ราคีสีเพลิง:รังสี ดุจดาริน รางนาก(ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ดีเลิศ’ และ ‘บัวบุษบา’ แต่งงานกันท่ามกลางความขัดแย้งของสองตระกูล
ท่ามกลางความเกลียดชังของยาย ‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’
ผู้ไม่มีวันยอมรับหลานสะใภ้นอกคอกอย่างหล่อน!
หลายปีที่ชายหนุ่มประคับประคองครอบครัวอย่างดีเลิศสมชื่อ
บัวบุษบากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนแทบทุกคืน
ไหนยังตะกรุดประหลาดที่ทิ้งไปกี่ครั้งก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสมอ
และความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีใครจับจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดเวลา
ทำให้บัวบุษบารู้สึกกลัว ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ อันแสนลึกลับ
มากพอๆ กับที่หล่อนกลัว ‘ความจริง’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ความฝัน’ ของตนเอง!
*******************
ใครชอบแนวนิยายรักโรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ มีการเล่นคุณไสยมนตร์ดำ อิจฉาริษยา ปมกลับชาติมาเกิด และเหล่าบริวารผีรับใช้ จัดไป! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อราคีสีเพลิง ราคา 218฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 258฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 278฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
*******************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (ราคีสีเพลิง เป็นเรื่องราวของหลานชายคนโต หนุ่มเนื้อหอมประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
ท่ามกลางความเกลียดชังของยาย ‘เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์’
ผู้ไม่มีวันยอมรับหลานสะใภ้นอกคอกอย่างหล่อน!
หลายปีที่ชายหนุ่มประคับประคองครอบครัวอย่างดีเลิศสมชื่อ
บัวบุษบากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนแทบทุกคืน
ไหนยังตะกรุดประหลาดที่ทิ้งไปกี่ครั้งก็กลับมาอยู่ที่เดิมได้เสมอ
และความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีใครจับจ้องมองหล่อนอยู่ตลอดเวลา
ทำให้บัวบุษบารู้สึกกลัว ‘เรือนเสน่ห์จันทน์’ อันแสนลึกลับ
มากพอๆ กับที่หล่อนกลัว ‘ความจริง’ ที่ซ่อนอยู่ใน ‘ความฝัน’ ของตนเอง!
*******************
ใครชอบแนวนิยายรักโรแมนติก ดราม่า สยองขวัญ มีการเล่นคุณไสยมนตร์ดำ อิจฉาริษยา ปมกลับชาติมาเกิด และเหล่าบริวารผีรับใช้ จัดไป! ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์นำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ
*******************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooktogothailand
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
สั่งซื้อราคีสีเพลิง ราคา 218฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 258฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 278฿)
ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ เลื่อมลายพรายจันทร์ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
*******************
หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)
*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้า แต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป (ราคีสีเพลิง เป็นเรื่องราวของหลานชายคนโต หนุ่มเนื้อหอมประจำบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผี ดราม่า ริษยา โรมานซ์ กลับชาติมาเกิด คุณไสย
ตอน: บทที่ 4 ความลับของทวดแสง -50%
บ้านมิ่งมงคลเป็นบ้านเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หก เป็นยุคที่บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นไม่ฝืดเคือง ชาวไทยนิยมความประณีตงดงาม โดยเฉพาะความหรูหราของเรือนตามแบบตะวันตก บ้านมิ่งมงคลจึงถูกสร้างในสไตล์วิกตอเรียน มีห้องมุขแปดเหลี่ยม ยกพื้นสูงด้วยบันไดเก้าขั้น ชั้นล่างเทปูนเปลือยและปูกระเบื้องออกมาถึงลานน้ำตกหน้าบ้าน ซึ่งเพิ่งต่อเติมเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน
ตัวเรือนเป็นไม้สัก ได้รับการดูแลอย่างดีและตกแต่งด้วยลายฉลุที่เรียกว่าขนมปังขิง
บัวบุษบาจูงมือดีเลิศเดินเข้ามาจนถึงหน้าบ้านที่เธอเกิดและเติบโต
หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างมีความสุข พาสามีเข้าไปกราบมารดาที่ใต้ถุนบ้านซึ่งมีที่นั่งพักรับรองแขก บุษบง...มารดาของบัวบุษบา เป็นหญิงสูงวัยตัดผมสั้นและม้วนปลายใกล้ใบหู นางมีรอยยิ้มใจดีและชอบทำขนม ดังนั้นตรงหน้าบัวบุษบาและดีเลิศจึงมีขนมไทยตำรับชาววังซึ่งตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นวางอยู่หลายขนาน
“ผมชอบอันนี้จังครับคุณแม่ นี่เรียกว่าอะไรครับ”
ดีเลิศชี้ปลายส้อมขนาดเล็กลงยังขนมแป้งข้าวเหนียวที่กวนกับกะทิและน้ำตาลจนเหนียววางอยู่บนใบตองห่อเล็กจิ๋ว โรยเมล็ดแตงโมคั่ว นอก จากรสชาติหวานมันอร่อย กรุบกรอบด้วยเมล็ดแตงโมแล้ว ยังหอมใบตอง ใบเตย และมีกลิ่นเทียนอบอ่อนๆ จนชายหนุ่มชักหลงรักรสมือแม่ยาย
“จ่ามงกุฎจ้ะ” บุษบงตอบด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรามากันได้เวลาพอดี แม่ห่อเสร็จแล้วตากแดดไว้เพิ่งจะเก็บเข้ามา กำลังหอมอร่อยเชียว บัวเขาชอบมาก ตอนเด็กๆ คะยั้นคะยอให้แม่ทำประจำ แต่พอจะสอนให้จำละก็เอาแต่กิน ไม่ไหวเลยลูกคนนี้”
“อ้าว...” บัวบุษบาประท้วงกลั้วเสียงหัวเราะ
“อย่าขายลูกสาวสิคะแม่”
“ขายไม่ขายแม่ก็ยกเราให้พี่โตเขาไปแล้วละย่ะ”
บุษบงยังคงแซวลูกสาวยิ้มๆ คนเป็นลูกเองก็หัวเราะ ก่อนลุกไปนั่งข้างร่างอวบนุ่มของมารดากอดประจบ บุษบงนั้นราวกับมีไออุ่นบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างเสมอ...
ไออุ่นของความเป็นแม่
“พอๆ ไม่ต้องมาประจบแม่” นางตีที่แขนเรียวเสลาของลูกสาวอย่างมันเขี้ยว
“พาพี่โตเขาไปกราบคุณทวดไป เดี๋ยวพ่อก็จะกลับแล้ว วันนี้กินข้าวเย็นที่นี่กันนะลูก แม่บอกพ่อไว้แล้ว”
เมื่อเห็นลูกเขยและลูกสาวดูอึดอัดกับคำชวน บุษบงก็โบกไม้โบกมืออย่างเข้าใจ ตั้งแต่ดีเลิศมาติดพันบัวบุษบา นางก็ได้เห็นธาตุแท้ของเจิมจันทร์มากมาย ว่าไม่ได้ ‘ดี’ จริงดั่งคำสรรเสริญเยินยอของคนแถวนี้หรอก แต่ออกจะสถุลเสียด้วยซ้ำ แต่ลูกสาวของนางรักหลานชายเขา เต็มใจอยู่บ้านเขา ตราบที่เด็กทั้งสองยังมั่นคงต่อกัน นางจะแยกเอาลูกกลับมาเก็บไว้ที่บ้านก็คงเป็นไปไม่ได้
ชีวิตเขา เขาเลือกแล้ว...
ต่อไปก็คงไม่แคล้วขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าดิน
“แม่รู้ว่าโตต้องกลับไปกินข้าวกับป้าเจิม อย่างไรก็ขัดไม่ได้ แม่เลยสั่งเด็กจัดสำรับไว้ก่อนเวลาอาหารเย็นของบ้านเสน่ห์จันทน์ชั่วโมงนึง โตไม่ต้องกินเยอะก็ได้ลูก แค่อยู่กินข้าวกับครอบครัวแม่บ้างก็พอ”
ดีเลิศยกมือไหว้บุษบงอย่างเกรงใจและซาบซึ้งปนกัน
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะพาสามีไปกราบคุณตาทวด บารมี...บิดาของบัวบุษบาก็กลับมาจากไปทำธุระพอดี บารมีเป็นชายร่างสูงใหญ่บึกบึนไว้หนวดเฟิ้มดูน่ากลัว เขาเรียกคนงานมายกของลงจากรถแล้วค่อยเข้ามาในบ้าน เห็นลูกสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันสี่ปีก็ทำเฉย เดินไปนั่งลงข้างภรรยา แล้วหยิบแก้วน้ำตรงหน้าดีเลิศไปดื่มจนหมดแก้วทั้งที่ก็เห็นว่าลูกเขยดื่มไปบ้างแล้ว
บารมีกระแอมเมื่อเห็นทุกคนอมยิ้ม
แหม! ทั้งเมีย ทั้งลูก ทั้งเขย ไม่มีใครเกรงใจหน้าตาดุดันแบบโจรป่าของเขาเลย จะเก๊กขรึมทำเข้มเสียหน่อยก็ไม่ได้
“นี่ตกลงจะอยู่กินข้าวด้วยกันใช่ไหม หรือจะไม่กิน”
ชายสูงวัยเอ่ยด้วยเสียงเข้มดุดันราวมหาโจร จนบุษบงหัวเราะ อดไม่ได้ตีเบาๆ ที่กล้ามแขนใหญ่ยักษ์ของสามีอย่างหมั่นไส้
“กินค่ะกิน เลิกทำดุใส่ลูกเขยเถอะค่ะพี่มี โตเนี่ยเขาวิ่งเล่นอยู่แถวบ้านเราแต่อ้อนแต่ออก เห็นนิสัยใจคอพี่หมดเปลือกแล้ว มาทำเข้มเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วค่ะ เชื่อบุษเถอะ”
ดีเลิศหัวเราะตาม จริงอย่างที่บุษบงว่า บารมีนั้นเป็นชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มมาแต่ไหนแต่ไร เขาชอบสวมเสื้อลายสกอตสีดำและเดินเข้าไปตรวจงานในสวนผลไม้ของบ้านมิ่งมงคล แต่ก่อนหากดีเลิศและน้องๆ เข้ามาเล่นซนในสวน บารมีก็จะสั่งคนงานปีนมะพร้าวมาเฉาะให้กินสดๆ เสมอ สั่งให้คนงานวิ่งกลับไปบอกให้บุษบงทำน้ำปลาหวานแล้ววิ่งกลับมาให้จิ้มกับมะม่วงเปรี้ยวก็เคย เขารักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ ขัดกับหน้าตาโหดเหี้ยมดั่งโจรอยู่มาก
แต่เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มมาติดพันรักใคร่กับลูกสาว บารมีก็วางท่าเป็นพ่อผู้ดุดันทันที แต่ก็อย่างที่บุษบงว่า... เขาทำเข้มไม่ทันแล้ว ก็เห็นกันมานานเสียขนาดนี้
เมื่อบารมีกลับมาถึงบ้าน เจ้าบัวลอยสุนัขพันธุ์ชิบะอินุผสมพันทางก็วิ่งออกมาจากในสวนมาเคลียคลอเจ้านายอย่างรักใคร่ เมื่อสิบกว่าปีก่อนบัวบุษบาและดีเลิศลงขันกันซื้อสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นของขวัญวันเกิดให้ ดมิสาชื่อว่า บุญเลิศ บัวลอยเป็นหนึ่งในลูกของบุญเลิศที่มันไปไข่ทิ้งไว้กับแม่หมาสาวของคนข้างบ้าน บารมีนั้นไปขอมาเลี้ยงตัวหนึ่ง ตอนนี้มันจึงมีอายุราวสิบห้าปี นับว่าชราเลยทีเดียว ทั้งที่พี่น้องคอกเดียวกับมันตายจากไปหมดแล้ว บุญเลิศเองก็ด้วย
“นี่บัวลอยมันยังแข็งแรงอยู่เลยนะ โตลองมาเล่นกับมันดูไหม”
เมื่อบิดาลากตัวสามีออกไปเล่นโยนไม้กับบัวลอยและดูจะไม่ปล่อยตัวกลับมาคืนเธอง่ายๆ บัวบุษบาจึงขอตัวผละจากมารดาไปกราบสวัสดีคุณตาทวดตามลำพัง
หญิงสาวก้าวขึ้นบันไดปูนเปลือยสู่บริเวณบ้านไม้เก่าแก่ เธอพบคุณตาทวดกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยกในห้องรับรองแขก โดยมีคนรับใช้นั่งคอยดูแลเผื่อท่านเรียกใช้อยู่ไม่ห่าง
ทวดแสงอายุอานามก็ย่างเข้าเก้าสิบหกปีแล้ว แต่สุขภาพร่างกายนับว่ายังแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน เพราะขยันออกกำลังกายและทานข้าวกับน้ำพริกผักต้มเป็นประจำ อีกทั้งยังสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจทำให้จิตมีสมาธิไม่หลงลืมแบบคนแก่ทั่วไป
“คุณทวดคะ” หญิงสาวเรียกอ่อนหวาน ก่อนนั่งพับเพียบกราบลงแทบเท้าท่าน
“บัวกลับมาแล้วค่ะ”
ทวดแสงลดหนังสือลงมองบัวบุษบาผ่านแว่นสายตา ครานั้นเองใบหน้าชายชราเผยรอยยิ้ม น้ำตารื้น
ท่านถึงกับวางหนังสือลงที่โต๊ะข้างตัวแล้วก้มลงสวมกอดเธอแน่น
ทวดผอมลงไปมาก...บัวบุษบารู้สึกได้จากอ้อมกอดของท่าน หญิงสาวใจหายเมื่อคิดว่าทวดแสงแก่ตัวลงมากแล้วจริงๆ
หญิงสาวบีบนวดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของท่านอยู่นาน เด็กรับใช้จึงเลี่ยงไปอีกทางเพื่อช่วยในครัวจัดเตรียมอาหาร ทวดแสงหัวเราะบ่อยกว่าทุกวันด้วยความชื่นใจที่ได้พบหน้าหลานรักอีกครั้งก่อนตาย แต่เมื่อพิศมองใบหน้างดงามของเธอแล้ว เขาก็อดกังวลไม่ได้
“ยายเจิมเขากลั่นแกล้งอะไรเราบ้างไหม เขายอมรับเราหรือยัง”
“คุณยายก็...เอ่อ...ไม่ได้แกล้งอะไรบัวค่ะ”
บัวบุษบาตอบไม่เต็มเสียง ด้วยไม่อยากให้ท่านเป็นกังวล ทั้งที่หญิงสาวไม่อยากโกหกคุณทวดเลย แต่เธอจำเป็น
“ความจริงคุณยายอาจจะเหมือนคนแก่ทั่วไปที่อยากให้ลูกหลานเข้าหา บัวอาจเข้าหาท่านไม่พอ”
“มันยังไม่ยอมรับเราละสิ” ทวดแสงเหยียดยิ้มหยัน
“นังเจิมมันไม่เหมือนใครดอก คนแบบมันเหมือนไม่ใช่คนเสียด้วยซ้ำไป!”
น้ำเสียงของทวดแสงกร้าวขึ้นมาไม่รู้ตัว ดวงตาฝ้าฟางมองไปยังทิศที่เป็นเรือนเสน่ห์จันทน์ ความโกรธยังกัดกินสีหน้าและแววตาของท่าน
“คุณทวดคะ” บัวบุษบาวางมือลงบนหลังมือที่เหี่ยวย่น และนั่นเรียกสติทวดแสงได้ดี ท่านกลับมาควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเดิม
“บัวต้องขอโทษด้วยที่บัวถือวิสาสะถาม แต่...คุณทวดกับคุณยายมีเรื่องบาดหมางอะไรกันเหรอคะ บัวไม่เคยเห็นคุณทวดโกรธเกลียดใครแบบที่เกลียดคุณยายเลย”
ชายชราปิดปากเงียบ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง บัวบุษบาจึงถอนหายใจยาว ก่อนพยายามยิ้มชวนท่านคุยเรื่องอื่น กระทั่งบารมีพาดีเลิศขึ้นมากราบสวัสดี และบอกว่าอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว บ้านมิ่งมงคลจึงได้รวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร ทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและไออุ่นของครอบครัว แบบที่หาไม่ได้เลยในเรือนเสน่ห์จันทน์...
ตัวเรือนเป็นไม้สัก ได้รับการดูแลอย่างดีและตกแต่งด้วยลายฉลุที่เรียกว่าขนมปังขิง
บัวบุษบาจูงมือดีเลิศเดินเข้ามาจนถึงหน้าบ้านที่เธอเกิดและเติบโต
หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างมีความสุข พาสามีเข้าไปกราบมารดาที่ใต้ถุนบ้านซึ่งมีที่นั่งพักรับรองแขก บุษบง...มารดาของบัวบุษบา เป็นหญิงสูงวัยตัดผมสั้นและม้วนปลายใกล้ใบหู นางมีรอยยิ้มใจดีและชอบทำขนม ดังนั้นตรงหน้าบัวบุษบาและดีเลิศจึงมีขนมไทยตำรับชาววังซึ่งตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นวางอยู่หลายขนาน
“ผมชอบอันนี้จังครับคุณแม่ นี่เรียกว่าอะไรครับ”
ดีเลิศชี้ปลายส้อมขนาดเล็กลงยังขนมแป้งข้าวเหนียวที่กวนกับกะทิและน้ำตาลจนเหนียววางอยู่บนใบตองห่อเล็กจิ๋ว โรยเมล็ดแตงโมคั่ว นอก จากรสชาติหวานมันอร่อย กรุบกรอบด้วยเมล็ดแตงโมแล้ว ยังหอมใบตอง ใบเตย และมีกลิ่นเทียนอบอ่อนๆ จนชายหนุ่มชักหลงรักรสมือแม่ยาย
“จ่ามงกุฎจ้ะ” บุษบงตอบด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรามากันได้เวลาพอดี แม่ห่อเสร็จแล้วตากแดดไว้เพิ่งจะเก็บเข้ามา กำลังหอมอร่อยเชียว บัวเขาชอบมาก ตอนเด็กๆ คะยั้นคะยอให้แม่ทำประจำ แต่พอจะสอนให้จำละก็เอาแต่กิน ไม่ไหวเลยลูกคนนี้”
“อ้าว...” บัวบุษบาประท้วงกลั้วเสียงหัวเราะ
“อย่าขายลูกสาวสิคะแม่”
“ขายไม่ขายแม่ก็ยกเราให้พี่โตเขาไปแล้วละย่ะ”
บุษบงยังคงแซวลูกสาวยิ้มๆ คนเป็นลูกเองก็หัวเราะ ก่อนลุกไปนั่งข้างร่างอวบนุ่มของมารดากอดประจบ บุษบงนั้นราวกับมีไออุ่นบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างเสมอ...
ไออุ่นของความเป็นแม่
“พอๆ ไม่ต้องมาประจบแม่” นางตีที่แขนเรียวเสลาของลูกสาวอย่างมันเขี้ยว
“พาพี่โตเขาไปกราบคุณทวดไป เดี๋ยวพ่อก็จะกลับแล้ว วันนี้กินข้าวเย็นที่นี่กันนะลูก แม่บอกพ่อไว้แล้ว”
เมื่อเห็นลูกเขยและลูกสาวดูอึดอัดกับคำชวน บุษบงก็โบกไม้โบกมืออย่างเข้าใจ ตั้งแต่ดีเลิศมาติดพันบัวบุษบา นางก็ได้เห็นธาตุแท้ของเจิมจันทร์มากมาย ว่าไม่ได้ ‘ดี’ จริงดั่งคำสรรเสริญเยินยอของคนแถวนี้หรอก แต่ออกจะสถุลเสียด้วยซ้ำ แต่ลูกสาวของนางรักหลานชายเขา เต็มใจอยู่บ้านเขา ตราบที่เด็กทั้งสองยังมั่นคงต่อกัน นางจะแยกเอาลูกกลับมาเก็บไว้ที่บ้านก็คงเป็นไปไม่ได้
ชีวิตเขา เขาเลือกแล้ว...
ต่อไปก็คงไม่แคล้วขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าดิน
“แม่รู้ว่าโตต้องกลับไปกินข้าวกับป้าเจิม อย่างไรก็ขัดไม่ได้ แม่เลยสั่งเด็กจัดสำรับไว้ก่อนเวลาอาหารเย็นของบ้านเสน่ห์จันทน์ชั่วโมงนึง โตไม่ต้องกินเยอะก็ได้ลูก แค่อยู่กินข้าวกับครอบครัวแม่บ้างก็พอ”
ดีเลิศยกมือไหว้บุษบงอย่างเกรงใจและซาบซึ้งปนกัน
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะพาสามีไปกราบคุณตาทวด บารมี...บิดาของบัวบุษบาก็กลับมาจากไปทำธุระพอดี บารมีเป็นชายร่างสูงใหญ่บึกบึนไว้หนวดเฟิ้มดูน่ากลัว เขาเรียกคนงานมายกของลงจากรถแล้วค่อยเข้ามาในบ้าน เห็นลูกสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันสี่ปีก็ทำเฉย เดินไปนั่งลงข้างภรรยา แล้วหยิบแก้วน้ำตรงหน้าดีเลิศไปดื่มจนหมดแก้วทั้งที่ก็เห็นว่าลูกเขยดื่มไปบ้างแล้ว
บารมีกระแอมเมื่อเห็นทุกคนอมยิ้ม
แหม! ทั้งเมีย ทั้งลูก ทั้งเขย ไม่มีใครเกรงใจหน้าตาดุดันแบบโจรป่าของเขาเลย จะเก๊กขรึมทำเข้มเสียหน่อยก็ไม่ได้
“นี่ตกลงจะอยู่กินข้าวด้วยกันใช่ไหม หรือจะไม่กิน”
ชายสูงวัยเอ่ยด้วยเสียงเข้มดุดันราวมหาโจร จนบุษบงหัวเราะ อดไม่ได้ตีเบาๆ ที่กล้ามแขนใหญ่ยักษ์ของสามีอย่างหมั่นไส้
“กินค่ะกิน เลิกทำดุใส่ลูกเขยเถอะค่ะพี่มี โตเนี่ยเขาวิ่งเล่นอยู่แถวบ้านเราแต่อ้อนแต่ออก เห็นนิสัยใจคอพี่หมดเปลือกแล้ว มาทำเข้มเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วค่ะ เชื่อบุษเถอะ”
ดีเลิศหัวเราะตาม จริงอย่างที่บุษบงว่า บารมีนั้นเป็นชายร่างใหญ่หนวดเฟิ้มมาแต่ไหนแต่ไร เขาชอบสวมเสื้อลายสกอตสีดำและเดินเข้าไปตรวจงานในสวนผลไม้ของบ้านมิ่งมงคล แต่ก่อนหากดีเลิศและน้องๆ เข้ามาเล่นซนในสวน บารมีก็จะสั่งคนงานปีนมะพร้าวมาเฉาะให้กินสดๆ เสมอ สั่งให้คนงานวิ่งกลับไปบอกให้บุษบงทำน้ำปลาหวานแล้ววิ่งกลับมาให้จิ้มกับมะม่วงเปรี้ยวก็เคย เขารักเด็ก รักสัตว์ รักธรรมชาติ ขัดกับหน้าตาโหดเหี้ยมดั่งโจรอยู่มาก
แต่เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มมาติดพันรักใคร่กับลูกสาว บารมีก็วางท่าเป็นพ่อผู้ดุดันทันที แต่ก็อย่างที่บุษบงว่า... เขาทำเข้มไม่ทันแล้ว ก็เห็นกันมานานเสียขนาดนี้
เมื่อบารมีกลับมาถึงบ้าน เจ้าบัวลอยสุนัขพันธุ์ชิบะอินุผสมพันทางก็วิ่งออกมาจากในสวนมาเคลียคลอเจ้านายอย่างรักใคร่ เมื่อสิบกว่าปีก่อนบัวบุษบาและดีเลิศลงขันกันซื้อสุนัขพันธุ์ชิบะอินุเป็นของขวัญวันเกิดให้ ดมิสาชื่อว่า บุญเลิศ บัวลอยเป็นหนึ่งในลูกของบุญเลิศที่มันไปไข่ทิ้งไว้กับแม่หมาสาวของคนข้างบ้าน บารมีนั้นไปขอมาเลี้ยงตัวหนึ่ง ตอนนี้มันจึงมีอายุราวสิบห้าปี นับว่าชราเลยทีเดียว ทั้งที่พี่น้องคอกเดียวกับมันตายจากไปหมดแล้ว บุญเลิศเองก็ด้วย
“นี่บัวลอยมันยังแข็งแรงอยู่เลยนะ โตลองมาเล่นกับมันดูไหม”
เมื่อบิดาลากตัวสามีออกไปเล่นโยนไม้กับบัวลอยและดูจะไม่ปล่อยตัวกลับมาคืนเธอง่ายๆ บัวบุษบาจึงขอตัวผละจากมารดาไปกราบสวัสดีคุณตาทวดตามลำพัง
หญิงสาวก้าวขึ้นบันไดปูนเปลือยสู่บริเวณบ้านไม้เก่าแก่ เธอพบคุณตาทวดกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้โยกในห้องรับรองแขก โดยมีคนรับใช้นั่งคอยดูแลเผื่อท่านเรียกใช้อยู่ไม่ห่าง
ทวดแสงอายุอานามก็ย่างเข้าเก้าสิบหกปีแล้ว แต่สุขภาพร่างกายนับว่ายังแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน เพราะขยันออกกำลังกายและทานข้าวกับน้ำพริกผักต้มเป็นประจำ อีกทั้งยังสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจทำให้จิตมีสมาธิไม่หลงลืมแบบคนแก่ทั่วไป
“คุณทวดคะ” หญิงสาวเรียกอ่อนหวาน ก่อนนั่งพับเพียบกราบลงแทบเท้าท่าน
“บัวกลับมาแล้วค่ะ”
ทวดแสงลดหนังสือลงมองบัวบุษบาผ่านแว่นสายตา ครานั้นเองใบหน้าชายชราเผยรอยยิ้ม น้ำตารื้น
ท่านถึงกับวางหนังสือลงที่โต๊ะข้างตัวแล้วก้มลงสวมกอดเธอแน่น
ทวดผอมลงไปมาก...บัวบุษบารู้สึกได้จากอ้อมกอดของท่าน หญิงสาวใจหายเมื่อคิดว่าทวดแสงแก่ตัวลงมากแล้วจริงๆ
หญิงสาวบีบนวดถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของท่านอยู่นาน เด็กรับใช้จึงเลี่ยงไปอีกทางเพื่อช่วยในครัวจัดเตรียมอาหาร ทวดแสงหัวเราะบ่อยกว่าทุกวันด้วยความชื่นใจที่ได้พบหน้าหลานรักอีกครั้งก่อนตาย แต่เมื่อพิศมองใบหน้างดงามของเธอแล้ว เขาก็อดกังวลไม่ได้
“ยายเจิมเขากลั่นแกล้งอะไรเราบ้างไหม เขายอมรับเราหรือยัง”
“คุณยายก็...เอ่อ...ไม่ได้แกล้งอะไรบัวค่ะ”
บัวบุษบาตอบไม่เต็มเสียง ด้วยไม่อยากให้ท่านเป็นกังวล ทั้งที่หญิงสาวไม่อยากโกหกคุณทวดเลย แต่เธอจำเป็น
“ความจริงคุณยายอาจจะเหมือนคนแก่ทั่วไปที่อยากให้ลูกหลานเข้าหา บัวอาจเข้าหาท่านไม่พอ”
“มันยังไม่ยอมรับเราละสิ” ทวดแสงเหยียดยิ้มหยัน
“นังเจิมมันไม่เหมือนใครดอก คนแบบมันเหมือนไม่ใช่คนเสียด้วยซ้ำไป!”
น้ำเสียงของทวดแสงกร้าวขึ้นมาไม่รู้ตัว ดวงตาฝ้าฟางมองไปยังทิศที่เป็นเรือนเสน่ห์จันทน์ ความโกรธยังกัดกินสีหน้าและแววตาของท่าน
“คุณทวดคะ” บัวบุษบาวางมือลงบนหลังมือที่เหี่ยวย่น และนั่นเรียกสติทวดแสงได้ดี ท่านกลับมาควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนเดิม
“บัวต้องขอโทษด้วยที่บัวถือวิสาสะถาม แต่...คุณทวดกับคุณยายมีเรื่องบาดหมางอะไรกันเหรอคะ บัวไม่เคยเห็นคุณทวดโกรธเกลียดใครแบบที่เกลียดคุณยายเลย”
ชายชราปิดปากเงียบ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง บัวบุษบาจึงถอนหายใจยาว ก่อนพยายามยิ้มชวนท่านคุยเรื่องอื่น กระทั่งบารมีพาดีเลิศขึ้นมากราบสวัสดี และบอกว่าอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว บ้านมิ่งมงคลจึงได้รวมตัวกันที่โต๊ะอาหาร ทานข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาอบอวลด้วยเสียงหัวเราะและไออุ่นของครอบครัว แบบที่หาไม่ได้เลยในเรือนเสน่ห์จันทน์...
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ธ.ค. 2561, 07:21:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ธ.ค. 2561, 07:21:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 658
<< บทที่ 3 สามีที่ไร้รัก -100% | บทที่ 4 ความลับของทวดแสง -100% >> |