคำบอกเล่า”
เธอมองค้อนเขาทันที แล้วรู้สึกถึงแรงกระชับที่ฝ่ามือ ก็หรี่ตามองเหมือนเขากำลังสื่ออะไรบางอย่าง แต่ยากที่จะเดา จึงตวัดสายตากลับมามองเขา ก็ผงะไปเล็กน้อยเพราะเขาก้มหน้าลงมาชิด แล้วบอกว่า “น่ารัก”
เธออยากจะค้อนเขาอีกสักครั้ง แต่ไม่กล้า ได้แต่หลบตาไปมองอย่างอื่น ทั้งที่ใจระส่ำระสายไปหมดแล้ว กรณ์ที่มองอยู่ก็ไม่รุกให้เธอรู้สึกหวั่นจนถอยห่าง แต่จะแสดงให้เธอรับรู้ความรู้สึกของเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วพาเธอเดินไปที่ประตูทางเข้าร้าน พร้อมกับบอกว่า
“ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง”
“ทำไมคะ”
“ลองเดาดูไหม”
“เจ้าของหล่อ”
“เก่ง”
ชิญาดาหน้าเหลอไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขำ เพราะเดาเล่นเหมือนเป็นการหยอกเย้ากันในหมู่เพื่อนที่สนิทกัน เวลาที่ไปเที่ยวดื่มกิน ไม่คิดว่าจะเป็นจริง “งั้นขอนั่งโต๊ะที่เห็นเขาชัดๆนะคะ แต่ว่าเขาจะมาหรือเปล่า” เธอพูดเล่นกับเขาราวกับเพื่อนสนิท ซึ่งเขาก็ต้องการให้เธอปล่อยตัวสบายๆแบบนี้อยู่แล้ว
“เท่าที่รู้มาแทบทุกคืน”
“ว้าว อย่างนี้ฉันก็จะได้เห็นเหล่าผีเสื้อราตรีบินหาภมรนะซิ โอโอ้โอ่ คงแต่งตัวกันสวยงามน่าดู” เธอจินตนาการถึงชุดเซ็กซี่ เปิดอก เว้าหน้าเว้าหลัง สั้นๆหรือยาวๆ ผ่าถึงกลางขา บางคนก็คงซีทรูแล้วก็ก้มลงมองดูตัวเอง ที่ใส่กางยีนกับเสื้อยืดธรรมดา หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง จืดชืด เพราะไปสมบุกสมบันกับเขามาทั้งวัน
“คุณน่าจะบอกฉันก่อน ว่าจะพามาที่นี่ ฉันจะได้แต่งตัวมาประชันกับเขาบ้าง”
“แค่นี้ก็สวยแล้ว”
“เสื้อยืดกับกางเกงยีนเนี๋ยนะ สวย”
“ใช่”
“ไม่สวย” เธอว่าพลางส่ายหน้า
“เชื่อซิ อย่าให้ถึงขั้นต้องไว้หนวด”
“ทำไมต้องไว้หนวด” เธอปากไวถามออกไป แล้วก็คิดออกพร้อมกับที่เขาบอกตอกย้ำมาให้หัวใจเต้นแรง แก้มแดง ด้วยความเขิน
“ฉันหวง”
**********
แสงไฟสลัวในผับคนบางคนอาจจะใช้พรางตัว เพราะให้อยากให้ใครจำได้ แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยหรือรู้จักกันมานาน เห็นแค่แวบเดียวก็จำได้ทันที เอริคที่รีบเดินออกมาจากห้องทำงาน ลงมาด้านล่าง เพราะมั่นใจว่าเขาตาไม่ฝาด คนๆนั้นมาที่ผับเขา แม้แสงไฟจะพรางตา แต่ไม่อาจจะหลอกเขา ที่คุ้นเคยกับแสงเหล่านี้มานาน ยิ่งในผับเขา ยิ่งมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดแน่นอน
เขายืนอยู่กลางผับ กวาดตามองไปรอบๆ แล้วมุมปากก็เหยียดออกบอกว่าเจอคนที่เห็นแล้ว ยืนคุยกับน้องสาวเขานั่นเอง ท่าทางดูจะคุยกันถูกคอ มียิ้มแย้ม หัวเราะ ขณะที่เขาเหยียดริมฝีปากออกหยัน แล้วสอดสองมือไว้ในกระเป๋ากางเกงก้าวเท้าเดินไปหา ไม่มีท่าทีรีบร้อน ออกจะเรื่อยๆเอื้อยด้วยซ้ำ ไม่กี่นาที เขาก็มายืนอยู่ข้างๆ วางแขนบนเคาน์เตอร์บาร์ ปรายตามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ได้หุ้นเขาไป น้องที่มีเลือดแค่ครึ่งเดียวเหมือนเขา ราฟ บลูโน โค
เอริน่าสบตาพี่ชาย ที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าต้องไม่พอใจแน่นอน ที่เห็นเธอมายืนยิ้มหัวร่ออยู่กับคนที่พร้อมจะแย่งทุกอย่างไปจากเขา ยักไหล่ให้เล็กน้อย แล้วบอกกับคนที่คุยว่า “มีคนมาต้อนรับแล้ว ขอให้สนุกนะ” พูดจบก็ยกมือกระดิกนิ้วบอกลา
เอริคมองตามไปเพียงอึดใจเดียว ก็หันมาสนใจคนที่นั่งอยู่ “ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของฉัน” เขาทักทายออกไป แล้วยกมือขอเครื่องดื่มจากพนักงานเคาน์เตอร์
ขณะที่ราฟคลึงแก้วในมือเล่น หรี่ตามองมันเสมือนว่ามันสำคัญกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่กี่อึดใจก็ลุกขึ้นยืนปรับสีหน้าแววตาให้รื่นรมย์ หมุนตัวยืนพิงเคาน์เตอร์ มองหนุ่มๆที่เดินผ่านไปผ่านมา ทอดสะพาน ชายตาลั้ลลาสุดๆ แล้วเอียงหน้ามาพูดกับคนที่ยืนอยู่ ด้วยคำพูดที่ต่างจากบุคลิกโดยสิ้นเชิง
“สถานที่อโคจร มอมเมากันอย่างนี้เหรอ ที่เขาเรียกกันว่าอาณาจักร”
“ไม่รู้ซิ หรือฉันเรียกผิดอย่างว่ามันไม่ได้ฝังอยู่ในสายเลือดฉันเหมือนนาย แล้วเขาเรียกว่าอะไร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” พูดพลางยักไหล่ และยิ้มกวนอีกฝ่าย “แต่ที่รู้ชัดและเปลี่ยนอะไรไม่ได้คือเลือดครึ่งหนึ่งของฉันมันเหมือนนาย ถ้านายรู้ฉันก็คงจะรู้”
“งั้นเหรอ แต่ฉันลืมไปแล้วว่าเลือดครึ่งหนึ่งของเราเหมือนกัน”
“แต่ฉันไม่ลืมเพราะเพิ่งได้ลาภลอยมาทำให้ลืมไม่ลง”
เอริคเดือดไปทั้งใจ เพราะรู้ว่าลาภลอยที่ว่าคือหุ้นของเขาที่พ่อยกให้มัน แต่หน้าตาเขายังเก็บอารมณ์ได้ดี “ขอบใจที่เตือน แต่อะไรที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง มักจะอยู่ได้ไม่นานหรอก”
“นายจะเอามันคืน”
“ถือว่าฉันฝากไว้ก่อนแล้วกัน”
“ด้วยความยินดี” ว่าแล้วราฟก็โยกตัวไปตามเสียงเพลง ยื่นแก้วไปชนกับหนุ่ม ท่าทีที่ไม่ยี่ระของเขาทำให้ใจเอริคก็ยิ่งเดือด เพราะมองว่าถูกเยาะเย้ย ต้องข่มใจไว้สุดๆ ยังพูดคุยเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“มาทำอะไรที่นี่” ถามแล้วก็ยกแก้วกระดกเครื่องดื่ม ปิดบังอารมณ์
“มีกฎห้ามไม่ให้มาเหรอ”
“แค่สงสัย”
ราฟหยุดเต้น หันมามองคนดื่มน้ำเมาเป็นน้ำเปล่า ยิ้มให้ก่อนเล็กน้อย ก็บอกว่า “ก็ไม่มีอะไร เห็นข่าว ก็อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองบ้าง แล้วก็ดี๊ดี เพราะสถานที่ของนาย บันเทิงใจฉันน่าดู หมู่ภมรน่าขย้ำทุกคน”
เอริคมองเหยียดอีกฝ่าย ที่ปากก็ว่าอโคจร แต่ท่าทางยังกับอยู่ในอเวจี ตะเกียกตะกายกระหื่นเสียไม่มี เขากะพริบตาสลายความดูแคลนออกไป แต่ความจริงแล้วมีความคิดที่จะวัดใจในบางเรื่อง แล้วก็พูดออกมา “แน่ใจเหรอว่ามาด้วยเรื่องแค่นี้”
“ใช่ หรือนายยังมีอะไรปิดบังไว้ไม่ให้รู้”
“ความลับของนาย”
“หมายความว่าไง”
“ฉันฝากไว้ก่อนแล้วกัน” พูดจบเอริคก็เดินไป แต่เพียงสองสามก้าวก็เปลี่ยนใจหันมาบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆว่า “ตามสบายนะ คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง ถือเป็นดอกเบี้ยค่าฝากหุ้นแล้วกัน” เขาหันหลังเดินไป พร้อมสีหน้าที่เลศนัย
ขณะที่ราฟยกแก้วชูให้ด้วยความยินดี แล้วยิ้มให้หนุ่มที่เข้ามาวอแวว แต่แววตาที่เปรียบเป็นหน้าต่างของความคิด กำลังทำงานอย่างหนัก เพราะคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งท้ายไว้ เหมือนทิ้งเรือกระดาษลงน้ำ แม้บางเบาแต่ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นไปสร้างความสั่นคลอนให้เกิดขึ้นในใจเขา
อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางบนโต๊ะ ทั้งเนื้อแกะย่าง หมูย่าง สปาเก็ตตี้ สลัด มันบด และเครื่องดื่มเลิศรส ชิญาดาไม่สนใจเครื่องดื่ม เธอสนใจอาหารหนักมากกว่า เพราะหิว โดยเฉพาะหมูย่างที่หอมเครื่องเทศยั่วกระเพาะเธอที่สุด กรณ์มองเธออย่างรู้ใจ ตักหมูย่างมาหั่นให้เธอ ซึ่งก็รีบตักกินคู่กับมันบดและกะหล่ำปลีดองอย่างอร่อย ขณะที่กรณ์ดื่มเรียกน้ำย่อย ก่อนจะกินเนื้อแกะย่าง
สายตาเขามองหน้าเธอสลับกับมองเข้าไปในร้าน เขาเปลี่ยนใจไม่เข้าไปนั่งด้านใน เมื่อเห็นโต๊ะมุมด้านนอกวางพอที่จะทำให้เขาเห็นสิ่งที่อยากเห็น และเธอก็ได้มองผู้คน บรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเวียนนา ซึ่งเขาสังเกตเห็นว่าเธอชอบ แล้วก็ไม่ผิดหวังในสิ่งที่หวัง
เขาละสายตามามองเธอ ท่าทางชื่นชอบอาหารตรงหน้าช่างน่าดู ดูเธอจะกินง่าย อยู่ง่ายๆสบายๆ ทั้งที่ลุคของเธอคือคุณหนู แต่ไม่วีนเหวี่ยงเลยสักนิด ยิ่งเหตุการณ์ที่เจอมา ดูเธอจะรับมือได้ดี มีเหตุผลในการที่จะอยู่ แทนที่จะหนีเอาตัวรอด มีน้ำใจ ไม่ทิ้งเพื่อน ในยามยากลำบาก จากที่ชอบเธอเพราะรูป พอได้ตัวมาอยู่ใกล้ตัว ได้เรียนรู้เธอทำให้รู้ว่าเขาคิดไม่ผิดจริงๆ
ตอนนี้เธอคือคนที่ใช่สำหรับเขา แต่เขาจะใช่สำหรับเธอหรือเปล่านั้น คงต้องให้เวลาเธอได้เรียนรู้เขา และที่ผ่านมา ถ้าเขาไม่เข้าข้างตัวเอง การที่เธอไม่สะบัดมือหนี นั่นคือเธอเริ่มยอมรับเขาแล้ว
“อร่อยไหม”
“ค่ะ” ชิญาดาตอบแล้วก็ยิ้มให้ แล้วทานต่อ
“มานั่งตรงนี้”
“คะ” เธอทำหน้างง หรี่ตามองเก้าอี้ว่างข้างเขาก่อนจะตวัดขึ้นสบตาคมอย่างสงสัยและไม่ไว้ใจ หวั่นว่าเขาจะเอาเปรียบอะไรเธออีก วันนี้เขาก็ทำหัวใจเธอตกคะเมด้วยคำว่าชอบ ตีลังกาด้วยคำว่าหวง แล้วยังจะมีคำอะไรที่อันตรายกับหัวใจเธออีก “ทำไมต้องไปนั่งข้างคุณด้วย”
“อยากจูบ”
ชิญาดาตาโตเท่าไข่ห่าน ความเขินอายแล่นริ้วขึ้นให้หน้าแดง ก่อนที่ความโกรธจะตามขึ้นมาอยากจะซัดหน้าคมตาวิบๆนั้นสักทีสองที พร้อมกับอ้าปากจะต่อว่าเขาออกไป แต่เขาพูดออกมาเสียก่อน “ฉันพูดเล่น” เธอมองค้อนอย่างเคืองๆ และมองนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อคนพูดเล่น...ยิ้ม
ยิ้มของเขาที่เธอเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ช่างดูดีมีความละมุนอบอุ่นในหัวใจ ให้เธอยิ้มตาม โดยไม่รู้ว่าเขาก็ชอบที่เห็นเธอยิ้มเต็มหน้าแบบนี้เหมือนกัน แต่เวลานี้เขาต้องพักรักเพื่อรบก่อน เมื่อด้านหลังของเธอคือเป้าหมายที่เขาต้องการ
กรณ์ลุกขึ้นยืน แตะหัวแม่มือที่ริมฝีปากตัวเอง แล้วยื่นไปแตะที่มุมปากเธอ ชิญาดาผงะไปเล็กน้อย จะปัดมือเขาออก แต่... “ครีมติดที่มุมปาก” เขาบอกแล้วเช็ดให้ และสมหวังเมื่อเป้าหมายเห็นเขาแล้ว แต่เธอไม่รู้ในสิ่งที่เขาทำ บอกขอบคุณ แล้วทานอาหารต่อ ส่วนกรณ์ก็นั่งลงทานต่อ ทำตัวปรกติเหมือนไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรทั้งนั้น
เอริคมองคนทั้งคู่ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่คิดไว้ ‘การเข้าถึง’ จะมาอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องวางแผนให้เปลืองสมอง แค่ทำหน้าที่เจ้าของให้ดีก็พอ แต่...คงต้องรอเวลาสักหน่อย ไม่ควรทำอะไรให้เอิกเริกให้มีชื่อไปหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์อีก และเขาควรจะมีคนช่วยรับมือ คิดแล้วก็ปรายตาไปมองใครบางคน ยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปาก แล้วก็สาวเท้าไปหาทันที
ความดำมืดของท้องฟ้าที่มีดาวประดับ สวยงามนักในสายตาของชิญาดา ยิ่งดึกแสงดาวก็ยิ่งเปล่งประกายมากมาย หลังอาหารหนัก เธอก็ต่อด้วยของหวาน จนอิ่มแปล้ แล้วนั่งมองผู้คน มองบรรยากาศที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะบรรดาสาวๆ แต่งตัวเลิศอย่างที่คิดไว้ สวยจนอิจฉาและแอบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ว่าจะมีท่าทีสนใจบ้างหรือเปล่า แต่ดูเหมือนสายตาเขาจะไม่ค่อยมองไปทางไหน นอกจากตัวเธอนั่นเพราะเขาเห็นสายตาหนุ่มๆมองมาที่เธอ จึงต้องมองอย่างให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้...ของเขา
ชิญาดาเสมองไปสนใจทางอื่น เมื่อเขาไม่ละสายตาไปเสียที แล้วยกมือขึ้นกอดอกเมื่อสายลมพัดเอาความเย็นมาต้องผิวกาย และให้ความรู้สึกง่วงนอน ตามประสาคนที่หนังท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน คนที่มองอยู่จึงต้องวางแก้วเครื่องดื่มในมือไว้บนโต๊ะ ความเอ็นดูปรากฏขึ้นในแววตา ก่อนจะถามออกมา
“ถ้าง่วงก็กลับหรือจะอยู่ต่อ”
“กลับค่ะ” เธอบอกเพราะอยากจะพักแล้ว วันนี้เธอก็เที่ยวและมีเรื่องเครียด ทำให้ล้า ขอไปนอนเอาแรง ให้สมองพัก วันพรุ่งนี้จะได้คิดเรื่องของเพื่อน ว่าจะทำยังไงต่อไป
กรณ์เรียกพนักงานมาเก็บเงินแต่คนที่เดินมาหาเขากลับเป็นอีกคน ยิ้มหวานๆส่งมาให้ตั้งแต่เดินมาไม่ถึงโต๊ะ กระทั่งถึงโต๊ะ รอยยิ้มก็ยิ่งหวาน ร่างอรชรของเอริน่ายืนเบียดท่อนแขนเขา ดวงตาคมปรายมองเล็กน้อย ขณะที่ชิญาดามองเต็มตา และสงสัยว่าผู้หญิงสวยจัดคนนี้เป็นใคร
“หวัดดีค่ะ เซอร์ไพรส์มากเลย ที่เห็นคุณที่นี่” เธอหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เพราะตั้งแต่รู้จักเขาในงานแต่งงานของคนเป็นพ่อกับญาติของเขา เธอก็ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้สึกชื่นชอบเขาตั้งแต่นั้น การเกี่ยวข้องกันทำให้พบเจอกันบ้าง แต่การรู้จักไม่ได้นำมาซึ่งความใกล้ชิด เมื่อเขาเห็นเธอเป็นแค่คนรู้จัก ไม่มีทีท่าที่จะสานสัมพันธ์ ทั้งที่เธอเปิดเผยท่าทีให้เห็น ว่าพร้อมที่จะคล้องแขนเขา แต่เธอไม่ถอดใจ เมื่อรู้ว่าเขายังไม่มีใคร “มาพักอารมณ์เหรอคะ”
กรณ์ยิ้มให้เล็กน้อย ก็บอกว่า “นิดหน่อยครับ”
“แล้วไม่เห็นริน่าเหรอคะ” ถามแล้วก็ขยับเก้าอี้ว่างข้างเขามาชิด แล้วนั่งลง วางแขนให้เบียดกับเขาราวกับคนที่สนิทสนมกัน
“ผมไม่อยากรบกวนมากกว่า”
“ยินดีมากต่างหาก แล้วนี่...” เธอหันไปมองผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขา ราวกับเพิ่งเห็น ทั้งที่เห็นตั้งแต่คนเป็นพี่ชี้ให้ดูแล้ว แต่เธอไม่ได้สนใจ และไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มีความสำคัญยังไง “สาวเอเชียนี่ใครคะ”
“คนที่ผมให้ใจ”
เอริน่าตาโต ยิ้มปนขำ จนชิญาดาที่มองอยู่ไม่รู้จะตีความหมายว่า เธอดีใจหรือเสียใจกันแน่ เพราะท่าทีของเธอนั่นชอบคนที่บอกว่าให้ใจเธอไม่น้อย แต่คำพูดของเธอ คำว่าเอเชียรู้สึกมีการดูถูกอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธอชินและพร้อมที่จะรับมืออยู่แล้ว จึงแนะนำตัวแค่ชื่อสั้นๆ
“ชิญาดาค่ะ”
“เอริน่าค่ะ” บอกชื่อแล้ว เธอก็คุยต่อ “สนิทกับกรณ์มานานแล้วค่ะ แต่ไม่เคยเห็นคุณหรือว่าเขาพูดถึงเลยให้ได้ยินเลย”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะฉันเพิ่งรู้จักเขา”
“ว้าว เป็นเรื่องที่น่ายินดีจังแต่สำหรับฉันนะคะ เพราะฉันชอบเขา” เอริน่าบอกตรง พลางมองว่าผู้หญิงตรงหน้าจะรู้สึกยังไง แต่เห็นแค่ท่าทีสบายๆเท่านั้น “เขาชอบคุณ ฉันชอบเขา สามเศร้าอย่างเรา จะทำไงดีคะ” เธอเอียงหน้ามาถามกรณ์ที่นั่งฟังอยู่”
“ผมมั่นคง”
เธอไม่สนใจคำพูดเขา แต่เปิดเผยความในใจให้เขารู้ “ไขว้เขวหน่อยก็ดีนะคะ ฉันรออยู่” แล้วยกมือขึ้นมาคล้องแขนเขา พลางยิ้มใส่ตาคนตรงข้ามที่มองอยู่ “เธอไม่ว่าใช่ไหม”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ค่ะ”
“งั้นฉันก็มีสิทธิ์ คงไม่ขวางทางกันนะคะ”
“ค่ะ” ชิญาดาตอบโดยไม่มองคนเนื้อหอม แต่เขากำลังมองอยู่เธอด้วยสายตาของนักล่า ที่ไม่มีวันปล่อยเหยื่อให้หลุดมือ
เอริน่าพอใจกับทางที่ไร้ขวากหนาม แต่พอหันมาเห็นสายตาเขา ก็รู้สึกเหมือนถูกหนามตำเท้า เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ เพราะมันเต็มไปด้วยความกระหาย ที่พร้อมจะคว้ามาครอบครอง ซึ่งเธอไม่เคยได้รับจากเขา แต่ในเมื่อเขาแค่ให้ใจ แต่ตัวยังว่างเปล่า เธอก็จะไม่ยอมถอย จะเดินต่อไป จนกว่าจะเดินไม่ไหว
“ผมต้องกลับแล้ว” กรณ์บอกแล้วลุกขึ้นยืน เอริน่าก็ไม่ยื้อ เธอลุกตามแต่ยังไม่ปล่อยมือจากแขนเขา เอ่ยเปิดทางให้เขาเห็นความรู้สึกที่เธอมีให้ว่า
“ขอไปส่งที่รถนะคะ และถ้าว่าง เดทกันสักวันไหมคะ”
“ผมคงไม่ว่าง”
“ปฏิเสธเร็วเกินไปไหมคะ แต่ถ้าว่างวันไหน โทรมานะคะ”
กรณ์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่สายตามองคนที่เขาให้ใจ ไม่มีความรู้สึกใดบนใบหน้า ยังคงปรกติเหมือนไม่สนใจเขาเหมือนเดิม แต่เมื่อเธอลุกขึ้น เดินออกมาจากโต๊ะ เขาก็จับมือเธอไว้ทันที ชิญาดาเกร็งไปเล็กน้อย ก่อนจะทำเฉยเหมือนที่ผ่านมาแต่รู้สึกว่ามันไม่อบอุ่นเหมือนครั้งก่อนๆ
***********
ทั้งสามคนเดินออกจากร้านมาที่รถ เอริน่าพูดคุย คลอเคลียเขามาตลอดทาง แต่ภายใต้ท่าทางที่ร่าเริง หัวใจเธอเต็มไปด้วยไฟริษยา ตั้งแต่เห็นมือเขาจับมือคนที่เขาให้ใจ และยังมั่นคงไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ขณะที่มือเธอต้องคอยจับเขา และจับได้แค่แขนเท่านั้น
“ขับรถดีๆนะคะ” พูดจบเธอก็เขย่งปลายเท้าหอมแก้มเขา ยิ้มหวานให้ก่อนจะยิ้มต่อมาให้ชิญาดา เสมือนไม่ได้มีความรู้สึกริษยาใดๆทั้งนั้น แต่ผู้หญิงด้วยกัน มีเซ้นให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบเธอเหมือนท่าทีที่แสดงออกมาให้เห็น แต่ก็ยิ้มตอบให้
เอริน่ายกมือบ๊ายบายทั้งสองคน ก็เดินกลับเข้าไปในร้าน ชิญาดามองตามไป มีความแปลกใจเกิดขึ้นมา จากประสบการณ์ที่เคยได้เห็นเพื่อน เห็นข่าว หรือฟังมาจากคนรู้จักว่า เมื่อผู้หญิงแสดงออกว่าเสน่หาผู้ชายเหลือเกิน ก็จะพยายามทำทุกอย่างให้ได้อยู่กับเขา แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เดินจากไปง่ายๆ น่าจะพิรี้พิไรหรือไม่ก็อยู่ออดอ้อนให้เขาไปส่ง เธอนิ่วหน้าน้อยๆ แล้วบอกตัวเองว่าคิดมาก เธออาจจะมีเพื่อนรออยู่ด้านใน
“สงสัยอะไร”
เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าที่ครุ่นคิดของเธอ ชิญาดาละสายตามามองคนที่ยังไม่ปล่อยมือเธอ ขยับข้อมือเป็นเชิงบอกให้เขาปล่อย เมื่อเขาทำเฉย ก็บอกว่า “แค่คิดว่าเธอชอบคุณมาก ไม่น่าจะจากไปง่ายๆ แค่นั้นเองค่ะ”
กรณ์ยิ้มลึกกับความคิดของเธอ แต่ที่พูดออกมาเป็นอีกอย่าง “ไม่หวงกันบ้างเหรอ”
“ทำไมต้องหวง”
ถามพลางทำหน้างงๆ คนที่รอคำตอบจึงก้มหน้าลงมาใกล้ ให้เห็นสายตาเขา และฟังเสียงเขาชัดๆว่า “ก็เธอคือคนที่ฉันชอบ ที่ฉันให้ใจ ทำไมไม่หวงฉันบ้าง ไม่ชอบฉันเลยเหรอ”
เสียงตอนท้ายกระเส่าจนหัวใจสาวเต้นระรัว พูดไม่ออก ตอบไม่ถูก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ได้แต่หลบตาไม่ให้เขารู้ความรู้สึกที่เธอเก็บลึกไว้ในใจ โดยไม่รู้ว่าปฏิกิริยาแค่นี้ มันน่ารักจนเขาแทบจะรั้งร่างอรชรเข้ามากอดให้จมอ้อมแขน แต่ไม่ทำ ไม่รุก อยากให้เธอยอมรับเขาด้วยใจมากกว่าการบังคับ แล้วยืดตัวขึ้นบอกว่า “ที่คิดเมื่อกี้ เดี๋ยวก็ได้คำตอบ”
“หมายความว่าไงคะ” ถามแล้วก็หันไปมองด้านหลัง เพราะได้ยินเสียงคนเดิน แล้วก็ใช่อย่างที่ได้ยิน มีคนเดินตรงมาที่เธอกับเขา แสงไฟที่ให้ความสว่าง ทำให้เห็นหน้าคนที่เดินใกล้เข้ามา กระทั่งชัดเจน
มือของชิญาดาที่กรณ์จับไว้ บีบเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นชัดว่าคนที่เดินมาหาคือคนที่ทำร้ายเพื่อนเธอ เล็งปืนใส่เธอ พร้อมจะปลิดลมหายใจเธออย่างเลือดเย็น
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
เข้ารพ. หลายวัน ไม่ได้อัพให้ เดี๋ยวจะอัพให้อ่านเรื่อยๆนะคะ
ราเซล อดีตนายหญิงคนที่สองของบลูโน โค หลังจากได้สร้างความทุกข์ตรมไว้ในใจให้นางหงส์เอวา ก็มาเดินช้อปปิ้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำด้วยความสุขใจ โอกาสที่เธอรอจะเอาคืน ไม่ได้มีกันง่ายๆ เมื่อมาถึงเวลาแล้วได้ทำ มันช่างให้สะใจเสียจริงๆ
ครั้งที่เธอแต่งงานได้เป็นภรรยาคนที่สองของโจนส์นั้น เธอเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพราะได้หลุดพ้นจากความจน ได้หลุดจากการทำงานที่หนักที่ต้องแข่งขันสูง ของอาชีพดารานางแบบ แต่เธอมีความสุขอยู่ได้ไม่นาน มารหัวใจก็เริ่มเกิดขึ้นมา เมื่ออดีตภรรยา ผู้หญิงที่สื่อยกให้เป็นแถวหน้าของเมือง เพราะชาติกำเนิดและการวางตัวที่ดี เกิดหวงก้างขึ้นมา เริ่มเอาหน้าที่การงาน การสังคมสงเคราะห์ต่างๆ และเรื่องของลูกมาพบเขาบ่อยๆ
แรกนั้นเธอก็ใจกว้าง เข้าใจ แต่หลายครั้งการแสดงออกต่อหน้าเธอ ลับหลังเขานั่นไม่ใช่ มันคือการเยาะเย้ย นิ่งลึกด้วยแผนการต่างๆ และเริ่มเขย่าสวรรค์ของเธอให้กลายเป็นนรก ด้วยการให้ผู้ชายมากหน้าหลายคนมาพัวพันกับเธอ แม้จะทำเหมือนแค่ฉาบฉวยและรู้จักกันผิวเผิน แต่ทุกอย่างที่เกิด ถูกบันทึกไว้ แล้วกระจายไปทำลายชื่อเสียงของเธอ
เธอเริ่มมีปากเสียงกับโจนส์ เพราะเขารักหน้าตา ชื่อเสียงของตระกูล ต้องไม่ต่างพร้อย ชีวิตเบื้องหลังเธอก่อนจะแต่งงานกับเขานั่น เขาไม่สนใจว่าจะเป็นยังไง แต่เมื่อเป็นภรรยาเขาแล้ว ก็ต้องดูดี ไม่มีเรื่องข่าวคาวใดๆ แล้วสุดท้ายน้ำที่หยดลงหินทุกวันจนหินกร่อน ก็แตกร้าวออกมาด้วยความเมาของเธอ ที่ขาดสติไปหลับนอนกับผู้ชายคนอื่น จนเธอต้องหย่าขาดกับเขา ลูกที่มีก็ไม่อาจจะยื้อเอาไว้ได้
ความเลวร้ายที่นำไปสู่การความร้าวฉาน จนต้องเลิกรา ถูกปิดเงียบ ข่าวที่ออกมาเหตุของการหย่าร้าง คือความแตกต่างทางสังคมและนิสัย เธอเสียใจ เจ็บปวด หน้าชื่นอกตรม เพราะส่วนหนึ่งที่ชีวิตต้องพังทลายเพราะตัวเธอเอง แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องราวต่างๆก็เริ่มเปิดเผยออกมา เมื่อเธอกลับไปสู่วงจรนางแบบ ก็เริ่มได้ยินข่าวซุบซิบมาถึงหูว่าแท้ที่จริงเรื่องทั้งหมดนั้นมาจาก...นางหงส์เอวา
เธอสุดจะเคียดแค้น และแค้นหนักขึ้นไปอีก เมื่อข่าวที่เล็ดรอดออกมาก็เป็นฝีมือนางหงส์ ที่ต้องการต้องการช้ำเติม เยาะเย้ยให้เธอยิ่งเจ็บ ที่เสียโง่ให้มัน แล้วไม่มีหลักฐานใดๆที่จะไปแก้ต่าง เอาคืนก็ยากเพราะคนชนชั้นธรรมดาอย่างเธอ ไม่มีอำนาจที่จะทำ จะไปสู้กับชนชั้นอย่างมันที่มีอำนาจและคนรองมือรองเท้า และท้ายที่สุดแล้วคือความเลวของเธอเอง
เธอจึงได้เกลียดชังอีกฝ่ายนัก รูปลักษณ์หน้าตาที่เห็นว่าดี แท้ที่จริงแล้วคือนางมารนั่นเอง มาวันนี้ที่เธอได้เอาคืน จึงสะใจนัก และพร้อมที่จะเหยียบให้จมดิน ให้ต้องพินาศกันไปข้างหนึ่ง
ราเซลยิ้มให้กับความสุข เธอซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมให้รางวัลกับตัวเอง แล้วซื้อรองเท้ากับเสื้อผ้าด้วย จนเวลาผ่านไปมืดค่ำ ก็เดินหิ้วถุงช็อปปิ้งกลับมาที่รถ เธอโดยไม่รู้ว่ากำลังมีภัยร้ายรอคอยอยู่ ลานจอดรถสำหรับลูกค้าสำคัญ จะเงียบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เธอเปิดประตูท้ายรถเอาของใส่ เรียบร้อยก็ใช้กุญแจรีโมทปิดท้ายรถ ก็เดินไปเพื่อจะเปิดประตูนั่งหลังพวงมาลัย แล้วต้องตกใจ เมื่อมีชายคนหนึ่งโผล่มาประชิดตัว
“เพี๊ยะ”
“โอย” เธอร้องออกมา เมื่อโดนตบโดยไม่ทันตั้งตัว จะร้องขอความช่วยเหลือมือมันก็ปิดที่ปาก เธอมองหน้าคนทำ ซึ่งเห็นไม่ชัด เพราะมันใส่เสื้อที่มีฮู้ดคลุมหัวปิดมาครึ่งหน้า
“อย่าสาระแน” เสียงมันกร้าวอย่างน่ากลัว แล้ว... “เพี๊ยะ”
“โอย”
ราเซลร้องด้วยความเจ็บ รู้สึกถึงเลือดที่ซึมอยู่ในปาก และตาเหลือกด้วยความหวาดกลัว เมื่อมันดึงคมมีดวาววับมาทาบหน้าเธอ ก่อนจะเลื่อนมาที่ปากแล้วขู่ด้วยเสียงเหี้ยมๆว่า “ถ้าปากยื่นปากยาวเหมือนอีกาอีก...ตาย” มันแสยะปากทิ้งท้าย แล้ววิ่งหนีไป
ราเซลถึงกับเข่าอ่อน ตัวรูดกับข้างรถลงไปกองกับพื้น นั่งตัวสั่น น้ำตาไหล ไม่นานก็รีบรวบรวมสติตะเกียกตะกายขึ้นมา เปิดประตู เข้าไปนั่งในรถ กดล็อกทุกระบบกระทั่งความหวาดกลัวลดลง สมองก็เริ่มทำงานจำคำพูดสุดท้ายที่มันทิ้งไว้ ก็สุดแสนจะเจ็บแค้น กำมือทุบพวงมาลัยด้วยความเจ็บใจ เพราะคำว่าอีกา ทำให้เธอรู้ว่าเป็นฝีมือของ...ใคร
“อีสารเลว”
เธอตะโกนออกมาลั่นรถ น้ำตาแห่งความคับแค้นใจไหลพรากออกมา แล้วสัญญากับตัวเองว่าเธอต้องเอาคืน “ถึงทีกูเมื่อไร กูจะกระทืบให้มึงตายคาตีน”
***********
แสงไฟถูกมนุษย์ผลิตขึ้นมาให้ความสว่างแทนดวงอาทิตย์ ทั่วทั้งเมืองบ้านเรือน อาคาร สถานที่ต่างๆ รวมถึงสถานบันเทิง ผับของลูกชายตระกูลบลูโน โค ก็เปิดให้บริการนักท่องเที่ยว แบ่งแยกสไตล์การฟังเพลงแต่ละประเภทอย่างชัดเจน จึงครอบคลุมคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะหญิงสาวที่เข้ามา เพราะเจ้าของรูปหล่อพ่อรวย มีชื่อเสียง ที่สำคัญคือยังโสด แม้จะมีข่าวว่าเขาควงผู้หญิงมากมาย แต่เมื่อยังไม่มีใครเป็นตัวจริง ทุกคนก็มีสิทธิ์
เสียงเพลงดังขึ้นคลอบรรยากาศรื่นรมย์ เครื่องดื่มสีต่างๆในแก้วกระทบแสงไฟหลากสี เป็นประกายงดงาม โต๊ะที่นั่งถูกจับจองด้วยนักท่องราตรีที่เข้ามาหาความสำราญ ผ่อนคลายความตึงเครียด เสียงพูดคุย หัวเราะ ทักทายดังขึ้นไประยะ พนักงานต้อนรับ เด็กเสิร์ฟเดินให้บริการไปตามชั้น ตามโต๊ะต่างๆ รับออเดอร์และส่งอาหารด้วยความยิ้มแย้ม และเป็นกันเอง
เอริน่า บลูโน โค น้องของเจ้าของร้าน ใส่ชุดซีทรูสีดำ แค่เข่า เปิดแผ่นหลังให้เซ็กซี่ เดินเข้ามาดูแลร้านในคืนนี้ ตามคำสั่งของคนเป็นแม่ ซึ่งเธอชอบเที่ยวแบบนี้อยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหา แต่จะไม่ค่อยมายุ่งวุ่นวายกับกิจการของพี่ชาย เธอชอบที่จะไปเฮฮากับเพื่อนๆที่อื่นมากกว่า
เธอพอจะรู้เรื่องที่พี่ชายก่อขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะเอามาใส่ใจ เพราะถือว่าชีวิตของใครของมัน ดูแลกันเอาเองก็แล้วกัน แต่การยอมคนเป็นแม่ในคืนนี้ นอกจากที่ชอบแล้ว เธอยังได้มากกว่าเสีย ธุรกิจด้านความงาม ต้องเจาะกลุ่มคนกลางคืนด้วย อีกอย่างด้วยรูปลักษณ์ที่ดีพร้อม ภมรก็โฉบเฉี่ยวมาให้เธอได้บริหารเสน่ห์เช่นกัน
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าของ ซึ่งยืนมองลงมาจากชั้นสามของร้าน แต่สายตาที่มองผ่านกระจกสีทึมนั้น ไร้อารมณ์ เฉยเมยกับทุกอย่าง แม้กระทั่งภาพของเอริน่าที่กำลังพูดล้อต่อกระซิบกับผู้ชาย ที่เขารู้ว่าเป็นเสือผู้หญิง เขาก็ไม่สนใจนั่นเพราะเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องคิดนั่นเอง
‘ได้ เมื่อพาผู้หญิงคนนั้นมาหาฉัน’
คำพูดของคนเป็นพ่อยังก้องอยู่ในหู ตามมาด้วยคำตอบของคนเป็นแม่ ที่บอกให้เขารู้สาเหตุให้หายสงสัยหลังจากออกมาจากห้องพ่อ ว่า ‘หุ้นของลูก ถูกยกให้ลูกบ้านที่สอง’
เอริคขบกรามเข้าหาแน่น คิดไม่ถึงว่าพ่อจะลงโทษและบีบบังคับเขาด้วยวิธีนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เป็นกุญแจสำคัญ หายไปยังหาไม่เจอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เขาไม่ได้หันไม่มอง ไม่เอ่ยปากอนุญาต เพราะไม่ต้องการคุยกับใคร แต่ดูเหมือนจะมีเสียงประตูเปิดเข้ามา แต่เขาก็ยังยืนนิ่ง
แก้วเครื่องดื่มสีขาว เหล้าแรงๆ ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า เขาหรุบตามองเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นมาถือไว้ คนที่เอามาให้ เหยียดริมฝีปากออกยิ้มนิดๆ ก่อนจะพูดออกมา “เฉยชาจริงนะพี่ชาย ก่อเรื่องขึ้น ก็ต้องกลุ้มอย่างนี้แหละ”
เอริน่าว่าเข้าให้ยกแก้วพั้นซ์สีสวยขึ้นจิบพลางมองลงไปข้างล่าง หลังจากเทภมร ที่คุยแล้วไม่ถูกใจ ก็เดินขึ้นมาบนนี้
“โผล่มาทำไม”
“ผู้หญิงแถวหน้าขอร้อง” เธอบอกให้รู้ว่าไม่ได้อยากจะมา แต่ขัดคนเป็นแม่ ที่คนในสังคมเรียกกัน ไม่ได้เท่านั้นเอง
“กลับไปเสีย ฉันไม่ต้องการความคิดเห็น หรือเห็นใจปลอมๆ”
“ก็ไม่มีให้อยู่แล้ว” เธอบอกอย่างไม่ยี่หระ เมื่อต่างก็รู้ว่าพี่น้องสองคน มีทางเดินของตัวเอง พ่อแม่ที่แยกกัน สนใจแต่ธุรกิจ ไม่ได้ใยดีกับลูกที่ร่วมกันทำให้ก่อเกิดขึ้นมา สายใยสายสัมพันธ์จึงผูกพันกันน้อยเหลือเกิน “ฉันว่าแทนที่พี่จะมายืนอมทุกข์ รีบหาตัวเธอให้เจอไม่ดีกว่าเหรอ เคยคั่วกันอยู่ จะไม่รู้จักเพื่อน หรือที่ๆเธอชื่นชอบที่จะไปที่ไหนบ้างหรือไง เธออาจจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ได้”
เอริคคิดก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่ทำเหมือนไม่ไหวตัว เพราะเขารู้ว่ามีคนทำอยู่แล้ว แต่เอริน่าไม่รู้ และเมื่อพูดออกไปแล้ว เขายังเฉย เธอก็เลิกสนใจ ลงไปสนุกข้างล่างดีกว่า คิดเสร็จ เธอก็เดินออกจากห้องไป และมีคนเดินสวนเธอเข้ามา คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่าเขาคือทนายของคนเป็นแม่
ทนายเมอเรย์เดินมายืนข้างทายาทของเจ้านาย สายตามองไปลงข้างล่าง แสงสีเสียงกำลังให้ความสุนทรีย์กับนักท่องเที่ยว ต่างสำเริงสำราญ หัวเราะต่อกระซิก ปลดปล่อยชีวิตกันอย่างมีความสุข ซึ่งอดีตเขาก็เคยใช้ชีวิตแบบนี้ แต่เมื่อมีอายุมากขึ้น เขาต้องการแค่เพลงเบาๆ กับไวน์ชั้นเลิศเท่านั้น แต่นั้นหมายถึงต้องมีเงินมากพอด้วยที่จะซื้อด้วย ซึ่งเขาก็กำลังหาอยู่
เขาละสายตากลับมามองคนข้างๆ ความสนใจในตัวเขายังไม่มี ก็ขอทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการบอกว่า “คุณเอวาให้ผมมาหา”
“ฉันไม่มีอะไรจะบอก” เอริคบอกอย่างพอจะรู้ว่าคนเป็นแม่ ส่งทนายหน้าหอมาทำไม ถ้าไม่ใช่ล้วงความลับเรื่องที่เขาปิดบังไว้
“ผมไม่ได้มาเพื่อสิ่งนั้น แต่จะมาบอกว่า คนของเรายังหาตัวเธอไม่เจอ ที่ๆอันตรายที่สุดอย่างห้องของเธอ เธอก็ไม่ได้กลับไป และคนที่เปรียบเป็นสะพานทอดไปหาเธอ เราก็ไม่อาจจะผลีผลาม เข้าถึงตัวได้”
“ใคร” เอริคถามอย่างสนใจ แต่ท่าทียังเก็บความรู้สึกได้เก่งไม่ต่างจากคนเป็นแม่
“เพื่อนของเธอ ผู้หญิงที่ไม่ยอมคุณ” คนฟังคิดตาม นึกภาพออกทันทีว่าคือคนที่จะเอาเขาเข้าคุก คนพูดเห็นว่าอีกฝ่ายคิดออกแล้วก็พูดต่อ “ผมได้ประวัติคราวๆของเธอมาแล้ว ชื่อชิญาดา อภิราชไพศาลนันท์...”
ทนายเมอเรย์เล่าประวัติที่ได้มาให้ฟัง แต่ที่สำคัญที่ทำให้เอริคต้องขบกรามข่มความรู้สึกไว้ลึกๆคือ “และที่บอกว่าเราเข้าถึงตัวเธอได้ยาก เพราะเธออยู่ในมือของคุณกรณ์”
“ผู้ชายที่เป็นญาติของนายหญิงคนใหม่ของตระกูลบลูโน โค” เขาบอกอย่างพอจะจำได้ แต่ไม่เคยใส่ใจมากมาย เมื่อไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่รู้ว่าพ่อของเขาค่อนข้างที่จะไว้ใจ เพราะนอกจากจะมีธุรกิจร่วมกันแล้ว พ่อเขายังเรียกมาคุยเหมือนที่ปรึกษาด้วย
“ครับ ” ทนายเมอเรย์ยอมรับออกมา “ภายนอกที่เห็นเขาก็เหมือนนักธุรกิจทั่วไป หล่อ โสด สปอร์ตแมนรูปร่างรูปลักษณ์ดีไปหมด แต่ภายในเขามีพิษสงรอบตัว ดูได้จากคุณกรองแก้ว ที่แม่ของคุณแตะต้องไม่ได้เลย”
“งั้นก็ไม่ต้องแตะ แค่เข้าถึงก็เพียงพอ”
“หมายความว่าไง”
เอริคไม่ตอบ เพราะถ้าทนายรู้แม่เขาก็ต้องรู้ แล้วก็เข้ามายุ่งอีก ซึ่งเขาไม่ต้องการ และไม่สงสัยเรื่องที่ทนายเมอเรย์มาพูดให้ฟัง เพราะรู้อยู่แล้วว่าแม่เขาคงสั่งให้ส่งคนไปตามดู
ความนิ่งเงียบของอีกฝ่าย ทนายเมอเรย์ไม่กล้าเซ้าซี้ขอคำตอบ เพราะกิตติศักดิ์ความเลือดร้อนของเขา แม้แต่ผู้หญิงก็ต้องไปนอนโรงพยาบาลมาแล้ว จึงไม่กล้าเสี่ยง กลัวตัวเองจะไม่ได้ไปนอนแค่ในโรงพยาบาลแต่ต้องไปนอนตัวอยู่ในโลง ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องคิดหาคำตอบเพื่อไปบอกคนเป็นนาย และเมื่อหมดเรื่องพูดเขาก็ขยับตัวเพื่อจะกลับ แต่...
“เอ๊ะ!” เสียงเขาดังขึ้นบอกความแปลกใจ เมื่อมองไปข้างล่างเห็นใครบางคน ที่ไม่คิดว่าจะมาที่นี่ เขาหันมามองคนข้างๆ แต่ขยับตัวเดินลิ่วไปที่ประตูแล้ว ทนายเมอเรย์จึงยังไม่กลับ ยืนรอดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
*********
รถยนต์ของกรณ์วิ่งเข้ามาจอดหน้าร้านสถานบันเทิง ดับเครื่องยนต์แล้วหันมามองคนที่มากับเขาด้วย ชิญาดาทำเหมือนไม่เห็นการมอง หันไปมองดูร้านอย่างสนใจ วันนี้ทั้งวัน หลังจากเขาบอกความรู้สึกให้รู้ เธอก็นิ่งเฉย ขณะที่เขาก็ทำตัวปรกติพาเธอไปเที่ยวต่อที่พระราชวังฮอฟบวร์ก
พระราชวังเก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีอายุกว่า600 ปี ปัจจุบันกลายเป็นที่พักและทำเนียบของประธานาธิบดี เพียงก้าวแรกที่เธอเดินเข้าไป ก็ต้องตะลึงกับความสวยงามของซุ้มประตูสไตล์บารอค ด้านในพบกับที่ประทับของจักรพรรดิ ที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเเสนวิจิตรตระการตา ต่อด้วยการเดินชมพิพิธภัณฑ์ของ Hofburg Palace ที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ และเครื่องแต่งกายที่เเสนจะหรูหราของราชวงศ์ฮอฟบวร์ก
เขาพาเธอเที่ยวชมได้แค่นี้ แสงอาทิตย์ก็ลาลับฟ้า ความงดงามยามพระอาทิตย์ตก ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำกับกล้องถ่ายรูปในโทรศัพท์ แล้วเขาก็ขับรถพาเธอมาที่นี่ ซึ่งเธอคิดว่าคงพามาทานข้าว อาคารที่เห็นด้านหน้าเป็นกระจก แสงไฟเปิดสว่างให้เห็นผู้คนข้างใน ที่นั่งดื่มนั่งกิน พูดคุยกัน เสียงประตูรถเปิดออก ทำให้เธอต้องหันมามอง ก็เห็นคนขับยืนอยู่ข้างรถแล้ว เธอจึงเปิดประตูออกไปบ้าง
ร่างสูงเดินมายืนเคียงข้างเธอ ยื่นมือมาจับมือเธอไว้เหมือนเคย เจ้าของมือหรุบตามอง ไม่มีการดื้อดึงเหมือนคราวก่อนๆ เพราะรู้ซึ้งแล้วว่าถ้าเขาไม่ปล่อยเธอก็ได้แค่ทำเท่านั้น ที่สำคัญเมื่อไปจากเขาไม่ได้ เธอก็ต้องยอมรับความผิดแผกไปของหัวใจตัวเอง และเมื่อเธอไม่ต่อต้านคนจับก็ยิ้มนิดที่มุมปาก ขณะสายตามองไปรอบร้านที่เขาพาเธอมาอย่างละเอียด มีที่นั่งทั้งด้านนอกและด้านใน ด้านในเป็นส่วนของผับ แสงสียั่วยวนกิเลสในใจให้อยากเข้าไปไม่น้อย ขณะที่ด้านนอกก็มีเพลงเบาๆให้ฟัง แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่หนึ่งที่มีใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่
เขาดึงสายตากลับมามองคนที่จับมืออยู่ การที่เขาพาเธอมาที่นี่ นอกจากทานข้าวแล้ว ยังมีบางอย่างที่เขาต้องการด้วย กรณ์หยุดความคิดนี้ไว้ แล้วหันมาบอกกับคนที่จับมือไว้ว่า “ที่นี่อาหารอร่อย มีเพลงเพราะๆให้ฟังด้วย คงถูกใจ”
“แสดงว่ามาทานบ่อย”
“ไม่เคย”
ชิญาดาทำหน้าแปลกใจ ที่คำพูดเขามันฟังสวนทางกัน บอกอาหารอร่อยเพลงเพราะ แต่ไม่เคยมา กรณ์เห็นสีหน้าเธอก็เลยบอกว่า “มาตามคำบอกเล่า”
เธอมองค้อนเขาทันที แล้วรู้สึกถึงแรงกระชับที่ฝ่ามือ ก็หรี่ตามองเหมือนเขากำลังสื่ออะไรบางอย่าง แต่ยากที่จะเดา จึงตวัดสายตากลับมามองเขา ก็ผงะไปเล็กน้อยเพราะเขาก้มหน้าลงมาชิด แล้วบอกว่า “น่ารัก”
เธออยากจะค้อนเขาอีกสักครั้ง แต่ไม่กล้า ได้แต่หลบตาไปมองอย่างอื่น ทั้งที่ใจระส่ำระสายไปหมดแล้ว กรณ์ที่มองอยู่ก็ไม่รุกให้เธอรู้สึกหวั่นจนถอยห่าง แต่จะแสดงให้เธอรับรู้ความรู้สึกของเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วพาเธอเดินไปที่ประตูทางเข้าร้าน พร้อมกับบอกว่า
“ลูกค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง”
“ทำไมคะ”
“ลองเดาดูไหม”
“เจ้าของหล่อ”
“เก่ง”
ชิญาดาหน้าเหลอไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขำ เพราะเดาเล่นเหมือนเป็นการหยอกเย้ากันในหมู่เพื่อนที่สนิทกัน เวลาที่ไปเที่ยวดื่มกิน ไม่คิดว่าจะเป็นจริง “งั้นขอนั่งโต๊ะที่เห็นเขาชัดๆนะคะ แต่ว่าเขาจะมาหรือเปล่า” เธอพูดเล่นกับเขาราวกับเพื่อนสนิท ซึ่งเขาก็ต้องการให้เธอปล่อยตัวสบายๆแบบนี้อยู่แล้ว
“เท่าที่รู้มาแทบทุกคืน”
“ว้าว อย่างนี้ฉันก็จะได้เห็นเหล่าผีเสื้อราตรีบินหาภมรนะซิ โอโอ้โอ่ คงแต่งตัวกันสวยงามน่าดู” เธอจินตนาการถึงชุดเซ็กซี่ เปิดอก เว้าหน้าเว้าหลัง สั้นๆหรือยาวๆ ผ่าถึงกลางขา บางคนก็คงซีทรูแล้วก็ก้มลงมองดูตัวเอง ที่ใส่กางยีนกับเสื้อยืดธรรมดา หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง จืดชืด เพราะไปสมบุกสมบันกับเขามาทั้งวัน
“คุณน่าจะบอกฉันก่อน ว่าจะพามาที่นี่ ฉันจะได้แต่งตัวมาประชันกับเขาบ้าง”
“แค่นี้ก็สวยแล้ว”
“เสื้อยืดกับกางเกงยีนเนี๋ยนะ สวย”
“ใช่”
“ไม่สวย” เธอว่าพลางส่ายหน้า
“เชื่อซิ อย่าให้ถึงขั้นต้องไว้หนวด”
“ทำไมต้องไว้หนวด” เธอปากไวถามออกไป แล้วก็คิดออกพร้อมกับที่เขาบอกตอกย้ำมาให้หัวใจเต้นแรง แก้มแดง ด้วยความเขิน
“ฉันหวง”
**********
แสงไฟสลัวในผับคนบางคนอาจจะใช้พรางตัว เพราะให้อยากให้ใครจำได้ แต่สำหรับคนที่คุ้นเคยหรือรู้จักกันมานาน เห็นแค่แวบเดียวก็จำได้ทันที เอริคที่รีบเดินออกมาจากห้องทำงาน ลงมาด้านล่าง เพราะมั่นใจว่าเขาตาไม่ฝาด คนๆนั้นมาที่ผับเขา แม้แสงไฟจะพรางตา แต่ไม่อาจจะหลอกเขา ที่คุ้นเคยกับแสงเหล่านี้มานาน ยิ่งในผับเขา ยิ่งมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดแน่นอน
เขายืนอยู่กลางผับ กวาดตามองไปรอบๆ แล้วมุมปากก็เหยียดออกบอกว่าเจอคนที่เห็นแล้ว ยืนคุยกับน้องสาวเขานั่นเอง ท่าทางดูจะคุยกันถูกคอ มียิ้มแย้ม หัวเราะ ขณะที่เขาเหยียดริมฝีปากออกหยัน แล้วสอดสองมือไว้ในกระเป๋ากางเกงก้าวเท้าเดินไปหา ไม่มีท่าทีรีบร้อน ออกจะเรื่อยๆเอื้อยด้วยซ้ำ ไม่กี่นาที เขาก็มายืนอยู่ข้างๆ วางแขนบนเคาน์เตอร์บาร์ ปรายตามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูง ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่ได้หุ้นเขาไป น้องที่มีเลือดแค่ครึ่งเดียวเหมือนเขา ราฟ บลูโน โค
เอริน่าสบตาพี่ชาย ที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าต้องไม่พอใจแน่นอน ที่เห็นเธอมายืนยิ้มหัวร่ออยู่กับคนที่พร้อมจะแย่งทุกอย่างไปจากเขา ยักไหล่ให้เล็กน้อย แล้วบอกกับคนที่คุยว่า “มีคนมาต้อนรับแล้ว ขอให้สนุกนะ” พูดจบก็ยกมือกระดิกนิ้วบอกลา
เอริคมองตามไปเพียงอึดใจเดียว ก็หันมาสนใจคนที่นั่งอยู่ “ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรของฉัน” เขาทักทายออกไป แล้วยกมือขอเครื่องดื่มจากพนักงานเคาน์เตอร์
ขณะที่ราฟคลึงแก้วในมือเล่น หรี่ตามองมันเสมือนว่ามันสำคัญกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่กี่อึดใจก็ลุกขึ้นยืนปรับสีหน้าแววตาให้รื่นรมย์ หมุนตัวยืนพิงเคาน์เตอร์ มองหนุ่มๆที่เดินผ่านไปผ่านมา ทอดสะพาน ชายตาลั้ลลาสุดๆ แล้วเอียงหน้ามาพูดกับคนที่ยืนอยู่ ด้วยคำพูดที่ต่างจากบุคลิกโดยสิ้นเชิง
“สถานที่อโคจร มอมเมากันอย่างนี้เหรอ ที่เขาเรียกกันว่าอาณาจักร”
“ไม่รู้ซิ หรือฉันเรียกผิดอย่างว่ามันไม่ได้ฝังอยู่ในสายเลือดฉันเหมือนนาย แล้วเขาเรียกว่าอะไร”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” พูดพลางยักไหล่ และยิ้มกวนอีกฝ่าย “แต่ที่รู้ชัดและเปลี่ยนอะไรไม่ได้คือเลือดครึ่งหนึ่งของฉันมันเหมือนนาย ถ้านายรู้ฉันก็คงจะรู้”
“งั้นเหรอ แต่ฉันลืมไปแล้วว่าเลือดครึ่งหนึ่งของเราเหมือนกัน”
“แต่ฉันไม่ลืมเพราะเพิ่งได้ลาภลอยมาทำให้ลืมไม่ลง”
เอริคเดือดไปทั้งใจ เพราะรู้ว่าลาภลอยที่ว่าคือหุ้นของเขาที่พ่อยกให้มัน แต่หน้าตาเขายังเก็บอารมณ์ได้ดี “ขอบใจที่เตือน แต่อะไรที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง มักจะอยู่ได้ไม่นานหรอก”
“นายจะเอามันคืน”
“ถือว่าฉันฝากไว้ก่อนแล้วกัน”
“ด้วยความยินดี” ว่าแล้วราฟก็โยกตัวไปตามเสียงเพลง ยื่นแก้วไปชนกับหนุ่ม ท่าทีที่ไม่ยี่ระของเขาทำให้ใจเอริคก็ยิ่งเดือด เพราะมองว่าถูกเยาะเย้ย ต้องข่มใจไว้สุดๆ ยังพูดคุยเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“มาทำอะไรที่นี่” ถามแล้วก็ยกแก้วกระดกเครื่องดื่ม ปิดบังอารมณ์
“มีกฎห้ามไม่ให้มาเหรอ”
“แค่สงสัย”
ราฟหยุดเต้น หันมามองคนดื่มน้ำเมาเป็นน้ำเปล่า ยิ้มให้ก่อนเล็กน้อย ก็บอกว่า “ก็ไม่มีอะไร เห็นข่าว ก็อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองบ้าง แล้วก็ดี๊ดี เพราะสถานที่ของนาย บันเทิงใจฉันน่าดู หมู่ภมรน่าขย้ำทุกคน”
เอริคมองเหยียดอีกฝ่าย ที่ปากก็ว่าอโคจร แต่ท่าทางยังกับอยู่ในอเวจี ตะเกียกตะกายกระหื่นเสียไม่มี เขากะพริบตาสลายความดูแคลนออกไป แต่ความจริงแล้วมีความคิดที่จะวัดใจในบางเรื่อง แล้วก็พูดออกมา “แน่ใจเหรอว่ามาด้วยเรื่องแค่นี้”
“ใช่ หรือนายยังมีอะไรปิดบังไว้ไม่ให้รู้”
“ความลับของนาย”
“หมายความว่าไง”
“ฉันฝากไว้ก่อนแล้วกัน” พูดจบเอริคก็เดินไป แต่เพียงสองสามก้าวก็เปลี่ยนใจหันมาบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆว่า “ตามสบายนะ คืนนี้ฉันเลี้ยงเอง ถือเป็นดอกเบี้ยค่าฝากหุ้นแล้วกัน” เขาหันหลังเดินไป พร้อมสีหน้าที่เลศนัย
ขณะที่ราฟยกแก้วชูให้ด้วยความยินดี แล้วยิ้มให้หนุ่มที่เข้ามาวอแวว แต่แววตาที่เปรียบเป็นหน้าต่างของความคิด กำลังทำงานอย่างหนัก เพราะคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งท้ายไว้ เหมือนทิ้งเรือกระดาษลงน้ำ แม้บางเบาแต่ก็ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นไปสร้างความสั่นคลอนให้เกิดขึ้นในใจเขา
อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางบนโต๊ะ ทั้งเนื้อแกะย่าง หมูย่าง สปาเก็ตตี้ สลัด มันบด และเครื่องดื่มเลิศรส ชิญาดาไม่สนใจเครื่องดื่ม เธอสนใจอาหารหนักมากกว่า เพราะหิว โดยเฉพาะหมูย่างที่หอมเครื่องเทศยั่วกระเพาะเธอที่สุด กรณ์มองเธออย่างรู้ใจ ตักหมูย่างมาหั่นให้เธอ ซึ่งก็รีบตักกินคู่กับมันบดและกะหล่ำปลีดองอย่างอร่อย ขณะที่กรณ์ดื่มเรียกน้ำย่อย ก่อนจะกินเนื้อแกะย่าง
สายตาเขามองหน้าเธอสลับกับมองเข้าไปในร้าน เขาเปลี่ยนใจไม่เข้าไปนั่งด้านใน เมื่อเห็นโต๊ะมุมด้านนอกวางพอที่จะทำให้เขาเห็นสิ่งที่อยากเห็น และเธอก็ได้มองผู้คน บรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงเวียนนา ซึ่งเขาสังเกตเห็นว่าเธอชอบ แล้วก็ไม่ผิดหวังในสิ่งที่หวัง
เขาละสายตามามองเธอ ท่าทางชื่นชอบอาหารตรงหน้าช่างน่าดู ดูเธอจะกินง่าย อยู่ง่ายๆสบายๆ ทั้งที่ลุคของเธอคือคุณหนู แต่ไม่วีนเหวี่ยงเลยสักนิด ยิ่งเหตุการณ์ที่เจอมา ดูเธอจะรับมือได้ดี มีเหตุผลในการที่จะอยู่ แทนที่จะหนีเอาตัวรอด มีน้ำใจ ไม่ทิ้งเพื่อน ในยามยากลำบาก จากที่ชอบเธอเพราะรูป พอได้ตัวมาอยู่ใกล้ตัว ได้เรียนรู้เธอทำให้รู้ว่าเขาคิดไม่ผิดจริงๆ
ตอนนี้เธอคือคนที่ใช่สำหรับเขา แต่เขาจะใช่สำหรับเธอหรือเปล่านั้น คงต้องให้เวลาเธอได้เรียนรู้เขา และที่ผ่านมา ถ้าเขาไม่เข้าข้างตัวเอง การที่เธอไม่สะบัดมือหนี นั่นคือเธอเริ่มยอมรับเขาแล้ว
“อร่อยไหม”
“ค่ะ” ชิญาดาตอบแล้วก็ยิ้มให้ แล้วทานต่อ
“มานั่งตรงนี้”
“คะ” เธอทำหน้างง หรี่ตามองเก้าอี้ว่างข้างเขาก่อนจะตวัดขึ้นสบตาคมอย่างสงสัยและไม่ไว้ใจ หวั่นว่าเขาจะเอาเปรียบอะไรเธออีก วันนี้เขาก็ทำหัวใจเธอตกคะเมด้วยคำว่าชอบ ตีลังกาด้วยคำว่าหวง แล้วยังจะมีคำอะไรที่อันตรายกับหัวใจเธออีก “ทำไมต้องไปนั่งข้างคุณด้วย”
“อยากจูบ”
ชิญาดาตาโตเท่าไข่ห่าน ความเขินอายแล่นริ้วขึ้นให้หน้าแดง ก่อนที่ความโกรธจะตามขึ้นมาอยากจะซัดหน้าคมตาวิบๆนั้นสักทีสองที พร้อมกับอ้าปากจะต่อว่าเขาออกไป แต่เขาพูดออกมาเสียก่อน “ฉันพูดเล่น” เธอมองค้อนอย่างเคืองๆ และมองนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อคนพูดเล่น...ยิ้ม
ยิ้มของเขาที่เธอเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ช่างดูดีมีความละมุนอบอุ่นในหัวใจ ให้เธอยิ้มตาม โดยไม่รู้ว่าเขาก็ชอบที่เห็นเธอยิ้มเต็มหน้าแบบนี้เหมือนกัน แต่เวลานี้เขาต้องพักรักเพื่อรบก่อน เมื่อด้านหลังของเธอคือเป้าหมายที่เขาต้องการ
กรณ์ลุกขึ้นยืน แตะหัวแม่มือที่ริมฝีปากตัวเอง แล้วยื่นไปแตะที่มุมปากเธอ ชิญาดาผงะไปเล็กน้อย จะปัดมือเขาออก แต่... “ครีมติดที่มุมปาก” เขาบอกแล้วเช็ดให้ และสมหวังเมื่อเป้าหมายเห็นเขาแล้ว แต่เธอไม่รู้ในสิ่งที่เขาทำ บอกขอบคุณ แล้วทานอาหารต่อ ส่วนกรณ์ก็นั่งลงทานต่อ ทำตัวปรกติเหมือนไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรทั้งนั้น
เอริคมองคนทั้งคู่ ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่คิดไว้ ‘การเข้าถึง’ จะมาอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องวางแผนให้เปลืองสมอง แค่ทำหน้าที่เจ้าของให้ดีก็พอ แต่...คงต้องรอเวลาสักหน่อย ไม่ควรทำอะไรให้เอิกเริกให้มีชื่อไปหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์อีก และเขาควรจะมีคนช่วยรับมือ คิดแล้วก็ปรายตาไปมองใครบางคน ยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปาก แล้วก็สาวเท้าไปหาทันที
ความดำมืดของท้องฟ้าที่มีดาวประดับ สวยงามนักในสายตาของชิญาดา ยิ่งดึกแสงดาวก็ยิ่งเปล่งประกายมากมาย หลังอาหารหนัก เธอก็ต่อด้วยของหวาน จนอิ่มแปล้ แล้วนั่งมองผู้คน มองบรรยากาศที่คึกคักด้วยนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะบรรดาสาวๆ แต่งตัวเลิศอย่างที่คิดไว้ สวยจนอิจฉาและแอบมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ว่าจะมีท่าทีสนใจบ้างหรือเปล่า แต่ดูเหมือนสายตาเขาจะไม่ค่อยมองไปทางไหน นอกจากตัวเธอนั่นเพราะเขาเห็นสายตาหนุ่มๆมองมาที่เธอ จึงต้องมองอย่างให้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้...ของเขา
ชิญาดาเสมองไปสนใจทางอื่น เมื่อเขาไม่ละสายตาไปเสียที แล้วยกมือขึ้นกอดอกเมื่อสายลมพัดเอาความเย็นมาต้องผิวกาย และให้ความรู้สึกง่วงนอน ตามประสาคนที่หนังท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน คนที่มองอยู่จึงต้องวางแก้วเครื่องดื่มในมือไว้บนโต๊ะ ความเอ็นดูปรากฏขึ้นในแววตา ก่อนจะถามออกมา
“ถ้าง่วงก็กลับหรือจะอยู่ต่อ”
“กลับค่ะ” เธอบอกเพราะอยากจะพักแล้ว วันนี้เธอก็เที่ยวและมีเรื่องเครียด ทำให้ล้า ขอไปนอนเอาแรง ให้สมองพัก วันพรุ่งนี้จะได้คิดเรื่องของเพื่อน ว่าจะทำยังไงต่อไป
กรณ์เรียกพนักงานมาเก็บเงินแต่คนที่เดินมาหาเขากลับเป็นอีกคน ยิ้มหวานๆส่งมาให้ตั้งแต่เดินมาไม่ถึงโต๊ะ กระทั่งถึงโต๊ะ รอยยิ้มก็ยิ่งหวาน ร่างอรชรของเอริน่ายืนเบียดท่อนแขนเขา ดวงตาคมปรายมองเล็กน้อย ขณะที่ชิญาดามองเต็มตา และสงสัยว่าผู้หญิงสวยจัดคนนี้เป็นใคร
“หวัดดีค่ะ เซอร์ไพรส์มากเลย ที่เห็นคุณที่นี่” เธอหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เพราะตั้งแต่รู้จักเขาในงานแต่งงานของคนเป็นพ่อกับญาติของเขา เธอก็ได้รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้สึกชื่นชอบเขาตั้งแต่นั้น การเกี่ยวข้องกันทำให้พบเจอกันบ้าง แต่การรู้จักไม่ได้นำมาซึ่งความใกล้ชิด เมื่อเขาเห็นเธอเป็นแค่คนรู้จัก ไม่มีทีท่าที่จะสานสัมพันธ์ ทั้งที่เธอเปิดเผยท่าทีให้เห็น ว่าพร้อมที่จะคล้องแขนเขา แต่เธอไม่ถอดใจ เมื่อรู้ว่าเขายังไม่มีใคร “มาพักอารมณ์เหรอคะ”
กรณ์ยิ้มให้เล็กน้อย ก็บอกว่า “นิดหน่อยครับ”
“แล้วไม่เห็นริน่าเหรอคะ” ถามแล้วก็ขยับเก้าอี้ว่างข้างเขามาชิด แล้วนั่งลง วางแขนให้เบียดกับเขาราวกับคนที่สนิทสนมกัน
“ผมไม่อยากรบกวนมากกว่า”
“ยินดีมากต่างหาก แล้วนี่...” เธอหันไปมองผู้หญิงที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขา ราวกับเพิ่งเห็น ทั้งที่เห็นตั้งแต่คนเป็นพี่ชี้ให้ดูแล้ว แต่เธอไม่ได้สนใจ และไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มีความสำคัญยังไง “สาวเอเชียนี่ใครคะ”
“คนที่ผมให้ใจ”
เอริน่าตาโต ยิ้มปนขำ จนชิญาดาที่มองอยู่ไม่รู้จะตีความหมายว่า เธอดีใจหรือเสียใจกันแน่ เพราะท่าทีของเธอนั่นชอบคนที่บอกว่าให้ใจเธอไม่น้อย แต่คำพูดของเธอ คำว่าเอเชียรู้สึกมีการดูถูกอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธอชินและพร้อมที่จะรับมืออยู่แล้ว จึงแนะนำตัวแค่ชื่อสั้นๆ
“ชิญาดาค่ะ”
“เอริน่าค่ะ” บอกชื่อแล้ว เธอก็คุยต่อ “สนิทกับกรณ์มานานแล้วค่ะ แต่ไม่เคยเห็นคุณหรือว่าเขาพูดถึงเลยให้ได้ยินเลย”
“ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะฉันเพิ่งรู้จักเขา”
“ว้าว เป็นเรื่องที่น่ายินดีจังแต่สำหรับฉันนะคะ เพราะฉันชอบเขา” เอริน่าบอกตรง พลางมองว่าผู้หญิงตรงหน้าจะรู้สึกยังไง แต่เห็นแค่ท่าทีสบายๆเท่านั้น “เขาชอบคุณ ฉันชอบเขา สามเศร้าอย่างเรา จะทำไงดีคะ” เธอเอียงหน้ามาถามกรณ์ที่นั่งฟังอยู่”
“ผมมั่นคง”
เธอไม่สนใจคำพูดเขา แต่เปิดเผยความในใจให้เขารู้ “ไขว้เขวหน่อยก็ดีนะคะ ฉันรออยู่” แล้วยกมือขึ้นมาคล้องแขนเขา พลางยิ้มใส่ตาคนตรงข้ามที่มองอยู่ “เธอไม่ว่าใช่ไหม”
“ฉันไม่มีสิทธิ์ค่ะ”
“งั้นฉันก็มีสิทธิ์ คงไม่ขวางทางกันนะคะ”
“ค่ะ” ชิญาดาตอบโดยไม่มองคนเนื้อหอม แต่เขากำลังมองอยู่เธอด้วยสายตาของนักล่า ที่ไม่มีวันปล่อยเหยื่อให้หลุดมือ
เอริน่าพอใจกับทางที่ไร้ขวากหนาม แต่พอหันมาเห็นสายตาเขา ก็รู้สึกเหมือนถูกหนามตำเท้า เจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจ เพราะมันเต็มไปด้วยความกระหาย ที่พร้อมจะคว้ามาครอบครอง ซึ่งเธอไม่เคยได้รับจากเขา แต่ในเมื่อเขาแค่ให้ใจ แต่ตัวยังว่างเปล่า เธอก็จะไม่ยอมถอย จะเดินต่อไป จนกว่าจะเดินไม่ไหว
“ผมต้องกลับแล้ว” กรณ์บอกแล้วลุกขึ้นยืน เอริน่าก็ไม่ยื้อ เธอลุกตามแต่ยังไม่ปล่อยมือจากแขนเขา เอ่ยเปิดทางให้เขาเห็นความรู้สึกที่เธอมีให้ว่า
“ขอไปส่งที่รถนะคะ และถ้าว่าง เดทกันสักวันไหมคะ”
“ผมคงไม่ว่าง”
“ปฏิเสธเร็วเกินไปไหมคะ แต่ถ้าว่างวันไหน โทรมานะคะ”
กรณ์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่สายตามองคนที่เขาให้ใจ ไม่มีความรู้สึกใดบนใบหน้า ยังคงปรกติเหมือนไม่สนใจเขาเหมือนเดิม แต่เมื่อเธอลุกขึ้น เดินออกมาจากโต๊ะ เขาก็จับมือเธอไว้ทันที ชิญาดาเกร็งไปเล็กน้อย ก่อนจะทำเฉยเหมือนที่ผ่านมาแต่รู้สึกว่ามันไม่อบอุ่นเหมือนครั้งก่อนๆ
***********
ทั้งสามคนเดินออกจากร้านมาที่รถ เอริน่าพูดคุย คลอเคลียเขามาตลอดทาง แต่ภายใต้ท่าทางที่ร่าเริง หัวใจเธอเต็มไปด้วยไฟริษยา ตั้งแต่เห็นมือเขาจับมือคนที่เขาให้ใจ และยังมั่นคงไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย ขณะที่มือเธอต้องคอยจับเขา และจับได้แค่แขนเท่านั้น
“ขับรถดีๆนะคะ” พูดจบเธอก็เขย่งปลายเท้าหอมแก้มเขา ยิ้มหวานให้ก่อนจะยิ้มต่อมาให้ชิญาดา เสมือนไม่ได้มีความรู้สึกริษยาใดๆทั้งนั้น แต่ผู้หญิงด้วยกัน มีเซ้นให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ชอบเธอเหมือนท่าทีที่แสดงออกมาให้เห็น แต่ก็ยิ้มตอบให้
เอริน่ายกมือบ๊ายบายทั้งสองคน ก็เดินกลับเข้าไปในร้าน ชิญาดามองตามไป มีความแปลกใจเกิดขึ้นมา จากประสบการณ์ที่เคยได้เห็นเพื่อน เห็นข่าว หรือฟังมาจากคนรู้จักว่า เมื่อผู้หญิงแสดงออกว่าเสน่หาผู้ชายเหลือเกิน ก็จะพยายามทำทุกอย่างให้ได้อยู่กับเขา แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้เดินจากไปง่ายๆ น่าจะพิรี้พิไรหรือไม่ก็อยู่ออดอ้อนให้เขาไปส่ง เธอนิ่วหน้าน้อยๆ แล้วบอกตัวเองว่าคิดมาก เธออาจจะมีเพื่อนรออยู่ด้านใน
“สงสัยอะไร”
เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าที่ครุ่นคิดของเธอ ชิญาดาละสายตามามองคนที่ยังไม่ปล่อยมือเธอ ขยับข้อมือเป็นเชิงบอกให้เขาปล่อย เมื่อเขาทำเฉย ก็บอกว่า “แค่คิดว่าเธอชอบคุณมาก ไม่น่าจะจากไปง่ายๆ แค่นั้นเองค่ะ”
กรณ์ยิ้มลึกกับความคิดของเธอ แต่ที่พูดออกมาเป็นอีกอย่าง “ไม่หวงกันบ้างเหรอ”
“ทำไมต้องหวง”
ถามพลางทำหน้างงๆ คนที่รอคำตอบจึงก้มหน้าลงมาใกล้ ให้เห็นสายตาเขา และฟังเสียงเขาชัดๆว่า “ก็เธอคือคนที่ฉันชอบ ที่ฉันให้ใจ ทำไมไม่หวงฉันบ้าง ไม่ชอบฉันเลยเหรอ”
เสียงตอนท้ายกระเส่าจนหัวใจสาวเต้นระรัว พูดไม่ออก ตอบไม่ถูก ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ได้แต่หลบตาไม่ให้เขารู้ความรู้สึกที่เธอเก็บลึกไว้ในใจ โดยไม่รู้ว่าปฏิกิริยาแค่นี้ มันน่ารักจนเขาแทบจะรั้งร่างอรชรเข้ามากอดให้จมอ้อมแขน แต่ไม่ทำ ไม่รุก อยากให้เธอยอมรับเขาด้วยใจมากกว่าการบังคับ แล้วยืดตัวขึ้นบอกว่า “ที่คิดเมื่อกี้ เดี๋ยวก็ได้คำตอบ”
“หมายความว่าไงคะ” ถามแล้วก็หันไปมองด้านหลัง เพราะได้ยินเสียงคนเดิน แล้วก็ใช่อย่างที่ได้ยิน มีคนเดินตรงมาที่เธอกับเขา แสงไฟที่ให้ความสว่าง ทำให้เห็นหน้าคนที่เดินใกล้เข้ามา กระทั่งชัดเจน
มือของชิญาดาที่กรณ์จับไว้ บีบเข้าหากันแน่น เมื่อเห็นชัดว่าคนที่เดินมาหาคือคนที่ทำร้ายเพื่อนเธอ เล็งปืนใส่เธอ พร้อมจะปลิดลมหายใจเธออย่างเลือดเย็น
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
เข้ารพ. หลายวัน ไม่ได้อัพให้ เดี๋ยวจะอัพให้อ่านเรื่อยๆนะคะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2561, 10:33:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2561, 10:33:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1041
<< ตอน 5 | ตอน 7 >> |
แว่นใส 16 ต.ค. 2561, 07:48:50 น.
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ