โอบรักธารรุ้ง: อัยย์ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
หมู่บ้านธารรุ้ง แผ่นดินผืนนี้คือทำเลทองของธุรกิจเขา
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
และคือบ้านเกิดแสนอบอุ่นที่เธอจะมาปักหลักเป็นเกษตรกร
'ภาณุรุจ' มีฝันจะทำรีสอร์ตแห่งใหม่ในพื้นที่ของ 'พิมริสา' โดยที่เธอเองก็มีฝันจะทำไร่ดอกไม้อยู่แล้ว
เขาจะรามือ หรือจะยื้อแย่งดี แต่เห็นความมุ่งมั่นขนาดนั้น เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้
เพราะเธอก็ไม่ใช่คนไกล เป็นอดีตรุ่นน้องรหัสสมัยเรียนที่เขาเคยว้ากใส่จนไม่มองหน้ากันมาก่อน
ความฝังใจของเธอ เขาคือรุ่นพี่ที่ไร้เมตตา แต่เขาอยากจะบอกเธอว่า...ไม่เสมอไป
เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขา “โทร.มาทำไมคะ ดึกๆ ป่านนี้ มีธุระอะไรเหรอ”
“ไม่ใช่โทร.มาขอซื้อที่แล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้นะ คือว่า...พี่นอนไม่หลับ”
“แล้วทำไมถึงโทร.หาพิมล่ะ คนทั้งหมู่บ้านก็มี”
เขาเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดสินใจตอบ “ก็...ไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่”
ใช่ เขาคิดถึงเธอนั่นแหละ ทุกลมหายใจ
แล้วทีนี้จะให้ทำยังไง นอกจากดับฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเองเพื่อเธอ
******************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย อัยย์ และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ โรแมนติกน่ารักน่าหยิกตามสไตล์คุณอัยย์เช่นเคย และมีความคู่กัดระหว่างพระเอกนางเอก เพราะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่ชังขี้หน้ากันตั้งแต่มหา'ลัย แต่ต้องมาเจอกันอีกในหมู่บ้านธารรุ้ง หวานๆ ฮาๆ ในเรื่องราวค่ะ นอกจากนี้มีเรื่องของการสร้างชุมชน และการมีกิจการของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช, ร้านนิยายรัก, ร้านbooksforfun, ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง), ร้านThebookboxclub และร้าน BestbookSmile
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: โรแมนติก คู่กัด เกษตรกร รีสอร์ต รุ่นพี่ รุ่นน้อง
ตอน: บทที่ 5 -100%
จุ๊บๆ สุขสันต์วันลอยกระทงค่า น่าจะกลับจากลอยกระทงกันแล้ว อิอิ มาต่อให้จ้า โอบรักธารรุ้งเปิดจองแล้วด้วยนะคะ ใครสนใจรายละเอียดคลิกที่ปุ่มอ่านเรื่องย่อด้านบน^^
*****************
ผลจากการเร่งหาข้อมูลแข่งกับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน ในที่สุดพิมริสาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า เธอจะปลูกดอกปทุมมาแทนเบญจมาศกับดาวเรืองที่เคยคิดตอนแรก
ปทุมมาเป็นพืชวงศ์ขิงแบบเดียวกับดอกกระเจียว รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกันจนแยกแทบไม่ออก การปลูก การดูแลรักษาก็ใกล้เคียงกัน
เริ่มแรก สมาชิกในบ้านก็ค้านกันเสียงหลง เพราะทุกคนเคยไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่โด่งดังแถวชัยภูมิกันมาแล้ว และมองไม่เห็นว่ามันจะทำเงินได้อย่างไร
“จำได้ไหม ที่เราเคยไปเที่ยวทุ่งกระเจียวกันสองครั้ง แล้วก็ไม่เจอดอกมันทั้งสองครั้ง” ภพพิชัยพูดในวงข้าวที่อยู่กันครบ “คิดดู แค่ผ่านหน้าฝนไม่กี่วัน เราไปปลายฝนนิดๆ ก็ไม่เจอดอกมันแล้ว มันออกดอกแค่หน้าฝนแป๊บเดียว จากนั้นก็มีแต่ต้นเหี่ยวๆ ไปทั้งปี”
“พี่ก็ว่าไม่สวยเลย” พรผกาพูดขึ้นบ้าง “สู้พวกดาวเรือง เบญจมาศไม่ได้”
“ไม่สวยแล้วคนจะแห่ไปถ่ายรูปกันทำไมคะพี่พร...แต่เรื่องสวยไม่สวย พิมไม่ค่อยสนใจหรอก พิมไม่ได้มาทำไร่ดอกไม้เพื่อให้ใครมาเที่ยวถ่าย รูปเซลฟี พิมทำการเกษตรเพื่อผลผลิต เจ้าดอกปทุมมานี้ตลาดต่างประเทศกำลังต้องการมาก เขาเรียกมันว่าอะไรรู้หรือเปล่าคะแม่” พิมริสาหันไปทางพิมพ์ใจ ซึ่งก็ได้รับการส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“เขาเรียกมันว่าทิวลิปสยามเลยนะ”
“โห ซะหรูเลย แต่พี่มองยังไงก็กระเจียว เอามาจิ้มน้ำพริกกินเขาว่าอร่อย โอ๊ย พูดแล้วนึกอยากกินดูสักที” พรผกาว่า
“พิมศึกษาข้อมูลมาดีแล้ว ช่วงที่มันไม่ออกดอกก็ไม่น่าห่วงเลย ที่จริงบางคนเขาตัดดอกทิ้งเสียด้วยซ้ำ เพื่อเลี้ยงหัวของมันให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนส่งเป็นหัวพันธุ์ไปขายต่างประเทศแถบยุโรปกับญี่ปุ่น คิดดูสิ จะมีดอก ไม้อะไรที่ให้ทั้งดอกสวย และให้ขุดหัวพันธุ์ไปขายได้ด้วย มันเป็นดอกไม้ที่สารพัดประโยชน์จริงๆ”
“ตกลงจะโกอินเตอร์เลยหรือนี่” ภพพิชัยว่า แววตาเริ่มทึ่งน้องสาว “พี่ก็นึกว่าปลูกดอกไม้ขายแถวหน้าวัดในเมือง อย่างเก่งก็ส่งปากคลอง”
“ดอกก็เน้นขายในประเทศไงคะพี่ภพ ส่วนหัวพันธุ์ พิมกะส่งออกค่ะ คอยดูนะ พิมจะส่งทิวลิปสยามไปขายที่เนเธอร์แลนด์แดนทิวลิปจริงๆ เลย”
“โอ้ ไม่ธรรมดา ยายพิมเล่นใหญ่เลยนะแม่”
พรผกาหันมาพูดกับพิมพ์ใจ ส่วนไพโรจน์ผู้เป็นบิดาได้แต่นั่งฟังคำลูกสาวพลางพยักหน้าหงึกๆ ไปพลาง เขารู้สึกภูมิใจที่ลูกสาวได้กลายเป็นต้นไม้หล่นใต้ต้นในที่สุด
*******************
สองวันถัดมาจึงเป็นสองวันที่พิมริสาวิ่งวุ่นกับงานใหม่ของเธออย่างจริงจัง โดยมีบิดาเป็นผู้ช่วย หรือจะเรียกว่าเป็นหัวหน้าก็ได้ทั้งสองอย่าง
รถกระบะคันเก่าของบิดา ก็ได้บิดานั่นละเป็นคนขับพาเธอตะลอนไปต่างอำเภอ เพื่อไปซื้อหัวพันธุ์และต้นกล้าที่เพื่อนชาวสวนของบิดาบอกต่อๆ กัน ระหว่างทางทั้งขาไปและกลับ บิดาให้ความรู้เรื่องดิน เรื่องต้นไม้แก่เธอ ประสบการณ์งานสวนของบิดาที่เธอไม่เคยสนใจ บัดนี้หญิงสาวนั่งฟังอย่างหูผึ่ง บิดาเก่งรอบด้าน แต่ทำไมนะ สวนของบิดาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ เธอคิดว่าเป็นเพราะบิดาโชคไม่ดีนั้นข้อหนึ่ง อีกข้อคือบิดาไม่รู้จักทำการ ตลาดสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้ผลิตผลทางการเกษตรเขาก็เปิดเพจขายออนไลน์กันทั้งนั้น เรื่องแบบนี้บิดาไม่รู้ จึงไม่มีทางสู้เกษตรกรรุ่นใหม่ๆ ได้เลย
ขณะที่รถกระบะแล่นไปตามถนนสองข้างทางที่เป็นเนินหญ้าป่าเขาอันงดงามคดเคี้ยว และเมื่อตะวันโรยแสง บรรยากาศดูสวยอมเศร้า เธอกลับยิ่งรู้สึกว่าชีวิตเธอจะมีแต่ความเรืองรองย้อนแย้งแสงตะวัน
และสำหรับไพโรจน์ การที่ลูกคนเล็กกลับมาบ้าน เพื่อมาทำในสิ่งที่เขาก็รักและถนัดอยู่เป็นทุน ทำให้ชีวิตที่อยู่ไปวันๆ ของเขามีความหมายขึ้น ช่วงนี้เขาแข็งแรงขึ้นมาก ซึ่งก็พลอยทำให้ทุกคนในบ้านมีความสุขไปด้วย
“เรื่องสวนดอกไม้ ไปถึงไหนแล้วหรือพิม”
เกดแก้วถามพิมริสา สองสาวนั่งอยู่ในสวนร่มรื่นริมอ่างเก็บน้ำที่อยู่บริเวณร้านอาหารของเกดแก้ว ซึ่งเจ้าของร้านได้เจียดเวลามาคุยกับเพื่อนที่อุตส่าห์ปั่นจักรยานมาหา
“กำลังไถปรับพื้นที่ ใกล้เสร็จแล้วละ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อม พวกเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้า อะไรต่อมิอะไร ฉันก็หาได้เกือบหมดแล้ว”
คนฟังทำตาโต “โอ้โห! นี่ฉันถามเล่นๆ นะเนี่ย ไม่คิดว่าเธอเอาจริงถึงขึ้นเตรียมปลูกแล้ว อาทิตย์ก่อนที่เจอกันดูเธอยังเลื่อนลอยอยู่เลย”
พิมริสาหัวเราะประโยคนั้นของเพื่อน ก่อนยืดอกอธิบาย
“ฉันศึกษาทฤษฎีมาเพียบ เหลือแค่ปฏิบัติเท่านั้นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ยากอะไรนี่นา อย่าลืมว่าพ่อแม่ฉันก็เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว ท่านรู้เรื่องดีทุกอย่าง ท่านแค่เปลี่ยนจากปลูกพวกผลไม้ที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวมาเป็นดอก ไม้เท่านั้นเอง มันจะยากอะไรล่ะ”
“เก่งแฮะ” เกดแก้วยกหัวแม่โป้งให้เพื่อนเก่า “เออ แล้วตกลงปลูกดอกอะไรแน่ เห็นเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว”
“ปลูกปทุมมา”
“ปทุมมา ดอกอะไรวะ ชื่อยังกะลิเก”
พิมริสาจึงต้องอรรถาธิบายให้เพื่อนฟังแบบเดียวกับที่พูดกับครอบครัว แล้วตบท้ายว่า
“แต่ที่ฉันยังหนักใจอยู่บ้างก็เรื่องคนงาน ไร่กว้างขนาดนั้น ต้องใช้คนเยอะ ไม่รู้จะหามาจากไหน อยากขอให้เธอช่วยหน่อย พอรู้บ้างไหมเรื่องหาคน”
“ก็ไม่ยากอะไรนิ ไปติดต่อที่สำนักจัดหางานที่ตัวจังหวัดสิ ต้องการคนงานแบบไหนยังไง เดี๋ยวก็ได้”
แล้วเกดแก้วก็งัดนามบัตรใบหนึ่งจากกระเป๋าส่งให้ พิมริสาเอ่ยขอบใจแล้วแซวกลั้วหัวเราะ
“เธอนี่เจ้าแม่นามบัตรจริงๆ นะ ต้องการพบใคร ต้องการไปที่ไหน มีพร้อม”
“แน่ละสิ แถวนี้ฉันคุม ฉันเป็นผู้กว้างขวาง อุ๊ย! นั่นลูกค้าของคุณไผ่มาแล้ว เขามาล่องแพกัน”
แววตาเกดแก้วระยิบระยับเจิดจ้าจนอีกฝ่ายรู้สึก
“เดี๋ยวต้องไปต้อนรับก่อน ขอตัวก่อนนะพิม”
“ตามสบายจ้ะเกด”
พิมริสามองตามเกดแก้วไป เห็นเธอเข้าไปคุยกับผู้ชายร่างสูงเพรียวใส่แว่นกันแดดอันโต ท่าทางเขาดูโดดเด่นกว่าทุกคน เพื่อนของเธอมีอาการหลุกหลิกผสมขัดเขินขึ้นมาทันทีขณะคุยกับเขา
เธอคิดไม่ผิดหรอก ยายเกดแก้วหลงเสน่ห์นายรุ่นพี่ของเธอเข้าเต็มทรวง ก็เขาหล่อออกปานนั้นนี่นะ เกดแก้วเองก็สาวสวยโสด ธุรกิจที่ทั้งคู่ทำ ก็ดูจะเอื้อต่อกันดี
คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่ดี คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ไม่เอาไหน หึ ไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ทุกวันนี้ เจ้าช้างบ้าพวกนั้นก็ยังเดินผ่านบ้านเธอ ถึงมันจะไม่ลงมาแช่น้ำตรงนั้น แต่มันก็ยังเดินไปมาอยู่ดี คำขอร้องของเธอไม่ ได้ทำให้นายรุ่นพี่คิดอยากช่วยอะไรให้มากกว่านั้นเลยจริงๆ
แต่ก็ช่างเถอะ ช่วงนี้เธอยุ่งกับงานที่กำลังเริ่มได้สวย ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาออกมาเดินเล่นจนจ๊ะเอ๋กับช้างบ่อยๆ แบบช่วงก่อน เรื่องช้างนี้คิดว่าคงต้องปล่อยเลยตามเลยเสียแล้ว เพราะเขาก็เช่าที่บิดาให้ช้างเดิน รอให้หมดสัญญากันก่อนดีกว่าแล้วค่อยว่ากันใหม่ เรื่องที่จะไปคุยกับนที ก็เป็นอันว่าพับไป
ลูกทัวร์ทั้งไทยเทศของภาณุรุจยังไม่ทันลงแพ แต่เจ้าของทัวร์กลับเดินตรงมาที่เธอ พิมริสานึกเสียดายที่เธอมัวอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้ ทำให้ต้องพูด คุยกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อ้าว ไม่พาลูกค้าลงแพเหรอคะ”
เธอถามขึ้นก่อน เดี๋ยวจะว่าไม่รู้จักทักทายคนรู้จัก
“ไม่...” เขาตอบพลางถอดแว่นกันแดดสีฟ้าเข้มออก ตาคมเข้มสบตาเธอชั่วครู่ก่อนจะหันไปมองกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ทยอยลงแพ
“มีไกด์ทำหน้าที่อยู่แล้ว พี่แค่ตามมาดูแลนิดหน่อย”
“น่าสนุกดี ดูอึกทึกดีจัง นักท่องเที่ยวของพี่ทำเอาหมู่บ้านร้างอย่างธารรุ้งหายเหงาไปเยอะ”
คำพูดเธอทำเอาชายหนุ่มอึ้งไป แต่เขาพยายามไม่คิดเล็กคิดน้อยกับยายรุ่นน้องจอมเหน็บแนม รู้สึกเหมือนจะตื่นเต้นดีใจด้วยซ้ำที่มาเจอเธอเข้า
“อยากลองล่องดูบ้างไหมล่ะ พี่พาไปเอง”
“ไม่ละค่ะ ไม่ค่อยชอบ”
“ทำไม กลัวตกน้ำหรือ” เขาหรี่ตาถาม
“เปล่า แค่ไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ”
“เสี่ยงตรงไหน เขาล่องกันทั้งบาง ทำไมพิมเป็นคนขี้กลัวนักล่ะ ทั้ง กลัวช้าง กลัวน้ำ กลัวทุกอย่าง”
“พิมกลัวในสิ่งที่ควรกลัวต่างหาก” เธอแย้งฉุนๆ “...กลัวในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคาดเดายาก”
“งั้นที่พิมไม่กลัวพี่นี่ เพราะพี่คาดเดาง่ายสิท่า”
“ก็แล้วแต่จะคิด”
เธอพูดห้วนๆ แปลกใจตัวเองที่ยังยืนต่อปากต่อคำกับเขา ทำไมไม่เดินหนีไป ส่วนภาณุรุจเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มกลายสภาพจากคนสวยเป็นม้าหมากรุก เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเปลี่ยนแล้วดีขึ้นหรือเลวลง
“เมื่อวานเย็นพี่ผ่านไปทางบ้านพิม เห็นไถดินจนเรียบแล้ว เร็วดีนี่”
“ค่ะ มันควรเริ่มได้สักที เดี๋ยวอีกไม่กี่วันพี่ผ่านไปก็จะได้เห็นดอกไม้บานเต็มทุ่ง”
เขาเลิกคิ้ว “เร็วขนาดนั้นเลยรึ ทำไมดูง่ายจังเลยแฮะ”
“ก็ไม่ยากอะไรนี่คะ ปลูกดอกไม้ ทำได้ง่าย เห็นผลเร็ว ถอนทุนคืนเร็วกว่าทำรีสอร์ตเสียอีก”
เขาสะอึกอีกครั้ง แล้วถามในสิ่งที่อยากรู้ขึ้นมาจริงๆ
“พิมปลูกดอกอะไรหรือ บอกได้ไหม”
“ปทุมมาค่ะ”
คราวนี้เขาพยักหน้าร้องขึ้นว่า “อ๋อ กระเจียวบัวหรือทิวลิปสยามนี่ เอง”
“ท่าทางพี่จะรู้จักดอกนี้ดี ทั้งชื่อถิ่นทั้งฉายงฉายาก็รู้หมด เก่งนี่คะ”
เขายิ้ม ค้อมศีรษะรับคำชมที่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าคนพูด พูดชมจริงๆ หรือแดกดัน แต่น่าจะเป็นอย่างแรก เพราะเธอพูดต่อว่า
“คนอื่นๆ ไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไร”
พิมริสานั้นรู้สึกโล่งอกจริงๆ ที่ไม่ต้องมาอธิบายกันอีกครั้งว่ามันคือดอกอะไร ไม่กี่วันมานี้ เธอได้แต่อธิบายเรื่องเจ้าดอกไม้นี้กับคนนั้นคนนี้จนแทบไม่เป็นอันทำอย่างอื่น เพิ่งมีเขาคนแรกนี่แหละที่เธอไม่ต้องขยายความ!
“เผอิญพี่ก็พอสนใจเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอยู่บ้าง อืม เจอพิมก็ดีแล้ว เข้าเรื่องสำคัญนิดนึงนะ คือพี่มีข้อเสนอให้พิมไปคิดเรื่องที่ดิน...เอ่อ...”
ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าคนฟังที่เริ่มเปลี่ยนไป
หรือเขาควรหยุดพูดเรื่องนี้ แล้วคุยกับเธอเรื่องเจ้าดอกปทุมมาแทน ดูทรงแล้วคุยเรื่องดอกไม้น่าจะเข้าทีกว่าเรื่องที่ดิน
...แต่เอาเถอะ ยังไงก็ต้องพูด
“คือพี่อยากได้ที่ตรงนั้นจริงๆ พี่คุยกับพี่นทีที่เป็นหุ้นส่วนกับพี่แล้ว เราอยากเพิ่มเงินให้พิมอีกก้อนใหญ่ๆ นอกเหนือจากค่าที่ดิน ซึ่งเงินก้อนนี้ พิมสามารถเอาไปซื้อที่สวยๆ ในหมู่บ้านได้อีกเยอะแยะ จะไปซื้อปลูกปทุมมาอีกกี่ไร่ก็ได้”
หญิงสาวรู้สึกถึงโทสะที่แล่นขึ้นหน้าเป็นริ้วๆ นี่เขายังไม่เลิกราอย่างนั้นหรือ จนกระทั่งเธอไถที่เตรียมลงต้นไม้แล้ว เขายังมาขอซื้ออยู่อีกแถมยังพร้อมทุ่มเงินให้เสียด้วย คงคิดว่าเธออยากได้เงินจนตัวสั่นสินะ
“ถ้าพิมอยากทำไร่ดอกไม้ พี่คิดว่าที่ตรงไหนก็ทำได้ จริงไหม ไม่จำ เป็นต้องเป็นที่ตรงนั้น”
“จำเป็นสิคะ ก็ตรงนั้นบ้านพิม”
“ไม่เอาน่า ทำเป็นเด็กติดบ้านไปได้ ลองคิดให้ดี คนเราทำงานเพื่ออะไร เพื่อเงินใช่ไหม พิมก็ได้เงินก้อนใหญ่นี้ของพี่ไป แล้วยังได้ไร่ปทุมมาที่พิมต้องการอีก เพียงแต่ไร่นั้นอาจจะอยู่ห่างบ้านพ่อแม่ไปหน่อย ซึ่งพี่ว่าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ถามหน่อยนะคะ ทำไมพี่ถึงอยากได้ที่ของพิมนัก ในเมื่อเงินของพี่ ก็เอาไปซื้อที่อื่นๆ ได้ตามที่ต้องการ พี่จะไปสร้างรีสอร์ตกี่หลังก็ได้ ทำไมพี่ถึงเจาะจงจะเอาที่ตรงนั้น”
ภาณุรุจสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง พิมริสายอกย้อนเกินกว่าที่เขาคิด การเจรจาครานี้ ดูท่าว่าจะจบไม่สวย อีกกระมัง
“ก็เพราะที่ตรงนั้นมันใกล้ลำธารไง...จ๊ะ” เขาใส่คำท้ายให้ดูซอฟต์ลง
“ที่อื่นก็ใกล้ลำธาร ลำธารที่นี่ตั้งยาว”
“แต่ตรงนั้นมันโอเคที่สุด เหมาะสมที่สุด”
เขาตอบไปแค่นั้น ไม่อยากบรรยายต่อว่าเพราะที่ตรงนั้นเป็นจุดที่เห็นสะพานรุ้งเหนือลำธาร เดี๋ยวเธอจะยิ่งได้ใจและหยิ่งยโสโอหังไปกันใหญ่
“ยังไงก็ไม่ขายค่ะ พี่ล้มเลิกความคิดเสียเถอะ จะมาขออะไรกับพิม บอกเลยว่าไม่มีทาง ก็ในเมื่อพิมขอให้พี่เปลี่ยนเส้นทางช้าง พี่ยังไม่จัดให้เลย จริงไหมล่ะ”
“เรื่องนั้นมัน...”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
พิมริสาผละออกมาอย่างเร็ว เลือดขึ้นหน้าจนทำให้ไม่ทันระวัง
“โอ๊ะ!” เธอร้องขึ้นอย่างตกใจ ขณะเหยียบกิ่งไม้ท่อนกลมๆ จนลื่นไถลไป หากแต่...ภาณุรุจคว้าแขนเธอไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ระวังหน่อย เกือบตกไปแล้ว!”
เขาเอ็ดเสียงดัง มือแข็งแรงสะอาดยังคว้าแขนเธอไว้แน่น ไม่แค่นั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดเขายังกระชากเธอออกห่างจากจุดอันตรายอีกครั้งจนพิมริสาเซไปปะทะตัวเขาอย่างแรง
“พี่...ไผ่”
รอบตัวที่เคยมีเสียงอึกทึกกลับหายไป เหลือไว้แต่เพียงความเงียบกับเสียงน้ำด้านล่างที่ไหลเชี่ยว และเสียงตึกตักของอะไรบางอย่างสับสนปน เปไปกับเสียงลมหายใจหนักๆ
พิมริสาหัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจ หน้าที่แนบอยู่กับแผงอกกว้างของอีกคนเบือนออกห่าง แล้วมองไปข้างล่างที่เป็นแอ่งน้ำกว้างสีเขียวๆ เธอทำหน้าสยอง ถ้าเขาคว้าไม่ทันเธออาจหล่นจากสันเขื่อนที่สูงชันตรงนี้ไปแล้วอย่างเขาบอก
ภาณุรุจมองสีหน้าที่ขาวซีดนั้นครู่หนึ่งก่อนปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ
“ทำไมไม่ระวัง” เขายังดุ แต่คราวนี้เสียงที่เข้มผ่อนลง
“ถ้าตกไปข้างล่าง จะทำไง”
“ไม่ตกหรอกค่ะ ยังห่างเยอะ พิมก็เห็นอยู่”
“ห่างเยอะกะผีอะไร ไม่ถึงคืบก็ตกแล้ว เหอะ เกือบตายขนาดนี้ยังเถียงอยู่ได้” ภาณุรุจเริ่มฉุนขึ้นมาอีก เขาตกใจแทบบ้า แต่ยายนี่ยังตีฝีปาก ทำท่าเหมือนไม่กลัวอะไร แต่ใครกันเมื่อครู่นี้ที่กอดเขาแน่นอยู่นาน จนเขาต้องปล่อยเองเพราะเริ่มมีคนเหลียวมอง
“พี่ว่าพิมควรกลัวนิสัยซุ่มซ่ามของตัวเองมากกว่ากลัวช้างนะ”
แล้วชายหนุ่มก็เดินผละไปทันทีโดยไม่ลืมคว้าเจ้ากิ่งไม้ท่อนกลมที่เป็นต้นเหตุโยนลิ่วลงไปด้านล่าง พิมริสาได้แต่ยืนมองตามไป แล้วค้อนเขาขวับอย่างไร้สาเหตุ
**************
อย่าลืมไปสั่งจองกันน้าาาา ครบ 400฿ ได้ของขวัญปีใหม่เป็นถุงผ้าน่ารักๆ จากสนพ.ด้วยค่ะ อยากแจกกกกกก
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
*****************
ผลจากการเร่งหาข้อมูลแข่งกับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วในแต่ละวัน ในที่สุดพิมริสาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่า เธอจะปลูกดอกปทุมมาแทนเบญจมาศกับดาวเรืองที่เคยคิดตอนแรก
ปทุมมาเป็นพืชวงศ์ขิงแบบเดียวกับดอกกระเจียว รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกันจนแยกแทบไม่ออก การปลูก การดูแลรักษาก็ใกล้เคียงกัน
เริ่มแรก สมาชิกในบ้านก็ค้านกันเสียงหลง เพราะทุกคนเคยไปเที่ยวทุ่งดอกกระเจียวที่โด่งดังแถวชัยภูมิกันมาแล้ว และมองไม่เห็นว่ามันจะทำเงินได้อย่างไร
“จำได้ไหม ที่เราเคยไปเที่ยวทุ่งกระเจียวกันสองครั้ง แล้วก็ไม่เจอดอกมันทั้งสองครั้ง” ภพพิชัยพูดในวงข้าวที่อยู่กันครบ “คิดดู แค่ผ่านหน้าฝนไม่กี่วัน เราไปปลายฝนนิดๆ ก็ไม่เจอดอกมันแล้ว มันออกดอกแค่หน้าฝนแป๊บเดียว จากนั้นก็มีแต่ต้นเหี่ยวๆ ไปทั้งปี”
“พี่ก็ว่าไม่สวยเลย” พรผกาพูดขึ้นบ้าง “สู้พวกดาวเรือง เบญจมาศไม่ได้”
“ไม่สวยแล้วคนจะแห่ไปถ่ายรูปกันทำไมคะพี่พร...แต่เรื่องสวยไม่สวย พิมไม่ค่อยสนใจหรอก พิมไม่ได้มาทำไร่ดอกไม้เพื่อให้ใครมาเที่ยวถ่าย รูปเซลฟี พิมทำการเกษตรเพื่อผลผลิต เจ้าดอกปทุมมานี้ตลาดต่างประเทศกำลังต้องการมาก เขาเรียกมันว่าอะไรรู้หรือเปล่าคะแม่” พิมริสาหันไปทางพิมพ์ใจ ซึ่งก็ได้รับการส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“เขาเรียกมันว่าทิวลิปสยามเลยนะ”
“โห ซะหรูเลย แต่พี่มองยังไงก็กระเจียว เอามาจิ้มน้ำพริกกินเขาว่าอร่อย โอ๊ย พูดแล้วนึกอยากกินดูสักที” พรผกาว่า
“พิมศึกษาข้อมูลมาดีแล้ว ช่วงที่มันไม่ออกดอกก็ไม่น่าห่วงเลย ที่จริงบางคนเขาตัดดอกทิ้งเสียด้วยซ้ำ เพื่อเลี้ยงหัวของมันให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนส่งเป็นหัวพันธุ์ไปขายต่างประเทศแถบยุโรปกับญี่ปุ่น คิดดูสิ จะมีดอก ไม้อะไรที่ให้ทั้งดอกสวย และให้ขุดหัวพันธุ์ไปขายได้ด้วย มันเป็นดอกไม้ที่สารพัดประโยชน์จริงๆ”
“ตกลงจะโกอินเตอร์เลยหรือนี่” ภพพิชัยว่า แววตาเริ่มทึ่งน้องสาว “พี่ก็นึกว่าปลูกดอกไม้ขายแถวหน้าวัดในเมือง อย่างเก่งก็ส่งปากคลอง”
“ดอกก็เน้นขายในประเทศไงคะพี่ภพ ส่วนหัวพันธุ์ พิมกะส่งออกค่ะ คอยดูนะ พิมจะส่งทิวลิปสยามไปขายที่เนเธอร์แลนด์แดนทิวลิปจริงๆ เลย”
“โอ้ ไม่ธรรมดา ยายพิมเล่นใหญ่เลยนะแม่”
พรผกาหันมาพูดกับพิมพ์ใจ ส่วนไพโรจน์ผู้เป็นบิดาได้แต่นั่งฟังคำลูกสาวพลางพยักหน้าหงึกๆ ไปพลาง เขารู้สึกภูมิใจที่ลูกสาวได้กลายเป็นต้นไม้หล่นใต้ต้นในที่สุด
*******************
สองวันถัดมาจึงเป็นสองวันที่พิมริสาวิ่งวุ่นกับงานใหม่ของเธออย่างจริงจัง โดยมีบิดาเป็นผู้ช่วย หรือจะเรียกว่าเป็นหัวหน้าก็ได้ทั้งสองอย่าง
รถกระบะคันเก่าของบิดา ก็ได้บิดานั่นละเป็นคนขับพาเธอตะลอนไปต่างอำเภอ เพื่อไปซื้อหัวพันธุ์และต้นกล้าที่เพื่อนชาวสวนของบิดาบอกต่อๆ กัน ระหว่างทางทั้งขาไปและกลับ บิดาให้ความรู้เรื่องดิน เรื่องต้นไม้แก่เธอ ประสบการณ์งานสวนของบิดาที่เธอไม่เคยสนใจ บัดนี้หญิงสาวนั่งฟังอย่างหูผึ่ง บิดาเก่งรอบด้าน แต่ทำไมนะ สวนของบิดาจึงไม่ประสบผลสำเร็จ เธอคิดว่าเป็นเพราะบิดาโชคไม่ดีนั้นข้อหนึ่ง อีกข้อคือบิดาไม่รู้จักทำการ ตลาดสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้ผลิตผลทางการเกษตรเขาก็เปิดเพจขายออนไลน์กันทั้งนั้น เรื่องแบบนี้บิดาไม่รู้ จึงไม่มีทางสู้เกษตรกรรุ่นใหม่ๆ ได้เลย
ขณะที่รถกระบะแล่นไปตามถนนสองข้างทางที่เป็นเนินหญ้าป่าเขาอันงดงามคดเคี้ยว และเมื่อตะวันโรยแสง บรรยากาศดูสวยอมเศร้า เธอกลับยิ่งรู้สึกว่าชีวิตเธอจะมีแต่ความเรืองรองย้อนแย้งแสงตะวัน
และสำหรับไพโรจน์ การที่ลูกคนเล็กกลับมาบ้าน เพื่อมาทำในสิ่งที่เขาก็รักและถนัดอยู่เป็นทุน ทำให้ชีวิตที่อยู่ไปวันๆ ของเขามีความหมายขึ้น ช่วงนี้เขาแข็งแรงขึ้นมาก ซึ่งก็พลอยทำให้ทุกคนในบ้านมีความสุขไปด้วย
“เรื่องสวนดอกไม้ ไปถึงไหนแล้วหรือพิม”
เกดแก้วถามพิมริสา สองสาวนั่งอยู่ในสวนร่มรื่นริมอ่างเก็บน้ำที่อยู่บริเวณร้านอาหารของเกดแก้ว ซึ่งเจ้าของร้านได้เจียดเวลามาคุยกับเพื่อนที่อุตส่าห์ปั่นจักรยานมาหา
“กำลังไถปรับพื้นที่ ใกล้เสร็จแล้วละ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อม พวกเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้า อะไรต่อมิอะไร ฉันก็หาได้เกือบหมดแล้ว”
คนฟังทำตาโต “โอ้โห! นี่ฉันถามเล่นๆ นะเนี่ย ไม่คิดว่าเธอเอาจริงถึงขึ้นเตรียมปลูกแล้ว อาทิตย์ก่อนที่เจอกันดูเธอยังเลื่อนลอยอยู่เลย”
พิมริสาหัวเราะประโยคนั้นของเพื่อน ก่อนยืดอกอธิบาย
“ฉันศึกษาทฤษฎีมาเพียบ เหลือแค่ปฏิบัติเท่านั้นแหละ ซึ่งมันก็ไม่ยากอะไรนี่นา อย่าลืมว่าพ่อแม่ฉันก็เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว ท่านรู้เรื่องดีทุกอย่าง ท่านแค่เปลี่ยนจากปลูกพวกผลไม้ที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวมาเป็นดอก ไม้เท่านั้นเอง มันจะยากอะไรล่ะ”
“เก่งแฮะ” เกดแก้วยกหัวแม่โป้งให้เพื่อนเก่า “เออ แล้วตกลงปลูกดอกอะไรแน่ เห็นเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบแล้ว”
“ปลูกปทุมมา”
“ปทุมมา ดอกอะไรวะ ชื่อยังกะลิเก”
พิมริสาจึงต้องอรรถาธิบายให้เพื่อนฟังแบบเดียวกับที่พูดกับครอบครัว แล้วตบท้ายว่า
“แต่ที่ฉันยังหนักใจอยู่บ้างก็เรื่องคนงาน ไร่กว้างขนาดนั้น ต้องใช้คนเยอะ ไม่รู้จะหามาจากไหน อยากขอให้เธอช่วยหน่อย พอรู้บ้างไหมเรื่องหาคน”
“ก็ไม่ยากอะไรนิ ไปติดต่อที่สำนักจัดหางานที่ตัวจังหวัดสิ ต้องการคนงานแบบไหนยังไง เดี๋ยวก็ได้”
แล้วเกดแก้วก็งัดนามบัตรใบหนึ่งจากกระเป๋าส่งให้ พิมริสาเอ่ยขอบใจแล้วแซวกลั้วหัวเราะ
“เธอนี่เจ้าแม่นามบัตรจริงๆ นะ ต้องการพบใคร ต้องการไปที่ไหน มีพร้อม”
“แน่ละสิ แถวนี้ฉันคุม ฉันเป็นผู้กว้างขวาง อุ๊ย! นั่นลูกค้าของคุณไผ่มาแล้ว เขามาล่องแพกัน”
แววตาเกดแก้วระยิบระยับเจิดจ้าจนอีกฝ่ายรู้สึก
“เดี๋ยวต้องไปต้อนรับก่อน ขอตัวก่อนนะพิม”
“ตามสบายจ้ะเกด”
พิมริสามองตามเกดแก้วไป เห็นเธอเข้าไปคุยกับผู้ชายร่างสูงเพรียวใส่แว่นกันแดดอันโต ท่าทางเขาดูโดดเด่นกว่าทุกคน เพื่อนของเธอมีอาการหลุกหลิกผสมขัดเขินขึ้นมาทันทีขณะคุยกับเขา
เธอคิดไม่ผิดหรอก ยายเกดแก้วหลงเสน่ห์นายรุ่นพี่ของเธอเข้าเต็มทรวง ก็เขาหล่อออกปานนั้นนี่นะ เกดแก้วเองก็สาวสวยโสด ธุรกิจที่ทั้งคู่ทำ ก็ดูจะเอื้อต่อกันดี
คนหนึ่งเป็นเพื่อนที่ดี คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ไม่เอาไหน หึ ไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว ทุกวันนี้ เจ้าช้างบ้าพวกนั้นก็ยังเดินผ่านบ้านเธอ ถึงมันจะไม่ลงมาแช่น้ำตรงนั้น แต่มันก็ยังเดินไปมาอยู่ดี คำขอร้องของเธอไม่ ได้ทำให้นายรุ่นพี่คิดอยากช่วยอะไรให้มากกว่านั้นเลยจริงๆ
แต่ก็ช่างเถอะ ช่วงนี้เธอยุ่งกับงานที่กำลังเริ่มได้สวย ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาออกมาเดินเล่นจนจ๊ะเอ๋กับช้างบ่อยๆ แบบช่วงก่อน เรื่องช้างนี้คิดว่าคงต้องปล่อยเลยตามเลยเสียแล้ว เพราะเขาก็เช่าที่บิดาให้ช้างเดิน รอให้หมดสัญญากันก่อนดีกว่าแล้วค่อยว่ากันใหม่ เรื่องที่จะไปคุยกับนที ก็เป็นอันว่าพับไป
ลูกทัวร์ทั้งไทยเทศของภาณุรุจยังไม่ทันลงแพ แต่เจ้าของทัวร์กลับเดินตรงมาที่เธอ พิมริสานึกเสียดายที่เธอมัวอ้อยอิ่งอยู่ตรงนี้ ทำให้ต้องพูด คุยกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อ้าว ไม่พาลูกค้าลงแพเหรอคะ”
เธอถามขึ้นก่อน เดี๋ยวจะว่าไม่รู้จักทักทายคนรู้จัก
“ไม่...” เขาตอบพลางถอดแว่นกันแดดสีฟ้าเข้มออก ตาคมเข้มสบตาเธอชั่วครู่ก่อนจะหันไปมองกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ทยอยลงแพ
“มีไกด์ทำหน้าที่อยู่แล้ว พี่แค่ตามมาดูแลนิดหน่อย”
“น่าสนุกดี ดูอึกทึกดีจัง นักท่องเที่ยวของพี่ทำเอาหมู่บ้านร้างอย่างธารรุ้งหายเหงาไปเยอะ”
คำพูดเธอทำเอาชายหนุ่มอึ้งไป แต่เขาพยายามไม่คิดเล็กคิดน้อยกับยายรุ่นน้องจอมเหน็บแนม รู้สึกเหมือนจะตื่นเต้นดีใจด้วยซ้ำที่มาเจอเธอเข้า
“อยากลองล่องดูบ้างไหมล่ะ พี่พาไปเอง”
“ไม่ละค่ะ ไม่ค่อยชอบ”
“ทำไม กลัวตกน้ำหรือ” เขาหรี่ตาถาม
“เปล่า แค่ไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ”
“เสี่ยงตรงไหน เขาล่องกันทั้งบาง ทำไมพิมเป็นคนขี้กลัวนักล่ะ ทั้ง กลัวช้าง กลัวน้ำ กลัวทุกอย่าง”
“พิมกลัวในสิ่งที่ควรกลัวต่างหาก” เธอแย้งฉุนๆ “...กลัวในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราคาดเดายาก”
“งั้นที่พิมไม่กลัวพี่นี่ เพราะพี่คาดเดาง่ายสิท่า”
“ก็แล้วแต่จะคิด”
เธอพูดห้วนๆ แปลกใจตัวเองที่ยังยืนต่อปากต่อคำกับเขา ทำไมไม่เดินหนีไป ส่วนภาณุรุจเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายที่เริ่มกลายสภาพจากคนสวยเป็นม้าหมากรุก เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเปลี่ยนแล้วดีขึ้นหรือเลวลง
“เมื่อวานเย็นพี่ผ่านไปทางบ้านพิม เห็นไถดินจนเรียบแล้ว เร็วดีนี่”
“ค่ะ มันควรเริ่มได้สักที เดี๋ยวอีกไม่กี่วันพี่ผ่านไปก็จะได้เห็นดอกไม้บานเต็มทุ่ง”
เขาเลิกคิ้ว “เร็วขนาดนั้นเลยรึ ทำไมดูง่ายจังเลยแฮะ”
“ก็ไม่ยากอะไรนี่คะ ปลูกดอกไม้ ทำได้ง่าย เห็นผลเร็ว ถอนทุนคืนเร็วกว่าทำรีสอร์ตเสียอีก”
เขาสะอึกอีกครั้ง แล้วถามในสิ่งที่อยากรู้ขึ้นมาจริงๆ
“พิมปลูกดอกอะไรหรือ บอกได้ไหม”
“ปทุมมาค่ะ”
คราวนี้เขาพยักหน้าร้องขึ้นว่า “อ๋อ กระเจียวบัวหรือทิวลิปสยามนี่ เอง”
“ท่าทางพี่จะรู้จักดอกนี้ดี ทั้งชื่อถิ่นทั้งฉายงฉายาก็รู้หมด เก่งนี่คะ”
เขายิ้ม ค้อมศีรษะรับคำชมที่เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าคนพูด พูดชมจริงๆ หรือแดกดัน แต่น่าจะเป็นอย่างแรก เพราะเธอพูดต่อว่า
“คนอื่นๆ ไม่ค่อยรู้จักสักเท่าไร”
พิมริสานั้นรู้สึกโล่งอกจริงๆ ที่ไม่ต้องมาอธิบายกันอีกครั้งว่ามันคือดอกอะไร ไม่กี่วันมานี้ เธอได้แต่อธิบายเรื่องเจ้าดอกไม้นี้กับคนนั้นคนนี้จนแทบไม่เป็นอันทำอย่างอื่น เพิ่งมีเขาคนแรกนี่แหละที่เธอไม่ต้องขยายความ!
“เผอิญพี่ก็พอสนใจเรื่องต้นไม้ใบหญ้าอยู่บ้าง อืม เจอพิมก็ดีแล้ว เข้าเรื่องสำคัญนิดนึงนะ คือพี่มีข้อเสนอให้พิมไปคิดเรื่องที่ดิน...เอ่อ...”
ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าคนฟังที่เริ่มเปลี่ยนไป
หรือเขาควรหยุดพูดเรื่องนี้ แล้วคุยกับเธอเรื่องเจ้าดอกปทุมมาแทน ดูทรงแล้วคุยเรื่องดอกไม้น่าจะเข้าทีกว่าเรื่องที่ดิน
...แต่เอาเถอะ ยังไงก็ต้องพูด
“คือพี่อยากได้ที่ตรงนั้นจริงๆ พี่คุยกับพี่นทีที่เป็นหุ้นส่วนกับพี่แล้ว เราอยากเพิ่มเงินให้พิมอีกก้อนใหญ่ๆ นอกเหนือจากค่าที่ดิน ซึ่งเงินก้อนนี้ พิมสามารถเอาไปซื้อที่สวยๆ ในหมู่บ้านได้อีกเยอะแยะ จะไปซื้อปลูกปทุมมาอีกกี่ไร่ก็ได้”
หญิงสาวรู้สึกถึงโทสะที่แล่นขึ้นหน้าเป็นริ้วๆ นี่เขายังไม่เลิกราอย่างนั้นหรือ จนกระทั่งเธอไถที่เตรียมลงต้นไม้แล้ว เขายังมาขอซื้ออยู่อีกแถมยังพร้อมทุ่มเงินให้เสียด้วย คงคิดว่าเธออยากได้เงินจนตัวสั่นสินะ
“ถ้าพิมอยากทำไร่ดอกไม้ พี่คิดว่าที่ตรงไหนก็ทำได้ จริงไหม ไม่จำ เป็นต้องเป็นที่ตรงนั้น”
“จำเป็นสิคะ ก็ตรงนั้นบ้านพิม”
“ไม่เอาน่า ทำเป็นเด็กติดบ้านไปได้ ลองคิดให้ดี คนเราทำงานเพื่ออะไร เพื่อเงินใช่ไหม พิมก็ได้เงินก้อนใหญ่นี้ของพี่ไป แล้วยังได้ไร่ปทุมมาที่พิมต้องการอีก เพียงแต่ไร่นั้นอาจจะอยู่ห่างบ้านพ่อแม่ไปหน่อย ซึ่งพี่ว่าก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ถามหน่อยนะคะ ทำไมพี่ถึงอยากได้ที่ของพิมนัก ในเมื่อเงินของพี่ ก็เอาไปซื้อที่อื่นๆ ได้ตามที่ต้องการ พี่จะไปสร้างรีสอร์ตกี่หลังก็ได้ ทำไมพี่ถึงเจาะจงจะเอาที่ตรงนั้น”
ภาณุรุจสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง พิมริสายอกย้อนเกินกว่าที่เขาคิด การเจรจาครานี้ ดูท่าว่าจะจบไม่สวย อีกกระมัง
“ก็เพราะที่ตรงนั้นมันใกล้ลำธารไง...จ๊ะ” เขาใส่คำท้ายให้ดูซอฟต์ลง
“ที่อื่นก็ใกล้ลำธาร ลำธารที่นี่ตั้งยาว”
“แต่ตรงนั้นมันโอเคที่สุด เหมาะสมที่สุด”
เขาตอบไปแค่นั้น ไม่อยากบรรยายต่อว่าเพราะที่ตรงนั้นเป็นจุดที่เห็นสะพานรุ้งเหนือลำธาร เดี๋ยวเธอจะยิ่งได้ใจและหยิ่งยโสโอหังไปกันใหญ่
“ยังไงก็ไม่ขายค่ะ พี่ล้มเลิกความคิดเสียเถอะ จะมาขออะไรกับพิม บอกเลยว่าไม่มีทาง ก็ในเมื่อพิมขอให้พี่เปลี่ยนเส้นทางช้าง พี่ยังไม่จัดให้เลย จริงไหมล่ะ”
“เรื่องนั้นมัน...”
“ขอตัวก่อนนะคะ”
พิมริสาผละออกมาอย่างเร็ว เลือดขึ้นหน้าจนทำให้ไม่ทันระวัง
“โอ๊ะ!” เธอร้องขึ้นอย่างตกใจ ขณะเหยียบกิ่งไม้ท่อนกลมๆ จนลื่นไถลไป หากแต่...ภาณุรุจคว้าแขนเธอไว้ได้อย่างทันท่วงที
“ระวังหน่อย เกือบตกไปแล้ว!”
เขาเอ็ดเสียงดัง มือแข็งแรงสะอาดยังคว้าแขนเธอไว้แน่น ไม่แค่นั้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดเขายังกระชากเธอออกห่างจากจุดอันตรายอีกครั้งจนพิมริสาเซไปปะทะตัวเขาอย่างแรง
“พี่...ไผ่”
รอบตัวที่เคยมีเสียงอึกทึกกลับหายไป เหลือไว้แต่เพียงความเงียบกับเสียงน้ำด้านล่างที่ไหลเชี่ยว และเสียงตึกตักของอะไรบางอย่างสับสนปน เปไปกับเสียงลมหายใจหนักๆ
พิมริสาหัวใจเต้นแรงด้วยความตกใจ หน้าที่แนบอยู่กับแผงอกกว้างของอีกคนเบือนออกห่าง แล้วมองไปข้างล่างที่เป็นแอ่งน้ำกว้างสีเขียวๆ เธอทำหน้าสยอง ถ้าเขาคว้าไม่ทันเธออาจหล่นจากสันเขื่อนที่สูงชันตรงนี้ไปแล้วอย่างเขาบอก
ภาณุรุจมองสีหน้าที่ขาวซีดนั้นครู่หนึ่งก่อนปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ
“ทำไมไม่ระวัง” เขายังดุ แต่คราวนี้เสียงที่เข้มผ่อนลง
“ถ้าตกไปข้างล่าง จะทำไง”
“ไม่ตกหรอกค่ะ ยังห่างเยอะ พิมก็เห็นอยู่”
“ห่างเยอะกะผีอะไร ไม่ถึงคืบก็ตกแล้ว เหอะ เกือบตายขนาดนี้ยังเถียงอยู่ได้” ภาณุรุจเริ่มฉุนขึ้นมาอีก เขาตกใจแทบบ้า แต่ยายนี่ยังตีฝีปาก ทำท่าเหมือนไม่กลัวอะไร แต่ใครกันเมื่อครู่นี้ที่กอดเขาแน่นอยู่นาน จนเขาต้องปล่อยเองเพราะเริ่มมีคนเหลียวมอง
“พี่ว่าพิมควรกลัวนิสัยซุ่มซ่ามของตัวเองมากกว่ากลัวช้างนะ”
แล้วชายหนุ่มก็เดินผละไปทันทีโดยไม่ลืมคว้าเจ้ากิ่งไม้ท่อนกลมที่เป็นต้นเหตุโยนลิ่วลงไปด้านล่าง พิมริสาได้แต่ยืนมองตามไป แล้วค้อนเขาขวับอย่างไร้สาเหตุ
**************
อย่าลืมไปสั่งจองกันน้าาาา ครบ 400฿ ได้ของขวัญปีใหม่เป็นถุงผ้าน่ารักๆ จากสนพ.ด้วยค่ะ อยากแจกกกกกก
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2562, 23:34:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2562, 23:34:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 674
<< บทที่ 5 -30% + รายละเอียดสั่งจอง | บทที่ 6 -60% >> |