ราคีสีเพลิง:รังสี ดุจดาริน รางนาก(ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ดีเลิศ’ และ ‘บัวบุษบา’ แต่งงานกันท่ามกลางความขัดแย้งของสองตระกูล
ท่ามกลางความเกลียดชังของยาย ‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’
ผู้ไม่มีวันยอมรับหลานสะใภ้นอกคอกอย่างหล่อน!
หลายปีที่ชายหนุ่มประคับประคองครอบครัวอย่างดีเลิศสมชื่อ
บัวบุษบากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนแทบทุกคืน
ไหนยังตะกรุดประหลาดที่ทิ้งไปกี่ครั้งก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสมอ
และความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีใครจับจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดเวลา
ทำให้บัวบุษบารู้สึกกลัว ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ อันแสนลึกลับ
มากพอๆ กับที่หล่อนกลัว ‘ความจริง’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ความฝัน’ ของตนเอง!
*******************
ใครชอบแนวนิยายรักโรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ มีการเล่นคุณไสยมนตร์ดำ อิจฉาริษยา ปมกลับชาติมาเกิด และเหล่าบริวารผีรับใช้ จัดไป! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อราคีสีเพลิง ราคา 218฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 258฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 278฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
*******************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (ราคีสีเพลิง เป็นเรื่องราวของหลานชายคนโต หนุ่มเนื้อหอมประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
ท่ามกลางความเกลียดชังของยาย ‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’
ผู้ไม่มีวันยอมรับหลานสะใภ้นอกคอกอย่างหล่อน!
หลายปีที่ชายหนุ่มประคับประคองครอบครัวอย่างดีเลิศสมชื่อ
บัวบุษบากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนแทบทุกคืน
ไหนยังตะกรุดประหลาดที่ทิ้งไปกี่ครั้งก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสมอ
และความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีใครจับจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดเวลา
ทำให้บัวบุษบารู้สึกกลัว ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ อันแสนลึกลับ
มากพอๆ กับที่หล่อนกลัว ‘ความจริง’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ความฝัน’ ของตนเอง!
*******************
ใครชอบแนวนิยายรักโรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ มีการเล่นคุณไสยมนตร์ดำ อิจฉาริษยา ปมกลับชาติมาเกิด และเหล่าบริวารผีรับใช้ จัดไป! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อราคีสีเพลิง ราคา 218฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 258฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 278฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
*******************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (ราคีสีเพลิง เป็นเรื่องราวของหลานชายคนโต หนุ่มเนื้อหอมประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผี ดราม่า ริษยา โรมานซ์ กลับชาติมาเกิด คุณไสย
ตอน: บทที่ 3 สามีที่ไร้รัก -100%
‘แล้วแม่นายจะจัดการกับแม่นั่นอย่างไรหรือเจ้าคะ’
พวงถาม ดวงตาวาววับอย่างประสงค์ร้ายและอยากฉีกเนื้อบัวบุษบากินใจจะขาด ในขณะที่เจิมจันทร์เงียบคิด วิธีที่จะจัดการบัวบุษบานั้นไม่ยาก หากแต่นางต้องเลือกวิธีที่เหมาะสม และถ้าจำเป็นนางจะไม่ใช้ไสยศาสตร์ ด้วยกลัวจะมีผลเสียต่อดีเลิศ หลานรักของนาง ซึ่งหน้าตาผิวพรรณช่างคล้ายคลึงกับ ‘เดชสิทธิ์’ ผู้เป็นสามีของเจิมจันทร์เหลือเกิน...
คิดถึงสามีแล้ว หญิงชราก็เชิดหน้าขึ้นพยายามกลบความเสียใจที่รื้นขึ้นมาในอก หากไม่ใช่เพราะเขา นางคงไม่เดินเข้าสู่สายอวิชชาเช่นนี้! สาเหตุที่นางร่ำเรียนมนตร์ดำก็เพราะความผิดหวัง ความเสียใจจากชายที่เธอหลงรักมานับสิบปี แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่เคยแม้แต่จะชายตาแล ซ้ำร้ายยังควงคู่หมั้นกลับมาจากอังกฤษ ราวกับต้องการเย้ยหยันความรักที่แสนภักดีของนาง
เจ็บเสียยิ่งกว่ามีคมมีดกรีดลงบนหัวใจ เจ็บที่ไม่ได้ความรักมาครอบครอง
เจ็บที่รู้แจ้งแก่ใจว่า...เขาไม่รัก
เจิมจันทร์บากบั่นเรียนวิชาคุณไสยกับอาจารย์มอญ อีกทั้งยังเรียนรู้วิชาโหราศาสตร์จากตำราที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นนอก จากนางจะมีคาถาอาคมแก่กล้าแล้ว นางยังเชื่อว่านางอยู่เหนือชะตาฟ้าลิขิต เพราะนางสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้จากการตรวจดวงชะตา
‘แม่นายเจ้าขา แม่นาย’
“มึงเงียบปากไปเลยอีพวง!”
เจิมจันทร์ตวาด ผีอีพวงจึงคอหดล่าถอยและกลายเป็นควันลอยหายไปด้วยความรักตัวกลัวตาย ปล่อยให้หญิงชรานั่งใช้ความคิดอยู่ในห้องพระครู่หนึ่ง นางจึงเดินออกมาจากห้องพระแล้วหยุดยืนอยู่กลางห้องนอน เหลียวไปทางขวา จ้องมองรูปภาพใครบางคนด้วยสายตาปวดร้าว
เป็นรูปภาพของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาหน้าตาดี มีนามว่า เดชสิทธิ์ ในรูปเขาสวมสูทเนื่องจากทำงานอยู่ในสถานทูต เรียกได้ว่าอนาคตไกล เป็นชายในฝันที่สาวๆ ต่างหมายปอง
และที่สำคัญ...เขาเป็นสามีของนาง!
แม้จะอยู่ร่วมบ้านกันแต่ก็เหมือนอยู่ไกลแสนไกล เมื่อเดชสิทธิ์คอยหลบหน้านางตลอด ทั้งที่นางรักและคิดถึงเขาแทบทุกลมหายใจ เจิมจันทร์ไม่รอช้า เดินออกจากเรือนนอนของตนเอง ตรงไปยังห้องนอนของสามีซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนของดมิสา
“พี่เดชคะ” เจิมจันทร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ร้องเรียก
สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า
แต่เจิมจันทร์รู้...รู้ว่าเดชสิทธิ์อยู่ในห้องนี้
ก็เขาจะไม่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อนางเป็นคนสะกดวิญญาณของเขาไว้ที่นี่ด้วยตัวนางเอง!
“ออกมาเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!”
เจิมจันทร์ตะคอกห้วนอย่างเดือดดาล และนั่นทำให้เดชสิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น เขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้นเพราะถูกอำนาจของเจิมจันทร์กระชากเขาลงมาจากคาน
เดชสิทธิ์เป็นวิญญาณหนุ่มวัยสามสิบปีต้นๆ เขามีใบหน้าหล่อเหลา อบอุ่น เรียกได้ว่าดีเลิศผู้เป็นหลานแทบจะถอดเค้าโครงหน้าตาและรูปร่างจากผู้เป็นตามาทั้งหมด เหตุนี้เองเจิมจันทร์ถึงทั้งรักและหวงดีเลิศมากกว่าหลานคนไหนๆ
“พี่เดชเจ็บหรือเปล่าคะ” เจิมจันทร์ปราดเข้าไปหาหมายจะช่วยประคอง แต่เดชสิทธิ์กลับสะบัดมือออก ดวงตาตวัดมองอย่างไม่เป็นมิตร
‘อย่ามายุ่งกับฉัน!’
เดชสิทธิ์พูดโดยที่ไม่ยอมมองหน้าเจิมจันทร์เลยแม้เพียงหางตา นั่นเพราะเขาโกรธและเกลียดผู้หญิงสารเลวคนนี้เข้าไส้! ทำไมเขาจึงเกลียดภรรยาตัวเองน่ะหรือ ก็เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ยัดเยียดความเป็นภรรยาให้เขาด้วยคุณไสยฝังรูปฝังรอย ทำเสน่ห์สารพัดเพื่อผูกมัดเขาไว้ อีกทั้งยังเลวทรามฆ่าผู้หญิงที่เขารักได้อย่างเลือดเย็น!
“พี่เดชก็รู้นี่ ว่าถ้าทำให้ฉันหงุดหงิด...จะเกิดอะไรขึ้น”
เจิมจันทร์ชักสีหน้า เชิดคางขึ้นอย่างทะนง แม้ใจจะเจ็บแปลบเมื่อเห็นเขาหมางเมินเหมือนที่เขาทำมาตลอดก็ตาม
ตอนเดชสิทธิ์มีชีวิตอยู่ กว่าเขาจะยอมพูดดีกับนางได้ก็ต้องใช้คาถา อาคมสารพัด นางทำฝังรูปฝังรอยอยู่เจ็ดปี จนมีบุตรสาวกับเดชสิทธิ์สองคน แล้วในที่สุดเขาก็ผ่ายผอม เนื่องจากถูกเสน่ห์ครอบงำเป็นเวลานาน นางกลัว...กลัวว่าเขาจะตายจึงรีบถอนคุณไสยให้เขา
เมื่อเดชสิทธิ์กลับมามีสติ และเป็นตัวเองอีกครั้ง เขาก็ขอแยกห้อง นอน ร่ำร้องหาอดีตคนรักที่ตายไปแล้ว โดยไม่แยแสนางเลยสักนิด! นางเจ็บแต่ก็ฝืนทน แม้เขาไม่รักนางก็สู้อุตส่าห์ทำดีหวังจะได้หัวใจของเขามาครอบ ครองในสักวัน แต่ชะตาชีวิตก็ไม่เข้าข้าง
เดชสิทธิ์ป่วยกระเสาะกระแสะจนนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
พอตายก็เป็นวิญญาณโผไปหานังแพศยาคนรักเก่า เจิมจันทร์โกรธจนแทบจะพังเรือนเสน่ห์จันทน์ซึ่งทำจากไม้สักให้ปลิวหายไปทั้งหลัง! นางจัดการสะกดดวงวิญญาณของสามีเอาไว้บนเรือน เกลียดนางนักก็จงเห็นหน้านางทุกวัน
อย่าได้มีโอกาสไปผุดไปเกิดอีกเลย!
******************
‘เธอคิดจะทำอะไร’
เดชสิทธิ์ชะงัก
เจิมจันทร์จากที่กำลังชักสีหน้าเชิดคางขึ้นอย่างทะนงใส่เดชสิทธิ์เมื่อครู่ ยามนี้มีรอยยิ้มเหยียดที่มุมปาก
นางไม่พูดอะไรอีกนอกจากหันหลังให้เขา ตรงไปยังประตูห้องเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้น’ ซึ่งก็ได้ผลทันตาเพราะเดชสิทธิ์หันขวับมามองหล่อน รีบร้องห้าม
‘อย่านะ!’
มีหรือที่เจิมจันทร์จะหยุดฟัง นางก้าวฉับๆ ออกไปจากห้อง แม้เดชสิทธิ์จะรู้เท่าทันความคิดและรีบขวางไว้ ทว่าเจิมจันทร์กลับเดินทะลุผ่านร่างเขาไปอย่างไม่ไยดี
“พี่เดชเป็นคนบังคับให้ฉันทำแบบนี้ เกลียดฉัน ชังน้ำหน้าฉันนักใช่ไหม ได้!” พูดจบเจิมจันทร์ก็เดินกระแทกส้นเท้า ตึง ตึง ตึง ลงบันได พลางกัดฟันกรอดจนเห็นสันกรามนูนชัด ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกลียดฝังรากลึกจนถึงจิตวิญญาณ
เมื่อปลายเท้ากระแทกลงบนตีนบันได เจิมจันทร์ก็ตะโกนกร้าวอย่างเดือดดาล
“ถ้าไม่มีมึงสักคน! ถ้าไม่มีมึงเขาก็ต้องรักกู อีขวัญฤดีจงออกมา!”
‘กรี๊ด!’ หญิงสาวรูปร่างบอบบางถูกกระชากแรงออกมาจากตีนบันได เธอมีใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวสมเชื้อชาติลูกครึ่งไทยจีน สวมเดรสสีชมพูลายดอกกุหลาบ มัดผมเป็นหางม้ารวบสูง
เธอเป็นดวงวิญญาณสาวที่มีอายุแค่เพียงยี่สิบกลางๆ แม้จะตายไปนานนับห้าสิบปี แต่ก็ยังคงความงามเอาไว้ราวกับกาลเวลาหยุดเดิน ซึ่งนี่ทำให้เจิมจันทร์นึกขุ่นใจแทบทุกครั้งที่มองหน้า เพราะแม้นางจะร่ายอาคมพยายามยื้อความชราไว้เพียงใด แต่ก็ทำได้แค่เพียงหยุดความเหี่ยวย่นไว้ที่อายุราวสี่สิบห้าปีเท่านั้น แม้จะสวยกว่าเพื่อนวัยใกล้ฝั่ง แต่ก็มิได้นำมาซึ่งความพึงพอใจเลย
ขวัญฤดีเงยหน้ามองเจิมจันทร์ด้วยสายตาเกลียดชังไม่แพ้เดชสิทธิ์
‘อย่าทำอะไรขวัญนะ ถ้าเธอโกรธฉันก็มาทำร้ายฉัน’
เดชสิทธิ์ยืนอยู่ด้านบนของตีนบันได ตะโกนลงมาด้วยความเป็นห่วงขวัญฤดี แต่ลำพังตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด แค่จะลงไปช่วยหญิงคนรักก็ยังไม่อาจทำได้ เพราะถูกสะกดให้อยู่แต่บนเรือน ทุกข์ทรมานจากการเฝ้ามองคนรักโดยมิได้แตะต้องพูดคุย
“นี่ไงล่ะ ฉันกำลังลงโทษพี่อยู่!” เจิมจันทร์หัวเราะร่วนอย่างสะใจ
“วิธีไหนมันจะทำให้พี่เจ็บได้เท่าวิธีนี้ล่ะพี่เดช!”
เจิมจันทร์กำผมหางม้าของขวัญฤดีแล้วกระชากเต็มแรง
‘โอ๊ย!’ วิญญาณขวัญฤดีเจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ไม่อาจสู้หรือแม้แต่จะขยับกายขัดขืน เพราะถูกเจิมจันทร์สะกดไว้ไม่ให้ขยับตัวได้ราวกับรูปปั้น
‘พอได้แล้วเจิม ฉันขอล่ะ’
เดชสิทธิ์รู้สึกราวกับถูกกระชากหัวใจออกไปขยำขยี้ หากเขาไม่รักขวัญฤดี เธอก็คงไม่ต้องพบกับจุดจบเช่นนี้ ไม่ต้องตายด้วยน้ำมือของผู้หญิงโรคจิตอย่างเจิมจันทร์ ตายแล้วใช่จะพ้นทุกข์แต่กลับถูกกักขังวิญญาณให้ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส
“ขอเหรอ ได้สิฉันจะให้!” เจิมจันทร์แสยะยิ้มก่อนจะเงื้อมือฟาดลงบนใบหน้าของขวัญฤดี
เพียะ!
เจิมจันทร์ตบแรงซ้ำๆ จนเลือดสีแดงชาดไหลกบปาก ขวัญฤดีเจ็บปวดแต่พยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ ไม่ต้องการร้องไห้ให้อีหญิงชั่วได้ใจ ถ้าเธอร่ำร้องขอความเมตตามันก็จะยิ่งมีความสุข
‘เจิมจันทร์... หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!’
เดชสิทธิ์โกรธจนเกิดลมพัดจากพลังวิญญาณแรงราวพายุ! แม้เขาจะตายเป็นผีโดนสะกดไว้ไม่ให้ไปเกิดหรือออกจากเรือนได้ แต่เมื่อยามเกิดเป็นมนุษย์เขาได้สั่งสมผลบุญไว้มากเช่นกัน จึงมีฤทธิ์พอที่จะทำหรือเสกอะไรได้ แต่ก็ไม่อาจทำได้บ่อยนัก เพราะเขาไม่ควรใช้สอยบุญโดยประมาท
เจิมจันทร์พยายามกลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก ยิ่งเห็นสามีรักและปกป้องขวัญฤดีมากเท่าไร นางก็ยิ่งเจ็บปวดเจียนบ้า
จังหวะนั้น มีแสงไฟจากหน้ารถยนต์สาดเข้ามา ก่อนหยุดลงที่ใต้ต้นราชพฤกษ์ซึ่งเป็นที่จอดรถของคนบ้านเสน่ห์จันทน์
ดมิสากลับมาแล้ว...
เจิมจันทร์ปล่อยขวัญฤดีอย่างเสียไม่ได้ นางกัดฟันกรอด กระซิบย้ำเตือนด้วยความสาแก่ใจ
“เอาไว้ฉันว่างแล้วจะมาเล่นด้วยใหม่นะขวัญ เธอจะได้ไม่เหงามือเหงาตีน!”
พูดจบ เจิมจันทร์ก็เดินกระแทกเท้ากลับขึ้นเรือนเพราะหลานสาวคนนี้มีพลังจิตและสามารถเห็นผีได้ แม้นางจะร่ายอาคมไม่ให้ดมิสาเห็นผีรับใช้ในบ้าน แต่นางก็ไม่อาจชะล่าใจเพราะไม่รู้ว่ามนตร์จะเสื่อมลงเมื่อไหร่ นางจึงต้องร่ายมนตร์สำทับเป็นประจำสม่ำเสมอ
อีเด็กนี่มันร้ายนัก ทำไมเจิมจันทร์จะไม่รู้ว่ามันส่งดวงวิญญาณไปเกิดไม่เว้นแต่ละวัน แม้วิญญาณเลวทรามกระทำการโฉดชั่ว มันก็ไล่เปิงไปหมด บ้างพยายามทำร้ายมันแล้วถูกแสงพระผงที่มันห้อยคอไว้ประจำจน ตกนรกหมกไหม้ไปก็มี พลังจิตของมันสูงจนวิญญาณร้ายแบบอีพวงยังเว้นไว้ไม่ขอกินดมิสาเด็ดขาด กลัวปวดท้องหรืออาเจียนเป็นเลือดแทนยางเหนียวสีดำที่มันมีอยู่ เห็นจะมีก็แต่อีกุมารีที่สถิตในจี้เครื่องรางนั่น ที่ยอมอยู่กับดมิสา
ทำไมน่ะหรือ... ก็เพราะมันร้ายกาจเหมือนกันอย่างไรล่ะ!
เจิมจันทร์จะยอมให้ดมิสารู้เรื่องมนตร์ดำหรือการกักขังวิญญาณในบ้านไม่ได้ อีเด็กนี่มันแส่ ชอบเสือกยื่นมือไปช่วยคนนั้นคนนี้ ทุกวันนี้มันก็เปิดคลินิกรักษาฟรีที่หน้าบ้าน ปล่อยให้พวกคนยากจนเข้ามาเหยียบอาณาเขตเรือนเสน่ห์จันทน์ที่สูงส่ง! หากมันรู้เรื่องเดชสิทธิ์หรือขวัญฤดี มันต้องหาทางปลดปล่อยทั้งสองคนเป็นแน่ และถ้ามันขอให้พระดิน หลวงลุงของมันมาช่วย...คงจบเห่กันพอดี!
******************
เมื่อเจิมจันทร์คล้อยหลังไป วิญญาณชายหนุ่มก็มองหญิงคนรักทั้งน้ำตา
‘พี่ขอโทษ ขอโทษที่ทำให้น้องขวัญต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้’
เขาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกผิดต่อคนรักสาวจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
‘ขวัญไม่เป็นไรค่ะ อีกไม่กี่วันก็หายเจ็บแล้ว พี่เดชไม่ต้องเป็นห่วงขวัญนะคะ แค่พี่เดชรักขวัญ เพียงแค่นี้ขวัญก็สุขใจแล้ว ขวัญทนได้ค่ะ ต่อให้เจิมจันทร์มันจะทรมานขวัญมากแค่ไหน ขวัญก็จะทน’
วิญญาณสาวแหงนหน้าขึ้นมองไปบนเรือน ส่งยิ้มกว้างให้เดชสิทธิ์หมายให้เขาสบายใจ ก่อนที่ทั้งสองดวงวิญญาณจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อดมิสาเดินลงมาจากรถ...
พวงถาม ดวงตาวาววับอย่างประสงค์ร้ายและอยากฉีกเนื้อบัวบุษบากินใจจะขาด ในขณะที่เจิมจันทร์เงียบคิด วิธีที่จะจัดการบัวบุษบานั้นไม่ยาก หากแต่นางต้องเลือกวิธีที่เหมาะสม และถ้าจำเป็นนางจะไม่ใช้ไสยศาสตร์ ด้วยกลัวจะมีผลเสียต่อดีเลิศ หลานรักของนาง ซึ่งหน้าตาผิวพรรณช่างคล้ายคลึงกับ ‘เดชสิทธิ์’ ผู้เป็นสามีของเจิมจันทร์เหลือเกิน...
คิดถึงสามีแล้ว หญิงชราก็เชิดหน้าขึ้นพยายามกลบความเสียใจที่รื้นขึ้นมาในอก หากไม่ใช่เพราะเขา นางคงไม่เดินเข้าสู่สายอวิชชาเช่นนี้! สาเหตุที่นางร่ำเรียนมนตร์ดำก็เพราะความผิดหวัง ความเสียใจจากชายที่เธอหลงรักมานับสิบปี แต่ผู้ชายคนนั้นกลับไม่เคยแม้แต่จะชายตาแล ซ้ำร้ายยังควงคู่หมั้นกลับมาจากอังกฤษ ราวกับต้องการเย้ยหยันความรักที่แสนภักดีของนาง
เจ็บเสียยิ่งกว่ามีคมมีดกรีดลงบนหัวใจ เจ็บที่ไม่ได้ความรักมาครอบครอง
เจ็บที่รู้แจ้งแก่ใจว่า...เขาไม่รัก
เจิมจันทร์บากบั่นเรียนวิชาคุณไสยกับอาจารย์มอญ อีกทั้งยังเรียนรู้วิชาโหราศาสตร์จากตำราที่บรรพบุรุษส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นนอก จากนางจะมีคาถาอาคมแก่กล้าแล้ว นางยังเชื่อว่านางอยู่เหนือชะตาฟ้าลิขิต เพราะนางสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้จากการตรวจดวงชะตา
‘แม่นายเจ้าขา แม่นาย’
“มึงเงียบปากไปเลยอีพวง!”
เจิมจันทร์ตวาด ผีอีพวงจึงคอหดล่าถอยและกลายเป็นควันลอยหายไปด้วยความรักตัวกลัวตาย ปล่อยให้หญิงชรานั่งใช้ความคิดอยู่ในห้องพระครู่หนึ่ง นางจึงเดินออกมาจากห้องพระแล้วหยุดยืนอยู่กลางห้องนอน เหลียวไปทางขวา จ้องมองรูปภาพใครบางคนด้วยสายตาปวดร้าว
เป็นรูปภาพของชายหนุ่มผู้หนึ่ง เขาหน้าตาดี มีนามว่า เดชสิทธิ์ ในรูปเขาสวมสูทเนื่องจากทำงานอยู่ในสถานทูต เรียกได้ว่าอนาคตไกล เป็นชายในฝันที่สาวๆ ต่างหมายปอง
และที่สำคัญ...เขาเป็นสามีของนาง!
แม้จะอยู่ร่วมบ้านกันแต่ก็เหมือนอยู่ไกลแสนไกล เมื่อเดชสิทธิ์คอยหลบหน้านางตลอด ทั้งที่นางรักและคิดถึงเขาแทบทุกลมหายใจ เจิมจันทร์ไม่รอช้า เดินออกจากเรือนนอนของตนเอง ตรงไปยังห้องนอนของสามีซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนของดมิสา
“พี่เดชคะ” เจิมจันทร์เปิดประตูเข้าไปในห้อง ร้องเรียก
สิ่งที่นางได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า
แต่เจิมจันทร์รู้...รู้ว่าเดชสิทธิ์อยู่ในห้องนี้
ก็เขาจะไม่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างไรเล่า ในเมื่อนางเป็นคนสะกดวิญญาณของเขาไว้ที่นี่ด้วยตัวนางเอง!
“ออกมาเดี๋ยวนี้ นี่เป็นคำสั่ง!”
เจิมจันทร์ตะคอกห้วนอย่างเดือดดาล และนั่นทำให้เดชสิทธิ์ปรากฏตัวขึ้น เขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้นเพราะถูกอำนาจของเจิมจันทร์กระชากเขาลงมาจากคาน
เดชสิทธิ์เป็นวิญญาณหนุ่มวัยสามสิบปีต้นๆ เขามีใบหน้าหล่อเหลา อบอุ่น เรียกได้ว่าดีเลิศผู้เป็นหลานแทบจะถอดเค้าโครงหน้าตาและรูปร่างจากผู้เป็นตามาทั้งหมด เหตุนี้เองเจิมจันทร์ถึงทั้งรักและหวงดีเลิศมากกว่าหลานคนไหนๆ
“พี่เดชเจ็บหรือเปล่าคะ” เจิมจันทร์ปราดเข้าไปหาหมายจะช่วยประคอง แต่เดชสิทธิ์กลับสะบัดมือออก ดวงตาตวัดมองอย่างไม่เป็นมิตร
‘อย่ามายุ่งกับฉัน!’
เดชสิทธิ์พูดโดยที่ไม่ยอมมองหน้าเจิมจันทร์เลยแม้เพียงหางตา นั่นเพราะเขาโกรธและเกลียดผู้หญิงสารเลวคนนี้เข้าไส้! ทำไมเขาจึงเกลียดภรรยาตัวเองน่ะหรือ ก็เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ยัดเยียดความเป็นภรรยาให้เขาด้วยคุณไสยฝังรูปฝังรอย ทำเสน่ห์สารพัดเพื่อผูกมัดเขาไว้ อีกทั้งยังเลวทรามฆ่าผู้หญิงที่เขารักได้อย่างเลือดเย็น!
“พี่เดชก็รู้นี่ ว่าถ้าทำให้ฉันหงุดหงิด...จะเกิดอะไรขึ้น”
เจิมจันทร์ชักสีหน้า เชิดคางขึ้นอย่างทะนง แม้ใจจะเจ็บแปลบเมื่อเห็นเขาหมางเมินเหมือนที่เขาทำมาตลอดก็ตาม
ตอนเดชสิทธิ์มีชีวิตอยู่ กว่าเขาจะยอมพูดดีกับนางได้ก็ต้องใช้คาถา อาคมสารพัด นางทำฝังรูปฝังรอยอยู่เจ็ดปี จนมีบุตรสาวกับเดชสิทธิ์สองคน แล้วในที่สุดเขาก็ผ่ายผอม เนื่องจากถูกเสน่ห์ครอบงำเป็นเวลานาน นางกลัว...กลัวว่าเขาจะตายจึงรีบถอนคุณไสยให้เขา
เมื่อเดชสิทธิ์กลับมามีสติ และเป็นตัวเองอีกครั้ง เขาก็ขอแยกห้อง นอน ร่ำร้องหาอดีตคนรักที่ตายไปแล้ว โดยไม่แยแสนางเลยสักนิด! นางเจ็บแต่ก็ฝืนทน แม้เขาไม่รักนางก็สู้อุตส่าห์ทำดีหวังจะได้หัวใจของเขามาครอบ ครองในสักวัน แต่ชะตาชีวิตก็ไม่เข้าข้าง
เดชสิทธิ์ป่วยกระเสาะกระแสะจนนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
พอตายก็เป็นวิญญาณโผไปหานังแพศยาคนรักเก่า เจิมจันทร์โกรธจนแทบจะพังเรือนเสน่ห์จันทน์ซึ่งทำจากไม้สักให้ปลิวหายไปทั้งหลัง! นางจัดการสะกดดวงวิญญาณของสามีเอาไว้บนเรือน เกลียดนางนักก็จงเห็นหน้านางทุกวัน
อย่าได้มีโอกาสไปผุดไปเกิดอีกเลย!
******************
‘เธอคิดจะทำอะไร’
เดชสิทธิ์ชะงัก
เจิมจันทร์จากที่กำลังชักสีหน้าเชิดคางขึ้นอย่างทะนงใส่เดชสิทธิ์เมื่อครู่ ยามนี้มีรอยยิ้มเหยียดที่มุมปาก
นางไม่พูดอะไรอีกนอกจากหันหลังให้เขา ตรงไปยังประตูห้องเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้น’ ซึ่งก็ได้ผลทันตาเพราะเดชสิทธิ์หันขวับมามองหล่อน รีบร้องห้าม
‘อย่านะ!’
มีหรือที่เจิมจันทร์จะหยุดฟัง นางก้าวฉับๆ ออกไปจากห้อง แม้เดชสิทธิ์จะรู้เท่าทันความคิดและรีบขวางไว้ ทว่าเจิมจันทร์กลับเดินทะลุผ่านร่างเขาไปอย่างไม่ไยดี
“พี่เดชเป็นคนบังคับให้ฉันทำแบบนี้ เกลียดฉัน ชังน้ำหน้าฉันนักใช่ไหม ได้!” พูดจบเจิมจันทร์ก็เดินกระแทกส้นเท้า ตึง ตึง ตึง ลงบันได พลางกัดฟันกรอดจนเห็นสันกรามนูนชัด ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธเกลียดฝังรากลึกจนถึงจิตวิญญาณ
เมื่อปลายเท้ากระแทกลงบนตีนบันได เจิมจันทร์ก็ตะโกนกร้าวอย่างเดือดดาล
“ถ้าไม่มีมึงสักคน! ถ้าไม่มีมึงเขาก็ต้องรักกู อีขวัญฤดีจงออกมา!”
‘กรี๊ด!’ หญิงสาวรูปร่างบอบบางถูกกระชากแรงออกมาจากตีนบันได เธอมีใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวสมเชื้อชาติลูกครึ่งไทยจีน สวมเดรสสีชมพูลายดอกกุหลาบ มัดผมเป็นหางม้ารวบสูง
เธอเป็นดวงวิญญาณสาวที่มีอายุแค่เพียงยี่สิบกลางๆ แม้จะตายไปนานนับห้าสิบปี แต่ก็ยังคงความงามเอาไว้ราวกับกาลเวลาหยุดเดิน ซึ่งนี่ทำให้เจิมจันทร์นึกขุ่นใจแทบทุกครั้งที่มองหน้า เพราะแม้นางจะร่ายอาคมพยายามยื้อความชราไว้เพียงใด แต่ก็ทำได้แค่เพียงหยุดความเหี่ยวย่นไว้ที่อายุราวสี่สิบห้าปีเท่านั้น แม้จะสวยกว่าเพื่อนวัยใกล้ฝั่ง แต่ก็มิได้นำมาซึ่งความพึงพอใจเลย
ขวัญฤดีเงยหน้ามองเจิมจันทร์ด้วยสายตาเกลียดชังไม่แพ้เดชสิทธิ์
‘อย่าทำอะไรขวัญนะ ถ้าเธอโกรธฉันก็มาทำร้ายฉัน’
เดชสิทธิ์ยืนอยู่ด้านบนของตีนบันได ตะโกนลงมาด้วยความเป็นห่วงขวัญฤดี แต่ลำพังตัวเขาเองก็ยังเอาตัวไม่รอด แค่จะลงไปช่วยหญิงคนรักก็ยังไม่อาจทำได้ เพราะถูกสะกดให้อยู่แต่บนเรือน ทุกข์ทรมานจากการเฝ้ามองคนรักโดยมิได้แตะต้องพูดคุย
“นี่ไงล่ะ ฉันกำลังลงโทษพี่อยู่!” เจิมจันทร์หัวเราะร่วนอย่างสะใจ
“วิธีไหนมันจะทำให้พี่เจ็บได้เท่าวิธีนี้ล่ะพี่เดช!”
เจิมจันทร์กำผมหางม้าของขวัญฤดีแล้วกระชากเต็มแรง
‘โอ๊ย!’ วิญญาณขวัญฤดีเจ็บจนน้ำตาเล็ด แต่ไม่อาจสู้หรือแม้แต่จะขยับกายขัดขืน เพราะถูกเจิมจันทร์สะกดไว้ไม่ให้ขยับตัวได้ราวกับรูปปั้น
‘พอได้แล้วเจิม ฉันขอล่ะ’
เดชสิทธิ์รู้สึกราวกับถูกกระชากหัวใจออกไปขยำขยี้ หากเขาไม่รักขวัญฤดี เธอก็คงไม่ต้องพบกับจุดจบเช่นนี้ ไม่ต้องตายด้วยน้ำมือของผู้หญิงโรคจิตอย่างเจิมจันทร์ ตายแล้วใช่จะพ้นทุกข์แต่กลับถูกกักขังวิญญาณให้ได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส
“ขอเหรอ ได้สิฉันจะให้!” เจิมจันทร์แสยะยิ้มก่อนจะเงื้อมือฟาดลงบนใบหน้าของขวัญฤดี
เพียะ!
เจิมจันทร์ตบแรงซ้ำๆ จนเลือดสีแดงชาดไหลกบปาก ขวัญฤดีเจ็บปวดแต่พยายามกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ ไม่ต้องการร้องไห้ให้อีหญิงชั่วได้ใจ ถ้าเธอร่ำร้องขอความเมตตามันก็จะยิ่งมีความสุข
‘เจิมจันทร์... หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!’
เดชสิทธิ์โกรธจนเกิดลมพัดจากพลังวิญญาณแรงราวพายุ! แม้เขาจะตายเป็นผีโดนสะกดไว้ไม่ให้ไปเกิดหรือออกจากเรือนได้ แต่เมื่อยามเกิดเป็นมนุษย์เขาได้สั่งสมผลบุญไว้มากเช่นกัน จึงมีฤทธิ์พอที่จะทำหรือเสกอะไรได้ แต่ก็ไม่อาจทำได้บ่อยนัก เพราะเขาไม่ควรใช้สอยบุญโดยประมาท
เจิมจันทร์พยายามกลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก ยิ่งเห็นสามีรักและปกป้องขวัญฤดีมากเท่าไร นางก็ยิ่งเจ็บปวดเจียนบ้า
จังหวะนั้น มีแสงไฟจากหน้ารถยนต์สาดเข้ามา ก่อนหยุดลงที่ใต้ต้นราชพฤกษ์ซึ่งเป็นที่จอดรถของคนบ้านเสน่ห์จันทน์
ดมิสากลับมาแล้ว...
เจิมจันทร์ปล่อยขวัญฤดีอย่างเสียไม่ได้ นางกัดฟันกรอด กระซิบย้ำเตือนด้วยความสาแก่ใจ
“เอาไว้ฉันว่างแล้วจะมาเล่นด้วยใหม่นะขวัญ เธอจะได้ไม่เหงามือเหงาตีน!”
พูดจบ เจิมจันทร์ก็เดินกระแทกเท้ากลับขึ้นเรือนเพราะหลานสาวคนนี้มีพลังจิตและสามารถเห็นผีได้ แม้นางจะร่ายอาคมไม่ให้ดมิสาเห็นผีรับใช้ในบ้าน แต่นางก็ไม่อาจชะล่าใจเพราะไม่รู้ว่ามนตร์จะเสื่อมลงเมื่อไหร่ นางจึงต้องร่ายมนตร์สำทับเป็นประจำสม่ำเสมอ
อีเด็กนี่มันร้ายนัก ทำไมเจิมจันทร์จะไม่รู้ว่ามันส่งดวงวิญญาณไปเกิดไม่เว้นแต่ละวัน แม้วิญญาณเลวทรามกระทำการโฉดชั่ว มันก็ไล่เปิงไปหมด บ้างพยายามทำร้ายมันแล้วถูกแสงพระผงที่มันห้อยคอไว้ประจำจน ตกนรกหมกไหม้ไปก็มี พลังจิตของมันสูงจนวิญญาณร้ายแบบอีพวงยังเว้นไว้ไม่ขอกินดมิสาเด็ดขาด กลัวปวดท้องหรืออาเจียนเป็นเลือดแทนยางเหนียวสีดำที่มันมีอยู่ เห็นจะมีก็แต่อีกุมารีที่สถิตในจี้เครื่องรางนั่น ที่ยอมอยู่กับดมิสา
ทำไมน่ะหรือ... ก็เพราะมันร้ายกาจเหมือนกันอย่างไรล่ะ!
เจิมจันทร์จะยอมให้ดมิสารู้เรื่องมนตร์ดำหรือการกักขังวิญญาณในบ้านไม่ได้ อีเด็กนี่มันแส่ ชอบเสือกยื่นมือไปช่วยคนนั้นคนนี้ ทุกวันนี้มันก็เปิดคลินิกรักษาฟรีที่หน้าบ้าน ปล่อยให้พวกคนยากจนเข้ามาเหยียบอาณาเขตเรือนเสน่ห์จันทน์ที่สูงส่ง! หากมันรู้เรื่องเดชสิทธิ์หรือขวัญฤดี มันต้องหาทางปลดปล่อยทั้งสองคนเป็นแน่ และถ้ามันขอให้พระดิน หลวงลุงของมันมาช่วย...คงจบเห่กันพอดี!
******************
เมื่อเจิมจันทร์คล้อยหลังไป วิญญาณชายหนุ่มก็มองหญิงคนรักทั้งน้ำตา
‘พี่ขอโทษ ขอโทษที่ทำให้น้องขวัญต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้’
เขาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกผิดต่อคนรักสาวจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
‘ขวัญไม่เป็นไรค่ะ อีกไม่กี่วันก็หายเจ็บแล้ว พี่เดชไม่ต้องเป็นห่วงขวัญนะคะ แค่พี่เดชรักขวัญ เพียงแค่นี้ขวัญก็สุขใจแล้ว ขวัญทนได้ค่ะ ต่อให้เจิมจันทร์มันจะทรมานขวัญมากแค่ไหน ขวัญก็จะทน’
วิญญาณสาวแหงนหน้าขึ้นมองไปบนเรือน ส่งยิ้มกว้างให้เดชสิทธิ์หมายให้เขาสบายใจ ก่อนที่ทั้งสองดวงวิญญาณจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อดมิสาเดินลงมาจากรถ...
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2561, 14:31:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ธ.ค. 2561, 14:31:36 น.
จำนวนการเข้าชม : 608
<< บทที่ 3 สามีที่ไร้รัก -50% | บทที่ 4 ความลับของทวดแสง -50% >> |