ชายา ตอน เล่ห์รักดวงใจกรณ์
เพราะรูปถ่ายที่ได้เห็นเพียงครั้งเดียวในห้องทำงานของ ชินกฤต หรือเสือ แห่งตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ทำให้กรณ์ วิจิตรนาถ หลงรักเธอทันที เขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของหัวใจ แต่ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนรู้ความลับนี้เข้า และได้ทำตัวเป็นกามเทพ นำพาเธอมาหาเขา
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
ชิญาดา หรือน้องหนู ตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ได้รับโชคก้อนใหญ่ ได้มาเที่ยวกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก ของสถานที่ท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมมากมาย เธอเดินทางมาคนเดียว ปลายทางคือเพื่อนรัก ที่ไม่ได้เจอกันมานาน จึงจะมาเซอร์ไพรส์ แต่ความคิดมันสวนทางกับความจริง เมื่อมาเจอเพื่อนถูกผู้ชายเลวทรามคนหนึ่งทำร้าย
ปลายกระบอกปืนที่เล็งมา จะเอาลมหายใจจากไปจากร่างกาย ทำให้เธอกลัวไปทั้งใจ แต่หลังจากนั้นคือการลุกขึ้นสู้ คนเลวทรามต้องติดคุก แต่คุกไม่ได้มีไว้ขังคนมีเงิน มีอำนาจ เธอถูกข่มขู่ คุกคาม กามเทพจึงอุ้มเธอมาใส่ในมือเขา ที่กางแขนโอบกอดเธอไว้ ไม่ให้คลาดไปจากสายตา ห่างไกลไปจากหัวใจอีกเลย
ทุกอย่างน่าจะจบลงที่ความสุข แต่หัวใจไม่ใช่เงินตรา ที่จะจับต้องหยิบไปใช้เมื่อไรก็ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเขา เขาจึงต้องทำให้เธอเห็น ด้วยภาษากาย พูดให้เธอฟัง ด้วยภาษาใจ และกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในอ้อมแขน จนเธอรับรู้แต่กลับต้องวางหัวใจ เมื่อความลับของคนมีอำนาจ กำลังจะพรากเพื่อนรักไปจากเธอ
การแย่งชิง ไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม ถูกนำมาใช้ ท่ามกลางความรัก และผลประโยชน์ของตระกูลบลูโน โค ทุกคนกลายเป็นหมาก ที่ต้องเดิมเกมอย่างระวัง เพราะถ้าพลาดพลั้งทุกอย่างต้องพังทลาย ชิญาดากลายเป็นกุญแจสำคัญที่ใครๆก็ต้องการตัว แต่จะมีใครช่วงชิงเธอไปจากอ้อมแขนแห่งรักของกรณ์ ได้หรือไม่ ต้องติดตาม...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 12
ตอน 12
ตัวหนังสืออาคารบลูโน โค โอ่อา สวยสมกับเป็นของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ชิญาดาเดินตามกรณ์เข้ามาข้างใน การตกแต่งทันสมัย ผสานกับสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และยอดเยี่ยม ภาพวาดหลายภาพน่าสนใจ เธอได้แค่มองผ่าน ไม่มีโอกาสยืนดู เพราะคนพามาจับมือเธอเดินไปที่ลิฟต์ เข้าไปยืนเคียงข้างเขา กดลิฟต์ให้เลื่อนสูงขึ้นไป จึงได้เห็นแม่น้ำและท่าเรือ เป็นวิวที่สวยๆให้มองเพลิน แต่ไม่นานก็หันมาสนใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานิ่งเงียบตั้งแต่ที่ได้รับโทรศัพท์ และพาเธอมาที่นี่
ประตูลิฟต์เปิดออก กรณ์พาเธอออกมา แต่ชะงักอยู่แค่หน้าลิฟต์ เมื่อเห็นญาติสาว ที่ดูก็รู้ว่ามารออยู่ ขณะที่ชิญาดามองผู้หญิง ที่จำได้แม่นว่าหลอกลวงเธอมาให้เขา ความรู้สึกที่โกรธไม่มีเพราะเจ๊ากันไปกับการดูแลที่ดี แต่มีหลายอย่างที่อยากถาม ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้คงไม่เหมาะ สังเกตได้จากความเคร่งขรึมของคนที่จับมือเธออยู่
กรองแก้วส่งยิ้มมาให้ เธอจึงยกมือขึ้นไหว้ อีกฝ่ายก็รับไหว้ทั้งที่คิดไม่ถึง เพราะมีความหวังดีแต่ผิดวิธีการไปหน่อยติดต่ออยู่ แต่ก็ชมอยู่ในใจว่ามารยาทดี สมกับมาจากครอบครัวที่ดีแล้วหันมามองญาติหนุ่ม บอกด้วยเสียงนุ่มๆว่า “เอวามาที่นี่”
กรณ์รู้ได้ทันทีว่าเป็นสาเหตุให้เขาถูกเรียกตัวมา แม้จะตั้งใจมาอยู่แล้ว แต่เขาก็มาช้าไป มาตรการการป้องกันของเขา คงยุ่งยากขึ้นแน่ๆ
“เรื่องเดิม เพิ่มเติมคือเลือดของลูกเธอ”
กรองแก้วบอกเมื่อกรณ์ยังนิ่งเงียบ แล้วเดินนำไปยังห้องทำงานของสามี ใช้เวลาไม่กี่นาทีทั้งสามคนเข้าไปนั่งอยู่บนโซฟานุ่มในห้องชิญาดามองไปรอบห้องใหญ่ โปร่งโล่ง ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจก สามารถมองเห็นวิวภายนอก ตกแต่งแบบเรียบง่าย มุมห้องมีต้นไม้ให้พักสายตา แล้วมองมายังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีคนนั่งก้มหน้าดูเอกสารอยู่ ซึ่งพอจะเดาได้ว่าเป็นเจ้าของห้อง เธอตัวเกร็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่า เขาคือคนที่เธอได้ยินกิติศักดิ์ความยิ่งใหญ่ ประธานบูลโน โค
กรณ์ที่นั่งสบายๆอยู่บนเก้าอี้ รู้สึกถึงปฏิกิริยาคนข้างๆทันที บีบมือเธอที่จับอยู่เบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบกอดรั้งตัวให้มาชิดตัวเขามากขึ้น แล้วจูบขมับเธอให้คลายความกังวล กรองแก้วที่นั่งอยู่ด้วย เห็นภาพความหวานเต็มตา ก็ลิ่วตาล้อญาติหนุ่ม ที่ช่างไม่เกรงใจกันเลย
โจนส์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขามองมายังทุกคนที่เข้ามานั่งรออยู่ แล้วลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มานั่งตรงหน้าทั้งสามคน สบตากับกรณ์เป็นคนแรก ก่อนจะมองหญิงสาวที่นั่งเคียงข้าง
‘สวย’
นั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นในสมอง คำต่อมาคือการเข้าใจว่าทำไมถึงมัดใจกรณ์ได้ เพราะบุคลิกของเธอภายนอกดูอ่อนหวาน อ่อนโยนตามแบบผู้หญิงเอเชีย แต่แววตามีความแข็งกร้าว ทระนงอยู่ในตัว และคงเข้มแข็งไม่น้อย ถึงมาเวียนนาคนเดียว แล้วต้องมาเจอกับเรื่องราวที่หนัก สาหัสอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่เข้มแข็งพอ คงยืนหยัดอยู่ได้ยาก
มือของกรณ์ที่โอบไหล่เธออยู่บอกให้รู้ถึงความสัมพันธ์ อย่างที่ได้ยินมา
ชิญาดายกมือไหว้ให้ความเคารพผู้ใหญ่ ที่พอจะรู้คร่าวๆแล้วว่าเขาเป็นใคร โจนส์ยิ้มให้ มีความเอ็นดูในกริยาที่นอบน้อม แล้วพูดขึ้น
“เมืองเวียนนาและบลูโน โค ยินดีต้อนรับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ได้ไปเที่ยวมาบ้างหรือยัง”
“สองสามที่ค่ะ”
“แต่ไม่เคยมาที่นี่ใช่ไหม ฉันจะให้กรองแก้ว พาไปเที่ยวชม”
ชิญาดาปรายตาคนที่จะพาไป ซึ่งก็ยิ้มเชิญให้ไปด้วยกันทันที ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินออกไป กรณ์มองตามไปจนกระทั่งทั้งสองคนผ่านประตูออกไป ก็ดึงสายตากลับมามองคนที่เรียกให้เขามาหา สบตากันนิ่งๆ แล้วเป็นเจ้าของห้องที่พูดขึ้นมาก่อน
“รู้ใช่ไหมว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไร”
“เลือดของเอริค”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มาว่าเรื่องธุรกิจโครงการยักษ์ใหญ่เส้นทางไม่ได้สวยอย่างที่คุยกันไว้เสียแล้ว” พูดแล้วสีหน้าของประธานโจนส์ก็เคร่งเครียดขึ้น “รู้ข่าวแล้วใช่ไหม”
กรณ์พยักหน้า ถึงไม่ได้คุยกัน แต่ก็มีข่าวมาถึงหูเขาว่าท่านถูกรัฐมนตรีเรียกไปตีกอล์ฟ “การตีกอล์ฟเป็นยังไงบ้างครับ”
“ลงสนามหญ้า ข่าวลูกชายฉันทำให้หลังบ้านของท่านไม่ปลื้ม จึงเตือนให้จับไม้กอล์ฟให้ดีๆถ้าพัตต์ให้ขึ้นมาอยู่บนกรีนไม่ได้ เราอาจจะเสียโครงการนี้ไป” น้ำเสียงมีความกังวลไม่ต่างจากสีหน้า
“หรือบางทีอาจจะตกน้ำไปเลย”
“ฉันก็คิดอยู่” โจนส์ยอมรับออกมา “ยังคิดหาวิธีที่จะแก้ไขไม่ได้ด้วย จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้หรือเปล่า ก็ยังไม่เห็นหนทางเลย”
“ทางคือต้นเหตุ ท่านจะจัดการได้หรือเปล่า”
โจนส์ยังตอบไม่ได้ มันยากที่จะตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพราะไม่ใช่เรื่องภายในบ้านแล้วมันบานปลายออกไปเป็นภายนอกบ้าน ให้คนรู้เห็น จนเดือดร้อนกันอยู่ในตอนนี้ และที่กรณ์ต้องมานั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ก็สืบเนื่องมาจากลูกชายท่านเหมือนกัน จึงรวมเป็นเรื่องเดียวกัน
“เรื่องเลือดของเอริคฉันรู้ว่าสาเหตุคงหนักไม่น้อย คุณถึงได้ทำ พอจะบอกได้หรือเปล่า”
“ทำร้ายเธอ” กรณ์บอกสั้นให้เข้าใจ ไม่มีขยายเล่าถึงเหตุการณ์ “ซึ่งคุณน่าจะรู้แล้วว่าเพราะอะไรเขาถึงทำ และผมไม่ยอมให้เธอเจ็บตัวเด็ดขาด”
“รักขนาดนั้นเลยเหรอ”
กรณ์ไม่พูดออกมา แต่การกระทำที่ผ่านมากับแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นเป็นคำตอบได้ดี
โจนส์ความหนักใจกับสิ่งที่ได้เห็น เมื่อรู้นิสัยลูกดีกว่า มีความดื้อรั้นเพียงใด คงไม่หยุดจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเขามีความหวั่น เมื่อคนตรงหน้าก็ประกาศชัดว่าไม่ยอม ถ้าไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรามือ ก็ต้องมีการสูญเสียอีก ฉะนั้นทางเดียวที่เขาจะบรรเทาได้ คือจะขอจัดการเรื่องนี้เสียเอง
“เอาตัวผู้หญิงของเอริค มาให้ฉันได้หรือเปล่า ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง รับรองว่าจะไม่ให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนั้นเด็ดขาด”
มุมปากของกรณ์กดลึก เมื่อคิดไปถึงผู้หญิงแถวหน้า เธอทำสำเร็จ ที่ทำให้โจนส์ถามเรื่องนี้กับเขา แต่ผลลัพธ์คงทำให้เธอผิดหวัง “ไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน”
“แน่ใจ”
“เป็นความสัตย์”
โจนส์เชื่อกรณ์ทันที เพราะการร่วมงาน ร่วมมือในธุรกิจรวมถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา มีแต่สร้างความเชื่อมั่นให้กันและกัน และเชื่อในคำพูดของกันและกันได้เสมอ “ฉันคิดไม่ออก จากเรื่องคู่รักที่ทำร้ายร่างกายกัน มันจะมาถึงขั้นนี้ได้ยังไง”
“คุณต้องถามคนที่เอาปัญหานี้มาให้ เธอคงรู้แล้วว่ามันมีอะไรอยู่ในเรื่องนี้ ที่เธอไม่อาจจะปล่อยมือได้ ถึงได้มาถึงคุณ และมาเพราะอะไร คิดว่าคุณก็น่าจะรู้จักอดีตภรรยาดี”
“ล้วงความลับ”โจนส์บอกแล้ว ก็หยันไปถึงคนที่พูดถึง “คงคิดว่าเมื่อฉันถาม คุณคงบอก ซึ่งเธอก็คิดถูก คุณก็บอก ๆในสิ่งที่ไม่รู้จริงๆ” ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วสบตากรณ์นิ่งๆ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนขอร้อง “หาคำตอบให้ฉันได้หรือเปล่า ว่ามันมีอะไรที่ซ่อนเร้นกันอยู่”
“ความลับ”
โจนส์อึ้งไป ดวงตาหรี่ลงด้วยความครุ่นคิด แล้วมองหน้าคนพูดใหม่ “ความลับอะไร”
“ไม่รู้ เธอบอกคนที่ผมปกป้อง มาแค่นี้ และไม่ต้องเดา มันเกี่ยวกับลูกของคุณแน่นอน เขาถึงได้พยายามที่จะมาเอาตัวชิญาดาไปจากผม เพื่อเค้นหรือไม่ก็เป็นตัวต่อรอง เพื่อให้ผู้หญิงที่เขาทำร้ายเปิดเผยตัวออกมา” กรณ์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “บางทีคุณอาจจะเดาออกหรือไม่ก็คิดถึงความเป็นไปได้ ว่าเรื่องอะไร เพราะถ้าเรื่องไม่ใหญ่หรือไม่มีผลกระทบที่ร้ายแรง เขาคงไม่ดิ้นถึงขนาดนี้ที่คนเป็นแม่ ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ ต้องออกโรงเอง”
โจนส์ไม่อาจจะนั่งติดเก้าอี้ได้อีกแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปยืนที่กระจก มองออกไปไกลแต่สมองครุ่นคิดถึงเรื่องที่พอจะเป็นไปได้ แน่นอนว่าอย่างแรกคือการสืบทอดอำนาจ เขารู้ว่าเอริคหวังในตำแหน่งนี้มาก เพราะเป็นทายาทคนแรก จะให้มีอะไรด่างพร้อยกระทบกับตำแหน่งไม่ได้เด็ดขาด
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเรื่องประปราย แต่ไม่ได้ทำให้คะแนนตก กรรมการทุกคนยังเชื่อมั่นในตัวเขา เพิ่งจะมีเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ที่คะแนนตก และทายาทคนที่สองคือราฟก็ทำคะแนนขึ้นมา ด้วยฝีมือเขา ที่ยกหุ้นให้ เพื่อต้องการบีบให้เอริครีบสะสางปัญหาที่ก่อขึ้นมา ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาสามารถแก้ปัญหาให้ผ่านไปด้วยดี ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดิ่งลง ยากที่จะกอบกู้ขึ้นมา แม้แต่เขาก็ยังหนักใจ
ส่วนราฟหุ้นที่ได้เพิ่มขึ้น ก็เพื่อจะดึงให้มาช่วงงานบริษัท จะได้เห็นวิธีการบริหารที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เขาคิดเพื่อให้ทุกอย่างไปในทิศทางที่ดี กลับสวนทางเลวร้ายลง ที่สำคัญที่เขาอยากรู้ว่าลูกคนไหนกันแน่ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับข่าวที่ทางการให้มา ...
“ค้าประเวณีหรือเปล่า”
เสียงเขาพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง กรณ์ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สองตามองไปไกลๆ แล้วบอกว่า “ถ้าไม่ใช่ก็ต้องเกี่ยวข้อง ไม่งั้นคงไม่ดิ้นกันอยู่”
“พอจะสืบหาจากวิธีอื่นนอกจากผู้หญิงของเอริคหรือเปล่า”
“ลูกและอดีตเมียคุณ” เขาบอกแล้วหันมามองหน้าประธานโจนส์ ซึ่งหันหน้ามาสบตาเขา ที่พูดขึ้นอีกว่า “อย่างที่บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ร้ายแรง หรือเป็นอันตรายกับลูก คนเป็นแม่ก็จะไม่ดิ้น แต่เธอดิ้นมาถึงคุณก็เป็นคำตอบได้ดีอยู่แล้ว และทั้งสองคนคงไม่หยุดที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนของผม จึงอยากให้คุณช่วย”
“จะให้ฉันช่วยอะไร”
“ถ้าสองคนมาแตะต้องเธอ อย่าขวางทางผม”
“ได้ แต่ขอไว้อย่าง อย่าให้สิ้นลมให้ใจ”
“ได้” กรณ์รับปากเช่นกัน
ความหนักใจของประธานโจนส์จึงเบาบางลงมาบ้าง “แล้วอยากให้ฉันช่วยอะไรอีก”
“มาตรการป้องกัน แต่มันคงสายไปแล้ว”
“หมายความว่าไง”
“ตอนที่เอริคทำร้ายเธอ ก็คิดว่าจะพาเธอมาหาคุณ ให้ช่วยเป็นเกราะป้องกันเธออีกทางหนึ่ง เพราะคุณมีบารมีพอที่จะทำให้ลูกและอดีตเมียของคุณเกรงใจ แต่วันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ผมวางใจอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนจะอุ้มเธอ”
***********
สวนหย่อมด้านข้างอาคารบลูโน โค เนรมิตไว้ให้พนักงานได้มานั่งพักผ่อนคลายอารมณ์ ความตึงเครียดจากงาน และเรื่องอื่นๆ จะได้มีความสบายใจขึ้น สวนนี้ปลูกทั้งไม้ดอกไม้ยืนต้น ไม้ดัดประดับไว้อย่างสวยงามและร่มรื่น เก้าอี้หลายตัวทั้งเดี่ยวและชุด วางไว้ตามมุมต่างๆ และมีธารน้ำใสปล่อยปลาไว้ให้แหวกว่ายเพลินๆ นกน้อยสองตัวบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สงเสียงร้องจิ๊บๆ ซุกไซร้คลอเคลียกันให้คนสองคนที่นั่งมองอยู่ ได้สุขใจ
ตรงหน้าของทั้งสองคนก็คือโต๊ะไม้ มีเครื่องดื่มพร้อมของว่างวางไว้ให้พร้อม แต่ยังไม่มีใครแตะต้อง กรองแก้วมองลูกนก หรือก็คือหญิงสาวทายาทของตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ที่เธอเป็นกามเทพอุ้มสมมาให้ญาติหนุ่ม ด้วยความหวังดี แต่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ อย่างคาดไม่ถึง
แม้เธอจะแก้ตัวด้วยการให้ความช่วยเหลือและพยายามดูแลเท่าที่จะทำได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ดีมีความสุข เมื่อยังเจอเรื่องร้ายๆอีก
‘ไปเที่ยวมาสนุกไหม’ เธอจำได้ว่าถามลูกนกไปอย่างนั้น ระหว่างพาเดินชมความยิ่งใหญ่ของบลูโน โค และหยุดยืนชมภาพจิตรกรรมบนผนังที่โถงทางเดิน
ชิญาดาละสายตาหันหน้ามามอง ไม่มีความสงสัยว่าคนหลอกลวงเธอรู้ได้ยังไง เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอเป็นญาติของคนที่คุ้มครองเธออยู่ ทั้งสองคนคงเล่าสู่กันฟัง ‘ค่ะ ถ้าไม่เกิดเรื่องเสียก่อน’
เธอทำหน้าสงสัย ก่อนจะถาม ‘เรื่องอะไร’
‘จะถูกคนอุ้ม’
จากนั้นเธอก็ได้รู้เรื่องทั้งหมด จากการเล่าให้ฟังคร่าวๆ เธอไม่ถามว่าสงสัยใคร เพราะที่รู้มีที่เข้าข่ายอยู่ไม่กี่คน แต่คนที่ต้องเครียดก็คือญาติหนุ่ม เขาจะต้องระวัง ป้องกัน ให้ถึงที่สุด มิน่าตอนเจอเมื่อกี้ สีหน้าถึงได้นิ่งเก็บอารมณ์ได้ลึก พร้อมรับมือกับทุกเรื่อง และตอนนี้สามีเธอก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ลูกนกที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดูจะเข้มแข็งไม่น้อย ไม่มีท่าทางหวาดหวั่น หรืออ่อนแอให้เห็นเลย
“ชอบนกเหรอ” เธอถามเมื่อยังเห็นการมองอย่างไม่วางตา
ชิญาดาหันมาสบตาคนถาม ตอบด้วยเสียงนิ่งๆ ที่ยังไม่สนิทใจ เพราะยังไม่ลืมการกระทำของอีกฝ่ายที่ทำไว้กับตัวเธอ “ค่ะ อิสระดี”
“ฉันก็ชอบ แต่บางทีก็ไม่ได้มีอิสระ”
“ใช่ อย่างที่คุณทำไว้กับฉันไง” ชิญาดาเริ่มพูดในสิ่งที่ค้างคาและสงสัยอยู่ “คุณผลักฉันให้ไปอยู่ในมือของญาติคุณ จนฉันไม่มีอิสระในการที่จะทำในสิ่งที่ฉันต้องการ จนถึงวันนี้ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่า คุณทำทำไม”
“แล้วไม่ดีเหรอ”
“ไม่ใช่คำตอบนะคะ” เสียงเธอเริ่มจะไม่พอใจเมื่อคนตรงหน้าเริ่มบ่ายเบี่ยง “ที่ฉันอยากรู้ ทำไมคุณไม่ตอบ”
กรองแก้วยิ้มอย่างใจเย็น แล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่อง ให้คนที่เป็นต้นเรื่องตอบเองดีกว่า ฉันเป็นแค่คำนำที่ช่วยให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น” เธอเปรียบเปรยออกมา
“หมายความว่าไง มีคนให้คุณทำอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันทำของฉันเอง ไม่มีใครสั่ง ไม่ได้ทำตามคำสั่งใคร”
“สรุปว่าคุณจะไม่บอกฉัน”
“ฉันไม่อยากให้มีปัญหามากกว่า เพราะฉันพูดไปมันก็คงไม่จบ ให้คนต้นเรื่องเขาพูดดีกว่า จะได้จบทีเดียว” เธอพูดให้เป็นกลาง แต่สีหน้าคนฟังไม่ได้ดีขึ้น ก็ปลอบว่า “อย่ากังวลเลย”
“คุณลองมาเป็นคนที่ถูกกระทำแบบฉันบ้างซิ จะได้รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณว่าสักนิด ต้องติดอยู่กับความสงสัย ที่ทั้งคุณและเขาไม่ยอมบอก”
กรองแก้วเห็นใจเธอ อยากจะบอกให้รู้ๆไป แต่ไม่อยากให้ญาติหนุ่มเกิดปัญหารักระหว่างรบ ลำพังที่ต้องปกป้องเธอนั้นยากพอแล้ว ถ้ามีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นมา เธอกลัวจะกลายเป็นความสูญเสีย ที่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ... ใครจะคิดว่าการที่เธอทำตัวเป็นกามเทพ อุ้มสมหญิงสาวมาให้ญาติหนุ่ม จะเจอเรื่องร้ายแรงที่ลุกลามไปขนาดนี้
“ฉันขอโทษที่ทำให้เธอทุกข์ใจ แต่จบเรื่องเพื่อนเธอเมื่อไร กรณ์ก็คงบอกทุกอย่างกับเธอ ถึงวันนั้น ฉันหวังว่าจะมีแต่สิ่งดีๆ”
“แล้วถ้ามันไม่ดีละ คุณจะรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำกับฉันยังไง”
“เธอจะให้ฉันชดใช้ยังไง ฉันยินดีทุกอย่าง”
“คุณมั่นใจราวกับรู้จักฉันดี” ว่าแล้วชิญาดาก็มองอีกฝ่ายอย่างคลางแคลงใจ “เขาบอกว่ารู้จักฉันมาห้าปี คุณรู้จักฉันมาเท่าเขาหรือเปล่า”
กรองแก้วอยากจะบอกว่ามากกว่า เพราะก่อนหน้านั้นเธออยู่เมืองไทยมาตลอด แต่กรณ์ทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับไปเมืองไทย ที่กลับไปคราวก่อน ก็เพราะพ่อของเธอ ขอให้ไปช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเท่านั้น “ถ้าเขาบอกเธออย่างนั้น แสดงว่าเขาก็ต้องบอกความในใจเขาให้เธอรู้ด้วยแล้วซิ”
“คุณรู้” ชิญาดาอึ้ง แม้จะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นญาติกัน แต่ไม่คิดว่าจะรู้ความในใจกันแบบนี้
“เขาไม่ได้บอกฉันหรอก แต่เรื่องราวดีๆบางทีก็ดูออก เช่นโอบไหล่เมื่อกี้”
น้ำเสียงมีแววล้อ ชิญาดาเม้มริมฝีปากข่มความเขินไว้จะปฏิเสธออกไปก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อกี้หลักฐานมันตำตาอีกฝ่าย กรองแก้วยิ้มน้อยๆให้ พลางคิดถึงสิ่งที่เธอได้เห็น รูปถ่ายในห้องทำงานเขาและคำหลังรูปเพียงแค่นั้นเธอก็เริ่มสืบจากคนใกล้ตัวเขา
เฝ้าสังเกตเขา และเมื่อมีเวลาว่างก็จะได้รู้ว่าเขาเดินทางไปประเทศไทย แทนที่จะควงสาวๆมากหน้าหลายตา ที่ทอดสะพานไว้ให้ไปเที่ยว เธอส่งคนติดตาม และเมื่อแน่ใจถึงได้ไปเอง
“ฉันขอถามนิด แล้วเธอคิดยังไงกับเขา ชอบไม่ชอบ หรือเลยไปถึงคำว่ารักแล้ว” เสียงถามนุ่มนวลชวนคุยเหมือนพี่สาวคุยกับน้องสาว มากกว่าจะละลาบละล้วง
ชิญาดานิ่งไม่ตอบขอเก็บความรู้สึกนี้ไว้เป็นส่วนตัว อีกอย่างเธอยังไม่สนิทพอที่จะไว้ใจผู้หญิงตรงหน้า แล้วแปลกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดเป็นภาษาอังกฤษออกมาว่า
“กรณ์ไม่เคยมีใครเป็นตัวเป็นตน จะมีคู่ควงบ้างก็ตามประสาผู้ชาย ส่วนคนรักไม่เคยมี และคนที่อยู่ในใจเขาตลอดเวลาก็คือ...”
“เอริน่า”
เจ้าของเสียงเดินเข้ามา ร่างอรชรหอมกรุ่นและเซ็กซี่มาก เปิดยิ้มให้สองคนที่นั่งอยู่ แต่ไม่มีความจริงใจอยู่ในรอยยิ้มเลย “กรณ์มีฉันอยู่ในใจตลอดเวลา คนอื่นที่มาจากที่ไกล ก็ยังเป็นคนไกลไม่ใช่คนใกล้อยู่ดี”
“แต่คนไกลได้อยู่ใกล้ แต่คนใกล้กลับอยู่ไกล และคนไกลที่คุณพูดถึงหมายถึงฉันเหรอคะ” ชิญาดาถามตรง ปรายตามองกรองแก้วบอกความไม่พอใจ ที่นำภัยมาให้เธออีกครั้ง เลือดนักสู้ที่อยู่ในตัวจึงทะนงขึ้นมาแววตาก็เช่นกันแล้วตวัดกลับมามองคนที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้เห็นเธอเป็นมิตร เป็นศัตรูหัวใจ
“ใช่ ก็เธอเป็นคนบอกฉันเอง ว่าไม่มีสิทธิในตัวเขา หรือว่ากลืนน้ำลายตัวเองไปแล้ว”
“เปล่า แต่เขาก็บอกฉันเช่นกันว่าให้ใจฉันไม่ใช่คนใกล้ที่เป็นได้แค่มด ได้แค่ไต่ พอกัดก็โดนปัดออกหรือไม่ก็ดีดทิ้งไป”
แววตาของเอริน่าลุกวาวขึ้นทันที แต่ริมฝีปากยิ้มเหมือนไม่แคร์ เดินมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้างกรองแก้ว ถามเธอว่า “กรณ์คุยงานอยู่กับพ่อใช่ไหม ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
กรองแก้วพยักว่าใช่ เอริน่าก็หันมาทางชิญาดา “งั้นเธอก็กลับไปได้แล้ว เพราะเขามีนัดกับฉัน” เธอบอก แต่ไม่อาจสั่นคลอนความเชื่อใจของชิญาดาได้ ยังนั่งเฉย คนที่ปั้นน้ำเป็นตัวก็บอกว่า“ไม่เชื่อกันเหรอ ถ้าเขาไปโทรไปแล้วฉันจะมาได้ยังไง และรู้ได้ยังไงว่าเขาคุยกับพ่ออยู่”
“ให้เขามาบอกฉันเองนะคะ แล้วฉันจะไป”
“ตามใจ” เอริน่าเก็บคำโกหกไว้อย่างแนบเนียน และหน้าซื่อตาใส่ต่อไปว่า “เขาจะพาฉันไปดินเนอร์ เพราะเบื่อที่จะต้องอยู่แต่ในบ้าน เบื่อคนที่เอาปัญหามาให้”
“รู้สึกว่าคุณจะรู้ดี”
“เธอคงไม่รู้ว่าเขาโทรคุยกับฉันตลอดเวลา ปัญหานะเก็บไว้คนเดียวก็ทุกข์ ก็ต้องหาที่ระบายบ้าง เขาจึงอยากไปผ่อนคลายอารมณ์กับฉัน เธอคงไม่ไปด้วยหรอกนะ”
“ถ้าเขาชวนก็จะไปค่ะ”
เสียงนิ่งๆ ไม่ได้มีความหวั่นไหวใดๆ นั่นทำให้เอริน่าเริ่มที่จะคุมอารมณ์ไม่อยู่ น้ำเสียงเริ่มขุ่น “ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว”
“ฉันไม่ร่วมโต๊ะก็ได้ค่ะ จะไปนั่งห่างๆเลยค่ะ”
“เสียมารยาท ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง อย่างว่าคนที่มาจากประเทศด้อยการพัฒนา คงไม่จะเข้าใจสังคมที่พัฒนาแล้ว”
“แต่คุณก็ยังอยากจะได้คนจากประเทศฉันเหลือเกิน แบบนี้ใครกันแน่คะที่ไร้การพัฒนา โดยเฉพาะจิตใจ”
“โสเภณี”
เสียงเอริน่ากราดเกรี้ยว ชิญาดาก็ตาลุกวาว ความเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่สนใจเปลี่ยนเป็นโกรธ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้ามาประชิดตัวเอริน่า พูดด้วยเสียงต่ำลึก “ตัวคุณก็คงไม่ต่างกันมั่งคะ ไม่งั้นคงไม่มานั่งเสนอให้ผู้ชายอย่างนี้ และคุณคงลืมไปว่าพ่อของคุณก็มีเมียจากประเทศของฉัน และมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงคุณด้วย เป็นถึงลูกผู้ดีเก่า แต่กิริยาคุณถอยกว่าสกุลคุณมากเลยนะคะ”
เอริน่าลุกพรวดขึ้น ยกมือจะฟาดหน้าชิญาดา ซึ่งยกมือขึ้นพร้อมจะฟาดคืนเช่นกัน สายตาไม่หวั่น ไม่หลบ พร้อมสู้ โดยไม่สนใจว่าอยู่ในถิ่นของใคร กรองแก้วมองสองสาวอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเป็นศึก ลุกขึ้นเพื่อจะปรามทั้งคู่ แม้จะรู้ว่าคนหนึ่งจะฟังอีกคนจะไม่ฟัง เพราะไม่มีความเคารพในตัวเธออยู่แล้ว แล้วก็โชคดีที่มีระฆังก็มาช่วยเธอได้ทันเวลา
“กรณ์”
เอริน่าปรับสีหน้าได้เร็วพอๆกับความเร็วของเสียงที่ได้ยิน หันไปเปิดยิ้มให้กรณ์ที่เดินเข้ามา ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปกอดแขนเขาด้วยความดีใจ แต่ชิญาดาไม่สามารถหน้าไหว้หลังหลอกได้ เธอซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง สีหน้ายังมีเต็มไปด้วยความไม่พอใจชัดเจน ยิ่งเห็นความกลับกลอกของคน เธอก็ยิ่งรู้สึกแย่
“กลับกันเถอะ” กรณ์บอกคนที่เขาให้ใจ แต่ขยับไปหาไม่ได้ เพราะเอริน่าขยับมาขวางหน้าไว้
“แล้วที่นัดกันไว้ละคะ”
กรณ์หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ไว้วันหลังดีกว่า วันนี้ผมไม่สะดวก” พูดจบเขาก็ปลดมือเธอออก เบี่ยงตัวเดินไปจับมือชิญาดา พาเดินไปด้วยกัน เอริน่ามองตามด้วยตาลุกวาว แล้วรีบเดินไปกอดแขนเขาไว้ พร้อมกับบอกว่า
“ไปด้วยค่ะ วันนี้อยากทานข้าวด้วย ยังไงก็ต้องได้ทาน” คำพูดเธอบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไป จนกว่าจะได้อย่างที่เธอต้องการ
กรณ์หันมามองหน้าเธอ ซึ่งก็ยิ้มหวานราวกับตัวเองเป็นต่อ แต่ไม่กี่ลมหายใจกลับเสียหน้าเมื่อกรณ์โทรศัพท์ไปบอกให้โจนส์ มาเอาตัวเธอไป
เอริน่าจำต้องปล่อยมือจากเขา แต่ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินจากไปหวานชื่นกับผู้หญิงอีกคนได้อย่างสุขใจ ต้องมีที่ระลึกให้ทุกข์ใจเป็นของหวานให้เธอเช่นกัน จึงรีบฉกฉวยความเผอเรอของเขา ด้วยการวาดมือขึ้นไปคล้องคอเขา แล้วยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากเขาอย่างดูดดื่ม ก็ถอยออกมายิ้มพรายไปเย้ยคนที่เขาจับมือไว้ไม่ยอมปล่อย
ชิญาดาก็มอง เจ็บลึกไปสุดใจ ไม่ใช่จูบที่เห็น แต่เป็นเพราะเขาไม่ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายเลย มิหนำซ้ำยังตอบกลับไปบอกให้เธอรู้ว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาติดต่อกัน น้ำตาเกือบจะรื้นขึ้นมา เธอต้องข่มไว้สุดๆ และรู้สึกดูแคลนการกระทำที่สิ้นคิดของอีกฝ่าย ไม่คิดว่าผู้หญิงที่มีครบทุกอย่าง ทั้งรูปลักษณ์ทรัพย์สมบัติจนผู้หญิงด้วยกันทั้งเมืองอิจฉา จะทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดนี้
หรือการทำให้ผู้อื่นเสียหาย เป็นความบกพร่องทางจิตอย่างหนึ่งของเธอ ขณะที่กรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ แต่เข็ดผู้หญิงสวยแต่รูป จูบไม่หอมไปอีกนาน
กรองแก้วมองญาติหนุ่มพาผู้หญิงให้ใจจากไป แล้วปรายตาไปมองลูกเลี้ยง ไม่มีคำพูดใดๆจะพูด นอกจากเดินผ่านไป แต่ชะงักหยุดยืนข้างๆเพราะเสียงพูดที่ดังขึ้นมา
“คิดว่าทำตัวเป็นกามเทพ แล้วจะได้สิ่งที่หวังเหรอ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเธอก็รู้ความเป็นไปเป็นมาทุกอย่างซินะ เชื้อไม่ทิ้งแถวชอบสอดรู้สอดเห็นจริง”
“นี่ด่าฉันเหรอ” เสียงเอริน่ากร้าวขึ้นมา แต่เสียงกรองแก้วยังนิ่งให้เช่นเดิม
“เปล่า แค่จะสอนให้รู้จักมารยาท อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นให้มักนัก และที่ทำเมื่อกี้การหน้าด้านกับผู้ชายแบบนั้น คิดว่าเขาจะเหลือเยื่อใยไว้ให้อีกเหรอ”
“เขาไม่มีทางตัดฉันขาด”
“แต่เขาคงรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าคนไหนคือนางฟ้า คนไหนคือนางมาร” กรองแก้วหันหน้ามายิ้มให้นิดๆ แล้วเดินผละไปทันที
เอริน่าได้แต่ยืนเจ็บแค้นเจ็บใจอยู่คนเดียว และคิดว่าถ้ายังมีโอกาสเธอจะไม่ยอมรามือเด็ดขาด อย่าให้ถึงที่เธอบ้างก็แล้วกัน จะทำให้รักที่หวานชื่นกลายเป็นข่มขื่นตลอดไป เธอหมายมาดโดยไม่รู้ว่าคำพูดของเธอ ได้เริ่มต้นความขมขึ้นมาแล้ว
***********
เวลากลางวันหมดไปอีกวันแล้ว ท้องฟ้าดำมืดมาแทนที่ชีวิตของทุกคนก็หมุนไปตาม แต่บางคนชีวิตเหมือนหยุดนิ่ง ไม่ได้ทำอะไรเลย คาริสานั่งเหม่ออยู่ตรงระเบียงของห้องที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่มีแสงไฟที่จะส่องให้เห็นตัวเธอ มีแต่แสงเงาที่ลอดผ่านมาจากห้องอื่น ป่านนี้เกมการแก้แค้นของเธอคงระอุอยู่ในใจทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่ทำร้ายเธอ ตอนนี้คงเจ็บแค้นแทบจะกระอักทีเดียว
เธอเหยียดยิ้มด้วยความสะใจและคิดว่าควรจะเดินเกมต่อไปได้แล้ว เธอมองไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า สิ่งที่คิดจะทำนั้น มีความกลัวแอบแฝงอยู่ เพราะถ้าพลาดเธออาจจะไม่มีแม้แต่ศพให้ทำพิธี แต่จะอยู่แบบหลบๆซ่อนๆตลอดไปไม่ได้ เพราะการเพาะคามเจ็บปวดก็เหมือนทวีความเจ็บแค้น ให้คนเลวทรามยิ่งขุดหาตัวเธอ ซึ่งเธอจะไว้ใจไม่ได้ว่าที่นี่จะเป็นที่ๆปลอดภัยเสมอไป เธอต้องหาที่ใหม่
ที่ๆต้องปลอดภัยมากกว่านี้ และไม่ใช่อยู่ในที่มืดๆอีกต่อไป เธอต้องเดินออกจากที่มืดไปสู่ที่สว่างได้แล้ว แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเบอร์ที่เธอกวาดซื้อมา เพื่อกดหมายเลขถึงใครบางคน
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของคฤหาสน์บลูโน โค ดังขึ้น เสียงสัญญาณดังแล้วดังเล่าแต่ยังไม่มีคนรับสาย กระทั่งคนโทรมาเกือบจะตัดสายไป มือของเจ้าของห้องก็มาหยิบโทรศัพท์ขึ้นรับสาย โจนส์ส่งเสียงไป แต่อีกฝ่ายยังไม่ส่งเสียงมา ก็จะวาง แต่มีบางอย่างให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าเบอร์โทรแปลกๆที่ไม่คุ้นเคย มักจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงตามมาเสมอ จึงรอต่อไป
เมื่อกี้ที่ได้ยินสัญญาณ เขาอยู่ในห้องน้ำ ตอนที่หยิบขึ้นมากดรับสาย คิดว่าจะไม่ทันเสียแล้ว โจนส์ดูเบอร์ที่ปรากฏขึ้นหน้าจอ ไม่คุ้น และคงเป็นเบอร์เฉพาะใช้โทรหาเขาเท่านั้นเขาคิด อย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น หรือจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“สวัสดีค่ะ”
ในที่สุดเสียงก็ดังขึ้นมา เขาก็ทักทายกลับไป พร้อมกับแปลกใจว่าเสียงผู้หญิงที่โทรมาหาเขานี่เป็นใคร จากประสบการณ์ฟังจากน้ำเสียง เป็นหญิงสาวแน่นอน “ถ้ากล้าโทรมาฉัน หนูก็ควรจะกล้าพูดด้วย”
“หนูกลัว”
“กลัวอะไร หนูก็คน ฉันก็คน เราเสมอภาคกัน”
“นั่นมันแค่คำพูดที่เป็นแค่ความฝัน แต่ความเป็นจริงคือไม่ อำนาจ บารมีที่ท่านมีแต่หนูไม่มี ไม่อาจทำให้เราเสมอภาคกันได้ แต่ก็ขอบคุณที่ท่านพูดให้หนูรู้สึกว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ให้ความอุ่นใจกับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหนู และที่หนูตัดสินใจโทรมา ก็คิดดีแล้วว่า ท่านจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ดีที่สุดของหนู”
“ยกยอฉันขนาดนี้ แสดงว่ามีเรื่องที่จะให้ฉันช่วยใช่ไหม ต้องการอะไรก็บอกมา”
“การคุ้มครอง”
โจนส์ขยับตัวนั่งตรงๆ เมื่อสิ่งที่สังหรณ์ใจอาจจะเป็นจริง “มีเรื่องอะไร ถึงต้องการแบบนั้น”
“ลูกชายของท่าน”
“หนูคือ....”
“คาริสา อชิระ ผู้หญิงที่ถูกลูกชายท่านทำร้าย”
*******
แสงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า แสงสีเหลืองตัดกับความดำมืดดูสวยงามและน่าหลงใหลนัก แต่เมื่อเมฆเคลื่อนมาปิดบังกลับทำให้ดูลึกลับ คนบางคนจึงใช้เป็นโอกาสทำบางอย่าง สองเท้าก้าวเดินไปยังด้านหลังอาคารที่มองอยู่ครู่ใหญ่ๆแล้ว เมื่อมาถึงก็เดินไปยืนหลังต้นไม้ ดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบสารที่ให้ความผ่อนคลาย แต่แฝงอันตรายเข้าไปในร่างกาย ขณะสายตาจับจ้องไปที่ประตูอาคาร ไม่นานก็มีคนเดินออกมา
ร่างสูงกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเดินตรงไปยังควันสีขาวที่ลอยเอื่อยอยู่ในอากาศ กระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้า ความมืดทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ไม่ใช่ปัญหา เมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ก็ถามออกมา “มีอะไร”
คนถูกถามดีดบุหรี่ออกไปไกลๆ มองคนตรงหน้าที่ว่าจ้างให้ทำงานให้ แล้วล้วงเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่ ดึงซองสีน้ำตาลออกมายื่นให้ พร้อมกับบอกว่า “ของที่คุณต้องการ”
ร่างสูงรับมาถือไว้ พร้อมกับฟังเสียงที่บอกออกมาอีกว่า “ส่วนจะใช่หรือไม่ คุณดูเอาเองแล้วกัน”
“ฉันไม่เสียเงินเปล่าใช่ไหม”
“คุณได้เกินคุ้มต่างหาก” คนในเงามืดบอก
“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันได้ความผิดพลาด”
“โอกาสมันไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว ถ้าเราทำไม่สำเร็จอีก เรากับคุณก็ไม่รู้จักกัน” มันบอกแล้วก้มหน้าเป็นเชิงบอกว่าขอตัว
บนฟ้ากว้างเมฆเคลื่อนผ่านดวงจันทรา แสงสีเหลืองนวลส่องประกายให้ความสว่าง จึงทำให้เห็นหลังคนที่เดินจากไป แต่คนที่อยู่เบื้องหลังกลับเห็นหน้าชัดเจน ราฟ บลูโน โค ร่างสูงเดินถือซองกลับเข้าไปในร้านของตัวเอง ตรงไปยังห้องทำงาน
เขาเดินไปนั่งที่โซฟากลางห้อง มองซองสีน้ำตาลที่ได้มา จากการไปจ้างพวกนักเลงนักสืบ ให้ทำในเรื่องที่ต้องการและสืบเรื่องที่สงสัย ‘คู่ควงของไอ้เอริค’ หวังว่าคราวนี้มันจะทำให้เขาได้อย่างใจเสียที แล้วเปิดซองสีน้ำตาลหยิบของข้างในออกมา รูปถ่ายผู้หญิงแต่ละคนที่เคยเป็นคู่ควงของมัน ในอริยะบทต่างๆเขาดูผ่านไปรูปแล้วรูปเล่า แต่ไม่มีใครทำให้เอะใจว่าจะใช่คนที่มันทำร้ายหรือเปล่า
เขาปล่อยมือจากรูปทั้งที่ยังดูไม่หมด เพราะคิดว่าเสียเงินเสียเวลาเปล่าอีกแน่นอน ไม่มีใครเข้าข่ายพอที่เชื่อมโยงไปถึงปริศนาที่น่าสงสัยอยู่ในใจเขา สีหน้ากระด้างขึ้นลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปที่โต๊ะทำงานหยิบโทรศัพท์มือถือ ไปฉะไอ้พวกนักสืบ ที่ทำงานไม่ได้เรื่อง แต่เขาไม่ควรจะวู่วาม ควรละเอียด จะได้ไม่ถูกตอกหน้ากลับมา จึงหันกลับมาดูรูปถ่ายที่เหลืออีกสองสามรูป แล้วลมหายใจก็หยุดลงที่รูปถ่ายใบหนึ่ง
‘คาริสา’
แวบแรกที่เห็นเหมือนจะไม่อยากเชื่อ เขาจ้องนิ่งจนมั่นใจว่ามองไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพถ่ายในโรงพยาบาล ที่ยืนยันได้ว่า เธอคือผู้หญิงที่ถูกไอ้เอริคทำร้าย เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ แล้วนึกย้อนไปถึงวันที่เธอหวนกลับมาหาเขา ขณะที่มันคว้านหาตัวเธออยู่
คำพูดของเธอในคืนนั้น คือการหลอกถามสินะ แววตาของราฟหยามหยัน แล้วคิดว่าเธอทำอย่างนี้ทำไม คงมีบางอย่างต้องการจากเขาแน่นอน แต่ที่สำคัญเธอเอาอะไรของไอ้เอริคมา จึงซ่อนตัวไม่ให้มันเจอ เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบมือถือมาโทรหาเธอ เพื่อสืบหาความจริง แต่ไม่จริงใจ เพราะจะหลอกล่อ ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ จะหน้าซื่อตาใสใส่หน้ากากเหมือนเวลาที่เธอกลับมาหาเขา เออออตามที่เธอต้องการ แล้วค่อยตลบหลังเธอ
เสียงสัญญาณตอบกลับมาว่าติดต่อไม่ได้ เขากดโทรอีกหลายครั้งก็เหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนใจโทรไปหานักสืบ ขอบใจที่ทำงานให้เขาคุ้มค่าเงิน และจะเพิ่มเงินให้ทำงานต่อ ช่วยต่อยอดจนกว่าแผนเขาจะสำเร็จ
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
ตัวหนังสืออาคารบลูโน โค โอ่อา สวยสมกับเป็นของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ชิญาดาเดินตามกรณ์เข้ามาข้างใน การตกแต่งทันสมัย ผสานกับสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่และยอดเยี่ยม ภาพวาดหลายภาพน่าสนใจ เธอได้แค่มองผ่าน ไม่มีโอกาสยืนดู เพราะคนพามาจับมือเธอเดินไปที่ลิฟต์ เข้าไปยืนเคียงข้างเขา กดลิฟต์ให้เลื่อนสูงขึ้นไป จึงได้เห็นแม่น้ำและท่าเรือ เป็นวิวที่สวยๆให้มองเพลิน แต่ไม่นานก็หันมาสนใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานิ่งเงียบตั้งแต่ที่ได้รับโทรศัพท์ และพาเธอมาที่นี่
ประตูลิฟต์เปิดออก กรณ์พาเธอออกมา แต่ชะงักอยู่แค่หน้าลิฟต์ เมื่อเห็นญาติสาว ที่ดูก็รู้ว่ามารออยู่ ขณะที่ชิญาดามองผู้หญิง ที่จำได้แม่นว่าหลอกลวงเธอมาให้เขา ความรู้สึกที่โกรธไม่มีเพราะเจ๊ากันไปกับการดูแลที่ดี แต่มีหลายอย่างที่อยากถาม ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้คงไม่เหมาะ สังเกตได้จากความเคร่งขรึมของคนที่จับมือเธออยู่
กรองแก้วส่งยิ้มมาให้ เธอจึงยกมือขึ้นไหว้ อีกฝ่ายก็รับไหว้ทั้งที่คิดไม่ถึง เพราะมีความหวังดีแต่ผิดวิธีการไปหน่อยติดต่ออยู่ แต่ก็ชมอยู่ในใจว่ามารยาทดี สมกับมาจากครอบครัวที่ดีแล้วหันมามองญาติหนุ่ม บอกด้วยเสียงนุ่มๆว่า “เอวามาที่นี่”
กรณ์รู้ได้ทันทีว่าเป็นสาเหตุให้เขาถูกเรียกตัวมา แม้จะตั้งใจมาอยู่แล้ว แต่เขาก็มาช้าไป มาตรการการป้องกันของเขา คงยุ่งยากขึ้นแน่ๆ
“เรื่องเดิม เพิ่มเติมคือเลือดของลูกเธอ”
กรองแก้วบอกเมื่อกรณ์ยังนิ่งเงียบ แล้วเดินนำไปยังห้องทำงานของสามี ใช้เวลาไม่กี่นาทีทั้งสามคนเข้าไปนั่งอยู่บนโซฟานุ่มในห้องชิญาดามองไปรอบห้องใหญ่ โปร่งโล่ง ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจก สามารถมองเห็นวิวภายนอก ตกแต่งแบบเรียบง่าย มุมห้องมีต้นไม้ให้พักสายตา แล้วมองมายังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีคนนั่งก้มหน้าดูเอกสารอยู่ ซึ่งพอจะเดาได้ว่าเป็นเจ้าของห้อง เธอตัวเกร็งขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดว่า เขาคือคนที่เธอได้ยินกิติศักดิ์ความยิ่งใหญ่ ประธานบูลโน โค
กรณ์ที่นั่งสบายๆอยู่บนเก้าอี้ รู้สึกถึงปฏิกิริยาคนข้างๆทันที บีบมือเธอที่จับอยู่เบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโอบกอดรั้งตัวให้มาชิดตัวเขามากขึ้น แล้วจูบขมับเธอให้คลายความกังวล กรองแก้วที่นั่งอยู่ด้วย เห็นภาพความหวานเต็มตา ก็ลิ่วตาล้อญาติหนุ่ม ที่ช่างไม่เกรงใจกันเลย
โจนส์เงยหน้าขึ้นจากเอกสารที่จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขามองมายังทุกคนที่เข้ามานั่งรออยู่ แล้วลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มานั่งตรงหน้าทั้งสามคน สบตากับกรณ์เป็นคนแรก ก่อนจะมองหญิงสาวที่นั่งเคียงข้าง
‘สวย’
นั่นคือคำแรกที่ผุดขึ้นในสมอง คำต่อมาคือการเข้าใจว่าทำไมถึงมัดใจกรณ์ได้ เพราะบุคลิกของเธอภายนอกดูอ่อนหวาน อ่อนโยนตามแบบผู้หญิงเอเชีย แต่แววตามีความแข็งกร้าว ทระนงอยู่ในตัว และคงเข้มแข็งไม่น้อย ถึงมาเวียนนาคนเดียว แล้วต้องมาเจอกับเรื่องราวที่หนัก สาหัสอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่เข้มแข็งพอ คงยืนหยัดอยู่ได้ยาก
มือของกรณ์ที่โอบไหล่เธออยู่บอกให้รู้ถึงความสัมพันธ์ อย่างที่ได้ยินมา
ชิญาดายกมือไหว้ให้ความเคารพผู้ใหญ่ ที่พอจะรู้คร่าวๆแล้วว่าเขาเป็นใคร โจนส์ยิ้มให้ มีความเอ็นดูในกริยาที่นอบน้อม แล้วพูดขึ้น
“เมืองเวียนนาและบลูโน โค ยินดีต้อนรับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ได้ไปเที่ยวมาบ้างหรือยัง”
“สองสามที่ค่ะ”
“แต่ไม่เคยมาที่นี่ใช่ไหม ฉันจะให้กรองแก้ว พาไปเที่ยวชม”
ชิญาดาปรายตาคนที่จะพาไป ซึ่งก็ยิ้มเชิญให้ไปด้วยกันทันที ทั้งสองคนลุกขึ้นเดินออกไป กรณ์มองตามไปจนกระทั่งทั้งสองคนผ่านประตูออกไป ก็ดึงสายตากลับมามองคนที่เรียกให้เขามาหา สบตากันนิ่งๆ แล้วเป็นเจ้าของห้องที่พูดขึ้นมาก่อน
“รู้ใช่ไหมว่าเราจะคุยกันเรื่องอะไร”
“เลือดของเอริค”
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน มาว่าเรื่องธุรกิจโครงการยักษ์ใหญ่เส้นทางไม่ได้สวยอย่างที่คุยกันไว้เสียแล้ว” พูดแล้วสีหน้าของประธานโจนส์ก็เคร่งเครียดขึ้น “รู้ข่าวแล้วใช่ไหม”
กรณ์พยักหน้า ถึงไม่ได้คุยกัน แต่ก็มีข่าวมาถึงหูเขาว่าท่านถูกรัฐมนตรีเรียกไปตีกอล์ฟ “การตีกอล์ฟเป็นยังไงบ้างครับ”
“ลงสนามหญ้า ข่าวลูกชายฉันทำให้หลังบ้านของท่านไม่ปลื้ม จึงเตือนให้จับไม้กอล์ฟให้ดีๆถ้าพัตต์ให้ขึ้นมาอยู่บนกรีนไม่ได้ เราอาจจะเสียโครงการนี้ไป” น้ำเสียงมีความกังวลไม่ต่างจากสีหน้า
“หรือบางทีอาจจะตกน้ำไปเลย”
“ฉันก็คิดอยู่” โจนส์ยอมรับออกมา “ยังคิดหาวิธีที่จะแก้ไขไม่ได้ด้วย จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้หรือเปล่า ก็ยังไม่เห็นหนทางเลย”
“ทางคือต้นเหตุ ท่านจะจัดการได้หรือเปล่า”
โจนส์ยังตอบไม่ได้ มันยากที่จะตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพราะไม่ใช่เรื่องภายในบ้านแล้วมันบานปลายออกไปเป็นภายนอกบ้าน ให้คนรู้เห็น จนเดือดร้อนกันอยู่ในตอนนี้ และที่กรณ์ต้องมานั่งอยู่ตรงหน้าท่าน ก็สืบเนื่องมาจากลูกชายท่านเหมือนกัน จึงรวมเป็นเรื่องเดียวกัน
“เรื่องเลือดของเอริคฉันรู้ว่าสาเหตุคงหนักไม่น้อย คุณถึงได้ทำ พอจะบอกได้หรือเปล่า”
“ทำร้ายเธอ” กรณ์บอกสั้นให้เข้าใจ ไม่มีขยายเล่าถึงเหตุการณ์ “ซึ่งคุณน่าจะรู้แล้วว่าเพราะอะไรเขาถึงทำ และผมไม่ยอมให้เธอเจ็บตัวเด็ดขาด”
“รักขนาดนั้นเลยเหรอ”
กรณ์ไม่พูดออกมา แต่การกระทำที่ผ่านมากับแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นเป็นคำตอบได้ดี
โจนส์ความหนักใจกับสิ่งที่ได้เห็น เมื่อรู้นิสัยลูกดีกว่า มีความดื้อรั้นเพียงใด คงไม่หยุดจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งเขามีความหวั่น เมื่อคนตรงหน้าก็ประกาศชัดว่าไม่ยอม ถ้าไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรามือ ก็ต้องมีการสูญเสียอีก ฉะนั้นทางเดียวที่เขาจะบรรเทาได้ คือจะขอจัดการเรื่องนี้เสียเอง
“เอาตัวผู้หญิงของเอริค มาให้ฉันได้หรือเปล่า ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง รับรองว่าจะไม่ให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนั้นเด็ดขาด”
มุมปากของกรณ์กดลึก เมื่อคิดไปถึงผู้หญิงแถวหน้า เธอทำสำเร็จ ที่ทำให้โจนส์ถามเรื่องนี้กับเขา แต่ผลลัพธ์คงทำให้เธอผิดหวัง “ไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน”
“แน่ใจ”
“เป็นความสัตย์”
โจนส์เชื่อกรณ์ทันที เพราะการร่วมงาน ร่วมมือในธุรกิจรวมถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา มีแต่สร้างความเชื่อมั่นให้กันและกัน และเชื่อในคำพูดของกันและกันได้เสมอ “ฉันคิดไม่ออก จากเรื่องคู่รักที่ทำร้ายร่างกายกัน มันจะมาถึงขั้นนี้ได้ยังไง”
“คุณต้องถามคนที่เอาปัญหานี้มาให้ เธอคงรู้แล้วว่ามันมีอะไรอยู่ในเรื่องนี้ ที่เธอไม่อาจจะปล่อยมือได้ ถึงได้มาถึงคุณ และมาเพราะอะไร คิดว่าคุณก็น่าจะรู้จักอดีตภรรยาดี”
“ล้วงความลับ”โจนส์บอกแล้ว ก็หยันไปถึงคนที่พูดถึง “คงคิดว่าเมื่อฉันถาม คุณคงบอก ซึ่งเธอก็คิดถูก คุณก็บอก ๆในสิ่งที่ไม่รู้จริงๆ” ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วสบตากรณ์นิ่งๆ ก่อนจะพูดออกมาเหมือนขอร้อง “หาคำตอบให้ฉันได้หรือเปล่า ว่ามันมีอะไรที่ซ่อนเร้นกันอยู่”
“ความลับ”
โจนส์อึ้งไป ดวงตาหรี่ลงด้วยความครุ่นคิด แล้วมองหน้าคนพูดใหม่ “ความลับอะไร”
“ไม่รู้ เธอบอกคนที่ผมปกป้อง มาแค่นี้ และไม่ต้องเดา มันเกี่ยวกับลูกของคุณแน่นอน เขาถึงได้พยายามที่จะมาเอาตัวชิญาดาไปจากผม เพื่อเค้นหรือไม่ก็เป็นตัวต่อรอง เพื่อให้ผู้หญิงที่เขาทำร้ายเปิดเผยตัวออกมา” กรณ์นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “บางทีคุณอาจจะเดาออกหรือไม่ก็คิดถึงความเป็นไปได้ ว่าเรื่องอะไร เพราะถ้าเรื่องไม่ใหญ่หรือไม่มีผลกระทบที่ร้ายแรง เขาคงไม่ดิ้นถึงขนาดนี้ที่คนเป็นแม่ ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ ต้องออกโรงเอง”
โจนส์ไม่อาจจะนั่งติดเก้าอี้ได้อีกแล้ว เขาลุกขึ้นเดินไปยืนที่กระจก มองออกไปไกลแต่สมองครุ่นคิดถึงเรื่องที่พอจะเป็นไปได้ แน่นอนว่าอย่างแรกคือการสืบทอดอำนาจ เขารู้ว่าเอริคหวังในตำแหน่งนี้มาก เพราะเป็นทายาทคนแรก จะให้มีอะไรด่างพร้อยกระทบกับตำแหน่งไม่ได้เด็ดขาด
ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเรื่องประปราย แต่ไม่ได้ทำให้คะแนนตก กรรมการทุกคนยังเชื่อมั่นในตัวเขา เพิ่งจะมีเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ที่คะแนนตก และทายาทคนที่สองคือราฟก็ทำคะแนนขึ้นมา ด้วยฝีมือเขา ที่ยกหุ้นให้ เพื่อต้องการบีบให้เอริครีบสะสางปัญหาที่ก่อขึ้นมา ให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาสามารถแก้ปัญหาให้ผ่านไปด้วยดี ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดิ่งลง ยากที่จะกอบกู้ขึ้นมา แม้แต่เขาก็ยังหนักใจ
ส่วนราฟหุ้นที่ได้เพิ่มขึ้น ก็เพื่อจะดึงให้มาช่วงงานบริษัท จะได้เห็นวิธีการบริหารที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เขาคิดเพื่อให้ทุกอย่างไปในทิศทางที่ดี กลับสวนทางเลวร้ายลง ที่สำคัญที่เขาอยากรู้ว่าลูกคนไหนกันแน่ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับข่าวที่ทางการให้มา ...
“ค้าประเวณีหรือเปล่า”
เสียงเขาพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง กรณ์ลุกขึ้นเดินไปยืนข้างๆ สองมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สองตามองไปไกลๆ แล้วบอกว่า “ถ้าไม่ใช่ก็ต้องเกี่ยวข้อง ไม่งั้นคงไม่ดิ้นกันอยู่”
“พอจะสืบหาจากวิธีอื่นนอกจากผู้หญิงของเอริคหรือเปล่า”
“ลูกและอดีตเมียคุณ” เขาบอกแล้วหันมามองหน้าประธานโจนส์ ซึ่งหันหน้ามาสบตาเขา ที่พูดขึ้นอีกว่า “อย่างที่บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ร้ายแรง หรือเป็นอันตรายกับลูก คนเป็นแม่ก็จะไม่ดิ้น แต่เธอดิ้นมาถึงคุณก็เป็นคำตอบได้ดีอยู่แล้ว และทั้งสองคนคงไม่หยุดที่จะยุ่งเกี่ยวกับคนของผม จึงอยากให้คุณช่วย”
“จะให้ฉันช่วยอะไร”
“ถ้าสองคนมาแตะต้องเธอ อย่าขวางทางผม”
“ได้ แต่ขอไว้อย่าง อย่าให้สิ้นลมให้ใจ”
“ได้” กรณ์รับปากเช่นกัน
ความหนักใจของประธานโจนส์จึงเบาบางลงมาบ้าง “แล้วอยากให้ฉันช่วยอะไรอีก”
“มาตรการป้องกัน แต่มันคงสายไปแล้ว”
“หมายความว่าไง”
“ตอนที่เอริคทำร้ายเธอ ก็คิดว่าจะพาเธอมาหาคุณ ให้ช่วยเป็นเกราะป้องกันเธออีกทางหนึ่ง เพราะคุณมีบารมีพอที่จะทำให้ลูกและอดีตเมียของคุณเกรงใจ แต่วันนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือใคร แต่ผมวางใจอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนจะอุ้มเธอ”
***********
สวนหย่อมด้านข้างอาคารบลูโน โค เนรมิตไว้ให้พนักงานได้มานั่งพักผ่อนคลายอารมณ์ ความตึงเครียดจากงาน และเรื่องอื่นๆ จะได้มีความสบายใจขึ้น สวนนี้ปลูกทั้งไม้ดอกไม้ยืนต้น ไม้ดัดประดับไว้อย่างสวยงามและร่มรื่น เก้าอี้หลายตัวทั้งเดี่ยวและชุด วางไว้ตามมุมต่างๆ และมีธารน้ำใสปล่อยปลาไว้ให้แหวกว่ายเพลินๆ นกน้อยสองตัวบินมาเกาะอยู่บนกิ่งไม้ สงเสียงร้องจิ๊บๆ ซุกไซร้คลอเคลียกันให้คนสองคนที่นั่งมองอยู่ ได้สุขใจ
ตรงหน้าของทั้งสองคนก็คือโต๊ะไม้ มีเครื่องดื่มพร้อมของว่างวางไว้ให้พร้อม แต่ยังไม่มีใครแตะต้อง กรองแก้วมองลูกนก หรือก็คือหญิงสาวทายาทของตระกูลอภิราชไพศาลนันท์ ที่เธอเป็นกามเทพอุ้มสมมาให้ญาติหนุ่ม ด้วยความหวังดี แต่ต้องมาเจอเรื่องร้ายๆ อย่างคาดไม่ถึง
แม้เธอจะแก้ตัวด้วยการให้ความช่วยเหลือและพยายามดูแลเท่าที่จะทำได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ดีมีความสุข เมื่อยังเจอเรื่องร้ายๆอีก
‘ไปเที่ยวมาสนุกไหม’ เธอจำได้ว่าถามลูกนกไปอย่างนั้น ระหว่างพาเดินชมความยิ่งใหญ่ของบลูโน โค และหยุดยืนชมภาพจิตรกรรมบนผนังที่โถงทางเดิน
ชิญาดาละสายตาหันหน้ามามอง ไม่มีความสงสัยว่าคนหลอกลวงเธอรู้ได้ยังไง เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอเป็นญาติของคนที่คุ้มครองเธออยู่ ทั้งสองคนคงเล่าสู่กันฟัง ‘ค่ะ ถ้าไม่เกิดเรื่องเสียก่อน’
เธอทำหน้าสงสัย ก่อนจะถาม ‘เรื่องอะไร’
‘จะถูกคนอุ้ม’
จากนั้นเธอก็ได้รู้เรื่องทั้งหมด จากการเล่าให้ฟังคร่าวๆ เธอไม่ถามว่าสงสัยใคร เพราะที่รู้มีที่เข้าข่ายอยู่ไม่กี่คน แต่คนที่ต้องเครียดก็คือญาติหนุ่ม เขาจะต้องระวัง ป้องกัน ให้ถึงที่สุด มิน่าตอนเจอเมื่อกี้ สีหน้าถึงได้นิ่งเก็บอารมณ์ได้ลึก พร้อมรับมือกับทุกเรื่อง และตอนนี้สามีเธอก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ลูกนกที่อยู่ตรงหน้าเธอ ดูจะเข้มแข็งไม่น้อย ไม่มีท่าทางหวาดหวั่น หรืออ่อนแอให้เห็นเลย
“ชอบนกเหรอ” เธอถามเมื่อยังเห็นการมองอย่างไม่วางตา
ชิญาดาหันมาสบตาคนถาม ตอบด้วยเสียงนิ่งๆ ที่ยังไม่สนิทใจ เพราะยังไม่ลืมการกระทำของอีกฝ่ายที่ทำไว้กับตัวเธอ “ค่ะ อิสระดี”
“ฉันก็ชอบ แต่บางทีก็ไม่ได้มีอิสระ”
“ใช่ อย่างที่คุณทำไว้กับฉันไง” ชิญาดาเริ่มพูดในสิ่งที่ค้างคาและสงสัยอยู่ “คุณผลักฉันให้ไปอยู่ในมือของญาติคุณ จนฉันไม่มีอิสระในการที่จะทำในสิ่งที่ฉันต้องการ จนถึงวันนี้ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่า คุณทำทำไม”
“แล้วไม่ดีเหรอ”
“ไม่ใช่คำตอบนะคะ” เสียงเธอเริ่มจะไม่พอใจเมื่อคนตรงหน้าเริ่มบ่ายเบี่ยง “ที่ฉันอยากรู้ ทำไมคุณไม่ตอบ”
กรองแก้วยิ้มอย่างใจเย็น แล้วบอกว่า “เรื่องบางเรื่อง ให้คนที่เป็นต้นเรื่องตอบเองดีกว่า ฉันเป็นแค่คำนำที่ช่วยให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น” เธอเปรียบเปรยออกมา
“หมายความว่าไง มีคนให้คุณทำอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันทำของฉันเอง ไม่มีใครสั่ง ไม่ได้ทำตามคำสั่งใคร”
“สรุปว่าคุณจะไม่บอกฉัน”
“ฉันไม่อยากให้มีปัญหามากกว่า เพราะฉันพูดไปมันก็คงไม่จบ ให้คนต้นเรื่องเขาพูดดีกว่า จะได้จบทีเดียว” เธอพูดให้เป็นกลาง แต่สีหน้าคนฟังไม่ได้ดีขึ้น ก็ปลอบว่า “อย่ากังวลเลย”
“คุณลองมาเป็นคนที่ถูกกระทำแบบฉันบ้างซิ จะได้รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณว่าสักนิด ต้องติดอยู่กับความสงสัย ที่ทั้งคุณและเขาไม่ยอมบอก”
กรองแก้วเห็นใจเธอ อยากจะบอกให้รู้ๆไป แต่ไม่อยากให้ญาติหนุ่มเกิดปัญหารักระหว่างรบ ลำพังที่ต้องปกป้องเธอนั้นยากพอแล้ว ถ้ามีความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้นมา เธอกลัวจะกลายเป็นความสูญเสีย ที่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ... ใครจะคิดว่าการที่เธอทำตัวเป็นกามเทพ อุ้มสมหญิงสาวมาให้ญาติหนุ่ม จะเจอเรื่องร้ายแรงที่ลุกลามไปขนาดนี้
“ฉันขอโทษที่ทำให้เธอทุกข์ใจ แต่จบเรื่องเพื่อนเธอเมื่อไร กรณ์ก็คงบอกทุกอย่างกับเธอ ถึงวันนั้น ฉันหวังว่าจะมีแต่สิ่งดีๆ”
“แล้วถ้ามันไม่ดีละ คุณจะรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำกับฉันยังไง”
“เธอจะให้ฉันชดใช้ยังไง ฉันยินดีทุกอย่าง”
“คุณมั่นใจราวกับรู้จักฉันดี” ว่าแล้วชิญาดาก็มองอีกฝ่ายอย่างคลางแคลงใจ “เขาบอกว่ารู้จักฉันมาห้าปี คุณรู้จักฉันมาเท่าเขาหรือเปล่า”
กรองแก้วอยากจะบอกว่ามากกว่า เพราะก่อนหน้านั้นเธออยู่เมืองไทยมาตลอด แต่กรณ์ทำธุรกิจอยู่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ไม่ค่อยได้กลับไปเมืองไทย ที่กลับไปคราวก่อน ก็เพราะพ่อของเธอ ขอให้ไปช่วยเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอเท่านั้น “ถ้าเขาบอกเธออย่างนั้น แสดงว่าเขาก็ต้องบอกความในใจเขาให้เธอรู้ด้วยแล้วซิ”
“คุณรู้” ชิญาดาอึ้ง แม้จะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นญาติกัน แต่ไม่คิดว่าจะรู้ความในใจกันแบบนี้
“เขาไม่ได้บอกฉันหรอก แต่เรื่องราวดีๆบางทีก็ดูออก เช่นโอบไหล่เมื่อกี้”
น้ำเสียงมีแววล้อ ชิญาดาเม้มริมฝีปากข่มความเขินไว้จะปฏิเสธออกไปก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อกี้หลักฐานมันตำตาอีกฝ่าย กรองแก้วยิ้มน้อยๆให้ พลางคิดถึงสิ่งที่เธอได้เห็น รูปถ่ายในห้องทำงานเขาและคำหลังรูปเพียงแค่นั้นเธอก็เริ่มสืบจากคนใกล้ตัวเขา
เฝ้าสังเกตเขา และเมื่อมีเวลาว่างก็จะได้รู้ว่าเขาเดินทางไปประเทศไทย แทนที่จะควงสาวๆมากหน้าหลายตา ที่ทอดสะพานไว้ให้ไปเที่ยว เธอส่งคนติดตาม และเมื่อแน่ใจถึงได้ไปเอง
“ฉันขอถามนิด แล้วเธอคิดยังไงกับเขา ชอบไม่ชอบ หรือเลยไปถึงคำว่ารักแล้ว” เสียงถามนุ่มนวลชวนคุยเหมือนพี่สาวคุยกับน้องสาว มากกว่าจะละลาบละล้วง
ชิญาดานิ่งไม่ตอบขอเก็บความรู้สึกนี้ไว้เป็นส่วนตัว อีกอย่างเธอยังไม่สนิทพอที่จะไว้ใจผู้หญิงตรงหน้า แล้วแปลกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็พูดเป็นภาษาอังกฤษออกมาว่า
“กรณ์ไม่เคยมีใครเป็นตัวเป็นตน จะมีคู่ควงบ้างก็ตามประสาผู้ชาย ส่วนคนรักไม่เคยมี และคนที่อยู่ในใจเขาตลอดเวลาก็คือ...”
“เอริน่า”
เจ้าของเสียงเดินเข้ามา ร่างอรชรหอมกรุ่นและเซ็กซี่มาก เปิดยิ้มให้สองคนที่นั่งอยู่ แต่ไม่มีความจริงใจอยู่ในรอยยิ้มเลย “กรณ์มีฉันอยู่ในใจตลอดเวลา คนอื่นที่มาจากที่ไกล ก็ยังเป็นคนไกลไม่ใช่คนใกล้อยู่ดี”
“แต่คนไกลได้อยู่ใกล้ แต่คนใกล้กลับอยู่ไกล และคนไกลที่คุณพูดถึงหมายถึงฉันเหรอคะ” ชิญาดาถามตรง ปรายตามองกรองแก้วบอกความไม่พอใจ ที่นำภัยมาให้เธออีกครั้ง เลือดนักสู้ที่อยู่ในตัวจึงทะนงขึ้นมาแววตาก็เช่นกันแล้วตวัดกลับมามองคนที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ได้เห็นเธอเป็นมิตร เป็นศัตรูหัวใจ
“ใช่ ก็เธอเป็นคนบอกฉันเอง ว่าไม่มีสิทธิในตัวเขา หรือว่ากลืนน้ำลายตัวเองไปแล้ว”
“เปล่า แต่เขาก็บอกฉันเช่นกันว่าให้ใจฉันไม่ใช่คนใกล้ที่เป็นได้แค่มด ได้แค่ไต่ พอกัดก็โดนปัดออกหรือไม่ก็ดีดทิ้งไป”
แววตาของเอริน่าลุกวาวขึ้นทันที แต่ริมฝีปากยิ้มเหมือนไม่แคร์ เดินมานั่งบนเก้าอี้ตรงข้างกรองแก้ว ถามเธอว่า “กรณ์คุยงานอยู่กับพ่อใช่ไหม ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
กรองแก้วพยักว่าใช่ เอริน่าก็หันมาทางชิญาดา “งั้นเธอก็กลับไปได้แล้ว เพราะเขามีนัดกับฉัน” เธอบอก แต่ไม่อาจสั่นคลอนความเชื่อใจของชิญาดาได้ ยังนั่งเฉย คนที่ปั้นน้ำเป็นตัวก็บอกว่า“ไม่เชื่อกันเหรอ ถ้าเขาไปโทรไปแล้วฉันจะมาได้ยังไง และรู้ได้ยังไงว่าเขาคุยกับพ่ออยู่”
“ให้เขามาบอกฉันเองนะคะ แล้วฉันจะไป”
“ตามใจ” เอริน่าเก็บคำโกหกไว้อย่างแนบเนียน และหน้าซื่อตาใส่ต่อไปว่า “เขาจะพาฉันไปดินเนอร์ เพราะเบื่อที่จะต้องอยู่แต่ในบ้าน เบื่อคนที่เอาปัญหามาให้”
“รู้สึกว่าคุณจะรู้ดี”
“เธอคงไม่รู้ว่าเขาโทรคุยกับฉันตลอดเวลา ปัญหานะเก็บไว้คนเดียวก็ทุกข์ ก็ต้องหาที่ระบายบ้าง เขาจึงอยากไปผ่อนคลายอารมณ์กับฉัน เธอคงไม่ไปด้วยหรอกนะ”
“ถ้าเขาชวนก็จะไปค่ะ”
เสียงนิ่งๆ ไม่ได้มีความหวั่นไหวใดๆ นั่นทำให้เอริน่าเริ่มที่จะคุมอารมณ์ไม่อยู่ น้ำเสียงเริ่มขุ่น “ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว”
“ฉันไม่ร่วมโต๊ะก็ได้ค่ะ จะไปนั่งห่างๆเลยค่ะ”
“เสียมารยาท ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง อย่างว่าคนที่มาจากประเทศด้อยการพัฒนา คงไม่จะเข้าใจสังคมที่พัฒนาแล้ว”
“แต่คุณก็ยังอยากจะได้คนจากประเทศฉันเหลือเกิน แบบนี้ใครกันแน่คะที่ไร้การพัฒนา โดยเฉพาะจิตใจ”
“โสเภณี”
เสียงเอริน่ากราดเกรี้ยว ชิญาดาก็ตาลุกวาว ความเอื่อยเฉื่อยเหมือนไม่สนใจเปลี่ยนเป็นโกรธ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เข้ามาประชิดตัวเอริน่า พูดด้วยเสียงต่ำลึก “ตัวคุณก็คงไม่ต่างกันมั่งคะ ไม่งั้นคงไม่มานั่งเสนอให้ผู้ชายอย่างนี้ และคุณคงลืมไปว่าพ่อของคุณก็มีเมียจากประเทศของฉัน และมีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยงคุณด้วย เป็นถึงลูกผู้ดีเก่า แต่กิริยาคุณถอยกว่าสกุลคุณมากเลยนะคะ”
เอริน่าลุกพรวดขึ้น ยกมือจะฟาดหน้าชิญาดา ซึ่งยกมือขึ้นพร้อมจะฟาดคืนเช่นกัน สายตาไม่หวั่น ไม่หลบ พร้อมสู้ โดยไม่สนใจว่าอยู่ในถิ่นของใคร กรองแก้วมองสองสาวอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะเกิดเป็นศึก ลุกขึ้นเพื่อจะปรามทั้งคู่ แม้จะรู้ว่าคนหนึ่งจะฟังอีกคนจะไม่ฟัง เพราะไม่มีความเคารพในตัวเธออยู่แล้ว แล้วก็โชคดีที่มีระฆังก็มาช่วยเธอได้ทันเวลา
“กรณ์”
เอริน่าปรับสีหน้าได้เร็วพอๆกับความเร็วของเสียงที่ได้ยิน หันไปเปิดยิ้มให้กรณ์ที่เดินเข้ามา ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินไปกอดแขนเขาด้วยความดีใจ แต่ชิญาดาไม่สามารถหน้าไหว้หลังหลอกได้ เธอซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง สีหน้ายังมีเต็มไปด้วยความไม่พอใจชัดเจน ยิ่งเห็นความกลับกลอกของคน เธอก็ยิ่งรู้สึกแย่
“กลับกันเถอะ” กรณ์บอกคนที่เขาให้ใจ แต่ขยับไปหาไม่ได้ เพราะเอริน่าขยับมาขวางหน้าไว้
“แล้วที่นัดกันไว้ละคะ”
กรณ์หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วบอกว่า “ไว้วันหลังดีกว่า วันนี้ผมไม่สะดวก” พูดจบเขาก็ปลดมือเธอออก เบี่ยงตัวเดินไปจับมือชิญาดา พาเดินไปด้วยกัน เอริน่ามองตามด้วยตาลุกวาว แล้วรีบเดินไปกอดแขนเขาไว้ พร้อมกับบอกว่า
“ไปด้วยค่ะ วันนี้อยากทานข้าวด้วย ยังไงก็ต้องได้ทาน” คำพูดเธอบอกว่าจะไม่ยอมปล่อยเขาไป จนกว่าจะได้อย่างที่เธอต้องการ
กรณ์หันมามองหน้าเธอ ซึ่งก็ยิ้มหวานราวกับตัวเองเป็นต่อ แต่ไม่กี่ลมหายใจกลับเสียหน้าเมื่อกรณ์โทรศัพท์ไปบอกให้โจนส์ มาเอาตัวเธอไป
เอริน่าจำต้องปล่อยมือจากเขา แต่ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินจากไปหวานชื่นกับผู้หญิงอีกคนได้อย่างสุขใจ ต้องมีที่ระลึกให้ทุกข์ใจเป็นของหวานให้เธอเช่นกัน จึงรีบฉกฉวยความเผอเรอของเขา ด้วยการวาดมือขึ้นไปคล้องคอเขา แล้วยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากเขาอย่างดูดดื่ม ก็ถอยออกมายิ้มพรายไปเย้ยคนที่เขาจับมือไว้ไม่ยอมปล่อย
ชิญาดาก็มอง เจ็บลึกไปสุดใจ ไม่ใช่จูบที่เห็น แต่เป็นเพราะเขาไม่ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายเลย มิหนำซ้ำยังตอบกลับไปบอกให้เธอรู้ว่าเป็นเรื่องจริง พวกเขาติดต่อกัน น้ำตาเกือบจะรื้นขึ้นมา เธอต้องข่มไว้สุดๆ และรู้สึกดูแคลนการกระทำที่สิ้นคิดของอีกฝ่าย ไม่คิดว่าผู้หญิงที่มีครบทุกอย่าง ทั้งรูปลักษณ์ทรัพย์สมบัติจนผู้หญิงด้วยกันทั้งเมืองอิจฉา จะทำตัวได้น่ารังเกียจขนาดนี้
หรือการทำให้ผู้อื่นเสียหาย เป็นความบกพร่องทางจิตอย่างหนึ่งของเธอ ขณะที่กรณ์ไม่มีคำพูดใดๆ แต่เข็ดผู้หญิงสวยแต่รูป จูบไม่หอมไปอีกนาน
กรองแก้วมองญาติหนุ่มพาผู้หญิงให้ใจจากไป แล้วปรายตาไปมองลูกเลี้ยง ไม่มีคำพูดใดๆจะพูด นอกจากเดินผ่านไป แต่ชะงักหยุดยืนข้างๆเพราะเสียงพูดที่ดังขึ้นมา
“คิดว่าทำตัวเป็นกามเทพ แล้วจะได้สิ่งที่หวังเหรอ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเธอก็รู้ความเป็นไปเป็นมาทุกอย่างซินะ เชื้อไม่ทิ้งแถวชอบสอดรู้สอดเห็นจริง”
“นี่ด่าฉันเหรอ” เสียงเอริน่ากร้าวขึ้นมา แต่เสียงกรองแก้วยังนิ่งให้เช่นเดิม
“เปล่า แค่จะสอนให้รู้จักมารยาท อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นให้มักนัก และที่ทำเมื่อกี้การหน้าด้านกับผู้ชายแบบนั้น คิดว่าเขาจะเหลือเยื่อใยไว้ให้อีกเหรอ”
“เขาไม่มีทางตัดฉันขาด”
“แต่เขาคงรู้แจ้งเห็นจริงแล้วว่าคนไหนคือนางฟ้า คนไหนคือนางมาร” กรองแก้วหันหน้ามายิ้มให้นิดๆ แล้วเดินผละไปทันที
เอริน่าได้แต่ยืนเจ็บแค้นเจ็บใจอยู่คนเดียว และคิดว่าถ้ายังมีโอกาสเธอจะไม่ยอมรามือเด็ดขาด อย่าให้ถึงที่เธอบ้างก็แล้วกัน จะทำให้รักที่หวานชื่นกลายเป็นข่มขื่นตลอดไป เธอหมายมาดโดยไม่รู้ว่าคำพูดของเธอ ได้เริ่มต้นความขมขึ้นมาแล้ว
***********
เวลากลางวันหมดไปอีกวันแล้ว ท้องฟ้าดำมืดมาแทนที่ชีวิตของทุกคนก็หมุนไปตาม แต่บางคนชีวิตเหมือนหยุดนิ่ง ไม่ได้ทำอะไรเลย คาริสานั่งเหม่ออยู่ตรงระเบียงของห้องที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่มีแสงไฟที่จะส่องให้เห็นตัวเธอ มีแต่แสงเงาที่ลอดผ่านมาจากห้องอื่น ป่านนี้เกมการแก้แค้นของเธอคงระอุอยู่ในใจทุกคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคนที่ทำร้ายเธอ ตอนนี้คงเจ็บแค้นแทบจะกระอักทีเดียว
เธอเหยียดยิ้มด้วยความสะใจและคิดว่าควรจะเดินเกมต่อไปได้แล้ว เธอมองไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า สิ่งที่คิดจะทำนั้น มีความกลัวแอบแฝงอยู่ เพราะถ้าพลาดเธออาจจะไม่มีแม้แต่ศพให้ทำพิธี แต่จะอยู่แบบหลบๆซ่อนๆตลอดไปไม่ได้ เพราะการเพาะคามเจ็บปวดก็เหมือนทวีความเจ็บแค้น ให้คนเลวทรามยิ่งขุดหาตัวเธอ ซึ่งเธอจะไว้ใจไม่ได้ว่าที่นี่จะเป็นที่ๆปลอดภัยเสมอไป เธอต้องหาที่ใหม่
ที่ๆต้องปลอดภัยมากกว่านี้ และไม่ใช่อยู่ในที่มืดๆอีกต่อไป เธอต้องเดินออกจากที่มืดไปสู่ที่สว่างได้แล้ว แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนเบอร์ที่เธอกวาดซื้อมา เพื่อกดหมายเลขถึงใครบางคน
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องทำงานของคฤหาสน์บลูโน โค ดังขึ้น เสียงสัญญาณดังแล้วดังเล่าแต่ยังไม่มีคนรับสาย กระทั่งคนโทรมาเกือบจะตัดสายไป มือของเจ้าของห้องก็มาหยิบโทรศัพท์ขึ้นรับสาย โจนส์ส่งเสียงไป แต่อีกฝ่ายยังไม่ส่งเสียงมา ก็จะวาง แต่มีบางอย่างให้ฉุกคิดขึ้นมาว่าเบอร์โทรแปลกๆที่ไม่คุ้นเคย มักจะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงตามมาเสมอ จึงรอต่อไป
เมื่อกี้ที่ได้ยินสัญญาณ เขาอยู่ในห้องน้ำ ตอนที่หยิบขึ้นมากดรับสาย คิดว่าจะไม่ทันเสียแล้ว โจนส์ดูเบอร์ที่ปรากฏขึ้นหน้าจอ ไม่คุ้น และคงเป็นเบอร์เฉพาะใช้โทรหาเขาเท่านั้นเขาคิด อย่างที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมั่นใจแบบนั้น หรือจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน
“สวัสดีค่ะ”
ในที่สุดเสียงก็ดังขึ้นมา เขาก็ทักทายกลับไป พร้อมกับแปลกใจว่าเสียงผู้หญิงที่โทรมาหาเขานี่เป็นใคร จากประสบการณ์ฟังจากน้ำเสียง เป็นหญิงสาวแน่นอน “ถ้ากล้าโทรมาฉัน หนูก็ควรจะกล้าพูดด้วย”
“หนูกลัว”
“กลัวอะไร หนูก็คน ฉันก็คน เราเสมอภาคกัน”
“นั่นมันแค่คำพูดที่เป็นแค่ความฝัน แต่ความเป็นจริงคือไม่ อำนาจ บารมีที่ท่านมีแต่หนูไม่มี ไม่อาจทำให้เราเสมอภาคกันได้ แต่ก็ขอบคุณที่ท่านพูดให้หนูรู้สึกว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ ให้ความอุ่นใจกับผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหนู และที่หนูตัดสินใจโทรมา ก็คิดดีแล้วว่า ท่านจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่ดีที่สุดของหนู”
“ยกยอฉันขนาดนี้ แสดงว่ามีเรื่องที่จะให้ฉันช่วยใช่ไหม ต้องการอะไรก็บอกมา”
“การคุ้มครอง”
โจนส์ขยับตัวนั่งตรงๆ เมื่อสิ่งที่สังหรณ์ใจอาจจะเป็นจริง “มีเรื่องอะไร ถึงต้องการแบบนั้น”
“ลูกชายของท่าน”
“หนูคือ....”
“คาริสา อชิระ ผู้หญิงที่ถูกลูกชายท่านทำร้าย”
*******
แสงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า แสงสีเหลืองตัดกับความดำมืดดูสวยงามและน่าหลงใหลนัก แต่เมื่อเมฆเคลื่อนมาปิดบังกลับทำให้ดูลึกลับ คนบางคนจึงใช้เป็นโอกาสทำบางอย่าง สองเท้าก้าวเดินไปยังด้านหลังอาคารที่มองอยู่ครู่ใหญ่ๆแล้ว เมื่อมาถึงก็เดินไปยืนหลังต้นไม้ ดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบสารที่ให้ความผ่อนคลาย แต่แฝงอันตรายเข้าไปในร่างกาย ขณะสายตาจับจ้องไปที่ประตูอาคาร ไม่นานก็มีคนเดินออกมา
ร่างสูงกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเดินตรงไปยังควันสีขาวที่ลอยเอื่อยอยู่ในอากาศ กระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้า ความมืดทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ไม่ใช่ปัญหา เมื่อรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร ก็ถามออกมา “มีอะไร”
คนถูกถามดีดบุหรี่ออกไปไกลๆ มองคนตรงหน้าที่ว่าจ้างให้ทำงานให้ แล้วล้วงเข้าไปในเสื้อแจ็กเก็ตที่สวมอยู่ ดึงซองสีน้ำตาลออกมายื่นให้ พร้อมกับบอกว่า “ของที่คุณต้องการ”
ร่างสูงรับมาถือไว้ พร้อมกับฟังเสียงที่บอกออกมาอีกว่า “ส่วนจะใช่หรือไม่ คุณดูเอาเองแล้วกัน”
“ฉันไม่เสียเงินเปล่าใช่ไหม”
“คุณได้เกินคุ้มต่างหาก” คนในเงามืดบอก
“แต่ก่อนหน้านั้น ฉันได้ความผิดพลาด”
“โอกาสมันไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว ถ้าเราทำไม่สำเร็จอีก เรากับคุณก็ไม่รู้จักกัน” มันบอกแล้วก้มหน้าเป็นเชิงบอกว่าขอตัว
บนฟ้ากว้างเมฆเคลื่อนผ่านดวงจันทรา แสงสีเหลืองนวลส่องประกายให้ความสว่าง จึงทำให้เห็นหลังคนที่เดินจากไป แต่คนที่อยู่เบื้องหลังกลับเห็นหน้าชัดเจน ราฟ บลูโน โค ร่างสูงเดินถือซองกลับเข้าไปในร้านของตัวเอง ตรงไปยังห้องทำงาน
เขาเดินไปนั่งที่โซฟากลางห้อง มองซองสีน้ำตาลที่ได้มา จากการไปจ้างพวกนักเลงนักสืบ ให้ทำในเรื่องที่ต้องการและสืบเรื่องที่สงสัย ‘คู่ควงของไอ้เอริค’ หวังว่าคราวนี้มันจะทำให้เขาได้อย่างใจเสียที แล้วเปิดซองสีน้ำตาลหยิบของข้างในออกมา รูปถ่ายผู้หญิงแต่ละคนที่เคยเป็นคู่ควงของมัน ในอริยะบทต่างๆเขาดูผ่านไปรูปแล้วรูปเล่า แต่ไม่มีใครทำให้เอะใจว่าจะใช่คนที่มันทำร้ายหรือเปล่า
เขาปล่อยมือจากรูปทั้งที่ยังดูไม่หมด เพราะคิดว่าเสียเงินเสียเวลาเปล่าอีกแน่นอน ไม่มีใครเข้าข่ายพอที่เชื่อมโยงไปถึงปริศนาที่น่าสงสัยอยู่ในใจเขา สีหน้ากระด้างขึ้นลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปที่โต๊ะทำงานหยิบโทรศัพท์มือถือ ไปฉะไอ้พวกนักสืบ ที่ทำงานไม่ได้เรื่อง แต่เขาไม่ควรจะวู่วาม ควรละเอียด จะได้ไม่ถูกตอกหน้ากลับมา จึงหันกลับมาดูรูปถ่ายที่เหลืออีกสองสามรูป แล้วลมหายใจก็หยุดลงที่รูปถ่ายใบหนึ่ง
‘คาริสา’
แวบแรกที่เห็นเหมือนจะไม่อยากเชื่อ เขาจ้องนิ่งจนมั่นใจว่ามองไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพถ่ายในโรงพยาบาล ที่ยืนยันได้ว่า เธอคือผู้หญิงที่ถูกไอ้เอริคทำร้าย เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ แล้วนึกย้อนไปถึงวันที่เธอหวนกลับมาหาเขา ขณะที่มันคว้านหาตัวเธออยู่
คำพูดของเธอในคืนนั้น คือการหลอกถามสินะ แววตาของราฟหยามหยัน แล้วคิดว่าเธอทำอย่างนี้ทำไม คงมีบางอย่างต้องการจากเขาแน่นอน แต่ที่สำคัญเธอเอาอะไรของไอ้เอริคมา จึงซ่อนตัวไม่ให้มันเจอ เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบมือถือมาโทรหาเธอ เพื่อสืบหาความจริง แต่ไม่จริงใจ เพราะจะหลอกล่อ ทำเป็นไม่รู้เรื่องราวใดๆ จะหน้าซื่อตาใสใส่หน้ากากเหมือนเวลาที่เธอกลับมาหาเขา เออออตามที่เธอต้องการ แล้วค่อยตลบหลังเธอ
เสียงสัญญาณตอบกลับมาว่าติดต่อไม่ได้ เขากดโทรอีกหลายครั้งก็เหมือนเดิม แล้วเปลี่ยนใจโทรไปหานักสืบ ขอบใจที่ทำงานให้เขาคุ้มค่าเงิน และจะเพิ่มเงินให้ทำงานต่อ ช่วยต่อยอดจนกว่าแผนเขาจะสำเร็จ
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ต.ค. 2561, 10:17:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2561, 10:17:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 903
<< ตอน 11 | ตอน 13 >> |
แว่นใส 25 ต.ค. 2561, 08:17:07 น.
ใครอยู่เบื้องหลังนะ
ใครอยู่เบื้องหลังนะ