กระซิบรักฝากหัวใจที่ปลายฟ้า: พิมมาศ (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
เพราะเสียงกระซิบจากชายในฝัน
ทำให้ 'เอริน' จดจำฝังใจและรอวันที่จะได้พบเจอ
จนเวลาผันผ่านนานนับยี่สิบปี...
เสียงนั้นกลับเข้ามาย้ำเตือนความทรงจำของเธออีกครั้ง
ซีอีโอหนุ่มใหญ่ที่แก่กว่าเธอร่วมสิบกว่าปีได้ ทั้งแววตาและน้ำเสียงอบอุ่นของเขา
ยิ่งใกล้ชิดยิ่งติดพัน ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหว เธอจะทำอย่างไรกับใจของตัวเอง
Love go on, until the end of the world…
เพราะความน่ารัก สดใส เยาว์วัยของเธอ
ทำให้ 'ชานนท์' กลับมายิ้มได้อีกครั้งพร้อมความรู้สึกดีๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งปี...
เขากลับมาหาเธอพร้อมคำสัญญาที่เคยให้ไว้
รอยยิ้มของยายกุหลาบชมพูแก้มกลมผู้สดใส อ่อนโยน
กำลังหลอมละลายความแค้นในใจของเขาให้กลายกลับมาเป็นความรักอีกครั้ง
***************************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "พิมมาศ" และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" เปิดจองเร็วๆ นี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้โรแมนติก น่ารักน่าหยิกมากๆ ใครชอบพระเอกหนุ่มใหญ่สายเปย์ รุกจีบเด็ก ส่วนเด็กมีความใสซื่อแต่แก่นแก้วนิดๆ และแอบตามตื๊อ มิควรพลาดจ้าาาาา นอกจากนี้ยังได้ไปเที่ยวยุโรปกันด้วย มีความดราม่าของเรื่องราวในวัยเด็กระหว่างกันแฝงอยู่ด้วยค่ะ #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooksforfun ร้านbanniyayindy ร้านภาวิกา ร้านbestbooksmile เป็นต้น
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 624 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 385฿ จากราคาปก 445฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 430฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 455฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
ทำให้ 'เอริน' จดจำฝังใจและรอวันที่จะได้พบเจอ
จนเวลาผันผ่านนานนับยี่สิบปี...
เสียงนั้นกลับเข้ามาย้ำเตือนความทรงจำของเธออีกครั้ง
ซีอีโอหนุ่มใหญ่ที่แก่กว่าเธอร่วมสิบกว่าปีได้ ทั้งแววตาและน้ำเสียงอบอุ่นของเขา
ยิ่งใกล้ชิดยิ่งติดพัน ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหว เธอจะทำอย่างไรกับใจของตัวเอง
Love go on, until the end of the world…
เพราะความน่ารัก สดใส เยาว์วัยของเธอ
ทำให้ 'ชานนท์' กลับมายิ้มได้อีกครั้งพร้อมความรู้สึกดีๆ
ผ่านไปอีกหนึ่งปี...
เขากลับมาหาเธอพร้อมคำสัญญาที่เคยให้ไว้
รอยยิ้มของยายกุหลาบชมพูแก้มกลมผู้สดใส อ่อนโยน
กำลังหลอมละลายความแค้นในใจของเขาให้กลายกลับมาเป็นความรักอีกครั้ง
***************************
นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "พิมมาศ" และตีพิมพ์โดย "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" เปิดจองเร็วๆ นี้ค่ะ ทีมงานปลายปากกาสำนักพิมพ์จึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เรื่องนี้โรแมนติก น่ารักน่าหยิกมากๆ ใครชอบพระเอกหนุ่มใหญ่สายเปย์ รุกจีบเด็ก ส่วนเด็กมีความใสซื่อแต่แก่นแก้วนิดๆ และแอบตามตื๊อ มิควรพลาดจ้าาาาา นอกจากนี้ยังได้ไปเที่ยวยุโรปกันด้วย มีความดราม่าของเรื่องราวในวัยเด็กระหว่างกันแฝงอยู่ด้วยค่ะ #รับประกันความสนุก!
***************************
นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ
***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***
1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก.com ร้านbooksforfun ร้านbanniyayindy ร้านภาวิกา ร้านbestbooksmile เป็นต้น
3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks
4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee
หนังสือพร้อมส่ง
คุ้มสุดด้วยจำนวน 624 หน้า
สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 385฿ จากราคาปก 445฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 430฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 455฿)
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"
***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: สายเปย์ รุกจีบ น่ารัก ดราม่า แก้แค้น ลอนดอน ฟลอเรนซ์
ตอน: บทที่ 29 -100%
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ภายในพูลวิลลาบนเนินเขาเงียบสงบ สองหนุ่มสาวอิงแอบแนบชิดกันบนเตียงสีขาวหลังใหญ่ ร่างบอบบางหลับใหลในขณะที่คนมองลูบไล้มือและเรียวแก้มนวลอย่างรักใคร่ ใจก็ไพล่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของเขาตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา
“ยายตัวเล็กของพี่ จำได้ไหม พี่เคยเรียกแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว”
ชานนท์กระซิบแผ่วเบาเสียงสั่นพร่า สองมือโอบกอดรอบเอว ‘ยายตัวเล็ก’ ของเขาเอาไว้อย่างหวงแหน
“พี่รักเธอนะ...ตอนนั้นเธอคงยังเด็กเกินที่จะจำเรื่องของเราได้ แต่ตอนนี้พี่กลับมาอยู่ใกล้ๆ เธอเหมือนเมื่อก่อนแล้วไง ผ่านไปยี่สิบเอ็ดปีเธอโตแล้วสวยน่ารักขึ้นมากรู้ตัวหรือเปล่า เมื่อไหร่จะรู้ตัวนะยายตัวเล็ก”
ชานนท์พึมพำอยู่คนเดียวแล้วถอนใจ มองร่างบอบบางด้วยแววตาอ่อนโยนระคนเศร้าสร้อย มีอะไรอีกตั้งมากมายที่เขาอยากพูดอยากบอกให้เอรินเข้าใจ เพราะหล่อนเป็นส่วนสำคัญในชีวิตที่ทำให้ความทรงจำของเขาค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา แต่หล่อนไม่เคยรู้เรื่องนี้ของเขาเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ทำได้จึงแค่พูดออกไปว่า
“ตั้งแต่นี้ไปพี่จะไม่ปล่อยเธอจากพี่ไปไหนอีกแล้ว พี่จะดูแลยายตัวเล็กของพี่ให้ดีที่สุด...พี่สัญญา”
ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญานั้นเพื่อบอกกับตัวเองด้วยในคราเดียวกันแม้หญิงสาวในอ้อมแขนจะไม่ได้รับรู้ด้วยก็ตาม หล่อนยังคงนอนหลับตาพริ้มด้วยความสุขใจ...
กว่าเอรินจะรู้สึกตัวก็ใกล้เที่ยงแล้ว หล่อนขยับกายเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น โดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรงมากขึ้น กระทั่งสัมผัสได้ถึงไออุ่นแนบชิดค่อยๆ ลืมตาตื่น ก็เจอกับสายตาของชานนท์ที่กำลังจับจ้องมองหล่อนตาปรอย
“ขี้เซาจังคุณภรรยา”
เอรินได้แต่มองเขาตาปริบๆ หน้าร้อนผะผ่าวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนพลัน
ชานนท์ลูบผมนุ่มสลวยอย่างเอ็นดู “ฉันโทร.สั่งอาหารเที่ยงให้แล้วนะ กะว่าตื่นเมื่อไหร่จะได้กินได้เลย”
“ดีเหมือนกันค่ะ ฉันหิวแล้ว” เอรินอ้อมแอ้มบอกเขาแล้วมีเสียงท้องร้องตามมา
“ฮ่าๆ นึกแล้วว่าต้องหิว” เขาหัวเราะอารมณ์ดี
“ฉันนี่แย่จริง ตอนที่เป็นแฟนวันเดียวให้เธอก็ทำเธอหิว ตอนนี้เป็นสามีวันแรกทั้งทีก็ยังทำเธอหิวอีก ไม่งั้นคงยังไม่ตื่นใช่ไหม”
“หืม คุณเรียกฉันว่าเธอ แล้วแทนตัวเองว่าฉันหรือคะ” เอรินสะดุดหูขึ้นมา “ฉันไม่คุ้นเลย”
“เดี๋ยวก็คุ้นเองที่รัก ผัวเมียกันจะมาผมๆ คุณๆ อยู่ได้ยังไง”
ทั้งคำว่า ‘ที่รัก’ ทั้ง ‘ผัวเมีย’ ทำให้เอรินออกอาการประหม่าอย่างห้ามไม่ได้อีกครา ช่วงเวลาที่ทั้งหล่อนและเขาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวยังตราตรึงในความรู้สึกหญิงสาวเสหลบตาเขินอาย
“เราจะเป็นยังไงกันต่อไปคะ กลับไปจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง ไหนจะพ่อแม่คุณอีก”
“ก็ไม่ต้องทำยังไง เราสองคนไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เรารักกันจดทะเบียนกัน ที่เหลือก็แค่แต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี”
“ก็ไอ้ที่เหลือนั่นแหละค่ะที่ฉันกลัว” หล่อนแย้งเสียงเบา
“ฉันไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง มีก็แต่เรื่องนี้ที่ฉัน...”
“อย่าเพิ่งคิดมากสิเอริน” ชานนท์กอดปลอบพลางเกลี่ยน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวยอย่างเบามือ
“ฉันเองต่างหากที่ผิด เอาแต่ใจกับเธอ กลับไปฉันจะเป็นคนคุยกับพวกท่านให้เข้าใจเอง กลุ้มใจตอนนี้ไปเราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนะ ต่อไปเราสองคนก็แค่ต้องจับมือเดินหน้าต่อไปด้วยกันเท่านั้น”
“ฟังแล้วรู้สึกดีจังค่ะ”
เอรินยิ้มออก เงยหน้ามองเขาเห็นแววตาหยาดเยิ้มคู่นั้นก็ยิ่งขัดเขิน
“เราสองคนจะจับมือก้าวไปด้วยกันได้ใช่ไหมคะ”
“แน่สิ ฉันยังจำได้ไม่ลืมว่ามือนี้คือมือที่ยื่นมาโอบกอดฉันในวันนั้นที่ฟลอเรนซ์” ชานนท์กุมมือสาวน้อยไว้และก้มลงจูบเบาๆ อย่างรักใคร่ทะนุถนอม
“นั่นสินะคะ ถ้าวันนั้นฉันไม่ตามคุณไป คนที่อยู่ข้างๆ คุณตอนนี้ก็คงไม่ใช่ฉัน”
“โธ่...อีกแล้วนะคุณภรรยา บรรยากาศกำลังดี อย่าชักใบให้เรือเสียสิ” เขาต่อว่าไม่จริงจังนัก ยังคงกระชับอ้อมแขนโอบกอดหล่อนไว้ไม่ปล่อย
“เราเช็กเอาต์จากที่นี่แล้วไปสมุยเลยดีกว่า ฉันอยากไปฮันนีมูนกับเมียใจจะขาดแล้ว จะได้ไม่มีสายตาคอยจับผิดจากลุงคนนั้นด้วย พูดแล้วยังขยาดไม่หาย”
“อ้าว ว่าจะไปพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“เปลี่ยนใจแล้ว ไปวันนี้ก่อนพายุจะเข้าดีกว่า น่าจะพอทันเรือเที่ยวสุดท้าย เดี๋ยวติดเกาะยาวอดมอบของขวัญสุดพิเศษให้เธอพอดี”
“ของขวัญอะไรคะ”
“ไม่บอก”
ชานนท์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงทั้งยังเปลือยเปล่า เอรินตั้งตัวไม่ทันถึงกับหน้าแดงแปร๊ด รีบหันหน้าไปทางอื่นแต่กอดผ้าห่มผืนหนาไว้แน่นเพราะตัวหล่อนเองตอนนี้ก็ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์สักชิ้นเช่นเดียวกับเขา
หากทว่าชายหนุ่มเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมาก่อนจะย่องขึ้นเตียงอีกรอบ ทำเอาสาวใต้ผ้าห่มสะดุ้งเพราะถูกเขารวบตัวไว้ อุ้มหายเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน...
****************
ตกบ่าย เมฆสีเทาครึ้มเต็มฟ้าต้อนรับพายุฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล สองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันอย่างชานนท์และเอริน ไม่รีรอนั่งเรือลำใหญ่ฝ่ากระแสคลื่นหัวแตกในทะเลออกจากเกาะเต่ามุ่งหน้าไปยังเกาะสมุยทันที เพื่อเริ่มต้นทริปฮันนีมูนแสนหวาน
ในวันเดียวกันนั้น...กรณ์เพิ่งเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ มาถึงบ้านสวนโฮมสเตย์ที่ประจวบฯ แล้วเช่นกัน แต่กว่าจะมาถึงได้ก็จวนเย็นแล้ว ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้เขาเป็นห่วงเอรินที่พาลูกทัวร์ออกท่องทะเลจนยังไม่ทันได้แวะเข้าบ้านตัวเองก่อนด้วยซ้ำ เขาร้อนใจ เพราะติดต่อหญิงสาวไม่ได้เลย
“คุณกรณ์ หายไปไหนซะหลายวันครับ”
ปื๊ดเป็นคนแรกที่ออกมาต้อนรับ ขณะที่กรณ์พยายามอารมณ์ดีเดินยิ้มแย้มเข้ามาในบ้านสวนพร้อมถุงของฝากในมือ ปื๊ดจึงรับไปถือไว้
“ฉันติดธุระที่กรุงเทพฯ เอารถไปชนสาวมาน่ะเลยต้องดูแลประคบประหงมกันหน่อย” กรณ์ขยิบตาให้แล้วมองเลยปื๊ดไปทางด้านหลัง เห็นพัชระและอติมากำลังเดินมาหาก็รีบเข้าไปทักทาย
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ผมติดต่อดื้อไม่ได้ก็เลยแวะเข้ามาถามก่อนกลับบ้านครับ ดื้อจะกลับเมื่อไหร่ครับ”
น้ำเสียงของกรณ์ร้อนรนอยู่ไม่น้อย พัชระและอติมาได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มแห้งๆ
“เห็นว่าอีกสองวันนะ” อติมาบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ “พอดีป้าก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ห่วงอยู่เนี่ย ปกติไม่เคยเหลวไหลแบบนี้”
“นี่ก็จะเย็นแล้ว ผมว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปตามที่เกาะครับ”
“ไม่ทันแล้วคร้าบคุณกรณ์ ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล เห็นว่าปีนี้ฤดูมรสุมมาเร็วกว่าทุกปีด้วย อุตุเตือนห้ามทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ออกจากฝั่งแล้ว ปื๊ดรึอุตส่าห์รีบไปบอกป้าพิมไว้ให้ คุณกรณ์ไม่รีบมาเอง ป่านนี้คุณหนูกับผู้ชายคนนั้น...” ปื๊ดพูดได้แค่นั้นก็สะดุ้งรีบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน
“ป่านนี้ดื้อกับหมอนั่นทำไมปื๊ด!” กรณ์ถามทันควัน
“ปะ...เปล่า” ปื๊ดรู้ตัวว่าเผลอพูดมากไปแล้ว ส่ายหน้าดิก
“ปื๊ดแค่ห่วงเฉยๆ”
“แกอย่ามาอมพะนำไอ้ปื๊ด!” พัชระจับพิรุธได้เช่นกัน คาดคั้นเสียงเขียวจน ‘ไอ้ปื๊ด’ ถึงกับคอหดรีบบอกทันที
“ไม่มีอะไรลุง คุณหนูแค่เล่าให้ปื๊ดฟังว่าแขกสายเปย์คนนั้นน่ะเป็นญาติกับคุณมิน”
“ญาติหนูมินหรือ?” คราวนี้เป็นอติมาที่ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ใช่ป้า คุณหนูบอกว่ารู้จักที่ลอนดอนพร้อมคุณมิน แต่ปื๊ดดูยังไงๆ ก็ไม่เชื่อว่าแค่รู้จักกัน ตอนไปส่งที่ท่าเรือนะป้ามีพ่อแง่แม่งอนกันด้วย บอกเป็นแฟนคุณหนูยังน่าเชื่อซะกว่า ปื๊ดถึงได้ไปบอกป้าพิมไว้เผื่อคุณกรณ์จะรีบมา”
สิ่งที่เพิ่งได้รับรู้จากปื๊ด ยังผลให้อติมาและพัชระมองหน้ากันอีกครั้ง สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผิดกับกรณ์ที่เงียบไปไม่พูดอะไรอีกนอกจากบดกรามแน่นด้วยความโมโห
ใช่! เขาทั้งหงุดหงิดทั้งเจ็บใจตัวเอง ที่มัวแต่ชะล่าใจวุ่นอยู่กับเรื่องรถชนจนมาไม่ทันเอรินกับหมอนั่น ทั้งที่ปื๊ดอุตส่าห์เป็นม้าไวมาบอกเขาก่อนแล้วแท้ๆ!
****************
บนเกาะสมุย ฟ้าเริ่มครึ้มฝนกินบริเวณกว้าง ลมพัดต้นไม้ไหวลู่แรง เสียงคลื่นซัดสาดดังมาเป็นระลอก
เอรินนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้เอนในศาลาริมสระว่ายน้ำวิลลาส่วนตัวที่มองเห็นวิวทะเลกว้างเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน ชานนท์เดินออกมาจากตัวบ้านพัก ในมือมีแก้วพันช์สีสวยสองแก้ว
“คิดอะไรอยู่ที่รัก”
เขาถามพลางวางแก้วน้ำพันช์ไว้บนโต๊ะตรงกลางระหว่างเก้าอี้เอนสองตัว แล้วเข้ามาบีบนวดไหล่ให้หล่อนอย่างเอาใจ
“ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ค่ะ ไม่ได้คุยกันเลย...ฉันไม่กล้ารับสายพวกท่าน”
“กลับไปฉันจะให้คุณแม่มาสู่ขออย่างเป็นทางการ” ชานนท์โน้มตัวลงมากอดรอบคอเอรินจากด้านหลัง แนบใบหน้ากับศีรษะทุยด้วยความรักใคร่ “ฉันขอโทษที่ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องแบบนี้จะสำคัญกับเธอมากเท่ากับการที่เราได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้เวลานี้”
เอรินหลับตาพริ้มเอนซบเขาเช่นกัน
“เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิคะ เรื่องคุณราเชล...พวกคุณยังไปมาหาสู่กันอยู่หรือเปล่า”
จู่ๆ เอรินก็ถามถึงหญิงสาวอีกคนขึ้นมา ชานนท์ไม่ทันตั้งตัวถึงกับนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
“เรื่องราเชลหรือ...” ชานนท์อึกอัก จะบอกว่าไม่มีอะไรกันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะก่อนหน้าที่จะมาหาเอรินที่เมืองไทย เขาก็เพิ่งอยู่กับราเชลมา แต่ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปแบบไม่ผูกมัด ฉาบฉวย เพราะต่างพึงใจที่จะเจอกันแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
และเขาก็ได้บอกตัดขาดกับเจ้าหล่อนไปแล้ว!
“ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรค่ะ” เอรินเองก็รับรู้ได้ว่าเขาอึดอัดใจที่จะเล่าเลยเอ่ยขัดขึ้น แต่น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“ฉันแค่อยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณบ้าง เพราะก่อนหน้านี้คุณเล่นหายไปเลย กลับมาเจอกันคุณก็ไม่คิดจะเล่า ฉันจดทะเบียนกับคุณทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวคุณเลยด้วยซ้ำ ไม่แฟร์เลย”
“ไม่เอาน่าเอริน”
ชานนท์อ้อนก่อนจะย้ายตัวเองมานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันกับหล่อน
“ฉันเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้เธอฟัง...แต่อย่างน้อยเราก็เคยเดตกันก่อนจดทะเบียนแล้วนะ ที่ฟลอเรนซ์ไง”
“นั่นไม่นับสิคะ แค่เรื่องสมมุติ”
“แต่สำหรับฉันมันเป็นเรื่องจริงจัง นับตั้งแต่ที่บอกให้รอแล้ว”
ชานนท์ประคองดวงหน้านวลไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา เอรินถึงได้ยอมสบตาด้วย และนั่นทำให้ชายหนุ่มเห็นความสับสนในแววตาสวยคู่นั้น ยอมปริปากเล่า
“ฉันกับราเชลคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยแล้ว เธอเป็นรุ่นน้องที่คณะน่ะ ทั้งน่ารักและดูดีมาก...ฉันคงหลงรักความสวยสง่างามของเธอมั้ง เราคบกันอยู่นานหลายปีทีเดียว จนฉันขอราเชลแต่งงาน ตอนนั้นเธอกำลังเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่มีชื่อเสียง เธอเลยปฏิเสธฉัน อ้างว่ายังหวงชีวิตโสดและเป็นห่วงงานตัวเอง กลัวชื่อเสียงจะดรอปลง เอาตรงๆ ฉันเสียใจมากตอนนั้น แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน”
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอปฏิเสธคุณ” เอรินพูดพลางซบหน้ากับอกอุ่นๆ ของเขา เมื่อเขารวบหล่อนเข้ามากอดแล้วเล่าต่อ
“แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ทำใจได้ เรายังคงไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง จนฉันเริ่มชินชากับการไม่ต้องมีราเชล พอตัดใจได้ไม่นาน มินก็เข้ามา...เอริน...ฟังอยู่รึเปล่า” ชานนท์กระซิบข้างหู
“ฟังอยู่ค่ะ เล่าต่อสิคะ”
“มินเข้ามาในช่วงจังหวะที่ฉันไม่มีใคร ก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟังนั่นละ มินมีปัญหาชีวิตให้ต้องเข้าไปช่วย ฉันเลยเหมือนเป็นที่พึ่งให้มิน แต่ไม่ใช่แค่มินหรอกที่รู้สึกแบบนั้น ฉันเองก็ยึดมินเป็นที่พึ่งเหมือนกัน เผลอๆ จะมากกว่าด้วย ฉันถึงได้ทำอะไรบ้าๆ ลงไปตั้งเยอะ”
“ใช่ค่ะ บ้ามาก” เอรินเผลองึมงำออกมาอย่างเห็นด้วย เรียกรอยยิ้มขันจากคนเล่าได้หน่อย กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“แต่ฉันหายบ้าเพราะเธอนะ ก็วันที่เธอแอบตามมาฟังฉันคุยกับราเชลเรื่องมินที่ห้องทำงานไง เธอบ้ามากกว่าฉันอีก ฉันเลยได้สติเลย” แกล้งเย้าหล่อนแล้วเขาก็หอมแก้มเจ้าหล่อนดังฟอดด้วยความมันเขี้ยว
“รู้ตัวไหมว่าตอนที่ฉันเห็นเธอยืนอยู่หน้าห้อง ฉันตกใจมาก กลัวเธอจะเข้าใจผิดที่เห็นฉันอยู่กับราเชลสองต่อสองแบบนั้น ยิ่งราเชลดูถูกเธอสารพัด ฉันเลยรู้ในทันทีว่าเธออยู่ในสายตาของฉันเข้าแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่รู้ตัวจนได้ไปฟลอเรนซ์ด้วยกัน ฉันถึงรู้ว่าคนที่หัวใจของฉันต้องการและตามหามาตลอดคือเธอ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย”
“เป็นฉันหรือคะ” เอรินเหลือบมอง แววตาเต็มไปด้วยคำถาม
“เลิกคิดมากได้แล้วเอริน...เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมายังพิสูจน์ใจเธอและฉันไม่มากพออีกเหรอ...ขอบคุณนะที่ยอมเป็นภรรยาของฉัน”
ชานนท์ช้อนร่างบอบบางของภรรยาตัวน้อยอุ้มโอบไว้ในอ้อมแขน
เอรินหน้าแดงขณะที่ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม เขารู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ทั้งหล่อนและเขารู้สึกผูกพันกันได้รวดเร็ว และรักกันมากจนน่าเหลือเชื่อขนาดนี้ แต่สาวในอ้อมแขนของเขานี่สิน่าจะยังไม่รู้ แบบนี้ต้องจัดการหน่อย
นึกแล้วชานนท์ก็อุ้มพาเอรินกลับเข้าไปในบ้านพัก...ซึ่งเวลานี้คือห้องหอของพวกเขาทั้งสองที่จะถ่ายทอดความรักให้กันและกัน โดยลืมความกังวลต่างๆ นานาไปเสียหมดสิ้น
(((eBook โหลดที่ mebmarket)))
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
“ยายตัวเล็กของพี่ จำได้ไหม พี่เคยเรียกแบบนี้เมื่อนานมาแล้ว”
ชานนท์กระซิบแผ่วเบาเสียงสั่นพร่า สองมือโอบกอดรอบเอว ‘ยายตัวเล็ก’ ของเขาเอาไว้อย่างหวงแหน
“พี่รักเธอนะ...ตอนนั้นเธอคงยังเด็กเกินที่จะจำเรื่องของเราได้ แต่ตอนนี้พี่กลับมาอยู่ใกล้ๆ เธอเหมือนเมื่อก่อนแล้วไง ผ่านไปยี่สิบเอ็ดปีเธอโตแล้วสวยน่ารักขึ้นมากรู้ตัวหรือเปล่า เมื่อไหร่จะรู้ตัวนะยายตัวเล็ก”
ชานนท์พึมพำอยู่คนเดียวแล้วถอนใจ มองร่างบอบบางด้วยแววตาอ่อนโยนระคนเศร้าสร้อย มีอะไรอีกตั้งมากมายที่เขาอยากพูดอยากบอกให้เอรินเข้าใจ เพราะหล่อนเป็นส่วนสำคัญในชีวิตที่ทำให้ความทรงจำของเขาค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา แต่หล่อนไม่เคยรู้เรื่องนี้ของเขาเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ทำได้จึงแค่พูดออกไปว่า
“ตั้งแต่นี้ไปพี่จะไม่ปล่อยเธอจากพี่ไปไหนอีกแล้ว พี่จะดูแลยายตัวเล็กของพี่ให้ดีที่สุด...พี่สัญญา”
ชายหนุ่มให้คำมั่นสัญญานั้นเพื่อบอกกับตัวเองด้วยในคราเดียวกันแม้หญิงสาวในอ้อมแขนจะไม่ได้รับรู้ด้วยก็ตาม หล่อนยังคงนอนหลับตาพริ้มด้วยความสุขใจ...
กว่าเอรินจะรู้สึกตัวก็ใกล้เที่ยงแล้ว หล่อนขยับกายเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น โดยที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังซุกตัวเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรงมากขึ้น กระทั่งสัมผัสได้ถึงไออุ่นแนบชิดค่อยๆ ลืมตาตื่น ก็เจอกับสายตาของชานนท์ที่กำลังจับจ้องมองหล่อนตาปรอย
“ขี้เซาจังคุณภรรยา”
เอรินได้แต่มองเขาตาปริบๆ หน้าร้อนผะผ่าวนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนพลัน
ชานนท์ลูบผมนุ่มสลวยอย่างเอ็นดู “ฉันโทร.สั่งอาหารเที่ยงให้แล้วนะ กะว่าตื่นเมื่อไหร่จะได้กินได้เลย”
“ดีเหมือนกันค่ะ ฉันหิวแล้ว” เอรินอ้อมแอ้มบอกเขาแล้วมีเสียงท้องร้องตามมา
“ฮ่าๆ นึกแล้วว่าต้องหิว” เขาหัวเราะอารมณ์ดี
“ฉันนี่แย่จริง ตอนที่เป็นแฟนวันเดียวให้เธอก็ทำเธอหิว ตอนนี้เป็นสามีวันแรกทั้งทีก็ยังทำเธอหิวอีก ไม่งั้นคงยังไม่ตื่นใช่ไหม”
“หืม คุณเรียกฉันว่าเธอ แล้วแทนตัวเองว่าฉันหรือคะ” เอรินสะดุดหูขึ้นมา “ฉันไม่คุ้นเลย”
“เดี๋ยวก็คุ้นเองที่รัก ผัวเมียกันจะมาผมๆ คุณๆ อยู่ได้ยังไง”
ทั้งคำว่า ‘ที่รัก’ ทั้ง ‘ผัวเมีย’ ทำให้เอรินออกอาการประหม่าอย่างห้ามไม่ได้อีกครา ช่วงเวลาที่ทั้งหล่อนและเขาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวยังตราตรึงในความรู้สึกหญิงสาวเสหลบตาเขินอาย
“เราจะเป็นยังไงกันต่อไปคะ กลับไปจะบอกพ่อกับแม่ว่ายังไง ไหนจะพ่อแม่คุณอีก”
“ก็ไม่ต้องทำยังไง เราสองคนไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เรารักกันจดทะเบียนกัน ที่เหลือก็แค่แต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี”
“ก็ไอ้ที่เหลือนั่นแหละค่ะที่ฉันกลัว” หล่อนแย้งเสียงเบา
“ฉันไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง มีก็แต่เรื่องนี้ที่ฉัน...”
“อย่าเพิ่งคิดมากสิเอริน” ชานนท์กอดปลอบพลางเกลี่ยน้ำตาที่เอ่อคลอดวงตาคู่สวยอย่างเบามือ
“ฉันเองต่างหากที่ผิด เอาแต่ใจกับเธอ กลับไปฉันจะเป็นคนคุยกับพวกท่านให้เข้าใจเอง กลุ้มใจตอนนี้ไปเราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วนะ ต่อไปเราสองคนก็แค่ต้องจับมือเดินหน้าต่อไปด้วยกันเท่านั้น”
“ฟังแล้วรู้สึกดีจังค่ะ”
เอรินยิ้มออก เงยหน้ามองเขาเห็นแววตาหยาดเยิ้มคู่นั้นก็ยิ่งขัดเขิน
“เราสองคนจะจับมือก้าวไปด้วยกันได้ใช่ไหมคะ”
“แน่สิ ฉันยังจำได้ไม่ลืมว่ามือนี้คือมือที่ยื่นมาโอบกอดฉันในวันนั้นที่ฟลอเรนซ์” ชานนท์กุมมือสาวน้อยไว้และก้มลงจูบเบาๆ อย่างรักใคร่ทะนุถนอม
“นั่นสินะคะ ถ้าวันนั้นฉันไม่ตามคุณไป คนที่อยู่ข้างๆ คุณตอนนี้ก็คงไม่ใช่ฉัน”
“โธ่...อีกแล้วนะคุณภรรยา บรรยากาศกำลังดี อย่าชักใบให้เรือเสียสิ” เขาต่อว่าไม่จริงจังนัก ยังคงกระชับอ้อมแขนโอบกอดหล่อนไว้ไม่ปล่อย
“เราเช็กเอาต์จากที่นี่แล้วไปสมุยเลยดีกว่า ฉันอยากไปฮันนีมูนกับเมียใจจะขาดแล้ว จะได้ไม่มีสายตาคอยจับผิดจากลุงคนนั้นด้วย พูดแล้วยังขยาดไม่หาย”
“อ้าว ว่าจะไปพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“เปลี่ยนใจแล้ว ไปวันนี้ก่อนพายุจะเข้าดีกว่า น่าจะพอทันเรือเที่ยวสุดท้าย เดี๋ยวติดเกาะยาวอดมอบของขวัญสุดพิเศษให้เธอพอดี”
“ของขวัญอะไรคะ”
“ไม่บอก”
ชานนท์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็รีบลุกขึ้นจากเตียงทั้งยังเปลือยเปล่า เอรินตั้งตัวไม่ทันถึงกับหน้าแดงแปร๊ด รีบหันหน้าไปทางอื่นแต่กอดผ้าห่มผืนหนาไว้แน่นเพราะตัวหล่อนเองตอนนี้ก็ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์สักชิ้นเช่นเดียวกับเขา
หากทว่าชายหนุ่มเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ หันกลับมาก่อนจะย่องขึ้นเตียงอีกรอบ ทำเอาสาวใต้ผ้าห่มสะดุ้งเพราะถูกเขารวบตัวไว้ อุ้มหายเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน...
****************
ตกบ่าย เมฆสีเทาครึ้มเต็มฟ้าต้อนรับพายุฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล สองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันอย่างชานนท์และเอริน ไม่รีรอนั่งเรือลำใหญ่ฝ่ากระแสคลื่นหัวแตกในทะเลออกจากเกาะเต่ามุ่งหน้าไปยังเกาะสมุยทันที เพื่อเริ่มต้นทริปฮันนีมูนแสนหวาน
ในวันเดียวกันนั้น...กรณ์เพิ่งเดินทางกลับจากกรุงเทพฯ มาถึงบ้านสวนโฮมสเตย์ที่ประจวบฯ แล้วเช่นกัน แต่กว่าจะมาถึงได้ก็จวนเย็นแล้ว ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้เขาเป็นห่วงเอรินที่พาลูกทัวร์ออกท่องทะเลจนยังไม่ทันได้แวะเข้าบ้านตัวเองก่อนด้วยซ้ำ เขาร้อนใจ เพราะติดต่อหญิงสาวไม่ได้เลย
“คุณกรณ์ หายไปไหนซะหลายวันครับ”
ปื๊ดเป็นคนแรกที่ออกมาต้อนรับ ขณะที่กรณ์พยายามอารมณ์ดีเดินยิ้มแย้มเข้ามาในบ้านสวนพร้อมถุงของฝากในมือ ปื๊ดจึงรับไปถือไว้
“ฉันติดธุระที่กรุงเทพฯ เอารถไปชนสาวมาน่ะเลยต้องดูแลประคบประหงมกันหน่อย” กรณ์ขยิบตาให้แล้วมองเลยปื๊ดไปทางด้านหลัง เห็นพัชระและอติมากำลังเดินมาหาก็รีบเข้าไปทักทาย
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ผมติดต่อดื้อไม่ได้ก็เลยแวะเข้ามาถามก่อนกลับบ้านครับ ดื้อจะกลับเมื่อไหร่ครับ”
น้ำเสียงของกรณ์ร้อนรนอยู่ไม่น้อย พัชระและอติมาได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มแห้งๆ
“เห็นว่าอีกสองวันนะ” อติมาบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ “พอดีป้าก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ห่วงอยู่เนี่ย ปกติไม่เคยเหลวไหลแบบนี้”
“นี่ก็จะเย็นแล้ว ผมว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปตามที่เกาะครับ”
“ไม่ทันแล้วคร้าบคุณกรณ์ ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล เห็นว่าปีนี้ฤดูมรสุมมาเร็วกว่าทุกปีด้วย อุตุเตือนห้ามทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ออกจากฝั่งแล้ว ปื๊ดรึอุตส่าห์รีบไปบอกป้าพิมไว้ให้ คุณกรณ์ไม่รีบมาเอง ป่านนี้คุณหนูกับผู้ชายคนนั้น...” ปื๊ดพูดได้แค่นั้นก็สะดุ้งรีบปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน
“ป่านนี้ดื้อกับหมอนั่นทำไมปื๊ด!” กรณ์ถามทันควัน
“ปะ...เปล่า” ปื๊ดรู้ตัวว่าเผลอพูดมากไปแล้ว ส่ายหน้าดิก
“ปื๊ดแค่ห่วงเฉยๆ”
“แกอย่ามาอมพะนำไอ้ปื๊ด!” พัชระจับพิรุธได้เช่นกัน คาดคั้นเสียงเขียวจน ‘ไอ้ปื๊ด’ ถึงกับคอหดรีบบอกทันที
“ไม่มีอะไรลุง คุณหนูแค่เล่าให้ปื๊ดฟังว่าแขกสายเปย์คนนั้นน่ะเป็นญาติกับคุณมิน”
“ญาติหนูมินหรือ?” คราวนี้เป็นอติมาที่ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ใช่ป้า คุณหนูบอกว่ารู้จักที่ลอนดอนพร้อมคุณมิน แต่ปื๊ดดูยังไงๆ ก็ไม่เชื่อว่าแค่รู้จักกัน ตอนไปส่งที่ท่าเรือนะป้ามีพ่อแง่แม่งอนกันด้วย บอกเป็นแฟนคุณหนูยังน่าเชื่อซะกว่า ปื๊ดถึงได้ไปบอกป้าพิมไว้เผื่อคุณกรณ์จะรีบมา”
สิ่งที่เพิ่งได้รับรู้จากปื๊ด ยังผลให้อติมาและพัชระมองหน้ากันอีกครั้ง สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผิดกับกรณ์ที่เงียบไปไม่พูดอะไรอีกนอกจากบดกรามแน่นด้วยความโมโห
ใช่! เขาทั้งหงุดหงิดทั้งเจ็บใจตัวเอง ที่มัวแต่ชะล่าใจวุ่นอยู่กับเรื่องรถชนจนมาไม่ทันเอรินกับหมอนั่น ทั้งที่ปื๊ดอุตส่าห์เป็นม้าไวมาบอกเขาก่อนแล้วแท้ๆ!
****************
บนเกาะสมุย ฟ้าเริ่มครึ้มฝนกินบริเวณกว้าง ลมพัดต้นไม้ไหวลู่แรง เสียงคลื่นซัดสาดดังมาเป็นระลอก
เอรินนั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้เอนในศาลาริมสระว่ายน้ำวิลลาส่วนตัวที่มองเห็นวิวทะเลกว้างเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน ชานนท์เดินออกมาจากตัวบ้านพัก ในมือมีแก้วพันช์สีสวยสองแก้ว
“คิดอะไรอยู่ที่รัก”
เขาถามพลางวางแก้วน้ำพันช์ไว้บนโต๊ะตรงกลางระหว่างเก้าอี้เอนสองตัว แล้วเข้ามาบีบนวดไหล่ให้หล่อนอย่างเอาใจ
“ฉันคิดถึงพ่อกับแม่ค่ะ ไม่ได้คุยกันเลย...ฉันไม่กล้ารับสายพวกท่าน”
“กลับไปฉันจะให้คุณแม่มาสู่ขออย่างเป็นทางการ” ชานนท์โน้มตัวลงมากอดรอบคอเอรินจากด้านหลัง แนบใบหน้ากับศีรษะทุยด้วยความรักใคร่ “ฉันขอโทษที่ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องแบบนี้จะสำคัญกับเธอมากเท่ากับการที่เราได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้เวลานี้”
เอรินหลับตาพริ้มเอนซบเขาเช่นกัน
“เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิคะ เรื่องคุณราเชล...พวกคุณยังไปมาหาสู่กันอยู่หรือเปล่า”
จู่ๆ เอรินก็ถามถึงหญิงสาวอีกคนขึ้นมา ชานนท์ไม่ทันตั้งตัวถึงกับนิ่งไปอึดใจหนึ่ง
“เรื่องราเชลหรือ...” ชานนท์อึกอัก จะบอกว่าไม่มีอะไรกันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะก่อนหน้าที่จะมาหาเอรินที่เมืองไทย เขาก็เพิ่งอยู่กับราเชลมา แต่ความสัมพันธ์นั้นเป็นไปแบบไม่ผูกมัด ฉาบฉวย เพราะต่างพึงใจที่จะเจอกันแค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
และเขาก็ได้บอกตัดขาดกับเจ้าหล่อนไปแล้ว!
“ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรค่ะ” เอรินเองก็รับรู้ได้ว่าเขาอึดอัดใจที่จะเล่าเลยเอ่ยขัดขึ้น แต่น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“ฉันแค่อยากรู้เรื่องส่วนตัวของคุณบ้าง เพราะก่อนหน้านี้คุณเล่นหายไปเลย กลับมาเจอกันคุณก็ไม่คิดจะเล่า ฉันจดทะเบียนกับคุณทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวคุณเลยด้วยซ้ำ ไม่แฟร์เลย”
“ไม่เอาน่าเอริน”
ชานนท์อ้อนก่อนจะย้ายตัวเองมานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันกับหล่อน
“ฉันเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้เธอฟัง...แต่อย่างน้อยเราก็เคยเดตกันก่อนจดทะเบียนแล้วนะ ที่ฟลอเรนซ์ไง”
“นั่นไม่นับสิคะ แค่เรื่องสมมุติ”
“แต่สำหรับฉันมันเป็นเรื่องจริงจัง นับตั้งแต่ที่บอกให้รอแล้ว”
ชานนท์ประคองดวงหน้านวลไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา เอรินถึงได้ยอมสบตาด้วย และนั่นทำให้ชายหนุ่มเห็นความสับสนในแววตาสวยคู่นั้น ยอมปริปากเล่า
“ฉันกับราเชลคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยแล้ว เธอเป็นรุ่นน้องที่คณะน่ะ ทั้งน่ารักและดูดีมาก...ฉันคงหลงรักความสวยสง่างามของเธอมั้ง เราคบกันอยู่นานหลายปีทีเดียว จนฉันขอราเชลแต่งงาน ตอนนั้นเธอกำลังเป็นนางแบบหน้าใหม่ที่มีชื่อเสียง เธอเลยปฏิเสธฉัน อ้างว่ายังหวงชีวิตโสดและเป็นห่วงงานตัวเอง กลัวชื่อเสียงจะดรอปลง เอาตรงๆ ฉันเสียใจมากตอนนั้น แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน”
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอปฏิเสธคุณ” เอรินพูดพลางซบหน้ากับอกอุ่นๆ ของเขา เมื่อเขารวบหล่อนเข้ามากอดแล้วเล่าต่อ
“แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ทำใจได้ เรายังคงไปไหนมาไหนด้วยกันบ้าง ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง จนฉันเริ่มชินชากับการไม่ต้องมีราเชล พอตัดใจได้ไม่นาน มินก็เข้ามา...เอริน...ฟังอยู่รึเปล่า” ชานนท์กระซิบข้างหู
“ฟังอยู่ค่ะ เล่าต่อสิคะ”
“มินเข้ามาในช่วงจังหวะที่ฉันไม่มีใคร ก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟังนั่นละ มินมีปัญหาชีวิตให้ต้องเข้าไปช่วย ฉันเลยเหมือนเป็นที่พึ่งให้มิน แต่ไม่ใช่แค่มินหรอกที่รู้สึกแบบนั้น ฉันเองก็ยึดมินเป็นที่พึ่งเหมือนกัน เผลอๆ จะมากกว่าด้วย ฉันถึงได้ทำอะไรบ้าๆ ลงไปตั้งเยอะ”
“ใช่ค่ะ บ้ามาก” เอรินเผลองึมงำออกมาอย่างเห็นด้วย เรียกรอยยิ้มขันจากคนเล่าได้หน่อย กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น
“แต่ฉันหายบ้าเพราะเธอนะ ก็วันที่เธอแอบตามมาฟังฉันคุยกับราเชลเรื่องมินที่ห้องทำงานไง เธอบ้ามากกว่าฉันอีก ฉันเลยได้สติเลย” แกล้งเย้าหล่อนแล้วเขาก็หอมแก้มเจ้าหล่อนดังฟอดด้วยความมันเขี้ยว
“รู้ตัวไหมว่าตอนที่ฉันเห็นเธอยืนอยู่หน้าห้อง ฉันตกใจมาก กลัวเธอจะเข้าใจผิดที่เห็นฉันอยู่กับราเชลสองต่อสองแบบนั้น ยิ่งราเชลดูถูกเธอสารพัด ฉันเลยรู้ในทันทีว่าเธออยู่ในสายตาของฉันเข้าแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่รู้ตัวจนได้ไปฟลอเรนซ์ด้วยกัน ฉันถึงรู้ว่าคนที่หัวใจของฉันต้องการและตามหามาตลอดคือเธอ ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย”
“เป็นฉันหรือคะ” เอรินเหลือบมอง แววตาเต็มไปด้วยคำถาม
“เลิกคิดมากได้แล้วเอริน...เวลาหนึ่งปีที่ผ่านมายังพิสูจน์ใจเธอและฉันไม่มากพออีกเหรอ...ขอบคุณนะที่ยอมเป็นภรรยาของฉัน”
ชานนท์ช้อนร่างบอบบางของภรรยาตัวน้อยอุ้มโอบไว้ในอ้อมแขน
เอรินหน้าแดงขณะที่ชายหนุ่มยิ้มกรุ้มกริ่ม เขารู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้ทั้งหล่อนและเขารู้สึกผูกพันกันได้รวดเร็ว และรักกันมากจนน่าเหลือเชื่อขนาดนี้ แต่สาวในอ้อมแขนของเขานี่สิน่าจะยังไม่รู้ แบบนี้ต้องจัดการหน่อย
นึกแล้วชานนท์ก็อุ้มพาเอรินกลับเข้าไปในบ้านพัก...ซึ่งเวลานี้คือห้องหอของพวกเขาทั้งสองที่จะถ่ายทอดความรักให้กันและกัน โดยลืมความกังวลต่างๆ นานาไปเสียหมดสิ้น
(((eBook โหลดที่ mebmarket)))
หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ
ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.พ. 2563, 14:34:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.พ. 2563, 14:34:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 437
<< บทที่ 29 -50% + โปรฯ วาเลนไทน์ | บทที่ 30 -40% >> |