A castle wall *กำแพงรัก*
ถ้าความรักคือเรื่องของคนสองคน ต้องมนต์ คงไม่นับรวมอยู่ในนั้นเป็นแน่ เพราะการแอบรักคนที่ไม่มีวันเป็นไปได้อย่าง ปัถย์ มันก็เหมือนยืนบนพื้นดินแล้วแหงนคอมองคนบนหอคอย อย่างไรอย่างนั้น...แต่ก็ไม่รู้ทำไม เสียงข้างในจิตใจก็ร่ำร้องถึงเค้าอยู่ร่ำไปสิน่า..
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 14 : Just married


บทที่ 14 : Just married


เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจริงจริง ครอบครัวเราทั้งสองมัวแต่เพลิดเพลินบวกวุ่นวายกับการเตรียมพิธีวิวาห์(นี่ขนาดมีบริษัทออกาไนซ์มาช่วยล่ะนะ) สามเดือนที่ผ่านมาฉันต้องวิ่งวุ่นลองชุดแต่งงาน เลือกขอชำร่วย ดูรายชื่อแขก และอะไรอีกมากมายสารพัดสารเพ ด้วยความที่ครอบครัว เกียรติจินดา เป็นครอบครัวเล็ก แขกทางฝั่งของฉันจึงมีไม่มากเมื่อเทียบกับ ครอบครัว ปิลันธบุตร



ในที่สุดวันของฉันก็มาถึง งานพิธีช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นและจดทะเบียนสมรสของเราทั้งสองนั้นจัดอย่างเรียบง่าย (แต่ฉันยังคงมองว่ามันก็ยังหรูหราอลังการสำหรับฉันอยู่ดี) งานของเราจัดขึ้นที่โรงแรมชื่อดังกลางใจเมือง คุณปัถย์อยู่ในชุดราชประแตน หล่อระเบิดไปเลยคุณว่าที่สามี ส่วนฉันก็อยู่ในชุดไทยประยุกต์สีขาว (อึดอัดจริงจริงเมื่อคืนไม่น่าตื่นเต้นสวาปามอาหารไปมากมายขนาดนั้นเลย) แขกของบ้านคุณปัถย์มีมากมายจนฉันยิ้มแทบเหงือกแห้ง พิธีหมั้นและจดทะเบียนสมรสผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น แม้ว่าฉันจะได้ค้อนวงใหญ่จากคุณตี้ และ สีหน้านิ่งเรียบของคุณเต้ที่ไม่มีแม้แต่คำอวยพรก็ตาม ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะรับรู้มากมายนักเพราะที่สำคัญตอนนี้ฉันมีสิทธิ์ที่ภรรยาพึงจะมีต่อสามีอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ก็ตอนนี้ฉันกลายเป็น นางต้องมนต์ ปิลันธบุตร อย่างเต็มตัวแล้วนี่ ฉันได้ยินเพื่อนคุณปัถย์(ที่ตอนนี้ต่างหอบลูกหอบเต้ามาในงาน) เอ่ยแซวหลายต่อหลายประโยคเช่น



“โห...มีเมียเด็กนะมึง” ถ้ามีคำว่าสวยด้วยจะดีมากเลยนะค่ะ



“กูนึกว่ามึงจะนอนอยู่บนคานซะแล้ว” เมื่อก่อนแป๋มก็คิดค่ะ



“แล้วบรรดาน้องน้องของมึง นี่เคลียร์แล้วใช่ไหม...น้องแป๋มครับ ไอ้ปัถย์มันร้าย ตามให้ทันนะ” พี่คนนี้เลยได้หมัดของคุณปัถย์ไปแทน



“มีลูกให้ทันกูนะเว่ย ของกูนี่มีอีกคนอยู่ในท้องแล้วนะ” เฮ้ย...นี่คนหรือพ่อพันธุ์ วันวันจ้องแต่จะผลิตอย่างเดียวเลยเหรอ แล้วดูหนูน้อยทั้งสามคนนี่สิ...ยังมีในท้องของผู้หญิงหน้าสวยคนนี้อีกเหรอ........โอ๊ยยยยย



คุณปัถย์ได้แต่ยิ้มน้อยๆให้กับทุกคำถาม อาจจะมีส่งหมัดหยอกเย้ากับเพื่อนของเขาบ้าง ส่วนฉันเพื่อนสมัยเรียนที่มาร่วมงาน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า




“ไม่น่าเชื่อเลยแป๋ม แฟนแกทั้งหล่อ ทั้งรวย ครบสูตร” มันหมายความว่าไงเนี่ย ที่ไม่น่าเชื่ออะไรเนี่ย




ทันทีที่พิธีช่วงเช้าจบลงเราสองคนก็ถูกปล่อยตัวให้มาพักผ่อน จนกว่างานเลี้ยงช่วงค่ำจะเริ่มขึ้น คุณปัถย์รีบล้มตัวลงนอนบนเตียงนอนของโรงแรมทันทีที่เราเข้ามาถึง




“วันนี้เมียพี่สวยชะมัด” ยังมีแอบส่งสายตากรุ่มกริ่มมากอีก เหนื่อยก็นอนเลยลุง




“แป๋มปวดขามาก ปวดเหงือกด้วย ยิ้มจนเหงือกแห้งแล้ว” คุณปัถย์หลุดขำทันที พร้อมทั้งกางมือให้ฉันเดินเข้าหา ฉันได้แต่ส่ายหน้า...ไว้ใจไม่ได้






“มานี่เลยเร็ว...อย่าให้พี่มีอารมณ์”






“ไม่เอาค่ะ...แป๋มเมื่อยแล้ว” เดี๋ยวนี้เริ่มเถียงแล้วล่ะฉัน






คุณปัถย์หรี่ตามองฉันอย่างมีนัยสำคัญ ฉันเลยทำท่าทีไม่สนใจ ถอดพวงมาลัยที่ห้อยอยู่บนคอวางลงบนโต๊ะเครื่องสำอาง โดยไม่ทันได้สังเกตคนที่นอนอยู่บนเตียง งานนี้กว่าจะรู้ตัวอีกทีฉันก็ถูกคุณปัถย์โอบเอวแล้วยกตัวฉันไปวางบนที่นอน โดยที่มีร่างสูงทาบทับลงมา....หมดเวลาของฉันแล้วหรือเนี่ย




“ดื้อจริงนะเดี๋ยวนี้....เมื่อกี้เถียงใช่ไหมต้องทำโทษ”
คุณปัถย์พูดจบก็ก้มลงมอบบทลงโทษให้ฉันทันที แต่กลับกลายเป็นว่า บทลงโทษมันเริ่มเร้าร้อนขึ้นไปทุกที จากจูบเบาเบาอ่อนโยนในคราแรก มันกลับเร่งเร้าและร้อนแรงขึ้นเท่าตัว จนตอนนี้สติฉันเริ่มจะกระจัดกระจายหลุดลอยออกไปแล้ว




“อยากกินแป๋มใจจะขาดแล้ว” ดูพูดมาได้ เก็บไว้ก็ได้ไม่ต้องบอกหมดหรอก...คนมันเขิน




ตอนนี้อาการของฉันเริ่มจะร้อนร้อนหนาวหนาว เพิ่มขึ้นไปทุกที ฉันพยายามที่จะห้ามปรามคนตัวโตด้านบนแต่ก็หาได้ชนะแรงมหาศาลของเขาไม่ ร่างกายของฉันก็ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งตัวเองเลย กลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนเริ่มจะอยู่ใกล้จุดอันตรายขึ้นไปทุกที...วาบหวิวเหลือเกิน






“พะ พี่ ปัถย์...รอจบพิธีก่อนนะ” ฉันดันอกคุณปัถย์ให้ออกห่างอย่างทุลักทุเล






“ขอพี่กอดแป๋มสักพักนะ”






ฉันคงทิ้งให้พี่ปัถย์นอนกอดฉันนานเกินไปเลยเผลอหลับโดยไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็ไม่พบเจ้าบ่าวอยู่ข้างกายแล้ว เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น..ปรากฏว่าเป็นพี่ช่างแต่งหน้านั่นเอง




“อ้าว...แล้วเจ้าบ่าวล่ะค่ะ ไม่แต่งหน้าแต่งตัวล่ะ เดี๋ยวไม่ทันนะ” พี่ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองหันซ้ายหันขวามองหาเจ้าบ่าวทั่วห้อง






“น่าจะเดินไปห้องคุณพ่อคุณแม่เค้ามั้งค่ะ เดี๋ยวแป๋มไปตามให้คะ”






“ค่า....”






ฉันเดินออกจากห้องของตัวเองไปตามทางเดิน ตัดสินใจเคาะประตูที่ห้องของคุณปราชญ์และคุณหญิงพจนีย์ ถามถึงคุณปัถย์แต่ท่านทั้งสองก็ทำหน้าสีหน้างุนงงแล้วบอกว่า ตั้งแต่เสร็จพิธียังไม่ได้เจอหน้าคุณปัถย์เลย ฉันยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ แล้วเจ้าบ่าวฉันหายตัวไปไหนล่ะเนี่ย ฉันตัดสินใจเดินตรงไปยังสวนลอยฟ้าภายนอกที่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างโรงแรมกับส่วนสระว่ายน้ำในใจคิดว่าคุณปัถย์น่าจะออกมาสูบบุหรี่เป็นแน่






“พี่ปัถย์...ริต้าไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้นะค่ะ” เอ๊...เสียงมันคุ้นคุ้นแฮะ แล้วเสียงมันมาจากตรงไหนล่ะเนี่ย






“ค่อยค่อยคิดแก้กันไป...ริต้ามัวแต่นั่งร้องไห้มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา” นี่มันเสียงเจ้าบ่าวฉันนี่น่า







“แต่พี่ปัถย์...ถ้าคุณป๋ารู้ขึ้นมา ริต้าต้องตายแน่แน่”







“พี่ก็กำลังหาวิธีช่วยริต้าอยู่เหมือนกัน”







“พี่ปัถย์...ฮืออออออ...ริต้า กลัว กลัวไปหมดแล้วค่ะ พี่ปัถย์อย่าทิ้งริต้าไปนะ”
ฉันได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น สภาพฉันตอนนี้ใส่สไบยืนลับลับล่อล่ออยู่ตรงพุ่มไม้.....นางไม้ก็ไม่ปาน






“พี่ไม่ทิ้งริต้าหรอก....”






“ฮืออออออออ......ระ ริต้า....ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ฮืออออออออออออ”






“ไม่เอาน่าริต้า....เธอยังมีพ่อ มีแม่ ที่รักเธอนะ และที่สำคัญ เธอยังมีพี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน พี่สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทิ้งเธอไปไหน”
อะไรนะ!!!!!!มีพี่อยู่ทั้งคนเหรอ แล้วยังมีการสัญญิง สัญญา ว่าจะไม่ทิ้งกันด้วย มันจะมากไปแล้วนะ เท้าของกำลังจะก้าวไปยังคนคู่นั้น ทันใดหูก็พลันได้ยินบทสนทนาถัดมา




“แต่เด็กในท้องมีแต่โตขึ้นทุกวันนะค่ะ...แค่นี้คุณป๋าก็เริ่มระแคะระคายแล้ว เพราะริต้าแพ้มาก แล้วนี่งานเดินแบบริต้าก็ไม่กล้ารับ เพราะริต้าอ้วนขึ้น ฮืออออออออ” เด็กในท้อง....เด็กในท้องงั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง....สติของฉันสั่งการให้เท้าที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักลงทันที






“ใจเย็นๆนะริต้า....ทุกอย่างมีทางแก้ ในเมื่อมีเด็กแล้ว ก็ต้องหาทางแก้กันไป”






“มันยังมีทางแก้อีกเหรอค่ะ...มันสายไปแล้วล่ะค่ะ พี่ปัถย์”





“ไม่หรอก... พี่เชื่อว่าทุกอย่างมีทางแก้ และพี่ก็อยากให้ริต้าเชื่อแบบพี่เหมือนกัน”



จิตใจของฉันตอนนี้ห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมจนหมด สองหูที่ได้ยินอย่างชัดเจน กับภาพเหตุการณ์ในวันวานประดังประเดเข้ามา ไม่น่าเชื่อ....ก็ต้องเชื่อ ฉันเริ่มประติประต่อเรื่องราวเอาเองว่า ภาพที่ส่งจากผู้หวังดีนั่นน่าจะเป็นภาพของคุณปัถย์กับคุณริต้าเป็นแน่ จากนั้นภาพเหตุการณ์วันที่เจอคุณริต้าที่โรงพยาบาลกลางดึกนั่นก็อาจเป็นจากตรวจครรภ์เป็นแน่ แล้ววันที่คุณเต้บอกว่าเจอคุณปัถย์ที่โรงพยาบาลนั่นก็อาจจะเป็น...การฝากครรภ์ก็เป็นได้




ฉันเดินหันหลังกลับไปยังห้องพักของตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นช้าลง น้ำตาไหลลงมาอย่างหยุดไม่อยู่ ทุกอย่างรอบตัวกลับกลายเป็นสีเทาภายในพริบตา นี่มันวันแต่งงานของฉันนะ...ทำไมทุกอย่างถึงได้กลับกลายเป็นแบบนี้ ช่วงขณะหนึ่งของความคิด ฉันอยากจะสละทุกสิ่งตรงนี้แล้วเดินออกจากงานแต่งงานนี้ไปเสียที แต่ฉันยังมีพ่อแม่ มีเพื่อนเพื่อนทั้งหลาย และที่สำคัญฉันก็รักคุณปัถย์เกินกว่าที่จะหันหลังให้ด้วยซ้ำ




“อ้าวน้องแป๋มค่ะ...เจ้าบ่าวล่ะค่ะ แล้วน้องแป๋มร้องไห้ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
พี่ช่างแต่งหน้าคนเดิมเปิดประตูรับฉันแล้วรีบกุลีกุจอพาฉันไปนั่งยังห้องแต่งตัว ฉันได้แต่สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น




“เดี๋ยวพี่โทรตามคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็น้องขิงให้นะค่ะ”




“ไม่ต้องค่ะ...แป๋มไม่เป็นไร แต่งหน้าต่อก็ได้ค่ะ” ฉันรีบปาดน้ำหน้าที่ยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง ฉันไม่อยากให้ใครมาลำบากใจกับเรื่องของฉันอีกแล้ว...ไม่อยากแล้วจริงจริง



“น้องแป๋มไหวนะค่ะ...”





“ค่ะ..แป๋มขอตัวไปล้างหน้าก่อนนะค่ะ”





ฉันเดินเข้าห้องน้ำล้างคราบน้ำตาบนใบหน้าให้เรียบร้อย แต่ทว่ามันก็ยังไม่หยุดไหลเสียที นี่กระมังเรื่องราวที่ปิดบังของคุณปัถย์ คุณปัถย์กำลังจะมีลูกงั้นเหรอ....แล้วฉันล่ะ คุณปัถย์ยอมที่จะแต่งงานกับฉัน ทั้งที่ปล่อยให้ลูกในท้องของเขาเติบโตกับผู้หญิงอีกคนนึงงั้นเหรอ...คุณปัถย์ใจร้าย ใจร้ายที่ทำร้ายหัวใจฉัน ใจร้ายที่ปล่อยให้ฉันรัก แล้วก็ใจร้ายกับเด้กที่กำลังจะเกิดมา....



“อ้าว..เจ้าสาวผมละครับ”





“เอ่อ...อยู่ในห้องน้ำค่ะ กำลัง ระ.....”




ฉันรีบเปิดประตูห้องน้ำทันทีที่ได้ยินเสียงของเจ้าบ่าวตัวเองกำลังถามหาฉันกับพี่ช่างแต่งหน้า



“แป๋มอยู่นี่ค่ะพี่ปัถย์”





“อ้าว...นึกว่าหายไปไหน”
คุณปัถย์เดินตรงเข้ามาฉันทันที





“แล้วทำไมตาบวมฉึ่งแบบนี้ล่ะ หืม...นอนเยอะแน่แน่เลย”
คุณปัถย์ใช้มือสองข้างลูกเปลือกตาไล่ลงมาที่ข้างแก้มของฉัน น้ำตาฉันพาลจะไหลให้ได้อีกแล้ว





“แป๋มขอไปแต่งตัวก่อนนะค่ะ”






“เป็นอะไรน่ะแป๋ม...ทำไมต้องทำหน้าแบบนี้”






“เปล่าค่ะ...แป๋มกลัวไม่ทัน”




คุณหญิงพจนีย์และคุณแม่เดินเข้ามาสมทบในห้องของฉันพอดี ฉันเลยถือโอกาสผละจากคุณปัถย์ ฉันยังไม่พร้อมจริงจริง ไม่พร้อมแม้กระทั่งถามในเรื่องที่กำลังวุ่นวายอยู่ในหัวตอนนี้




“ทำไมยังไม่แต่งตัวเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก ทั้งคู่”
คุณหญิงพจนีย์เอ่ยตักเตือนทันทีที่เห็นเราทั้งสองยังอยู่ในชุดพิธีหมั้นในตอนเช้า




ฉันไม่ได้สนใจคุณปัถย์เลย เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา จิตใจตอนนี้มันเลยทั้งสับสนวุ่นวายในหัวไปหมด ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ในหัวฉันคิดถึงเรื่องหย่าแล้ว...แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาใครด้วย เพราะกลัวว่าจะพลอยทำให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจไปกับฉัน




พิธีในตอนเย็นคลายความมึนตึงของฉันไปได้เพียงนิดหน่อย บรรยากาศของงานแต่งงานทำให้ฉันแอบหลงระเริงกับมันอย่างช่วยไม่ได้ แขกของทั้งทางฉันและคุณปัถย์ต่างพากันร่วมแสดงความยินดี แต่มันก็เพียงไม่นานเพราะฉันก็มีโอกาสได้ต้อนรับ แขกคนสำคัญของคุณปัถย์ในเวลาถัดมา





“พี่ปัถย์ค่ะ...ริต้ายินดีด้วยจริงจริง” ฉันได้แต่ส่งสีหน้านิ่งเงียบไปที่ผู้มาใหม่





“ขอบคุณมากนะริต้า..นี่ก็แป๋ม ภรรยาพี่”
คุณริต้าจับมือฉันทั้งสองข้างพร้อมทั้งยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า




“คุณแป๋มโชคดีมากนะค่ะที่ได้คนแบบพี่ปัถย์ ริต้ายังอดอิจฉาคุณแป๋มไม่ได้เลย”
ฉันได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆกลับไปให้




แขกคนถัดไปเป็นแขกที่ฉันไม่อยากจะพบหน้ามากที่สุดนั่นคือ ครอบครัวของคุณเต้ อันประกอบด้วย คุณพ่อและคุณแม่ของคุณเต้ และ คุณตี้ รายหลังนี่ออกจะเชิดใส่ฉันอย่างมาก และปฏิเสธการถ่ายภาพคู่กันด้วย ฉันเห็นสายตาของคุณแม่คุณพ่อคุณตี้ตำหนิไปยังหล่อน แต่ก็หาได้สะทกสะท้านไม่ ฉันแอบคิดในใจว่า ถ้าคุณตี้ทราบว่าคุณปัถย์กำลังมีลูก หล่อนคงนึกเยาะสมน้ำหน้าฉันอย่างสะใจเป็นแน่




พิธีดำเนินไปด้วยความชื่นมื่น(ยกเว้นฉัน) แต่ฉันก็พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะฝืนยิ้มและรับไมตรีที่แขกผู้มาร่วมงานส่งมาให้ พี่ปัถย์ก็ยังคงเป็นเจ้าบ่าวที่น่ารักเสมอ เขาคอยประคอง โอบเอวฉันไปทุกที่ หรือไม่ก็จับมือฉันไว้ตลอด...




งานเลี้ยงตอนค่ำจบลงอย่างสวยงาม พิธีถัดมาจึงเป็นพิธีส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ สังเกตจากสีหน้าของคุณปัถย์ตอนนี้แล้ว บอกได้เลยว่า แววตาเขาเป็นประกายอย่างที่สุด แต่ฉันซึ่งไม่อยู่ในอารมณ์ตื่นเต้น สุดหวิว หรืออะไรทั้งสิ้น




“พี่ปัถย์จะอาบน้ำเลยรึเปล่าค่ะ” ฉันถามแบบมึนตึงสุดฤทธิ์





“แป๋มจะอาบให้พี่เหรอ” ดูตาสิ...ประกายเชียว





“ตัวใครก็อาบเองค่ะ”





“อ้าว...ทำไมพูดแบบนี้ นี่พอแต่งงานสมใจก็จะเฉดหัวพี่เลยใช่ไหม” มามุขไหนอีกล่ะเนี่ย





“พี่ปัถย์ต่างหาก”




“เอ๊ะ...แป๋มหมายถึงอะไร” สายตาของคุณปัถย์เปลี่ยนไป





“แป๋มก็หมายความตามที่พูด”






“แป๋มเป็นอะไรกันแน่...ตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายแล้ว”





“พี่ปัถย์นั่นแหละ มีอะไรปิดบังแป๋มอยู่รึเปล่า”
ในเมื่อเอ่ยหัวข้อนี้ขึ้นมา ฉันก็จะไม่ทนแล้ว





“ปิดบังแป๋ม....ปิดบังอะไร” คุณปัถย์เลิกคิ้วถามฉันอย่างสงสัย






“แป๋มให้โอกาสพี่ปัถย์พูดตอนนี้....และเดี๋ยวนี้เท่านั้นนะค่ะ”





“แป๋ม...แป๋มกำลังพูดเรื่องอะไรพี่เริ่มไม่ตลกกับแป๋มแล้วนะ”
คุณปัถย์นั่งลงที่ปลายเตียง ส่วนฉันยังคงยืนยันที่จะยืนต่อไป





“ไหนมานั่งนี่สิ”
คุณปัถย์ตบลงบนหน้าตักของตัวเขาเอง ฉันได้แต่ยืนนิ่งไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งคุณปัถย์พยายามดึงฉันเข้าไป แรงฉันเหรอจะสู้แรงมหาศาลเขาได้





“มีอะไรค่ะ...แม่มดน้อย ทำไมทำหน้าแบบนี้ พี่ไม่สบายใจด้วยเลยนะ”
คุณปัถย์บีบจมูกฉันไปมา



คุณปัถย์โน้มศีรษะฉันเข้าไปบนหน้าอกของเขา พร้อมทั้งลูบหัวของฉันอยู่นาน

“เราเหมือนคนคนเดียวกันแล้วนะแป๋ม...มีอะไรพูดกับพี่คนเดียวนะ พี่สัญญาว่าจะบอกความจริงทุกอย่าง...อย่าคิดอะไรไปเองรู้ไหม”



ต่อมน้ำตาฉันเลยทำงานกันอย่างเต็มที่เมื่อได้ยินประโยคแบบนี้ คุณปัถย์รู้สึกถึงเสียงสะอึกสะอื้นของฉัน เขาจึงพยายามดันตัวของฉันเพื่อเช็ดน้ำตา




“ร้องไห้ทำไม...เด็กน้อย” ฉันได้แต่ส่ายหัวไปมา พูดไม่ออกจริงจริง....




“งั้นต้องทำให้พูดใช่ไหม” คุณปัถย์พูดจบก็โน้มใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้จนจมูกเราทั้งคู่ชนกัน




“พี่รักแป๋มนะ...รักตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้...มารู้ตัวอีกทีก็รักท่าทางน่ารักน่ารักแบบนี้...รักสายตาแบบนี้....รักเวลาที่แป๋มทำหน้างอน...พี่รักทุกอย่างที่เป็นแป๋มเลยนะ”
คราวนี้บ่อน้ำตาฉันเลยแตกประหนึ่งเขื่อนพัง...ฉันเฝ้าฝันที่จะได้ยินคำแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าคุณปัถย์ รู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ฝัน แต่หลายๆครั้งก็พยายามจะสร้างจินตนาการให้ตัวเองอยู่เสมอว่า...สักวันฉันอาจจะฉันได้ยินคำว่ารักจากปากของเขา คุณปัถย์พยายามปลอบโยนฉันอย่างเต็มที เขาดูตกใจมากเมื่อฉันร้องไห้อย่างมากมายเช่นนี้





หลังจากที่ฉันสงบลงคุณปัถย์ก็พูดขึ้น




“อาบน้ำนอนไหม” ฉันได้แต่มองหน้าคุณปัถย์ อย่างไม่คิดที่จะเอ่ยคำพูดอะไร







“อย่ามองพี่แบบนั้น...เดี๋ยวแป๋มเองที่จะไม่ได้นอน”

ฉันพยายามเช็ดน้ำตา แต่ในใจก็เริ่มวาบหวิว หน้าแดงกับคำพูดทำนองนี้อีกแล้ว ฉันได้แต่จ้องหน้าคุณปัถย์อย่างเนิ่นนาน จนในที่สุดคุณปัถย์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า





“เชื่อใจพี่นะ...พี่จะทำให้วันนี้เป็นวันที่วิเศษที่สุดของแป๋มเลย”





ฉันได้ยินแค่นั้นจริงจริง สติของฉันหลุดลอยเมื่อริมฝีปากของตัวเองถูกทาบด้วยริมฝีปากของคนที่ฉันรักที่สุด ความหวามไหวที่เค้าส่งมาให้มันช่างอ่อนหวานและเร่าเร้าในคราวเดียวกัน เด็กน้อยอ่อนประสบการณ์แบบฉันไม่มีอะไรจะไปสู้รบกับคนมากชั้นเชิงแบบคุณปัถย์จริงจริง ชุดแต่งงานตัวสวยถูกถอดออกไปแต่งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ฉันรู้เพียงแต่ว่า ฉันยอมจะไปในทุกทุกที่ หากว่ามีผู้ชายคนนี้เคียงข้าง ความรู้สึกแปลกใหม่เมื่อมีบางสิ่งเข้ามาในร่างกายตัวเอง แม้มันจะเจ็บจนเกินจะบรรยาย แต่ฉันก็ยังคงได้รับการปลอบโยนและเสียงกระซิบ “พี่ขอโทษนะค่ะ...คนดี” ฉันรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มร้อนขึ้นไปทุกที จนกระทั่งรู้สึกว่าความอดทนของตัวเองเริ่มจะหมด แสงสีขาวพร่างพรายในมโนจิตของตัวเอง....บอกได้เพียงว่าเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความวาบหวิว ซาบซ่าน และมีความสุขเมื่อได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเราทั้งคู่...ในที่สุดเราก็กลายเป็นคนคนเดียวกันแล้วสินะ






- - - - - - - - - - - - - - - - - - -

ในที่สุดน้องแป๋มก็เสร็จพี่ปัถย์แล้ว เย้เย้
แอบบอกว่า เขียนได้เท่านี้จริงจริง ฮ่าาาาาาาาาาาาาา เป็นมือใหม่น่ะ พยายามเร้าอารมณ์ตัวเองเต็มที่แล้วน้า........
จะพยายามพัฒนาให้หวานหยดย้อยในตอนต่อต่อไปนะค่ะ
เดี๋ยววันอาทิตย์ตอนดึกดึก จะมาอัพต่อให้เด้อ


ขอบคุณทุกรีวิวและการติดตามให้กำลังใจนะค่ะ
รักคนอ่าน เลิฟคนเม้น
จริงจริงรักทุกคนเลยยยยยย



คุณิณพัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ส.ค. 2554, 08:01:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ส.ค. 2554, 08:01:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2537





<< บทที่ 13 : ริต้า เฉิน พิสิษฐ์ดำรง   บทที่ 15 : ศึกสองด้าน >>
เรือใบ 20 ส.ค. 2554, 08:15:03 น.
อ่านแล้วกลัวใจแทนคุณคุณิณพัณณ์ เร้าอารมณ์เต็มที่เพื่เขียนฉากนี้ เหอๆๆ ;)


ใจใส 20 ส.ค. 2554, 08:21:34 น.
เฮ้ย ลุงหื่นน่าจะเคลียร์ให้รู้เรื่องก่อนอ่ะ แป๋มด้วย ไม่น่าใจอ่อนไปก่อนเลย


รอให้เป็นเล่ม 20 ส.ค. 2554, 11:28:15 น.
ป้าดดดดด
พี่ปัถย์ไม่ให้เวลาน้องแป๋มอาบน้ำก่อยเลยเหรอ


nuyzaa 20 ส.ค. 2554, 13:59:16 น.
ตอนหน้าจะเปนไงน้า


pretty 20 ส.ค. 2554, 14:16:16 น.
อ้าวววววว ใจอ่อนตลอดเลยอ่ะ


xeve 20 ส.ค. 2554, 18:26:05 น.
มีอะไรก็ถามเค้าไปเลย ร้องไห้ทำไมคะน้องแป๋ม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account