จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 15

----- แวะคุยกันก่อน -----
ไม่มีอะไรมากคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้ให้กำลังใจ
ปมกำลังคลาย ความหวานกำลังจะมา
อย่าหมดกำลังอ่านกันนะคะ

วันนี้เอาเพลงนี้มาฝาก http://youtu.be/ER6lFlTCnl8
เพลงเก่ามาก เศร้ามาก ชอบ
ไปแล้วนะคะ ฝันดีนะคะ
*******************
บทที่ ๑๕

สตรีเรือนกายผ่ายผอมซีดขาวนอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียงสีขาวในห้องกั้นกระจกเต็มไปด้วยสายระโยงรยางค์มากมาย ตรงริมฝีปากแห้งตกสะเก็ดนั้นมีเครื่องช่วยหายใจสอดท่อสายเข้าไปในลำคอ ขณะที่เสียงจากเครื่องวัดสัญญาณชีพยังส่งเสียงดังเป็นระยะและแสดงผลให้รู้ว่าหัวใจยังเต้น หากตัวเลขกลับลดลงเรื่อยทีละน้อยอย่างน่าใจหาย

ชายหนุ่มในชุดปลอดเชื้อทอดสายตามองดวงหน้าไร้สีเลือดของมารดาอยู่ตรงประตูทางเข้านิ่งนาน ฝ่ามือใหญ่เกาะแน่นอยู่ตรงบานกระจกพลางเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะสูดลมหายใจหนักหน่วงพร้อมก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าและหยุดลงตรงข้างเตียงคนป่วยที่บัดนี้ถูกพญามัจจุราชดูดกลืนเอาดวงวิญญาณไปอย่างมากเสมือนเป็นซากที่ใกล้สิ้นลมหายใจ

มือขาวเย็นของศศิวิมลที่ยึดราวกั้นเตียงไว้สั่นเทา ริมฝีปากระริกไหว ภาพของแม่ในคืนวันเก่าย้อนมาให้หวนรำลึก...วันนั้นเหมือนกันกับวันนี้...เหมือนกันกับวันที่หล่อนสูญเสียผู้เป็นยิ่งกว่าชีวิตไปอย่างไม่มีวันกลับ...ใช่ ยังจำได้ไม่มีลืม ยังจำร่างขาวซีดของแม่ที่นอนบนเสื่อเหมือนคนหลับ แต่เป็นการนิทรานิจนิรันดร์ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของชีวิต

แม้นไม่มีเสียงสะอื้นหากน้ำตาจากความโศกอาดูรก็รินหลั่งรดสองข้างแก้มหยดลงบนผ้าห่มสีขาวเกิดเป็นรอยชื้น อยากพูดคุยโอบกอดคนบนเตียงรับสัมผัสความรักจากคนบนเตียงเหมือนทุกครา ทว่าสภาพความเปราะบางที่อยู่ตรงหน้าทำไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมจับ ขณะที่ผู้เป็นลูกทำได้เพียงเม้มริมฝีปาก ไล้ปลายนิ้วไปตามร่องริ้วแห่งอายุขัยและความเจ็บปวด

ภาควัฒน์เคยเชื่อมาตลอดเวลาหลายสิบปีว่าผู้ให้กำเนิดไม่เคยต้องการเขาจนต้องยอมละทิ้งอดีตของตนเองเพื่อก้าวไปเป็นใครอีกคนที่มีคนพร้อมต้อนรับ แต่เมื่อได้กลับมาที่นี่อีกครั้งเขาเพิ่งเข้าใจว่า ความเจ็บปวดที่สุดของพ่อและแม่คือการที่ไม่สามารถมอบความรักความอุ่นให้เขาได้เหมือนคนอื่น

“ แม่ลืมตาได้ไหมครับ ” เขาวิงวอนขอพลางยกหลังมือของแม่แนบแทบแก้ม ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เขาอยากเล่าให้แม่ฟัง...ยังมีตะกอนคำถามที่อยากให้แม่ช่วยย้ำชัดในคำตอบ และยังถ้อยคำแสนสั้นที่เขาอยากบอกแม่

“ แม่ช่วยลืมตามองผมอีกครั้งได้ไหมครับ ขอแค่ให้ผมได้บอกแม่ว่ารักสักครั้ง ขอแค่คำเดียวแล้วผมจะไม่ขออะไรอีก แม่ให้ผมได้ไหมครับ ” น้ำเสียงนั้นสั่นเครือผิดทุกครา นัยน์ตาเปี่ยมล้นความชอกช้ำทรมานที่เหนือจะบรรยายเป็นภาษามนุษย์ เป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ต้องกระสุนนายพรานจนล้มลงกระเสือกกระสนหากไม่อาจบอกใครได้ถึงความรู้สึกเจ็บนั้น

คำอ้อนวอนแสนขมขื่นหาได้สัมฤทธิ์ผล เมื่อคนบนเตียงยังนอนนิ่งเหมือนกับคำพร่ำพรรณานั้นเป็นเพียวสายลมที่พาดพัดต้องกายวูบหนึ่งก็ลับไป...ภาควัฒน์ซบหน้าลงกับฝ่ามือของแม่เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง กายใหญ่อ่อนล้าเสียจนทรงตัวยืนอยู่แทบไม่ไหว ไม่เคยมีความปวดร้าวใดทำร้ายเขาเป็นแผลฉกรรจ์ได้มากเท่าการสูญเสียครั้งนี้เลย

หญิงสาวที่ยืนเบื้องหลังมองผู้ชายเย็นชาที่สิ้นท่าพ่ายแพ้ต่อการพลัดพรากจากกันตลอดกาลระหว่างเขากับคนบนเตียงทำให้หลุดสะอื้นฮักออกมา

การเดินทางครั้งสุดท้ายของผู้เป็นที่รักโดยไม่มีคำอำลาจะทำร้ายคนมีลมหายใจให้ตายทั้งเป็นได้

“ ผมต้องทำยังไงครับ แม่ถึงจะตื่น ” เขาร้องถามไหล่ไหวสะท้าน เงยหน้าจากฝ่ามือชื้นเหงื่อขึ้นไปจับจ้องเปลือกตาของแม่ที่ยังปิดสนิท ความหวังจะได้เห็นปาฏิหาริย์สักครั้งคงไม่มีวันเป็นจริง

แต่แล้วในวินาทีที่จวนเจียนจะหมดสิ้นกำลังใจ คนเป็นลูกก็สัมผัสได้ถึงการขยับของปลายนิ้วเมื่อไล้สายตายังดวงหน้าก็เห็นน้ำใสกำลังรินจากหางตาไหลรดบนหมอนพร้อมกับเสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพที่ดังระงมส่งสัญญาณเตือนให้นายแพทย์และพยาบาลในห้องนั้นวิ่งเข้ามาดูอาการคนไข้

“ ญาติออกไปก่อนนะคะ ” นางพยาบาลคนหนึ่งกันภาควัฒน์กับศศิวิมลให้ถอยออกไปเพื่อจะรูดม่านปิด แต่คนตัวใหญ่ยังดึงดันจะอยู่ เพราะการได้เห็นน้ำตาของแม่ทำให้เขาแน่ใจว่ายังพอมีหวังจะเห็นแม่ลืมตามาพูดกับเขาอีกครั้ง

เมื่อชายหนุ่มไม่ยอมออกไปพยาบาลคนอื่นเลยต้องให้บุรุษพยาบาลมาลาก หากเขากับสะบัดขัดขืนจนทุกคนที่มายื้อยุดให้ออกไปล้มลงไปกองกับพื้นปล่อยให้เขาปราดเข้าไปจับมือแม่ไว้แน่นอีกหน

“ ผมรักแม่นะครับ แม่ได้ยินผมไหม แม่ตื่นมาบอกผมสักคำได้ไหมว่า แม่ก็รักผมเหมือนกัน ”

ความวุ่นวายเกิดขึ้นในห้องไอซียูจนพยาบาลต้องกดโทรตามพนักงานรักษาความปลอดภัย บุรุษพยาบาลกระทั่งพนักงานตัวใหญ่ให้มาจับญาติคนไข้ออกไป ขณะที่เขาต่อต้านแข็งขืนก็เหมือนได้ยินเสียงแม่เปล่งเสียงร้องออกทีละคำ เป็นวจีแสนไพเราะที่เขารอคอยมาตลอดหลายสิบปี คำว่ารักจากแม่นี้คำเดียวที่ทำให้เขาสงบนิ่ง ก้มลงจูบมือแม่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วถอยห่างออกมาพร้อมกับผ้าม่านที่ถูกรูดปิดมิให้ผู้ใดเห็นการรักษา

เสียงเอะอะอื้ออึงจากเครื่องและคนดังอยู่หลังม่านเช่นนั้นนานหลายนาทีกว่าจะได้ยินเสียงเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจดังเป็นเสียงสูงในโทนเดียว ไม่จำเป็นต้องเห็นจุดจบของชีวิตเต็มตาก็รู้ได้ว่าความพยายามยื้อชีวิตที่ทีมแพทย์พยายามทำมาโดยตลอดได้ยุติลงพร้อมกับความหวังจะได้เห็นแม่กลับคืนมา

และเมื่อม่านถูกรูดเปิดให้คนภายนอกมองเห็นพยาบาลที่กำลังถอดอุปกรณ์ช่วยหายใจออกแล้วเดินไป ทิ้งให้ญาติได้เห็นภาพคนรักครั้งสุดท้าย น่าแปลกที่ใบหน้าของอรพิณในยามนี้ดูอิ่มเอิบ ริมฝีปากเหยียดกว้างอย่างเป็นสุขดังความทุกข์ไม่เคยแพ้วพาน

...ใบหน้าอันงดงามที่ลูกจำเก็บรักษาไว้ในความทรงจำของตนเองชั่วกาลนาน...

“ หลับให้สบายนะครับ ” เขาลูบเรือนผมนั้นแผ่วเบา ไล้สายตามองแม่ที่คล้ายคนนอนหลับฝันดีเชื่องช้า...นับจากนี้ดูเหมือนว่าชีวิตคงต้องกลับมาโดดเดี่ยวเดียวดายดังที่เคยเป็นมา

ชายหนุ่มก้มลงจูบแผ่วบนหน้าผากแม่แล้วถอยหลังหันกลับมาหาใครอีกคนที่ยืนเคียงข้างเขาไม่เคยห่าง เห็นศศิวิมลน้ำตาร่วงผล็อยร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นเสียยิ่งกว่าเด็กเล็กที่ถูกเฆี่ยนตี ความรู้สึกรวดร้าวหนักหนาทำให้เขาดึงร่างบอบบางมากอดแน่นแนบอก ซบหน้าลงบนไหล่นุ่มหอมคล้ายต้องการแหล่งพักพิงทางใจจนกลายเป็นต่างฝ่ายต่างใช้ความขื่นขมเพื่อปลอบประโลมกันและกัน

ด้วยมันเป็นหนทางเดียวที่ทั้งสองจะใช้ก้าวผ่านวิกฤตการณ์ในยามนี้ ในยามที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
*********************

เสียงโทรศัพท์แผดดังกลางคฤหาสน์อังคพิมานกลางดึก คนรับใช้ที่ได้ยินเสียงก็วิ่งมารับสายแล้วกระหือกระหอบขึ้นไปตามมลธิกาให้มารับสาย เมื่อรับทราบเหตุการณ์ทุกอย่างนางก็รีบขึ้นไปแต่งตัวเตรียมพร้อมออกจากบ้านไปโรงพยาบาลทันที ขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้นศิระเพิ่งกลับมาจากไปดูงานไซด์ก่อสร้าง

ชายหนุ่มถูกหัวหน้าผู้รับเหมาและสถาปนิกชวนไปเที่ยวหาอะไรดื่มเชื่อมมิตรภาพทำให้กลับเข้าบ้านพักตากอากาศของอังคพิมานซึ่งสร้างทิ้งไว้นานหลายปีเพื่อใช้เป็นสถานที่พักยามมาทำธุระหรือท่องเที่ยวดึกดื่นค่อนคืน

การเปลี่ยนบรรยากาศจากกรุงเทพมาพบปะผู้คนแปลกใหม่ในภูเก็ต ได้เดินทอดอารมณ์ริมทะเลมองดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ปลดปล่อยความตึงเครียดจากงานออกเสียบ้างก็ทำให้สภาพจิตใจอันบอบช้ำรุนแรงของศิระคล้ายกำลังถูกบำบัดรักษาทีละน้อย

...หรือวิธีเยียวยาให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนหาได้ยากเข็ญอย่างที่คิดเอาไว้...

เขาหยิบเสื้อผ้าหายเข้าไปอาบน้ำสระผมจนสบายตัวก็เปิดตู้เย็นหยิบน้ำอัดลมกระป๋องออกมาดื่มเพิ่มความสดชื่นก็เดินถือมันเข้าไปในห้องนอน วางเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะทำงานแล้วทรุดลงนั่งมองโน้ตบุ๊กที่เขาโหลดเอกสารจำนวนมากของบริษัทติดมาเผื่อเวลาว่างจากการดูแลการก่อสร้างจะได้เคลียร์งานที่คั่งค้างไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

ภาพแรกที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นรูปถ่ายของหญิงสาวหน้าตาสะสวยเหยียดริมฝีปากอวดรอยยิ้มกระจ่างสดใส สวมเสื้อเชิ้ตสีดำเก่าๆกับกางเกงขายาวก้มลงกอดเด็กชายกับเด็กหญิงตัวน้อยอยู่หน้าสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่นำติดตัวมาได้หลังจากบ้านถูกไฟไหม้

ทุกคราที่เห็นภาพของแม่บนหน้าจอเขาก็มักจะหวนคิดถึงช่วงชีวิตอันเลวร้ายที่สุด ทุกวันเขาต้องตรากตรำทำงานหนัก กินน้ำต่างข้าวกลางวัน รับจ้างทำทุกอย่างสารพัด หรือการต้องตื่นขึ้นมากลางดึกช่วยแม่ล้างข้าวของเตรียมไปขายน้ำเต้าหู้ก็มิได้ทำให้รู้สึกทุกข์ทนเท่ากับการเห็นพ่อเมาแอ้เดินตัวเซกลับเข้าบ้านแล้วทำร้ายร่างกายแม่ หนักเข้าจากแม่ก็ลามมายังเขากับน้อง จนเมื่อโตพอจะสู้นั้นแหละพ่อถึงได้ใช้วิธีก่นด่าแทน

บ่อยครั้งเขาเคยบอกแม่ให้หนี...หนีไปที่ไหนก็ได้ให้พ้นจากพ่อ ให้พ้นจากสภาพแวดล้อมนี้ แต่ทุกครั้งแม่มักจะลูบผมเขาแล้วถอนหายใจพลางบอกว่า แม่เป็นคนมีกรรมติดหลัง จะหนีไปไหนกรรมมันก็ตามทันอยู่ดี

ศิระไม่เคยเข้าใจแม่ที่ทนอยู่กับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าพ่อ แม้กระทั่งรู้ข่าวว่าเขาตกจากนั่งร้านลงมาตายความเศร้าก็ยังไม่ระคายหัวใจเขา และหลังเผาศพชีวิตแม่กับพวกเขาสองพี่น้องก็เหมือนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แม้บางครั้งจะอัตคัดขัดสนแต่

การที่ไม่ต้องนอนผวาตื่นขึ้นมาพบแม่กับน้องถูกทารุณก็ทำให้เขาคลายใจลง

ทุกอย่างเริ่มกลับเข้ารูปเข้ารอยแม่เริ่มมีเงินเก็บพอให้เขากับน้องอิ่มท้อง แต่คืนวันแห่งความสุขสำหรับคนยากไม่เคยอยู่ยั่งยืนนาน ผลจากการถูกซ้อมติดต่อกันนานหลายปีทำให้อวัยวะภายในของแม่บอบช้ำหนักจนเสียชีวิตลงในที่สุด

มีผู้หญิงเพียงสองคนในชีวิตที่เขาเทิดไว้เหนือสิ่งอื่นใด คนหนึ่งนั้นคือแม่ อีกคนคือน้อง เมื่อสิ้นแม่ไปแล้ว นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็เฝ้าปฏิญาณต่อหน้าหลุมศพและตัวเองว่าจะรักและดูแลน้องสาวคนเดียวของเขาให้ดีที่สุดจน เมื่อรู้ว่ามีแค่น้องคนเดียวที่จะรักและดูแลเขาโดยไม่หวังผลตอบแทนทำให้กลัวเหลือเกินว่าจะสูญเสียน้องไปให้คนอื่น และยิ่งผู้เป็นป้ากีดกันไม่ให้เขาเข้าใกล้น้องโดยเฉพาะหลังเรียนจบกลับมาทำให้เขาค้นพบว่า เล็กเหมือนมีสถานะเป็นเด็กในบ้านมากกว่าเป็นหลานสาวก็ทำให้เขาพยายามดึงน้องกลับมาให้อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกรักในฐานะคนเป็นพี่เริ่มเกินขอบเขต มากล้นเสียจนคนไม่เคยเหลียวแลผู้หญิงคนใดแม้จะเคยนอนกับใครมามากมายรู้สึกตนได้ว่ากำลังหลงรักน้องสาวตัวเอง

เขาถอนหายใจขณะครุ่นคิดถึงความรู้สึกผิดบาปเหมือนตะกอนขุ่นก้นหัวใจพาลคิดถึงใบหน้าของน้อง...ความคับข้องใจในการกระทำของมลธิกาคั่งค้างเป็นคำถามในใจเขาอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งก็แอบคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับน้อง ทว่าสุดท้ายเขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งแล้วจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกผิดบาปนี้ต่อไป

ถ้าเพียงแต่จะไม่มีสายเลือดเดียวกัน...เขาคงมีสิทธิ์จะเอื้อมคว้าดอกมะลิขาวบริสุทธิ์ดอกนั้นมาไว้ในอุ้งมือ

“ พออยู่คนเดียวก็ฟุ้งซ่าน ” ส่งเสียงหยันตัวเอง การอยู่สันโดษเช่นนี้ทำให้ความนึกคิดเตลิดไปไกล จึงหันมาเอาใจใส่กับงานที่หอบมาทำตั้งใหญ่เพื่อที่จะกลับไปจะได้ไม่มีงานกองเต็มโต๊ะ

ศิระโหมทำงานหนักจนเผลอหลับได้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สะดุ้งตื่นมามองนาฬิกาอีกทีก็เห็นว่าตัวเองสายมากแล้วจึงรีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปดูไซด์งาน เกือบจะขับรถยนต์ที่จอดซ่อนไว้อยู่ในโรงจอดรถของบ้านซึ่งเขาเพิ่งนำไปตรวจเช็กสภาพมาเมื่อวานเพื่อใช้งานที่นี่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น

ข่าวสารที่ได้รับจากปลายสายทำให้เขารีบวิ่งกลับไปเก็บข้าวของสำคัญออกมาไว้เบาะหลังแล้วล็อกบ้าน ขับรถออกไปแจ้งกับสถาปนิกกับผู้รับเหมาว่าจะเข้ากรุงเทพแล้วจะส่งคนอื่นลงมาดูชั่วคราวได้ก็บึ่งรถขับจากภูเก็ตมุ่งหน้าสู่กรุงเทพทันที
*******************************

รถสปอร์ตคันหรูของวิกานดาแล่นเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์อังคพิมานเหมือนทุกครา หญิงสาวเจ้าของรถเหยียบส้นสูงของรองเท้าสีแดงราคาแพงลงบนลานกว้าง สะบัดผมยาวสยายแล้วถอดแว่นตาสีชาที่บดบังดวงตาออกจากใบหน้า เดินนวยนาดใต้เดรสชีฟองสั้นสีดำเข้าไปในเคหสถาน ถามหาเจ้าของบ้านกับคนรับใช้ที่วิ่งเข้ามาต้อนรับก็ได้รับคำตอบว่าออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืน

วิกานดาหรี่ตาคล้ายนึกคิดอะไรบางอย่าง หากก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก นอกจากจะขอไปรอนายหญิงของบ้านนี้ที่ห้องทำงานเหมือนทุกคราซึ่งไม่มีใครทัดทานอะไรเพราะรู้ว่าในภายภาคหน้าหญิงสาวผู้นี้จะก้าวมาเป็นนายหญิงของพวกตนอีกคนหนึ่ง

หญิงสาวลูบมือไปตามราวบันไดอย่างเชื่องช้าขณะเหยียดริมฝีปากอิ่มกว้าง เปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานที่ปราศจากร่างของมลธิกานั่งคุมบังเหียนแล้วดวงตาเปล่งประกายแวววาว แม้จะเคยนั่งรออยู่ในห้องทำงานนี้เพียงลำพังมาครั้งหนึ่ง ทว่าคราวนั้นไม่กล้าทำอะไรด้วยเจ้าของห้องไปหาหลานสาวที่อยู่บ้านใกล้กัน

จากที่เคยได้ยินนางเล่าถึงเพื่อนสนิทที่ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายก็ทำให้เชื่อได้ว่า คงจะอยู่ดูใจคนป่วยใกล้ตายอยู่ที่โรงพยาบาลอีกนานพอมีเวลาให้หล่อนได้ค้นหาเอกสารสำคัญที่นำมาปลอมแปลงแล้วยังผลให้อังคพิมานโฮเต็ลต้องเปลี่ยนเจ้าของ

ถึงจะรู้ความลับของศิระเข้า ทว่าหลังจากนำเรื่องนี้ไปรายงานเบื้องบน ก็มีคำสั่งใหม่ออกมาให้หล่อนเลิกเจรจากว้านซื้อหุ้นของอังคพิมาน รวมถึงเลิกคิดนึกความลับไร้หลักฐานะมาปล่อย เปลี่ยนเป็นการหาเอกสารหลักฐานสร้างเรื่องให้อังคพิมานกระทำผิดกฎหมายเช่นการทุจริตยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นนักลงทุนได้มากกว่า

และด้วยเหตุนี้หล่อนจึงต้องเล่นบทคู่หมั้นสาวผู้แสนดีและสมบูรณ์แบบต่อเพื่อหาช่องทางล้วงความลับ และหลังจากรอโอกาสมาเนิ่นนานในที่สุดโชคก็มาถึง วันนี้หล่อนคงหาเอกสารการซื้อขายที่อาจพบร่องรอยของการทุจริตหรือการทำผิดพลาดที่ถูกซุกซ่อนไว้มิให้ผู้ถือหุ้นหรือใครล่วงรู้ได้สักฉบับ

...ไม่มีทางที่นักธุรกิจจะไม่เคยเกิดเรื่องผิดพลาด...

เจ้าหล่อนหยิบถุงมือออกมาสวมเพื่อจะไม่ให้มีลายนิ้วมือติดตามให้ตรวจสอบ เริ่มค้นจากโต๊ะทำงานก่อนเป็นอันดับแรก ค้นข้าวของในลิ้นชักทุกซอกทุกมุมไม้เว้นกระทั่งใต้ฐานลิ้นชักเพื่อมิให้มีสิ่งใดเล็ดลอดจากสายตา ดึงออกมาได้เกือบทั้งหมดจะยกเว้นก็เพียงลิ้นชักอันบนสุดที่ถูกล็อกกุญแจไว้จึงพักตรงนี้ไว้มุ่งความสนใจไปที่ตู้เอกสารแทน

ในตู้มีสำเนาเอกสารไล่ตั้งแต่ช่วงแรกที่ก่อตั้งโรงแรมอังคพิมานโฮเต็ลกระทั่งถึงปัจจุบัน ด้วยจำนวนที่มากเกินกว่าจะอ่านในเวลาที่จำกัดจึงเลือกโจมตีช่วงที่มลธิกาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงจนถึงช่วงที่นางมอบหมายให้ศิระเป็นตัวแทนชั่วคราวรับผิดชอบงานบริหารแทน

ดวงตาคมไล้สายตาอ่านเอกสารคร่าวๆ จับเฉพาะใจความสำคัญตามหลักการอ่านเร็วที่เคยร่ำเรียนมา จังหวะที่รีบร้อนอยู่นั้นพลันก็ได้ยินเสียงเคาะประตู วิกานดามีอันสะดุ้งเฮือกจ้องต้นเสียงแล้วเดินไปแง้มประตูก็เห็นสาวใช้นำน้ำมะนาวปั่นที่หล่อนชอบดื่มมาให้

หญิงสาวฉวยเอาน้ำมะนาวจากในมือสาวใช้พลางยิ้มกว้างถอยหน้ากลับเข้ามาพร้อมลงล็อกประตูแน่นหนา วางแก้วลงบนโต๊ะทำงานกลับมาปฏิบัติภารกิจสำคัญของตัวเองต่อ ระหว่างที่หยิบแฟ้มสำเนาเอกสารเก่าก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งร่วงกระเด็นกระดอนลงพื้นยังดีที่หล่อนไวพอจะตะครุบไว้จึงทำให้มันไม่หายเข้าไปใต้ตู้

สิ่งที่อยู่ใต้อุ้งมือเป็นกุญแจสีทองดอกหนึ่งและไม่จำเป็นต้องหยุดคิด หล่อนก็คว้ามันเสียบลงไปในรูกุญแจตรงลิ้นชักที่โต๊ะทำงานลองวัดดวงดูว่าจะเปิดได้หรือไม่ได้

ในที่สุดลิ้นชักก็หลุดพรวดหล่นกระแทกดังสนั่นห้อง ข้าวของภายในปลิวกระจัดกระจายเต็มพื้น คนที่มีจุดประสงค์ร้ายตกใจรีบไล่ของทุกอย่างมากองไว้ในจุดเดียวกันพร้อมกวาดสายตาพินิจพิจารณาของตรงหน้าก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับซองจดหมายสีขาวประทับตราโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาที่มีด้วยกันสองซอง

วิกานดาเปิดจดหมายนำกระดาษภายในซองจดหมายทั้งสองฉบับออกมาดูจึงรู้ว่าเป็นผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอซึ่งก็ไม่น่าติดใจสงสัยอะไรเพราะทราบดีถึงความสัมพันธ์ของมลธิกากับศิระดีว่าเป็นเช่นไร ทว่าเมื่อได้อ่านผลการตรวจพิสูจน์ฉบับที่สองแล้วทำให้หล่อนถึงกับเบิกตากว้างคล้ายคนตกใจสุดขีด ตรวจเช็กรายชื่อผู้รับการตรวจที่สะกดเป็นภาษาอังกฤษครั้งแล้วครั้งเล่าจนมั่นใจว่ามิได้ตาฝาด รอยยิ้มบางก็บังเกิดบนใบหน้า

นิ้วเรียวแยกเอกสารสองฉบับนั้นออกมาจากในกอง จากนั้นก็เริ่มเก็บทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทางตามเดิมเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย ดึงถุงมือยัดใส่กระเป๋าพร้อมกับจดหมายสองฉบับนั้นได้ก็ลงไปข้างล่าง บอกคนรับใช้ให้ทราบว่าจะกลับก่อนแล้วสะบัดผมยาวสยายหยิบแว่นกันแดดมาสวมแล้วเดินนวยนาดขึ้นรถขับออกไป
**********************************

ภาควัฒน์จัดการเรื่องรับศพมารดากับทางโรงพยาบาลเสร็จเรียบร้อยก็เดินลากเท้าไปตามทางเดินจนกระทั่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินจึงได้พบกับมลธิกาที่เดินทางมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืน และเมื่อนางเห็นลูกชายของเพื่อนก้าวเข้ามาก็ลุกจากเก้าอี้ไปสอบถามถึงเรื่องจัดการงานศพ

“ ป้าติดต่อกับทางวัดให้แล้ว ส่วนเรื่องงานศพภาคให้ป้าเป็นธุระให้ก็ได้นะลูก ป้าจะจัดงานใหญ่ให้สมฐานะแม่ของเราไม่แพ้งานศพของพ่อเราเลย ”

ชายหนุ่มเหลือบมองเพื่อนสนิทของมารดานิ่งนานก่อนจะโบกมือปฏิเสธเบาๆ

“ ติดต่อวัดให้ผมก็พอครับ พวกเรื่องจัดงานศพ ผมอยากให้แม่นอนอย่างสงบ เลยตั้งใจว่าจะจัดงานศพแบบเงียบๆให้เฉพาะคนในครอบครัวกับเพื่อนสนิทแม่ไม่กี่คนมางานก็พอ ”

“ ไม่ได้นะตาภาค แม่เรานะเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมนะ จัดงานศพสวดสองสามวันแล้วเผาประหยัดเงินเหมือนคนอื่นไม่ได้เชียวนะ ภาคเป็นถึงทายาทคนเดียวของวิสุทธิ์สุนทรมีเงินมีทองใช้ตั้งมากจะเจียดมาจัดงานให้แม่หน่อยมันจะเป็นอะไรไป ” นางร้องเสียงดังทำตาโตเพราะคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าอยากรวบรัดพิธีเพื่อจำกัดค่าใช้จ่ายและเอาความสะดวกเข้าว่าเหมือนคนสมัยใหม่

“ ผมไม่ได้จะรีบเผาหรอกครับ ก็ตั้งแม่ไว้ให้ครบร้อยวันเหมือนพ่อนั้นแหละ แต่ผมแค่คิดว่าจะจัดงานใหญ่กระจายความเศร้าให้คนอื่นเขาทำไม จัดแบบเรียบง่ายแค่มีคนที่แม่รักร่วมงานด้วยก็พอ และผมก็คิดว่าแม่เองก็คงต้องการแบบนั้น ”

“ แต่ป้าว่า... ” นางค้านตามประสาคนที่ทำอะไรต้องสมเกียรติสมฐานะตนเองอยู่เสมอ แต่พอเห็นลูกชายของเพื่อนก้มศีรษะตัดบทให้ก็เข้าใจได้ว่าไม่สมควรเสนอหน้ายุ่งเรื่องนี้อีกจึงเงียบลง

รสานั่งมองการสนทนาของสองชายหญิงต่างวัยเมื่อครู่แล้วก็ถอนใจ หันไปมองศศิวิมลที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตั้งแต่ออกจากห้องเอาแต่จ้องผนังเบาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำอันเป็นผลมาจากการร้องไห้อย่างหนักหน่วง

“ ไม่มีป้าพิณแล้วเล็กจะทำยังไงต่อ ” หล่อนเอ่ยถามรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์ในภายภาคหน้า

“ เรื่องนั้นเล็กยังไม่ได้คิด ไว้จบงานศพป้าพิณก่อนแล้วค่อยว่ากัน ” น้ำเสียงของคนตอบเลื่อนลอยคล้ายคนไม่ได้สติ หญิงสาวผมม้าจึงยกมือโอบรอบตัวเพื่อนไว้หลวมๆพลางโยกกายเอนไปมาประหนึ่งว่าจะปลอบโยนเด็กเล็ก

“ เล็ก... ” ขานชื่อเพื่อนแผ่วเบา “ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ข้างเล็กเสมอนะ ” บอกแล้วยอมให้เพื่อนเอนศีรษะซบลงบนไหล่

“ เล็กรู้ เล็กยังมีสา มีพี่ใหญ่ มีใครอีกมาก ” ทอดเสียงขณะหันไปหาผู้เป็นสามีที่ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ “ แต่พี่ภาคสิ ถ้าไม่มีป้าพิณแล้ว พี่ภาคจะอยู่กับใคร ”

พอพูดน้ำตาแห่งความรักความสงสารก็รื้นขังขอบตา ยิ่งสังเกตเห็นเขาพิงหลังเอนศีรษะดูราวกับหมาป่าที่เดินทางรอนแรมโดดเดี่ยวเรื่อยมาแล้ววันหนึ่งได้พบสถานที่พักพิงแต่สุดท้ายที่แห่งนั้นก็พังทลายลงตรงหน้า

รสาที่ตระหนักรู้ถึงหัวใจของเพื่อนมาโดยตลอดเฝ้ามองเสี้ยวหน้าด้านข้างอันงดงามปานเทพธิดาที่บัดนี้มีแต่ความเศร้ากังวลของศศิวิมลแล้วสูดลมหายใจลึก ยังมีเรื่องมากมายที่จำเป็นต้องกล่าวให้ระวังตัวแต่เมื่อเห็นความหม่นไหม้ของเพื่อนแล้วก็รู้สึกลำคอตีบตัน จะให้เอาเรื่องร้ายมาทับซ้อนอีกตอนนี้เห็นทีจะไม่ได้เลยได้แต่นั่งโยกตัวกอดเพื่อนไว้จนกระทั่งเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งกระหือกระหอบมาจึงหยุดโยก

ศิระเผลอสบสายตากับรสาเป็นคนแรกโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหามลธิกากับคนรับใช้สูงวัยคนอื่นเพื่อไหว้ทำความเคารพถามไถ่ถึงเรื่องงานศพครู่หนึ่งก็เหลือบไปทางศัตรูคู่แค้นที่นั่งประสานมือบนหน้าตัก

ถึงจะชิงชังกันสักปานใด ทว่าเรื่องความตายของอรพิณหาใช่ประเด็นที่จะนำมาเยาะเย้ยถากถาง...ในฐานะคนเคยทรมานจากความสูญเสียรู้ดีว่า ควรทำเช่นไรในเวลานี้

คนตัวใหญ่เงยหน้าในทันทีที่เห็นร่างของใครคนหนึ่งมายืนตรงหน้า...ศิระไม่ได้แสดงสีหน้าเกลียดแค้นกันดังทุกครา เพียงแค่ยกมือตบบ่าแล้วบอกกับเขาว่าเสียใจด้วย

“ ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็บอกแล้วกัน ยังไงป้าพิณก็เหมือนป้าฉันคนหนึ่ง ” เขาเอ่ย รู้สึกกระดากที่ต้องสนทนากันอย่างคนที่มีไมตรีจิตต่อกัน

“ ขอบใจนะ แต่ฉันคิดว่าฉันอยากจัดงานศพของแม่ครั้งนี้ด้วยความสามารถตัวเอง แม่คงจะดีใจที่ได้เห็นฉันทำอะไรเพื่อแม่เป็นคนสุดท้ายด้วยตัวเองทั้งหมด ” คำตอบที่ได้รับมิได้มีความกระด้างหยามเหยียด อีกทั้งยังมีรอยยิ้มน้อยๆบ่งบอกให้ทราบถึงความจริงใจในคำพูดทั้งหมดก่อนที่พยาบาลจะตามตัวภาควัฒน์ให้ไปที่ห้องดับจิต

ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้เหยียดหลังตรงย่างเท้าไปหยุดอยู่ตรงสองสาวที่นั่งกอดประโลมกัน แล้วยื่นมือออกไปให้คนตัวเล็กจับแล้วดึงขึ้นให้มายืนอยู่ข้างกายจากนั้นจึงจับมือกันแน่นเดินตามหลังพยาบาลไปที่ห้องดับจิต

ความใส่ในซึ่งกันและกันนั้นทำให้หญิงสาวคนเดียวในกลุ่มยกนิ้วขึ้นลูบคาง หลายครายามเห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกัน มันจะรู้สึกประหลาดในใจอยู่เรื่อยโดยเฉพาะกับชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีหลอกๆของคนที่เพิ่งผละจากวงแขนหล่อนไป

ทั้งที่ได้ยินเพื่อนเล่าถึงการกระทำและคำพูดของเขาในยามลับตาคนที่เพื่อนย้ำชัดว่าเขาไม่มีจิตผูกสมัครรักใคร่กันเลยแม้แต่น้อย ไฉนทุกครั้งที่เกิดเรื่องร้ายหรือมีใครหยามเขาถึงต้องออกโรงปกป้องแข็งขันหนักหนาขนาดนั้น

ศิระเดินมาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ข้างกายรสาที่ขมวดขมุ่นคิ้วครุ่นคิดถึงความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยากำมะลอ

“ รู้ข่าวเร็วดีนะ รู้เร็วยิ่งกว่าแม่ใหญ่เสียอีก ” เขาเปิดบทสนทนาเช่นนั้น

หญิงสาวเบะปากทันทีที่ได้ยินเสียงเขาเข้ามาในโสตประสาท...กำหมัดแน่นข่มความรู้สึกเพราะมิอยากเผลอมือไวทำร้ายเขาออกไปให้ใครตกใจ

“ ก็ลองคิดดูแล้วกัน ขนาดดิฉันเป็นแค่คนรู้จักยังรู้เร็วกว่าคนที่คบค้าสมาคมกันมานาน คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่า คุณกับดิฉันลำดับความสำคัญมันต่างกันยังไง ”

“ คนจำพวกสอดรู้สอดเห็น ทำตัวเหมือนรู้ดีกว่าชาวบ้านไปหมดทุกเรื่องอย่างคุณ กับแค่เรื่องนี้คงไม่คณามือคุณสักเท่าไหร่หรอก เผลอๆเรื่องนี้เล็กอาจจะไม่ได้บอก แต่เป็นคุณที่สอดมากจนรู้เข้าเสียมากกว่า ”

“ ถ้าประสาทคิดได้แต่เรื่องไร้สาระ คนอย่างคุณก็ควรไปตรวจสมองซะ ไปหานักจิตวิทยา นักบำบัด ใครก็ได้ที่จะรักษาคุณให้มันเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ”

“ คุณเองก็น่าจะไปหานักบำบัดอาการสอดรู้นะ จะได้เลิกยุ่งเรื่องชาวบ้าน กลับไปทำมาหากินเป็นสาวกลางคืนอย่างที่คุณถนัดน่าจะดีกว่า ” เขาไม่หยุดถากถาง คนฟังขบกรามแน่นกัดฟันกรอดอยากจะหนุมานถวายแหวนใส่มากแต่ทำไม่ได้จึงตัดสินใจว่าจะไปให้พ้นหน้าผู้ชายโรคจิตคนนี้ก็ลุกพรวดพราดจากเก้าอี้ กลับบ้านไปนอนยังดีกว่า

“ อ้าว เถียงไม่ออกเลยจะกลับแล้วเหรอครับ ” น้ำเสียงของคนตัวสูงยียวนชวนอารมณ์เดือด

“ ดิฉันคิดว่าการเถียงกับคนบ้า เถียงยังไงก็ไม่ชนะหรอกคะ สู้ปล่อยให้คนบ้าเห่าหอนไปดีกว่า สนุกดี ” หล่อนจีบปากจีบคอยื่นหน้าเข้าไปยิ้มเยาะใส่

“ ผมหรือคุณที่บ้า ”

“ โว้ย...พูดกับคนบ้าเสียเวลา ถ้ามีเวลาพูดมากขนาดนี้ หัดเอาเวลาที่มีไประวังตัวเอง ระวังแม่คู่หมั้นของคุณไว้ให้ดีเถอะ เดี๋ยววันดีคืนดีเสียธุรกิจตระกูลจะพูดไม่ออก ” พูดพลางสะบัดหน้าหนี แทนที่จะได้เชิดหน้าออกไปกลับถูกมือเรียวใหญ่คว้าตรึงไว้ให้อยู่กับที่

หญิงชราหลายคนที่นั่งพูดคุยกันเหลือบเห็นการกระทำของคนทั้งสองก็หันมามองกันเป็นตาเดียว...มลธิกาที่เพิ่งรู้สึกว่าคู่สนทนามิได้สนอกสนใจฟังเหมือนเดิมก็หันไปดูบ้างจึงได้เห็นหลานชายจับมือถือแขนกับเพื่อนของหลานสาว

“ ปล่อยฉันนะ ” หล่อนแผดเสียงแล้วจึงลดความดังลง ก้มศีรษะขออภัยแก่ทุกคนที่ได้ไปรบกวนเข้า

“ เมื่อกึ้คุณพูดให้ผมระวังคู่หมั้นตัวเอง ผมว่าคนที่ผมควรระวังไว้น่าจะเป็นคุณมากกว่า ” ชายหนุ่มว่าหลุดหัวเราะเบาในลำคอ สนุกที่ได้เห็นรสาพยายามสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของเขา ก่อนเขาจะหุบยิ้ม ปล่อยมือลงในนาทีที่เห็นผู้เป็นป้าเดินกอดอกเข้ามามองเขากับเพื่อนของน้องด้วยแววตาที่เหมือนกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง

รสาเองก็พอรู้ว่ามลธิกาไม่ชอบให้เธอเข้าใกล้ศิระ เพราะเกรงจะไปกระทบกระเทือนจิตใจแม่สองหน้าคนสวยแล้วเดี๋ยวต้องง้อด้วยหุ้นส่วนตัวราคาแพงอีก

“ สากลับก่อนนะคะคุณป้า ” หล่อนยกมือไหว้พร้อมย่อตัวลงคล้ายกับนักเรียนที่ไหว้ครูฝ่ายปกครองแล้วเดินหนีหายไปจากอาคารห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว

หญิงสูงวัยกว่าถอนหายใจมิได้พูดจาตำหนิใดเพียงแต่ตบบ่าหลานชายแล้วกลับไปนั่งเจรจาพาทีกับคนใช้บ้านเพื่อนต่ออีกตามประสาสาวสังคม ทิ้งให้ศิระย่นหน้าผากคิดใคร่ครวญถึงวาจาของรสาที่กล่าวให้ระแวดระวังคู่หมั้นของตนเองอย่างหนัก

...มีอะไรที่เขายังไม่รู้เกี่ยวกับวิกานดาหรือเปล่า...ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองเช่นนั้นตลอดเวลา เหมือนเป็นปัญหาที่มีเพียงรสาที่จะไขความกระจ่างชัดในเรื่องนี้ ว่าสิ่งที่พูดเป็นเพียงคำประชดประชันจากอคติ หรือจะเป็นความปรารถนาดีที่มีให้กันแน่...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ส.ค. 2554, 02:42:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ส.ค. 2554, 02:42:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 2377





<< บทที่ 14    บทที่ ๑๖ >>
nako 22 ส.ค. 2554, 07:55:00 น.
รอตอนต่อไปนะค่ะ


anOO 22 ส.ค. 2554, 12:05:19 น.
ยัยวิกานดาตัวแสบไปรู้อะไรเข้าให้ล่ะเนี้ย


ling 22 ส.ค. 2554, 14:32:57 น.
ความจริงใกล้เปิดเผยแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account