ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา

ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย

ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย

ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ

การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 8

ตอน 8
ณ อาคารซี ราเซล อดีตนายหญิงคนที่สองของตระกูล บลูโน โค ราเซลนั่งอยู่ในห้องทำงาน วันนี้เธอแต่งหน้าหนากว่าทุกวัน เพราะกลบรอยแดงช้ำที่เกิดจากฝีมือคนเลว ตลอดค่ำคืนที่ผ่านมา เธอต้องใช้ยาใช้เจลประคบให้ลดบวม แต่รอยที่มุมปากนั้นช้ำเกินกว่าจะกลบได้หมดมันเด่นชัด ราวกับเป็นแผลเป็นไว้เตือนความชั่วช้าของนางหงส์เอวา

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีวันที่จะเจ็บแล้วจำ เลิกยุ่งเรื่องของมันเด็ดขาด มีแต่จะบ่มเพาะความแค้นไว้รอวันที่จะเอาคืนแล้วเลิกใส่ใจเรื่องหน้าหันมาแต่งตัวด้วยชุดหรูจากแฟชั่นปารีส เนียบตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อให้เหมาะสมกับหุ้นที่ลูกชายของเธอได้รับมา และหวังไปถึงตำแหน่งแม่ของประธาน เธอจึงต้องสวยเป็นพิเศษ เอาผลประกอบการของธุรกิจ ที่ดีขึ้นมาดูให้ชื่อใจ แต่ยิ้มไม่ออกเพราะความตึงของแผล

เรนียาเดินเข้ามาในห้องทำงาน เห็นคนเป็นแม่นั่งอยู่ก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะเธอรู้เรื่องที่พี่ชายได้หุ้นเพิ่มมา ท่านคงจะดีใจ ถึงได้มานั่งก้มหน้าก้มตาดูงานตั้งแต่เช้า ส่วนเธอนั่งความยินดีมีให้ได้ไม่เต็มร้อย เพราะพอจะรู้ว่าหุ้นที่ได้มาไม่ใช่ได้มาด้วยความสามารถ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเกมของคนเป็นพ่อ ที่ต้องการสั่งสอนลูก เธอรู้รายละเอียดเรื่องต่างๆจากคนเป็นแม่ ที่มักจะมาบ่นมาว่าให้ฟังเป็นประจำ แต่ไม่เคยคล้อยตาม มีแต่จะขัดแย้ง และคิดต่างๆ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่เธอคิดอย่างนั้นเพราะเธอมองจากภายนอก ที่ไม่ได้มีความอยากมีอยากได้ในทรัพย์สิน และคิดว่าสิ่งที่คนเป็นพ่อทำ แทนที่ลูกสองคนจะสมัครสมานสามัคคีกัน กลับสร้างความไม่ลงรอยให้กว้างขึ้น เธอถอนหายใจเอาความหนักใจออกมา เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย คำพูดของเธอไม่มีใครฟัง จึงต้องนิ่งเงียบสงบเสงี่ยมอยู่ในมุมของตัวเอง

เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง วางกระเป๋าสะพายไว้ในลิ้นชัก แล้วนั่งลงหยิบแฟ้มเสนอราคาเครื่องออกกำลังกายรุ่นใหม่มาดู ตั้งใจทำงานเพื่อให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไปอีก แต่สมาธิของเธอถูกรบกวนด้วยเสียงโทรศัพท์ ของคนเป็นแม่ที่ดังขึ้นเธอปรายตาไปมองพร้อมๆกับที่คนเป็นแม่เงยหน้าขึ้นมา เพื่อหยิบโทรศัพท์ แล้วเธอก็ได้เห็น...รอยช้ำ

เรนียาลุกจากเก้าอี้เดินไปหาคนเป็นแม่ทันที แต่ไม่สามารถที่จะถามไถ่ว่าท่านไปทำ หรือไปโดนอะไรมา หน้าถึงได้ช้ำแบบนั้น เพราะท่านยกมือขึ้นห้ามไว้ และยิ่งเห็นใกล้ๆก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช้ำมาก

“ไม่ต้องถาม”

“แต่แม่คะ” เธอจะไม่ยอม แต่เสียงของราเซลคือความเด็ดขาด

“ฉันจะรับสาย แล้วค่อยคุย”

เรนียาถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ ส่วนราเซลก็กดรับสายคนที่ส่งข่าวให้เธอรู้เรื่องนางหงส์ เขาต้องมีความคืบหน้าเรื่องที่แดงหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์วันก่อนมาบอกเธอ แม้วันนี้จะไม่มีข่าวแล้วเพราะมีอำนาจไปปิดให้เงียบ แต่ในตระกูลนั้นไม่เงียบเลย มันเป็นคลื่นใต้น้ำกระทบกับคนที่เกี่ยวข้อง เธอไม่พูดอะไรออกไป รอฟังคำพูดของคนที่โทรมา ซึ่งดังมาว่า

“ยังไม่ได้ข่าว การตามหาล้มเหลว”

มุมปากของเธอแบะออกเยาะ แต่ได้เพียงนิดเดียวเพราะรอยช้ำนั้นทำให้เจ็บ เธอข่มความเจ็บไว้ ก่อนจะพูดตามออกไปตามความเข้าใจ ว่าคนที่คุยด้วยนั้นเป็นคนใกล้ชิดนางหงส์เอวา ที่ไม่รู้เลยว่า เลี้ยงเสือเลี้ยงตะเข้ไว้ให้กัดตัวเอง ส่วนเธอนั้นได้เปรียบจากความไม่ซื่อของคน

“ตระกูลบลูโน โค มีน้ำยาแค่นี้เองเหรอ แค่ผู้หญิงไทยตัวคนเดียว ก็หาไม่เจอ แล้วอีกคนละ”

ปลายสายไม่มีการรีรอเพราะรู้ว่าหมายถึงใคร ก็ตอบกลับมา “อยู่ในมือคุณกรณ์ผู้ชายที่คุณอยากเกี่ยวมาเป็นลูกเขย ซึ่งไม่มีทางที่จะเข้าไปแทรกแซง เพราะเขาเอาไว้ใกล้ตัว จนน่าสงสัย”

ราเซลนิ่งไปพลางคิดว่า คนที่เธอเข้าใจว่าเป็นใคร ไม่น่าจะรู้เรื่องนี้ ซึ่งเธอได้เปิดเผยให้คนที่รักที่สุดเท่านั้นรู้ แต่ขึ้นชื่อว่าทนายก็เปรียบเหมือนพวกจมูกมดหมอผี ชอบจับสังเกต วิเคราะห์ หาเหตุหาผล มาเป็นผลงานอยู่แล้ว อีกอย่างเขารู้จักเธอพอสมควร จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะลองหยั่งเชิงเธอดู

“สงสัยอะไร”

คนที่อยู่ปลายสายยิ้มกว้างกับน้ำเสียงที่ปิดความอยากรู้ไม่มิด และเขาก็รู้ความต้องการลึกๆของเธอ จึงตอบออกมาว่า “ผู้ชายที่ดูแลผู้หญิง แบบตัวต่อตัวใกล้ชิดจนแทบจะติดกันแบบนั้น คุณคิดว่าเป็นอะไร”

“คู่รัก”เธอตอบไป ไม่คิดจะกักหรือสงสัยอะไร เพราะคำพูดของเธออาจมีเล็ดลอดไปถึงนางหงส์ ให้ได้เจ็บใจเหมือนอย่างที่คำพูด และการกระทำของนางหงส์เล็ดลอดมาถึงเธอ

“ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นแบบนี้จริง คุณคงรู้นะว่าจะเสียอะไรไปบ้าง”

คนปลายสายทิ้งคำถามให้คิด แล้วจะตัดสัญญาณไป เธอรีบเรียกไว้ก่อน เพราะเมื่อคิดว่าเขาเป็นคนของนางหงส์เธอก็ควรจะหยั่งกลับไปบ้าง ถ้าเขาเป็นคนของมันจริง ก็น่าจะรู้เรื่องที่เธอโดน...ตบ

“ที่ฉันเจ็บตัว ฝีมือมันใช่ไหม”

ปลายสายมีความงง ก่อนจะถามกลับมา “ใครทำอะไรคุณ”

คำถามที่ดังมาทำให้ราเซลชะงักไปนิด เพราะเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่อง จึงคิดว่าหยุดความสงสัยไว้ก่อนที่จะหน้าแตก หรือไม่ก็ถูกอีกฝ่ายสมน้ำหน้า แล้วบอกว่า “ไม่มีอะไร ฉันล้อคุณเล่นนะ แค่นี้นะ” ว่าแล้วเธอก็ตัดสัญญาณไป แต่ไม่มีเวลามาคิดใคร่ครวญ เพราะเรนียาลุกมาหาพร้อมคำถามที่พุ่งเข้าใส่ทันที

“ใครทำอะไรแม่คะ”

“ไม่รู้ มันเร็วจนมองไม่ทัน” เธอบอก ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างหกล้มหรือชนประตู เพราะรอยมันชัดว่าเกิดจากอะไร แล้วเล่าให้ฟัง

“แต่สงสัยว่าใครอยู่เบื้องหลังใช่ไหมคะ”

“ใช่ แต่ไม่มีหลักฐาน มันก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ได้แต่เจ็บใจ แต่ทำอะไรไม่ได้”

เรนียาก็เจ็บแทนแม่ ตั้งแต่เด็กเธอเห็นความไม่ลงรอยของพ่อกับแม่ เด็กนั้นอาจจะไม่เข้าใจ แต่พอโตขึ้น เธอก็ค่อยๆทำความเข้าใจ จากการรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทุกอย่างเหมือนที่แม่บอก ไม่มีหลักฐานก็ยากที่จะตอบโต้ ที่สำคัญอำนาจของอีกฝ่าย

“แล้วจู่ๆ ทำไมถึงเกิดขึ้นมาละคะ”

“ข่าวบนหนังสือพิมพ์”

“ฝีมือแม่”

เรนียาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ หมดคำถามขึ้นมาทันที ที่รู้สาเหตุ ขิงก็ราข่าก็แรง ความขัดแย้งจึงไม่สิ้นสุด เธอถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ เพื่อสงบจิตใจ แต่สงบไม่ได้ เมื่อคนเป็นแม่ลุกตามมาจับแขนไว้ เพราะข่าวที่ได้รู้มาเมื่อกี้นั้นทำให้ร้อนไปทั้งใจ

“ไปกับฉัน” ราเซลบอกลูก พลางดึงให้ลุกขึ้น แต่เธอขืนตัวไว้พร้อมถามออกมา

“ไปไหนคะ”

“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรู้ แต่ที่ต้องรู้คือ ไปแต่งตัวใหม่ให้สวย ฉันจะพาออกไปข้างนอก”

“ไปไหนคะ” เรนียาถามซ้ำคำเดิม ที่ยังไม่ได้คำตอบ และไม่ยอมลุก ราเซลจึงแว้ดใส่

“เพราะมัวแต่สงสัย เอื้อยเรื่อยเฉื่อยอยู่แบบนี้ไง ผู้ชายที่ต้องตาถูกใจ จึงจะหลุดมือไป”

“แม่หมายถึงใครคะ” เธอถามด้วยความสงสัย เพราะเธอยังไม่มีใครที่ถูกใจอยู่ในหัวใจเลยแต่ต้องตามีบ้างตามประสาสาวๆที่ชอบคนหล่อดูดี
ราเซลมองคนเป็นลูกด้วยสายตาที่เบื่อหน่าย หน่ายใจที่ไม่ได้ดังใจเธอสักเรื่อง แล้วบังคับให้ไปแต่งตัวแต่งหน้าเสียใหม่ โดยไม่ตอบข้อสงสัย ได้แต่คิดว่าเธอจะไม่ยอมให้คนที่เธอหมายตาไว้เป็นลูกเขย ต้องหลุดมือไป เพราะอดีตสามีชอบเขามาก เขามีพร้อมทุกอย่าง ที่เปรียบเหมือนฐานทัพอันแข็งแกร่ง มีอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากมาย ถ้าได้ตัวเขามาจะส่งเสริมให้ทุกอย่างที่เธอหวังไว้สำเร็จแน่นอน
***********
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียง กะพริบตาลืมขึ้นมา คิ้วเรียวบนใบหน้างามขมวดเข้ากัน เพราะความรู้สึกปวดร้าวที่ไหล่ลามไปถึงศีรษะ เธอข่มความปวดไว้แล้วใช้แขนอีกข้างยันตัวลุกขึ้นมา หันไปมองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ก็ต้องตกใจเพราะเกือบจะเที่ยงแล้ว ก่อนหน้านี้เธอก็ตื่นเช้า ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน จะอาบน้ำออกไปจากห้อง แต่รู้สึกปวดไหล่ ไม่ไหวก็หลับมานอน ไม่คิดว่าจะหลับนานขนาดนี้ จึงจะลงจากเตียงนอนไปเปิดประตู แต่คงช้าเกินไปประตูถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน

สายตาคนเปิดเข้ามาจ้องใบหน้างาม เพียงแวบเดียวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปรกติ เพราะทุกอากัปกิริยาของเธอแทบจะอยู่ในสายตาเขาตลอด สองเท้าที่ควรจะเอื่อยเฉื่อยก้าวยาวๆไม่กี่ก้าวก็มาถึงเตียง ยืนมองหน้าเธอชัดๆ ไร้ความสดใส ดูอ่อนล้า ริมฝีปากแห้ง ที่สำคัญเมื่อคืนนี้เธอถูกทำร้ายมา สายตาหรี่มองที่หัวไหล่ พร้อมกับยื่นปลายนิ้วไปแตะที่แก้มนุ่ม ความร้อนผ่านประสาทสัมผัสมาให้รู้สึก แววตากังวลขึ้นมาทันที

“ไม่ดีขึ้นใช่ไหม” ถามแล้วก็ลดมือลง ลดตัวลงนั่งบนเตียง

“ค่ะ ฉันทายาตามที่คุณบอกแล้วนะคะ แต่ไม่คิดว่าจะระบมปวดร้าวขนาดนี้”

“ขอดูหน่อย”

“ไม่ ไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอรีบปฏิเสธพร้อมกับดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดอก เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เสื้อเขาที่เธอใช้เป็นชุดนอน จะให้เขาดูก็ต้องถอดเสื้อออก เธอจะทำอย่างนั้นได้ยังไง “ขอยาแก้ปวด แก้อักเสบ นอนพักอีกหน่อยก็น่าจะดีขึ้น”

“ไม่ให้ จนกว่าฉันจะได้ดู เพราะอาจจะไม่ใช่แค่ระบม” เขาบอก เมื่อคิดไปว่าอาจจะกระเทือนไปถึงกระดูก เพราะแรงที่ฟาดลงมาแบบไม่ยั้งนั้นหนักใช่น้อย เขาไม่น่าชะล่าใจให้ยาไปทาเอง น่าจะขอดูตั้งแต่เมื่อคืน

“ไปหาหมอก็ได้ค่ะ”

“อย่าดื้อซิน้องหนู พี่ขอดูนิดเดียวเอง” เสียงเขาอ่อนนุ่มทุ้มอ้อน พลางขยับเข้าไปใกล้ ขณะที่ชิญาดาอึ้งกับคำเรียกเธอของเขา ‘น้องหนู’ ชื่อที่เรียกกันในครอบครัวและเพื่อนสนิท ซึ่งไม่มีเขาแน่นอน แล้วเขาไปเอาคำเรียกนี้มาจากไหน ความป่วยทำให้เธอลืมว่าเคยบอกเขาไป แต่มันก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เพราะความจริงเขาแอบมีเธออยู่ในใจนานแล้วนั่นเอง

“คุณเป็นใคร” เธอถามพลางจ้องหน้าคมไม่วางตา กรณ์ยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ก่อนถามกลับ

“จำไม่ได้เหรอ”

“ไม่เคยรู้จัก จะจำได้ยังไง”

“งั้นเอาไว้ก่อน ขอดูไหล่ ไปรักษา แล้วค่อยบอก”

“ฉันอยากรู้ตอนนี้”

“เมื่อกี้พี่บอกว่าอย่าดื้อไง”

“ก็บอกมาซิ”

เธอไม่ยอมแต่เขาจะให้จบ จึงรวบทั้งคนทั้งผ้าห่มที่ไม่ทั้งตั้งตัวยกมาอยู่บนตัก “อุ้ย” ชิญาดาร้องเบาๆอย่างตกใจ แล้วจะดิ้นแต่ไม่ไวเท่าเขา กรณ์ปลดกระดุมเสื้อเธอออกเม็ดหนึ่ง ดึงคอเสื้อลงเปิดให้เห็นไหล่ เห็นรอยแดงช้ำไปทั้งไหล่มน เขาขบกรามเข้าหากันแน่นแค้นไอ้คนทำ ถ้ารู้ว่าเธอจะเจ็บขนาดนี้ เขาจะไม่สั่งสอนแค่กระสุนถาก จะเจาะให้เจ็บไปถึงไส้เลย

กรณ์ข่มอารมณ์โกรธไว้ ใช้ปลายนิ้วลูบรอยช้ำเบาๆ แล้วบอกว่า “พี่ขอโทษ”

“คะ” ชิญาดางงพลางคิดว่าเขาขอโทษเรื่องอะไร แต่เรื่องที่จะดิ้นออกจากตักเขาเป็นอันต้องหยุดชะงัก และคิดได้ว่าที่เขาพูดคงเป็นเรื่องที่เขาพาเธอไปให้เจ็บตัว “ไม่เป็นไรค่ะ”

“เจ็บมากซินะ” เขาถามพลางดึงคอเสื้อขึ้นมาใส่ให้เหมือนเดิม แล้วปัดเส้นผมที่รุ่ยร่ายไปอยู่หลังต้นคอ มองใบหน้างามที่ตรึงใจตั้งแต่แรกเห็นแค่รูปถ่าย จนคนถูกมองรู้สึกเขิน และควรจะถอยห่างจากความใกล้ชิดนี้ได้แล้ว จึงขยับตัวจะลงจากตักเขา แต่... “มีแฟนหรือเปล่า”

คำถามที่สร้างความงงให้เธออีกว่าเขาจะถามทำไม “เกี่ยวอะไรกัน” เธอคิดแต่ดังออกมาเป็นคำพูดด้วย

“ตอบพี่หน่อย” เสียงเขาอ้อนพลางกระชับอ้อมแขน ไม่ยอมปล่อยให้เธอลงไปจากตักจนกว่าจะได้คำตอบ เพราะคำพูดของญาติสาวที่ทำให้คิดได้ว่า ไม่ควรจะให้เวลาให้ค้างคาใจ ควรจะรู้ใจเพื่อจัดการกับเวลาดีกว่า

ใบหน้างามงอด้วยความขัดใจ ที่เขาเอาแต่ใจแล้วก้าวเข้ามาในชีวิตเธอมากขึ้นทุกวัน โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่ยินดียอมรับโดยดุษฎี แม้จะห้ามหัวใจตัวเองอยู่ทุกครั้งที่เขาทำให้หวั่นไหว แต่ก็ห้ามไม่ได้ ได้แต่เก็บกดไว้ ไม่ให้เขารู้ เพราะไม่รู้ว่าที่เขาทำมาทั้งหมด คือความจริงใจหรือต้องการจะหลอกลวงกันแน่ เธอครุ่นคิดและไม่ดิ้นรนไปจากตักเขา เพราะรู้ว่าดิ้น ถ้าเขาไม่ปล่อย จะกลายเป็นชิดใกล้เขาเข้าไปอีก จึงนั่งนิ่ง ตอบคำถาม

“จะมีหรือไม่ แล้วทำไมคะ”

“พี่เคยตอบเราไปแล้ว และจะบอกว่าทั้งหมดที่ทำคือความจริงใจ ไม่ได้หลอกลวงหรือล้อเล่น ที่เหลือเราจะตอบพี่ได้หรือเปล่า”

“เรื่องส่วนตัวค่ะ” แม้เขาจะบอกอย่างนั้น แต่เธอก็ยังเก็บความรู้สึกไว้ เพราะเวลาที่รู้จักมันเร็วเกินไปกว่าจะเทใจให้ทั้งหมด แล้วต้องพบกับความผิดหวัง

“ตอบ” เสียงเขาไม่อ้อนเพราะไม่ต้องการจะยื้ออีกแล้ว ยามที่คิดว่าเธอจะมีใคร หัวใจเขาก็เจ็บปวด จึงต้องการรักษา ไม่อยากปล่อยให้เรื้อรัง ถ้าเธอมีใคร เขาก็จะได้ทำใจทำตัวเสียใหม่ตั้งแต่ตอนนี้ แต่ถ้าไม่มี เขาก็จะไม่ปล่อยให้เสียเวลาอีกแล้วเช่นกัน “ถ้าไม่ตอบจะ...จูบ” เสียงเขาจริงจังแล้วยื่นหน้ามาใกล้

เธอไม่หลบ ไม่เอียงอาย แต่มองเข้าไปให้เห็นถึงความจริงใจที่เขาบอก พลางถามตัวเองว่าจะเชื่อใจเขาได้แค่ไหน ที่ผ่านมาเขาดูแลดีไม่มีตกหล่อนสมกับคำที่บอกว่าจะปกป้อง เธอก็ควรให้ความจริงใจกับเขา แล้วตัดสินใจตอบออกไป “ไม่มีค่ะ”

“แล้วมีให้พี่หรือเปล่า”

“เจ็บไหล่ ปวดหัว ควรจะพูดเรื่องแบบนี้ไหมคะ” พูดไปแล้วเธอก็หลบตา เพราะเหมือนตัวเองเปิดใจให้เขา ขณะที่กรณ์ยิ้มเต็มหน้า ดวงตาพราวระยับขบขันความเฉไฉเอาตัวรอดของเธอ ซึ่งเขาก็ยอมให้ แต่ไม่ใช่เวลานี้

ริมฝีปากเขาแนบชิดกับริมฝีปากเธอ ชิญาดาเผลออ้าปากด้วยความตกใจ เขาก็ฉกฉวยเข้าไปหาความหอมหวานภายใน มือเธอดันตัวเขาออก แต่เขากลับกอดรัด รั้งมือเธอไว้ให้ตัวเองได้ทำตามความต้องการของหัวใจ จูบเธออย่างที่ถวิลหามานาน เนิ่นนานให้สมกับความรู้สึกที่...รัก

กรณ์ถอนริมฝีปากออกมา มองใบหน้าเธอที่ยังงงงวยกับ...จูบแรก เขารู้สึกอย่างนั้นและรับรู้ได้ว่าเป็นอย่างที่คิดแน่นอน หัวใจเขาพองโต ที่ได้เป็นเฟิร์สคิสของเธอ แล้วอุ้มตัวเธอไปวางหน้าห้องน้ำ เดินกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดทั้งชั้นในชั้นนอกมาให้

“จัดการเองได้หรืออยากให้พี่ช่วย”

ชิญาดาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ลืมความเจ็บแย่งเสื้อผ้ามาจากมือเขา แล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำ ปิดประตู ยืนใจเต้นหน้าแดง ทั้งเขินทั้งเคืองที่เขาฉวยโอกาส ส่วนกรณ์ก็ยืนยิ้ม ยกมือขึ้นกอดอก อิงตัวกับขอบประตู เฝ้ารอเธอด้วยใจที่เป็นห่วง เพราะไหล่ที่เจ็บอาจจะทำให้สวมใส่เสื้อผ้าไม่สะดวก
**********

ประตูรั้วบ้านสีขาวถูกเปิดออกต้อนรับรถยนต์สีดำคันหรู ให้วิ่งตรงไปยังตัวบ้าน คนที่นั่งอยู่ในรถมองตรงไปข้างหน้า ไม่มีความสนใจแมกไม้สองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไปเลย เสียงเครื่องยนต์ดังให้คนที่อยู่ในบ้านและนอกบ้านได้ยิน เจ้าของบ้านขยับพร้อมๆกับคนที่รู้ใจรู้หน้าที่ตัวเอง ส่งสัญญาณให้คนที่แฝงตัวอยู่ตามร่มไม้เตรียมพร้อมไว้ แล้วจูงเจ้าร็อตไวเลอร์พาออกไปต้อนรับแขกของเจ้านาย

รถยนต์จอดนิ่งสนิทหน้าบันไดบ้าน คนขับรถเปิดประตูลงมา มาเปิดประตูให้เจ้านายและคนติดตามออกมาจากรถ ร่างสง่างามของอดีตนายหญิงหมายเลขหนึ่งของตระกูลบลูโน โค ลงมายืนข้างรถ ข้างๆคือทนายความเมอเรย์ หันมองไปรอบบ้าน ผิดกับเจ้านายที่เชิดหน้าขึ้น สายตามองตรงเข้าไปในบ้านเท่านั้น

บ๊อก บ๊อก บ๊อกเสียงสุนัขเหาดังขึ้น เจ้านายกับคนติดตามหันไปมองทันที เห็นคนกับหมาเดินตรงมาหา รอไม่กี่ฮึดก็พากันมายืนอยู่ไม่ห่าง

“สวัสดีครับ” ผินทักทายพร้อมกับก้มหน้าอ่อนน้อมให้ตามมารยาท แล้วสบตาทั้งคู่ที่นิ่งราวกับรอให้เขาพูด แต่เขาก็นิ่งไม่พูดอะไรเช่นกัน ทนายเมอเรย์จึงต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเสียเอง

“ครับ สวัสดีครับ เจ้านายคุณอยู่หรือเปล่า คุณเอวาต้องการพบ”

“อยู่ครับ รอสักครู่นะครับ ผมจะเรียนคุณกรณ์ให้” ผินทำตัวเป็นลูกน้องที่ดี ทำทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แล้วสั่งเจ้าร็อตไวเลอร์ให้ไปยืนอยู่ห่างๆ เสร็จแล้วก็เดินขึ้นบันไดเข้าไปในบ้าน พร้อมกับคิดว่าที่อดีตนายหญิงของตระกูลบลูโน โค มาหาเจ้านายเขา คงพ้นเรื่องลูกชาย แต่ดูท่าทางที่นิ่ง คงยังไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ลูกชายเลือดอาบเพราะนายของเขา

เอวาคอแข็งเมื่อต้องยืนรอ ราวกับคนที่ไร้ความสำคัญ ทั้งๆที่ควรเชิญเธอเข้าไปนั่งรอในบ้าน เพราะเธอนั้นคือคนสำคัญ ที่ใครๆก็รู้จักและควรให้เกียรติ ไม่ใช่ต้องเสียเกียรติมายืนอยู่แบบนี้ เธอข่มความรู้สึกไม่ชอบใจไว้ เมื่อความต้องการนั้นสำคัญกว่า ไม่นานผินก็มาเชิญทั้งสองคนเข้าไปในนั่งรอเจ้าของบ้านอยู่ที่ห้องโถง ส่วนคนที่ติดตามอีกสองคนให้รออยู่ข้างนอก แล้วดูแลความเรียบร้อยเอาน้ำมาเสิร์ฟ เสร็จแล้วก็ไปยืนอยู่รอดูแลเจ้านายอยู่ตรงมุมห้อง

อดีตนายหญิงตระกูลบลูโน โค ไม่สนใจทุกอย่างในห้องนี้ แต่เท่าที่ผ่านสายตาเรียบง่ายเสียจนน่าคิดว่าเจ้าของนั้นมีฐานะจริงหรือจอมปลอมกันแน่ เพราะไม่มีของตกแต่งชิ้นใดที่หรู ดูแพงเลย ขณะที่ทนายเมอเรย์ตวัดสายตามองทุกอย่าง ชอบความเรียบง่าย ดูง่าย รักษาง่ายแบบนี้ แล้วหยุดสายตาหยุดความคิด มาสนใจเจ้าของบ้านที่เดินเข้ามาร่างสูงดูสง่าและยังคงโดดเด่นเช่นเคย

กรณ์เดินมานั่งบนโซฟาเดี่ยว สบตาทั้งคู่ ไม่มีการแนะนำตัว เพราะรู้จักกันแล้ว แม้จะไม่เคยยุ่งเกี่ยวกัน แต่ก็รู้กันอยู่แก่ใจว่าใครเป็นใคร “คุณเอวา มีธุระอะไรครับ”

“ฉันว่าคุณน่าจะเดาได้ ว่าเป็นเรื่องใด และเพื่อให้รู้ว่าเราคิดไปในทิศทางเดียวกัน ฉันก็จะบอกว่า เรื่องลูกชายของฉัน เอริค” เธอพูดยาวเข้าเรื่องทันที “ข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์คงพอจะทำให้คุณทราบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และที่ฉันมาพบคุณก็เพื่ออยากขอพบเพื่อนของเธอ ที่ฉันรู้มาว่าอยู่ในความดูแลของคุณ”

“เพราะอะไร ถึงได้มาถามเธอครับ”

“เพราะฉันเชื่อว่าเธอน่าจะติดต่อกับเพื่อนเธออยู่ และรู้ว่าเพื่อนเธออยู่ที่ไหน ฉันอยากขอให้พาไปพบเพื่อที่จะได้เคลียร์ทุกอย่างให้จบ”

“แสดงว่าคุณรู้สาเหตุที่ลูกชายคุณทำร้ายเธอแล้ว”

“ฉันไม่รู้ จึงต้องการจะรู้ เพื่อจะได้ให้ความเป็นธรรม”

“เธอไม่รู้หรอกครับ”

“ฉันอยากได้ยินจากปากเธอ มากกว่าได้ยินจากคนอื่น” เอวาเน้นย้ำเมื่อให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังบ่ายเบี่ยง ขวางทางเธอ เชิดหน้าวางท่าอย่างบอกให้รู้ว่ารู้ทัน

กรณ์ก็ทันเช่นกัน ไม่มีความหวั่นใดๆ ซ้ำยังพูดเป็นการบอกให้รู้เป็นนัยๆและเตือนไปในตัวว่า “เธออาจจะเป็นคนอื่นสำหรับคนอื่น แต่เธอไม่ใช่คนอื่นสำหรับผม”

“ทำไมจะไม่ใช่ ในเมื่อคุณกับเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แค่เป็นคนชนชาติเดียวกันเท่านั้น”

“และเป็นคนที่ใช่ด้วย”

“คน ที่ ใช่” เอวาทวนคำที่ไม่แน่ใจว่าจะแปลเป็นความสัมพันธ์ยังไง ถ้าไม่ใช่ คนที่มีใจ แววตาเธอยิ้มให้แต่ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นมัว เมื่อก่อนมาพบอีกฝ่ายรู้ว่าต้องมีความยากอยู่แล้ว แล้วมาเจอความยากมากขึ้นไปอีก

ทนายเมอเรย์ก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้านาย สีหน้าเขามีความกังวลให้เห็น ขณะที่สีหน้าเจ้านายยังคงนิ่งเฉย “คุณจะบอกว่าเธอเป็นคนพิเศษอย่างนั้นเหรอ”

“คนรัก”

คำตอบที่ชัดมากกว่าคำถาม เป็นการประกาศให้รู้ว่าเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อ...เธอ แต่อดีตนายหญิงตระกูลบลูโน โค ไม่ได้มีท่าทีหวั่นกับคำประกาศนี้ แค่แปลกใจว่าคนสองคนมาพบเจอกันไม่กี่วัน จะรักกันได้ยังไง เธอไม่เชื่อเด็ดขาด คงเป็นวิธีขัดขวางของเขามากกว่า

“คุณจะปฏิเสธการขอของฉันเหรอ” ถามแล้ว ก็พูดถึงอีกคนที่อีกฝ่ายเกรงใจออกมา “คุณคงไม่รู้ว่าโจนส์เขาเครียดกับเรื่องนี้มาก อยากพบผู้หญิงคนนั้น ฉันถึงต้องมาหาคุณ เพื่อจะช่วยให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น”

“ไม่ใช่เพราะคุณเสียประโยชน์หรอกเหรอ”

“คุณหมายถึงหุ้นที่เอริคต้องเสียไปซินะ” ถามอย่างไม่แปลกใจที่เขารู้ เพราะรู้ว่าเขานั้นเส้นใหญ่ เป็นถึงญาติของนายหญิงตระกูลยิ่งใหญ่ ถ้าไม่รู้ซิแปลก “แค่ของนอกกาย มันไม่สำคัญเท่ากับความสบายใจของโจนส์ จริงไหม”

กรณ์นิ่ง สีหน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย ให้อีกฝ่ายคิดว่าคำพูดนั้นมีผลกับเขา ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่เลย แต่กำลังคิดว่า จากที่สังเกตท่าทีของเธอกับคำพูดต่างๆที่ได้คุยกัน เธอคงยังไม่รู้ว่าเขาทำให้ลูกรักเลือดอออก ถ้ารู้คงเกรี้ยวกราดไม่นิ่งลึกอยู่แบบนี้

“ครับ หวังว่ามันจะจริงอย่างที่คุณพูด แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะทำให้เขาสบายใจเอง”

“หมายความว่าไง หรือว่าคุณ...”

เอวาหยุดคำพูดไว้ เมื่อมีความคิดที่น่าตกใจผุดขึ้นมา ว่าเขาจะเป็นคนพาไปเอง นั่นแสดงว่าเขาต้องรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน และคำพูดที่เขาพูดมาทั้งหมดคือ...การโกหก และคงคิดจะหน้าเอาความดีความชอบใส่พานให้ญาติสาว เอาไปให้อดีตสามี จะได้ความรักความไว้ใจจากเขามากขึ้นซินะ ช่างร้ายกาจ แต่เธอจะไม่มีวันให้เกิดขึ้น เมื่อเธอมาขอดีๆไม่ให้ ก็จะได้เห็นดีกัน

ใบหน้าเธอเชิดขึ้น เมื่อคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดกันอีก จะลุกขึ้นกลับ แต่หางตาเห็นหญิงสาวที่เธอต้องการเจอตัว เดินเข้ามาในห้องเสียก่อน ใจเธอฟูด้วยความยินดีแต่สีหน้ายังนิ่งเฉยดุจเดิม ต่างจากทนายเมอเรย์ที่ไม่ต้องเก็บอาการ เขายิ้มอย่างยินดี ที่ไม่เสียทีที่มาได้เจอตัวเสียที
******
ชิญาดาสบตาผู้หญิงที่เธอรู้จักและรู้ซึ่งแล้วว่ามีอิทธิพลเพียงใด ความหวั่นใดๆไม่มี เมื่อกี้เธอใช้เวลาอาบน้ำใส่เสื้อผ้านานพอสมควร เพราะไหล่ที่เจ็บทำให้ทำทุกอย่างช้าไปหมด กว่าจะเรียบร้อยและออกมาจากห้องน้ำได้ คนที่ทำให้หน้าแดงก็ไม่อยู่แล้ว จึงเดินออกมาจากห้องนอน เพื่อให้เขาพาไปหาหมอ แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่ข่มขู่เธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน ไม่มีความคิดที่จะหลบ เมื่อเธอไม่ได้ทำผิดอะไร มีแต่พวกเขาที่ต้องหวั่นเมื่อเจอเธอ

กรณ์ลุกขึ้นมาจับมือเธอให้ไปนั่งข้างๆ ตวัดสายตามองแขกทั้งสองคนที่จ้องเธอราวกับสุนัขล่าเนื้อ แต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยเนื้อให้มัน

“จำกันได้ใช่ไหม” เอวาเป็นฝ่ายพูดขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าเรื่องที่เธอต้องแบกหน้ามาทนนั่งอยู่ตรงนี้

“ค่ะ ไม่เคยลืมเลย” และไม่ยกมือไหว้ อันเป็นมารยาที่งดงามของบ้านเกิด

“ฉันก็เช่นกัน โดยเฉพาะเพื่อนของเธอ ซึ่งเธอคงรู้แล้วว่าได้หายออกไปจากโรงพยาบาล”

“ค่ะ แต่เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว ไม่ใช่เหรอคะ” ชิญาดาตอบได้นิ่ง สู้สายตาได้ดี ความรู้สึกต่างๆก็เก็บได้ดีไม่มีที่ติ สมกับที่เป็นน้องของเสือ อภิราชไพศาลนันท์

เอวายิ้มเยือนให้เล็กน้อย มองเด็กสาวคราวลูกที่ตีฝีปากมาผยองกับเธอ คงเห็นว่ามีคนปกป้องที่ดี แต่คงไม่รู้ว่าคนปกป้องนั้นไม่มีค่าในสายตาเธอ แต่เธอต้องน้ำนิ่งไหลลึกไว้ เพื่อประโยชน์ที่จะได้มา

“ก่อนอื่นก็อยากจะบอกว่า อย่าถือสาฉันเลย ที่วันนั้นฉันพูดไม่ดีกับเธอ เพราะอยากปกป้องลูกจึงทำเรื่องไม่ดีไปบ้าง และอยากรู้ว่าเพื่อนของเธอได้ติดต่อกับเธอหรือเปล่า ฉันอยากพบ เพื่อขอโทษ” เธอต้องข่มใจอย่างหนัก เมื่อต้องเอ่ยคำนี้ออกมา และต้องลดเกียรติของตัวเองลงเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ “และอยากจะปรับความเข้าใจ อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้องให้ความเป็นธรรม จะได้ไม่ต้องบาดหมาง หลบเลี่ยง หลีกหนีกันอยู่แบบนี้”

“น่ายินดีจริง แต่คงสายไปแล้ว เพราะลูกของคุณสร้างรอยแผลที่เกินกว่าคำว่าขอโทษ และปรับความเข้าใจเสียแล้ว เพื่อนฉันถึงได้หนีไป และที่คุณอยากรู้ว่าฉันได้ติดต่อบ้างหรือเปล่า ขอบอกว่าเปล่าค่ะ” ชิญาดาดับความหวังของอีกฝ่าย ก่อนจะจุดประกายคล้ายสะเก็ดไฟให้แสงสว่างเล็กๆ แต่ถ้ากระเด็ดมาโดดตัว ก็ทำให้เจ็บไม่น้อย “แต่แคทติดต่อกลับมา”

เอวารู้ว่าหญิงสาวเล่นแง่ ปั่นหัวเธออยู่ แต่ผู้หญิงอย่างเธอเติบโตมาในครอบครัวผู้ดีเก่า ที่ต้องเจอผู้คนมากหน้าหลายตา และที่สำคัญคือเคยเคียงข้างคนที่มีอำนาจที่สุดมาแล้ว ย่อมมีประสบการณ์ในการรับมือกับเรื่องต่างๆได้ดี จึงไม่มีอะไรที่จะมาสั่นคลอนเธอได้เลย

“ดีจริง เพื่อนเธอพูดอะไรบ้างละ”

“คำตอบอยู่ที่ลูกชายของคุณค่ะ”

“แสดงว่าเธอจะไม่บอก”

“ค่ะ”

“ไม่ไว้ใจซินะ” เธอบอกอย่างเข้าใจ “เป็นฉันก็ต้องทำแบบเธอ เจอเหตุการณ์โหดๆซึ่งๆหน้า จะให้เชื่อใจคนที่ทำร้ายกัน ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วเวลาเพียงไม่นาน คงทำไม่ได้ แต่ฉันก็หวังว่า เราจะช่วยกันให้คนที่เรารัก ผ่านเรื่องแย่ๆนี้ไปให้ได้”

“ค่ะ ที่เหลือก็คือวิธีการที่จะทำให้ผ่านไปเท่านั้น และอยากจะฝากคุณไปบอกเขาว่า ถ้าเขายังมีความเป็นคนอยู่ เมื่อสร้างคนขึ้นมาแล้ว ก็ควรจะดูแลให้ดี ไม่ใช่ทำลาย ให้ตายจากไป”

แววตาเอวาฉายความสงสัยเพียงแวบเดียวก็จางหาย กลายเป็นความน่ากลัวโดยไม่ต้องข่มไว้อีกแล้ว เมื่อเธอยอมอ่อนถึงขนาดลดตัวลงมาหา เจรจาด้วยดี แต่กลับไม่สำนึกยังเย่อหยิ่งอวดดี ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก เธอผุดลุกขึ้นยืนเหมือนจะโผไปหาชิญาดา กรณ์ก็ลุกทันควันก้าวบังปกป้องไว้ สายตาดุดันบอกให้รู้ว่าจะไม่ไว้หน้าใดๆเด็ดขาด

ทนายเมอเรย์ที่ติดตามมาแต่เหมือนไม่ได้มา เพราะไม่ได้พูดอะไรออกมาราวกับไม่มีตัวตน ลุกขึ้นยืนขึ้นมามองทั้งสองฝ่ายอย่างหวั่นๆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ไม่กี่อึดใจสถานการณ์ก็ผ่อนคลาย เมื่อเจ้านายของตัวเอง เดินหน้าเชิดออกไปจากห้อง ก็รีบก้าวตามไปติดๆ

กรณ์หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจับมือชิญาดา พาเดินออกมาส่งแขก แม้จะไม่พอใจกันอยู่ แต่เขาก็ยังมีมารยาทเพราะยังไม่มีอะไรที่แตกหัก แต่แขกคนสำคัญไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอีกแล้ว ทั้งคู่เดินตรงไปที่รถ แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นไปนั่ง ก็มีรถอีกคันแล่นเข้ามา

สายตาทุกคนมองไปยังรถคันหรู กระทั่งขับเข้ามาจอดนิ่งสนิท คนขับรถรีบเปิดประตูลงมาเปิดประตูให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลัง สายตาทุกคนมีความแปลกใจ เมื่อเห็นคนที่ออกมาจากรถ ... อดีตนายหญิงคนที่สองของตระกูลบลูโน โคและลูกสาว
***********
ราเซลส่งยิ้มให้คนที่มาหา แล้วชะงักไปนิดเมื่อเห็นนางหงส์เอวายืนอยู่พร้อมทนายผู้รับใช้ ความคับแค้นที่ถูกร้าย ปรี้ดขึ้นมา เกือบจะถลาไปตบหน้าเชิดๆนั้นแหลกคามือ ถ้าไม่มีมือของลูกจับแขนไว้ จึงข่มใจได้ แล้วมีสติให้คิดด้วยความสงสัยผุดขึ้นมาว่า นางหงส์มาที่นี่ทำไม

เธอตวัดสายตามองทุกคน แล้วหยุดนิ่งอยู่ที่หญิงสาวแปลกหน้า ที่เธอเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นคู่กรณีของลูกชายอีกฝ่าย ตามที่เธอได้ข่าวมา แสดงว่าที่มายืนอยู่ตรงนี้ คงมาเจรจาภาษาดอกไม้ เพื่อให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี แล้วสิ่งที่เสียไปจะได้กลับมา คงจะสมหวังหรอก เธอคิดอย่างหยันๆ แล้วจับมือเรนียาเดินมาหาทุกคนปล่อยมือลูก แล้วก้าวไปยืนตรงหน้านางหงส์ มองอย่างรู้ทันแล้วพูดออกมา

“หน้าบางลงแล้วเหรอ ถึงได้ถ่อมาที่นี่”

“แล้วหน้าเธอละไปโดนอะไรมา” เอวาถามกลับขณะแววตาฉายความสะใจ ที่ได้เห็นหน้าช้ำของอีการาเซล และอดเสียดายที่ไม่ได้เห็นตอนเลือดกบปาก ถ้าได้เห็นเธอคงจะสุขใจมากกว่านี้

“หมาลอบกัด สันดานไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะอยู่ในคราบที่สวยงามเพียงใด ก็ยังเลิกนิสัยเลวไม่ได้เสียที” เธอแดกดันเข้าให้ และไม่คิดจะอ้อมค้อม ให้ใครต้องมาตีความว่าหมายถึงใคร

เอวาคอแข็งขึ้นมาทันที แต่สีหน้านั้นเรียบเหมือนไม่ได้เดือดร้อนกับคำพูดนั้น แล้วย้อนกลับไป “ว่าตัวเองซินะ เพราะกำเนิดต่ำทรามโสมมยังไงก็ยังไปอย่างนั้น”

“คนที่ต่ำทรามอยู่แล้วสันดานจะไม่ดีก็ไม่แปลก แต่คนที่สูงส่ง เชิดหน้าชูตาว่าดีเด่น แล้วสันดานชั่วช้านี่สิ มันบ่งบอกถึงจิตใจที่วิปริต”

เอวาร้อนฉ่าไปทั้งหน้า กำมือจนเล็บจิกเนื้อกดความเกรี้ยวกราดไว้ ไม่ให้สีหน้ากระด้างขึ้นมา ถึงอย่างนั้นแววตาเธอก็แทบจะฉีกคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ เธอกะพริบตาให้ความรู้สึกนั้นหายไป ยิ้มเยือนให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอไม่ได้สะเทือนไปกับคำด่านั้นเลย แต่เสียงพูดที่ออกมานั้นเจือความสั่นพร่าที่เต็มไปด้วยความโกรธ

“แล้วคนที่ไปนอนกับผู้ชายคนอื่นทั้งที่มีผัวเป็นตัวตนอยู่เขาเรียกว่าอะไร ร่านหรือว่าแรด แล้วที่พาลูกมาที่นี่ จะให้เดินรอยตามตัวเองหรือไง”

“อี...”

“แม่คะ” เรนียาต้องเอาตัวไปขวางคนเป็นแม่ไว้ มองด้วยสายตาขอร้องไม่ให้มีเรื่องในบ้านคนอื่น ราเซลต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดึงสติที่หลุดไปกลับมา แล้วขยับตัวออกมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายใหม่ ยิ้มเยือนให้เชือดเฉือนออกไป

“ลูกของฉันเป็นเทพธิดาไม่ใช่ซาตานที่กำลังเดินตามรอยนางมาร ทำชั่วให้คนอื่นเดือดร้อนไม่หยุดหย่อน และเธอควรจะเลิกคอตั้งแล้วก้มหัวลงมาให้ฉันได้แล้วนะ เพราะอีกไม่นาน” เธอปรายตาสื่อให้รู้ว่าหมายถึงใคร “เขาจะเป็นลูกของฉันอีกคน”

“ฝันเหรอ” ว่าแล้วก็ยิ้มเหยียด “คิดจะเอาเขามาเป็นลูกเขย ควรจะเปิดตาให้กว้างนะ ว่าเขามองใครอยู่ และกำลังจะรวบใครมาเป็นเมีย ที่ฉันรู้และแน่ใจไม่ใช่ลูกเธอแน่นอน” พูดจบก็ตวัดสายตาไปมองหญิงสาวที่พูดถึง “แต่เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างเขาต่างหาก”

“ก็แค่ของเล่น”

“ของจริง แต่ถ้าอยากได้ตัวเขามาเป็นลูกเขยมากนัก ก็ขุดสันดานตัวเองมาสอนลูกก็แล้วกัน” เอวายิ้มเยาะใส่ตาแล้วก้าวขึ้นรถ ไม่สนใจสีหน้าทะมึนตึงของราเซลที่อยากจะฉีกอกเธอ

ทนายเมอเรย์รีบก้าวตาม การยืนอยู่ท่ามกลางศึกของนางพญา นั่นน่ากลัว เขาต้องรีบหลีกให้พ้น เช่นเดียวกับคนติดตามก็รีบไปขึ้นรถ ขับเคลื่อนรถออกไป

ราเซลขบฟันข่มอารมณ์แค้นที่เดือดระอุอยู่หลายอึดใจกว่าจะหายไป ปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มแล้วหันมามองเจ้าของบ้าน และได้เห็นมือเขาที่จับมือหญิงสาวที่เธอคิดว่าเป็นของเล่นเต็มตา ความเคืองขุ่นผุดขึ้นมาแต่ก็ต้องกดไว้ เดินมาจับมือลูกพาเดินไปหา

เรนียาไม่อยากจะเดินไป แต่จำต้องเดินทั้งๆที่อยากจะหันหลังกลับ และไม่พอใจคนเป็นแม่มากขึ้น เมื่อดันตัวเธอให้ไปยืนข้างเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นผู้ชายที่เธอต้องตา ชื่นชอบอยู่ในใจ ตั้งแต่แรกเห็นที่งานแต่งงานของคนเป็นพ่อ แต่ไม่เคยคิดในเชิงชู้สาว ที่ชอบเพราะรูปลักษณ์ที่ดีของเขา ที่เหมาะกับธุรกิจสุขภาพที่เธอทำอยู่เท่านั้น

ราเซลยิ้มกว้างให้เจ้าของบ้าน แล้วพูดขึ้น “สวัสดีจ๊ะ ขอโทษที่มาโดยไม่ได้บอกกล่าว ไม่ถือสากันนะ”

กรณ์ยิ้มให้เล็กๆ ขณะสีหน้าแสดงออกมาให้เห็นว่าแปลกใจ ที่อดีตนายหญิงคนที่สองของตระกูลบลูโน โค มาหาเขา ทั้งที่ไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกัน แต่ท่าทีที่ดันตัวลูกสาว ที่เขารู้จักเพียงผิวเผินมาข้างเขา เริ่มพอจะเดาออก “ครับ แต่มาถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“เราจะยืนคุยกันตรงนี้เหรอจ๊ะ” เธอบอกเพื่อให้เขารับรอง แต่สำหรับกรณ์ตอนนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่าคนที่เขาจับมืออยู่ จึงต้องปฏิเสธโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดยังไง

“ถ้าไม่มีเรื่องด่วน ผมก็ขอโทษด้วยครับ ที่ไม่สามารถรับรองได้ เพราะผมมีธุระต้องรีบไป”

“ถ้าไม่สำคัญมาก น้าฝากน้องเรยาไปด้วยได้ไหมคะ” เธอไม่สนใจคำปฏิเสธ ไม่รู้สึกเสียหน้า และยังหาทางโกหกเอาซึ่งๆด้วย “คือน้องมีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องสถานที่ออกกำลังกายแห่งใหม่ ให้ไปคุยในรถได้ไหมจ๊ะ หรือเสร็จธุระแล้วค่อยคุยก็ได้ น้องเขารอได้”

“ไม่ดีกว่าค่ะ” เรนียารีบปฏิเสธออกมาทันที “เรยาไม่มีเรื่องด่วน และขอโทษด้วยที่มารบกวน เชิญคุณกรณ์ตามสบายค่ะ” พูดจบ เธอก็เดินไปขึ้นรถ เพราะอายจนไม่อาจจะยืนอยู่ได้อีกแล้ว

ราเซลเคืองไปทั้งใจ แต่ยังยิ้มรักษาหน้าตัวเองไว้ และก่อนจะเดินตามลูกไป ก็ตวัดสายตาที่ไม่พอใจหญิงสาวที่เขาจับมือไว้ เธอก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ คนขับก็ขับออกไป ส่วนกรณ์ก็พาชิญาดาเดินไปที่รถ จัดแจงให้เข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถพาเธอไปหาหมอ
************
สถานบันเทิงที่ไม่ได้เปิดให้บริการในเวลากลางวันเงียบสนิท บริเวณรอบนอกมีคนเฝ้าอยู่เพียงสองคน เดินตรวจตราไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามา ขณะที่ด้านในชั้นบนสุดเป็นที่พักของเจ้าของ ที่ได้รับบาดแผลจากกระสุนมาเมื่อคืน หลังจากให้หมอมาทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว ก็พักผ่อน แต่หลับๆตื่นๆเพราะเจ็บแผลและความแค้นที่แน่นอยู่เต็มอก เพิ่งจะหลับสนิทไปไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

ร่างสูงนอนนิ่งอยู่บนเตียง แต่ดวงตากะพริบตื่นขึ้นมาแล้ว มองดวงไฟที่ดับมืด คล้ายกับชีวิตเขาในตอนนี้ ที่มีแต่เรื่องที่ไร้หนทางที่จะทำให้สำเร็จ คาริสา ผู้หญิงที่กำความลับเขาไว้ก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน คนที่รู้ที่อยู่อย่างเพื่อนของเธอ เขาก็ไม่สามารถจะเอาตัวมาได้ เพียงแค่แตะเขายังโดนกระสุน ถ้าจะเอาตัวมาจริงๆ เขาคงต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ซึ่งดูจากสถานการณ์มีแต่คำว่า...แพ้

“บัดซบ” เขาสบถระบายความโกรธแค้นออกมา แล้วครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี ตอนนี้มีสัญญาณเตือนให้เห็นความหายนะของตัวเอง โดนลดหุ้น แล้วมาบาดเจ็บ จากนี้จะมีอะไรอีก ถ้าไม่ใช่การ...แฉ จากผู้หญิงที่กำความลับเขาไว้ ซึ่งเขาไม่ยอมให้มันลงเอยแบบนั้นเด็ดขาด

จากที่มีสิ่งสำคัญอยู่ในมือ แล้วทุกอย่างจะง่ายรอแค่เวลาที่เหมาะสม เปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ออกไป ก็จะได้เป็นใหญ่ในบลูโน โค แต่ทุกอย่างกำลังจะพัง เพราะผู้หญิงที่เขาชอบเพียงชั่วคราว ไม่ได้คิดจะจริงจังอย่างถาวร แต่เธอกลับจริงจังจะผูกมัดเขา ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะยอม จึงถูกข่มขู่ การขู่ที่นำพามาสู่เหตุการณ์เลวร้ายที่อพาร์ทเม้นท์

‘คุณทำให้ฉันไม่เหลืออะไร แล้วจะเฉดหัวฉันไปจากชีวิตชีวิตคุณก็จะไม่เหลืออะไรเลยเหมือนกัน’

น้ำเสียงกร้าวไปด้วยความปวดร้าว น้ำตาคลอเต็มสองตา ยังติดอยู่ในความทรงจำของเขา แต่ตอนนั้นเขากลับไม่รู้สึกอะไร นอกจากจะสมเพชแล้วหาทางขจัดออกไปให้เร็วที่สุด ซ้ำยังเหยียดต่างๆนาๆ

‘จะทำอะไร’

‘คุณคิดว่าความลับมันจะมีในโลกเหรอ’

‘หมายความว่าไง’ เขาถามด้วยความสงสัยพลางครุ่นคิด ว่าคือสิ่งใด แล้วบางอย่างก็ผุดขึ้นมาเมื่อเขามีของสำคัญอยู่เพียงอย่างเดียว ที่จะทำให้เขาได้ทุกอย่าง และได้เอามาเก็บไว้ที่นี่ ที่ๆเขาคิดว่าจะไม่มีใครรู้เห็นและหามันเจอ หวังว่าเธอจะไม่หมายถึง ...

‘จดทะเบียนสมรสกับฉันซิ แล้วความลับก็จะเป็นความลับตลอดไป’

เขาตกตะลึง เพราะคำพูดของเธอคือสิ่งที่เขาเอามาซ่อนไว้ มันไม่ได้รอเขาอยู่ แต่ไปอยู่ในมือเธอแล้ว แล้วมันไปอยู่ได้ยังไง เขาคิดแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องนอน ตรงไปที่โต๊ะข้างหัวเตียง มีแจกันดอกทิวลิปปลอมวางอยู่ เขาซ่อนฮาร์ดดิสต์ที่สำคัญไว้ในนั้น และเมื่อเขาดึงดอกทิวลิปออกมา ในแจกันก็ว่างเปล่า เขาเดินกลับมาหาเธอด้วยสีหน้าที่เกรียวกราด แล้วฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าเธอ

‘เพี๊ยะ’

ร่างอรชรหมุนขว้างไปตามแรงตบ กระแทกกับตู้ เจ็บจุกไปทั้งตัว เลือดสีแดงซึมออกมาที่มุมปาก แต่ไม่ได้รับความสงสารจากเขา เพราะสิ่งที่เธอทำคือการทำลายชีวิตเขา ซึ่งเขายอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ จึงตามเข้ามากระชากตัวเธอขึ้นมาบีบคอพร้อมตะคอกใส่

‘เอาคืนฉันมา’

เธอมองเขาด้วยความหวาดกลัว น้ำตารินไหล พยายามแกะมือเขาออก บางครั้งก็ไขว่คว้าหาอากาศ แล้วยังพรรณนาว่ารักเขามากมาย จะยอมเขาทุกอย่าง ขอเพียงเขารับตัวเธอเข้าไปเป็นสมาชิกในตระกูล แต่ผู้หญิงในโลกที่สามอย่างเธอไม่คู่ควรกับเขา เธออ้อนวอนเขาอีกมากมาย แต่เขาถามย้ำอีกคำเท่านั้นว่าจะคืนหรือไม่

‘ไม่ ตราบใดที่คุณไม่ทำตามที่ฉันเสนอ คุณจะไม่มีวันได้’

‘สารเลว’ เขาผรุสวาทออกมา มองเธอไม่ต่างจากสัตว์ที่มาขโมยของเขาไป และยังมากัดเขาให้เจ็บอีก จึงต้องจัดการให้เร็วที่สุด ถ้าไม่จัดการมันให้ตาย เขานี่แหละจะตายเอง ปืนที่พกติดตัวถูกดึงออกมา เธอก็ผลักเขากระเด็น แล้วก็วิ่งไปที่ประตู

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงดังขึ้น เขาหลับตาหยุดอดีตไว้ แล้วเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายโดยไม่ดูหน้าจอว่าจะเป็นเบอร์ของใคร แล้ววาบลึกไปทั้งใจ เมื่อมีเสียงพูดมาว่า

“คิดถึงฉันอยู่เหรอคะ”
******

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ต.ค. 2561, 09:52:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ต.ค. 2561, 09:52:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 912





<< ตอน 7   ตอน 9 >>
แว่นใส 19 ต.ค. 2561, 07:37:51 น.
เหตุผลแรก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account