เลื่อมลายพรายจันทร์: ดุจดาริน (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
'ดมิสา' เกิดมาพร้อมกับสิ่งที่ถูกเรียกว่า พลังจิต
ท่ามกลางชีวิตที่ราวกับถูกสาปด้วย พร จาก สวรรค์
เธอได้พบกับชายหนุ่มแสนดีที่พร้อมจะฉุดเธอออกมาจากเรือนเสน่ห์จันทน์
...โดยหารู้ไม่ว่าเขามีแผนการบางอย่างกับเธอ…

'จิณไตย' สูญเสียภรรยาไปถึงสองคนจากการแต่งงานสองครั้ง
และที่สำคัญ ภรรยาทั้งสองของเขากำลังตั้งครรภ์ด้วย
ชายหนุ่มตกอยู่ในภวังค์แห่งฝันร้าย และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เผชิญ
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมทั้งหมดนั้น มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง…
'ใคร' ที่หมายจะสังหารภรรยาทุกคนของเขาให้ตายคามือ!!!

**************

นิยายเรื่องนี้แต่งโดย ดุจดาริน(พิมาลินย์) และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายรัก สยองขวัญ นางเอกเป็นหมอเด็กที่มีพลังจิต! และสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณได้ค่ะ ระวัง อย่าทำให้นางโกรธเชียว…

*******************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

สั่งซื้อเลื่อมลายพรายจันทร์ ราคา 308฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 40฿ (รวมเป็น 348฿)
ค่าจัดส่ง EMS 60฿ (รวมเป็น 368฿)

ราคาสั่งซื้อแพ็ก 4 เล่ม (เลื่อมลายพรายจันทร์ ราคีสีเพลิง มาลีเริงไฟ และม่านมนตกานต์) 1,052฿ (จากราคาเต็ม 1,174฿)
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 65฿ (รวมเป็น 1,117฿)
ค่าจัดส่ง EMS 90฿ (รวมเป็น 1,142฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***

**************

หมายเหตุ: นิยายเรื่องนี้เป็นซีรีส์ "ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์" มีทั้งหมด 4 เรื่อง แต่งโดยนักเขียน 3 ท่าน ดังนี้
-ราคีสีเพลิง แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา) ดุจดาริน (พิมาลินย์) รางนาก (สะมะเรีย)
-มาลีเริงไฟ แต่งโดย รังสี (วิรัตต์ยา)
-เลื่อมลายพรายจันทร์ แต่งโดย ดุจดาริน (พิมาลินย์)
-ม่านมนตกานต์ แต่งโดย รางนาก (สะมะเรีย)

*******************
จุดเชื่อมโยงคือ 'ยายเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์' ยายของหลานๆ ทั้ง 4 ซึ่งเป็นตัวเอกของทั้ง 4 เรื่องด้านบนเลยจ้าแต่ละเรื่องก็เป็นเรื่องราวของหลานๆ แต่ละคนแตกต่างกันไป

(เลื่อมลายพรายจันทร์ เป็นเรื่องราวของหลานสาวคนรองในบ้านเสน่ห์จันทน์ค่ะ)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1 -100%

เมื่อรถฟอร์ดสีขาวคันเล็กวิ่งฝ่าการจราจรที่แน่นขนัดช่วงต้นซอยมาได้ ก็เริ่มผ่านบ้านหลังใหญ่ที่ปลูกอยู่ห่างกันพอประมาณสลับกับพื้นที่ว่างหรือป่า ซอยนี้คนพื้นที่มักเรียกว่า ‘ซอยขุนนาง’ เพราะสมัยก่อนผู้อยู่อาศัยในซอยนี้มีเพียงตระกูลขุนนางมียศมีศักดิ์ แม้พื้นที่ช่วงต้นซอยจะถูกแบ่งขายไปทำตึกแถวจำนวนมาก แต่จากกลางไปจนถึงท้ายซอยยังคงเงียบสงบราวกับอยู่คนละโลก

ค่ำแล้ว พระจันทร์เสี้ยวรูปเคียวลอยนิ่งอยู่เหนือโค้งประตูไม้สักท้ายซอย ลมหนาวของเดือนกุมภาพันธ์ลอยแผ่วกระทบผิวกายเมื่อดมิสาลดกระ จกรถลงเพื่อยื่นรีโมตออกไปกดเปิดประตูบานใหญ่ เสียงออดแอดของบานพับดังแว่วท่ามกลางความเงียบสงัด...ก่อนที่หญิงสาวจะขับรถผ่านเข้าไปใต้ป้ายชื่อที่สลักนามสกุลไว้ประกาศความภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูลของตน

‘เสน่ห์จันทน์’

ภายในพื้นที่กว้างขวางของหลังรั้วบ้านกอปรด้วยป่าประดู่รกครึ้มที่กำลังเตรียมตัวผลิดอกอวดโฉมความงามในเดือนหน้า ทางด้านซ้ายมือเป็นคลินิกกุมารเวชที่มักเปิดไฟสว่างจนถึงสองทุ่ม แต่วันนี้วันจันทร์ เป็นวัน หยุดของดมิสา กุมารแพทย์สาวกลับมาหลังคลินิกปิดแล้วจึงมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากหน้ารถเท่านั้นที่ส่องสว่างเป็นเพื่อนร่วมทางท่ามกลางกิ่งก้านของไม้ใหญ่และเสียงซานซ่าจากสายลมโลมลูบกิ่งใบ

ไม่นานก็ถึงประตูอิฐด้านในซึ่งเก่าแก่และขาดการดูแลจนไม้เลื้อยพันรกรุงรัง หญิงสาวขับรถผ่านเข้าไปจนถึงบ้านเรือนไทยที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างสระบัว แล้วเลื่อนรถเข้าไปจอดตรงที่จอดประจำ ซึ่งก็คือใต้ต้นราชพฤกษ์ข้างบ้านที่กำลังออกดอกเหลืองอร่ามและร่วงพราวราวพรมบนพื้นดิน

ดมิสาฉวยกระเป๋าและถุงใส่ของกินออกมาจากรถ กดรีโมตล็อกรถเรียบร้อยก็เดินขึ้นบ้านท่ามกลางสายลมที่พัดโหมราวกับว่า มีอะไรบางอย่าง ออกมาต้อนรับการกลับบ้านของเธอ

“คุณหนูมิ้งค์”

เสียงเรียกนั้นดังที่ใต้บันได ก่อนสมคิดจะเดินเก้กังออกมาจากเงามืด สมคิดเป็นลูกชายของสายพิณคนรับใช้ อายุยี่สิบหกแล้วปีนี้ ชายหนุ่มเป็นหนุ่มรูปหล่อ กล้ามแน่น แต่น่าเสียดายที่เคยป่วยหนักตอนเป็นเด็กจนโตมาด้วยสติปัญญาที่ค่อนข้างเรียนรู้ช้ากว่าคนทั่วไป แต่กระนั้นในสายตาของดมิสา สมคิดก็เป็นคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์และน่าสงสารในเวลาเดียวกัน

“แม่ให้รอบอกคุณหนูว่ามีอาหารเย็นอยู่ในครัว นี่แม่ไม่ค่อยสบายเลยนอนไปแล้วครับ กลัวคุณหนูจะอดข้าวเย็น ทำไมคุณหนูกลับซะมืดเลย” สมคิดตบยุงที่แขนดังฉาด “ผมเกือบโดนยุงหามไปกินแล้ว โอ๊ะ อย่าบอกแม่นะครับว่าผมบ่น เดี๋ยวผมโดนแม่ด่า”

ดมิสายิ้มออกมา อย่างที่ทำได้ยากยามอยู่ในรั้วบ้านเสน่ห์จันทน์ที่วังเวงน่าอึดอัด หญิงสาวเลือกถุงขนมจากห้างฯ ดังยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“เอ้า ฉันให้เป็นของไถ่โทษ นี่ฉันซื้อของเข้ามากินแล้วละ ฝากสม คิดเก็บอาหารเย็นของแม่พิณเข้าตู้เย็นด้วยแล้วกัน แล้วแม่พิณเป็นอะไรมากหรือเปล่า ถ้ามีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงก็เรียกฉันนะ”

สมคิดยิ้มกว้างราวเด็กชายตัวเล็กๆ ก่อนยกมือประนมยกไหว้โดยไม่ก้มศีรษะ

“ขอบคุณครับคุณหนู” สมคิดรับถุงขนมไปเปิดดูอย่างตื่นเต้น ก่อนนึกขึ้นได้ว่าต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสายพิณ

“แม่มีไข้ครับ กินยานอนแล้ว พรุ่งนี้คงหาย”

เมื่อดมิสาพยักหน้ารับรู้ สมคิดจึงยกมือที่ถือถุงขนมขึ้นไหว้อีกครั้งแล้ววิ่งตรงไปยังเรือนคนใช้ที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างบ้านเรือนไทยกับสระบัว ดมิสามองตาม แต่เธอไม่ได้โฟกัสสายตาที่สมคิดอีกแล้ว หญิงสาวเพ่งมองยังร่างโปร่งใสสวมสไบสีเขียวที่เกาะบ่าสมคิดอยู่ขณะส่งกระแสจิตไปถาม

‘เธอเป็นใคร ตามสมคิดทำไม’

ผีตานีหันขวับมามอง ใบหน้างดงามกลายเป็นเน่าหนอนพร้อมแยกเขี้ยวขู่อย่างตกใจที่มีมนุษย์เดินดินมองเห็นตน กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั่ว หากทว่าดมิสายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง

และ...เริ่มจะยัวะขึ้นมาแล้วด้วย

‘อยู่ในบ้านคนอื่น อย่าทำเสียมารยาท หน้าตาสวยๆ ก็ดีอยู่แล้ว จะทำหน้าเน่าหน้าหนอนทำไม แล้วนี่เธอทำให้ป้าพิณไม่สบายใช่ไหม เลิกทำซะ ที่นี่บ้านฉัน ถิ่นฉัน ถ้าอยากลองดีกับฉันก็เข้ามา’

ตานีสาวหันรีหันขวางเงอะงะ ไม่เคยเจอมนุษย์มนาที่นอกจากจะไม่กลัวหล่อนแล้วยังส่งกระแสจิตมาด่าฉอดๆ หล่อนก็แค่เข้ามาเห็นสมคิดรูปหล่อน่าหม่ำ แถมบ้านนี้ไม่มีเจ้าที่ เลยติดตามเขาหวังจะเข้าไปเปิดซิงพรหม จรรย์หนุ่มน้อยในฝันคืนนี้ วันนี้หล่อนก็ได้เจอกับเจิมจันทร์เจ้าของบ้านแล้ว หญิงชรามองหล่อนอยู่เหมือนกันแต่เมื่อเห็นหล่อนลูบไล้พะเน้าพะนอสมคิด เจิมจันทร์ก็เมินหนี ไม่สนใจหล่อนอีก

บ้านนี้มันอะไรกัน นอกจากพ่อสมคิดแล้วก็มีแต่คนประหลาดเห็นผีได้อาศัยอยู่หรืออย่างไร!

‘อย่ามาสะเออะ! สมคิดเป็นผัวแกหรือไง’

ดมิสาไม่ตอบ แต่ยืนนิ่งมองตรงยังร่างโปร่งใสของตานีด้วยสายตาที่ทำให้ผีสาวรู้สึกร้อนวูบวาบ ใจสั่น ตานีจำไม่ได้หรอกว่าก่อนตายแล้วมาเกิดเป็นแบบนี้ หล่อนเคยเกิดเป็นอะไรหรือเป็นใครมา หล่อนรู้แค่ว่าอาศัยอยู่ในดงกล้วยมานานนม วันนี้จู่ๆ อีสายพิณก็เข้าไปตัดกล้วยต้นที่หล่อนอาศัยอยู่เพราะเก็บหัวปลีและเครือกล้วยห่ามๆ ไม่ถึง หล่อนเลยแกล้งให้มันป่วยไข้แล้วตามกลับบ้านมาจนมาเจอสมคิด พ่อรูปหล่อ พ่อเทพบุตรสุดเวหา และหล่อนหมายมั่นจะ...กิน สมคิดในคืนนี้ให้หายอยากหลังจากที่ขาดผู้ชายมานาน

สายตาของดมิสาเหมือนตอนเจิมจันทร์ปรายตามองหล่อนอย่างพินิจพิจารณาไม่มีผิด สมกับที่เป็นยายหลานกัน นัยน์ตาที่เย็นยะเยียบราวจะสาปให้ดวงจิตของหล่อนถึงจุดเยือกแข็ง นัยน์ตาที่สำหรับภูตผีวิญญาณแล้วอ่านออกได้ทันทีว่าเป็นของ คนจริง ที่กุมนรกและสวรรค์ไว้ในมือ

ตานีเม้มริมฝีปากอย่างประหวั่น ก่อนใบหน้าเน่าหนอนนั้นจะแปร เปลี่ยนเป็นงดงามดังเดิม หล่อนตัดสินใจทรุดตัวลงนั่ง ก้มลงกราบแทบเท้า ดมิสาอย่างยอมจำนน แต่ก็แค่ตอนนี้แค่นั้นแหละ...อย่าเผลอแล้วกัน หล่อนจะจัดการมันให้ถึงตาย!

‘ขออภัยค่ะนายหญิง จะให้นีทำอะไรก็ได้ แต่อย่าไล่นีเลยนะคะ’

‘ออกไป’ ดมิสาเอ่ยในจิตด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น ‘ฉันไม่คิดชุบเลี้ยงงูพิษแบบเธอ ในฐานะเจ้าของบ้าน ฉันไม่อนุญาตให้เธออาศัยอยู่ที่นี่ นี่เป็นวา จาสัตย์ ออกไป!’

โดยไม่ทันตั้งตัว ลมแห่งสัจจะพัดวูบ! ตานีลอยเคว้งคว้างกลางพายุหลุดออกมาจากบ้านเสน่ห์จันทน์และล้มลงที่ถนนหน้าโค้งประตูไม้สัก ผีสาวอ้าปากพะงาบๆ ตัวสั่น ก่อนร้องกรี๊ดโหยหวนด้วยความตกใจกลัวท่ามกลางความเงียบสงบที่มีเพียงเสียงของลมและนวลแสงของจันทรา

ดมิสาไม่สนใจเสียงร้องของผีสาว เธอเดินขึ้นบ้านทันที และได้ยินเสียงข่าวจากโทรทัศน์ดังแว่วมาจากห้องของเจิมจันทร์ผู้มีศักดิ์เป็นยายของตน เจิมจันทร์นอนกึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย ประตูห้องถูกเปิดไว้เพื่อที่เจ้าของห้องจะสามารถสอดส่องชานเรือนด้านนอกได้ หญิงสาวหยุดยืนใต้ต้นปีบที่โผล่ขึ้นมาแผ่กิ่งก้านสาขาบนเรือนอย่างลังเลใจว่าเธอจะบอกยายดีหรือไม่เรื่องเครื่องรางแตกหักเสียหาย

หากบอก ยายคงโกรธแน่

แต่หากไม่บอกแล้วยายรู้ทีหลัง ยายอาจโกรธหนักกว่าเดิม

หญิงสาวพ่นลมหายใจเฮือก ตัดสินใจว่าอย่างไรก็คงต้องบอกกล่าวยายไว้เพราะเครื่องรางนั่นยายเป็นคนให้มา คิดได้ดังนั้นจึงเดินออกจากใต้ต้นปีบ ตรงไปยังประตูห้องของเจิมจันทร์ที่เปิดทิ้งไว้ หญิงสาวทรุดลงนั่งพับเพียบหน้าธรณีประตู ก่อนยกมือประนมไหว้อย่างอ่อนช้อยตามที่ถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก

“สวัสดีค่ะยาย มิ้งค์กลับมาแล้วค่ะ”

เจิมจันทร์มองเธอด้วยหางตา ก่อนดึงสายตากลับไปสนใจโทรทัศน์ตรงหน้า

“ย่ะ ฉันเห็นแกแล้ว”

ดมิสาลดมือลงวางบนตัก ทำใจอยู่ครู่หนึ่งตอนที่ผู้ประกาศข่าวกำลังรายงาน

“พบศพอดีตนักข่าวชื่อดัง นางสาวนุชชารีย์ พิทักษ์เลิศจรรยา ตกบันไดลงมาจากชั้นสองของบ้าน และถูกของมีคมปักคอตัดผ่านหลอดลม เสีย ชีวิตทันที”

“มีอะไรก็พูด! อย่ามานั่งเกะกะอยู่ตรงนี้ ไม่รู้หรือว่ารกหูรกตาฉัน!”

เจิมจันทร์ตวาดแบบที่หากเป็นใครอื่นอาจสะดุ้งตกใจแต่ไม่ใช่กับดมิสาที่เคยชินกับการถูกยายดุด่าเสียแล้ว หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสบตาเจิมจันทร์ ขณะรายงานสิ่งที่คิดว่ายายควรรู้จากปากเธอมากกว่าจับได้ทีหลัง

“แก้วไหมทองที่ยายให้มิ้งค์ไว้...มิ้งค์ทำหล่นแตกค่ะ”

ดมิสาโกหก เพื่อรับโทษมาไว้กับตัวไม่อยากให้เจิมจันทร์โกรธลามไปถึงพระดิน เธอยกมือขึ้นประนมไหว้อีกครั้ง

“มิ้งค์ขอโทษค่ะยาย”

เจิมจันทร์หันขวับมองมาด้วยประกายตากร้าว ยายโกรธจัด ดมิสาพอเดาออก แต่เมื่อร่างชราแต่แข็งแรงเกินวัยทำท่าจะผุดลุกจากเก้าอี้ไปหยิบไม้เรียว เจิมจันทร์ก็ชะงักเพราะเสียงผู้ประกาศข่าวในโทรทัศน์

“...เป็นที่น่าสลดใจค่ะ เพราะคุณนุชชารีย์กำลังตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเศษ แพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบ ครัว...”

เจิมจันทร์นิ่งคิดนิดหนึ่ง ก่อนเอนกายลงพิงเก้าอี้หวายอย่างสบายใจ ริมฝีปากชราบิดเป็นรอยยิ้มเยือกเย็นเพียงชั่วครู่ก็จางหาย แล้วน้ำเสียงเย็นชาแต่เด็ดขาดก็ออกคำสั่ง

“กลับเข้าห้องแกไป”

แม้จะงุนงง แต่ดมิสาก็เลือกที่จะลุกเดินตรงไปยังห้องนอนส่วนตัว ที่อยู่ใกล้กับเรือนของเจิมจันทร์ หญิงสาวไม่คิดจะหาคำตอบในอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของยาย เพราะในโลกนี้คงไม่มีใครเดาใจเจิมจันทร์ได้ ต่อให้เป็นหลานรักแบบดีเลิศ พี่ชายของเธอก็เถอะ

ทันทีที่ประตูไม้สักปิดสนิท และหญิงสาววางกระเป๋ารวมถึงถุงใส่ของกินไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือเรียบร้อย เจ้าสุนัขขนปุกปุยอวบอ้วนสีน้ำตาลมีร่างกายโปร่งใสมองทะลุอีกฝั่งได้ ก็วิ่งจากใต้เตียงมาคลอเคลียพะเน้าพะนอ

ดมิสาเลื่อนมือลงไปแตะบริเวณศีรษะของวิญญาณสุนัข แม้มือเธอจะทะลุตัวมัน แต่บุญเลิศก็พริ้มตาหลับ กระดิกหางรับอย่างรักใคร่

“เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน อย่าแอบกินของในถุงก่อนละ ไว้ค่อยกินด้วยกัน”

‘โฮ่ง!’ บุญเลิศเห่ารับ ก่อนย่อขาหน้าและกระดิกหางดีใจอยากจะชวนเล่น แต่ดมิสาก็ไม่ให้มันเข้ามาในห้องอาบน้ำด้วย ล่าสุดที่บุญเลิศเข้ามามันทำบรรดาขวดแชมพูของเธอร่วงเกลื่อนพื้นห้องน้ำด้วยแรงลมจากพลัง งานของวิญญาณ เธอเหนื่อยจะเก็บจะกวาดแล้ว

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนเรียบร้อย หญิงสาวก็แบ่งไก่ทอดให้บุญเลิศหนึ่งชิ้น ไม่ดีหรอก...เธอไม่ควรเลี้ยงวิญญาณสัมภเวสีด้วยอาหารที่มนุษย์จับต้องได้ ซึ่งผู้ถือศีลเรียกว่า ‘ของหยาบ’ สิ่งที่สัมผัสได้แตะต้องได้ล้วนแล้วแต่ถูกเรียกคล้ายกันแบบนี้ อย่างเช่นร่างกายของมนุษย์ก็ถูกเรียก ว่า ‘กายหยาบ’ ส่วนดวงจิตวิญญาณนั้น ไม่ว่าจะภพภูมิใด ดีหรือร้าย ก็คือ ‘กายละเอียด’ ทั้งสิ้น

“วันนี้ฉันไปช่วยแม่ชีทำความสะอาดวัดมาด้วยนะบุญเลิศ”

วิญญาณสุนัขผู้ภักดีเงยหน้าขึ้นมอง มันเอียงคอ กระดิกหาง ไก่ทอดตรงหน้าไม่ได้พร่องหายไปเลยเพราะสิ่งที่มันกินเข้าไปคือการดึงมวลพลังงานของไก่ทอดออกมากิน มวลพลังงานนี้มีรสชาติเหมือนต้นแบบทุกประการ และเมื่อถูกสัมภเวสีแบบมันดึงไปกินแล้ว ไก่ทอดนั้นจะเสียรสชาติและเน่าบูดเร็วกว่าปกติ สัมภเวสีบางประเภทติดใจในรสชาติอาหารทำให้ไม่ยอมไปผุดไปเกิด บางตนคุกคามมนุษย์ผู้ลุ่มหลงในอวิชชาให้ชุบเลี้ยงตนด้วยของหยาบเช่นนี้ทุกวันพระ ซึ่งเป็นวันที่วิญญาณมีพลังแรงกล้าที่สุด

ดมิสาก็เคยเจอกรณีแบบนั้นเหมือนกัน แต่เธอไล่เปิงไปหมดแล้ว สำหรับบุญเลิศ...ที่เธอยังให้ของหยาบอยู่บ้าง ก็เพราะบุญเลิศเองก็ยังติดในรสอาหารในโลกอยู่ แต่ส่วนใหญ่นั้นเธอจะบอกให้บุญเลิศอนุโมทนาบุญ จะได้ไม่หิวโหยแบบสัมภเวสีทั่วไป

“สาธุสิ เร็ว”

‘โฮ่ง โฮ่ง!’ กระแสบุญสว่างวาบขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนหายเข้าไปในร่าง กายโปร่งใสของบุญเลิศ มันลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข

ดมิสายิ้ม...ตอนที่สอนให้บุญเลิศอนุโมทนาบุญนั้น เธอหวังว่ามันจะไปเกิดเหมือนดวงวิญญาณอื่นๆ แต่บุญเลิศไม่เคยไปไหนเลย มันยึดติดภพภูมิของดวงวิญญาณสุนัขราวกับถูกสาป และบางทีดมิสาก็รู้สึกเกลียดตัวเองที่เธอก็ชอบให้บุญเลิศเป็นแบบนั้น

เป็นหมาปุกปุยอยู่ในห้องรอเธอกลับบ้าน เป็นเพื่อนเล่นที่แม้จะแตะต้องกันไม่ได้ แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกเหงาเลยเมื่อเข้าห้องมาเจอบุญเลิศรออยู่

ดมิสาไม่เคยจินตนาการถึงโลกที่บุญเลิศละชาติไปเกิดเป็นอะไรอย่างอื่นแล้วไม่ได้เจอกันอีก

ไม่เคยจินตนาการถึงการเข้ามาในห้องนี้แล้วบุญเลิศไม่วิ่งออกจากใต้เตียงมาทัก

ไม่เคยจินตนาการถึงการอยู่คนเดียวเลย...

ดมิสาปล่อยให้บุญเลิศล่องลอยอยู่กับความอบอุ่นสบายของกระแสบุญใหม่ที่โอบล้อมกาย เธอเก็บขยะออกไปทิ้งที่ถังขยะนอกบ้านโดยไม่สนใจเสียงครวญของลมหรือความมืดที่มีเพียงแสงจันทร์กับแสงจากไฟฟ้าภายในห้องนอนที่เธอเปิดทิ้งไว้

หญิงสาวเดินผ่านห้องส่วนตัวของเจิมจันทร์อีกครั้ง ซึ่งหนนี้เจ้าของห้องปิดประตูสนิทแล้ว ดมิสาจึงไม่ทันสังเกตเลยว่าด้านหลังประตูห้องนอนที่ปิดสนิทนั้น หาได้มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ภายใน

นอกเสียจากเก้าอี้หวายที่กำลังโยกเอนส่งเสียงเอียดอาดโดยไร้แรงลม...



หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ย. 2562, 14:02:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ย. 2562, 14:02:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 503





<< บทนำ   บทที่ 2 -60% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account