เรื่องสั้น Yaoi By Ha.Ma.06 - จบ
เรื่องสั้นที่ถูกรวบรวมไว้ในเรื่องนี้มีทั้งหมด 10 เรื่อง จบเพียงตอนเดียว


Tags: เรื่องสั้น วาย Yaoi

ตอน: ณ โรงหนังเป็นนัดของสองเรา (Yaoi)

ทินโชติ หรือโชติ ชายหนุ่มอายุ 25 ปี กำลังอยู่ในวัยทำงาน ซึ่งเขาทำงานประจำอยู่ในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย อยู่แผนกจัดซื้อเป็นมนุษย์เงินเดือนมาหลายปี ตั้งแต่เรียนจบก็ได้งานทำที่นี่เป็นที่แรกถึงจะห่างไกลบ้านแต่ก็ไม่เคยเหงา เขามักเลือกวันพุธเป็นวันหยุดเสมอ ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์เป็นวันกลับบ้านแต่หยวนๆ กันได้ ถ้ามีงานด่วนรีบเร่ง โดยการยืนพื้นวันพุธทุกครั้งเพราะเขามีนัดกับโรงหนังในห้างตรงข้ามกับโรงพยาบาล เขาได้จ่ายในราคาประหยัดและที่ลดเฉพาะวันพุธวันเดียว ซึ่งทุกๆ ครั้งเขามักจะไม่พลาด โดยทำแบบนี้มา 2 ปี ตลอด 2 ปี มีแต่ตั๋วหนังเก็บเป็นที่ระลึกทุกครั้งจนเต็มกล่อง และวันนี้ก็เป็นวันพักผ่อนของเขาเหมือนเดิมจึงเป็นเรื่องปกติของเขาที่จะต้องไปโรงหนัง

"วันนี้ดูอะไรดีนะ" โชติกำลังยืนมองหน้าจอที่เรียงลำดับรายการภาพยนตร์และกำลังคำนวณเวลาเข้าฉาย

ในจังหวะนั้นเอง มีชายคนหนึ่งกำลังก้มมองตั๋วหนังในมือ ขณะเดียวกับเด็กสองคนที่วิ่งเล่นมาชนเขาเซมาทับโชติจนติดหน้าจอ

"ขอโทษครับ" ชายคนนั้นตกใจดึงโชติให้ออกจากหน้าจอหนัง แล้วร่างของโชติก็ไปตามแรงของชายคนนั้น 

"เป็นอะไรไหมครับ..คุณ"

"จะไม่ให้เป็นอะไรได้ไงดูดิ ดู" หน้าของโชติกระแทกหน้าจออย่างจังทำให้หน้าผากแดงเป็นวงกว้าง เขาลูบปรอยๆ ด้วยความเจ็บแต่สิ่งที่ต้องกังวลมากกว่าคือแว่นตาของเขากระเด็นหายไป คราวนี้จะทำยังไงมองไปทางไหนก็มัวไปหมด

"ขอ..ขอผมดูหน่อยครับ" ชายตรงหน้าโชติจับหน้าผากของโชติลูบเบาๆ แต่มันจะแปลกไปไหมกับการทำแบบนี้

"ไม่เป็นไรครับ ผมหายแล้ว" โชติรีบถอยห่างทันทีแล้วควานหาแว่นตาเพื่อเข้าโรงหนังดีกว่ามายืนต่อปากต่อคำกับคนที่เขาไม่รู้จัก

และดูเหมือนชายคนที่ทำให้เขาเจ็บจะเข้าใจ จึงปล่อยให้เขาหาแว่นตาที่ตกอยู่ไม่ไกล มือทั้งสองค่อยๆ คลำหาแว่นตาบนพื้นแต่ควานหาเท่าไหร่ก็ไม่พบสักที 

"นี่ครับ" เสียงเหมือนอย่างกับเทวดามาโปรดให้เขาเจอแว่นตาอันเป็นดั่งชีวิตเมื่อนำมาใส่กลับเข้าที่ดังเดิมภาพที่มัวตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นทันตา

"ขอบคุณครับ ค่อยดีขึ้นมาหน่อย" โชติมองหน้าคนที่ทำให้แว่นตาของเขาหลุดไปอยู่ที่พื้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ จะไม่ให้แปลกได้ยังไงในเมื่อชายตรงหน้าของเขานั้นสูง ขาว หล่อ ล่ำกว่าเขาตั้งมากมายนัก ยิ่งสวมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสามส่วนยิ่งดูดีและน่ามอง ซึ่งผิดกับเขาที่ผอมและไม่หล่อเท่า ถึงแม้สวมใส่เสื้อผ้าที่ใกล้เคียงกันก็ยังไม่ดูดีเหมือนชายตรงหน้า

"ผมต้องขอโทษจริงๆ ที่ชนคุณ" ชายหนุ่มหน้าตาหล่อคนนั้นพูดขึ้น

"ไม่เป็นไรครับ" โชติรีบตอบรับและก้าวขาเร่งเท้าหนีชายหน้าหล่อคนนั้นทันที

เมื่อเดินหนีออกมาไกล โชติได้หันไปมองอีกครั้งว่าเขายังอยู่อีกไหมและเป็นไปตามที่คิด เขาคนนั้นได้หายตัวไปแล้ว

"เฮ้ออ...นี่เราเดินหนีผู้ชายหรือไงกัน" ถามเองส่ายหัวตนเองไปพลางๆ เพื่อคลายความคิดฟุ้งซ่าน จุดมุ่งหมายของวันนี้คือหนังสยองขวัญที่ตั้งตารอมาเป็นหลายเดือน

"ช่างเถอะ...วันนี้ได้ดูหนังก็พอแล้ว ฮิฮิ" เมื่อคิดถึงหนังที่กำลังจะฉายเขาก็รีบอย่างไวเพื่อให้ซื้อตั๋วได้ทันเวลา

เป็นไปตามกำหนดที่โชติตั้งเป้าหมายเอาไว้ ที่นั่ง F6 เป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับโชติ ได้ยินชัดมองเห็นชัด เขาคาดหวังว่าวันนี้จะเป็นวันหยุดที่แสนพิเศษสำหรับเขา

"น้ำพร้อม ขนมพร้อม เหลือแต่หนังฉาย" โชติพูดกับตนเองเบาๆ สิ่งที่รอคอยกำลังจะมาแล้ว

ช่วงเวลาหนังฉายเขาแทบไม่ได้ขยับตัวไปไหน สายตาทั้งสองและสมองที่คอยจดจำและคิดตามการแสดงตรงหน้า ตื่นเต้นจนไม่อาจจะพลาดทุกคำพูดและทุกการแสดง

"ปั๊ก" แย่แล้ว อะไรเย็นๆ กระเด็นมาโดนหน้า แถมเลอะเสื้อยืดสีขาวของเขาจนรู้สึกเหนียวไปหมด

"เฮ้ย...น้ำอะไรวะ" โชติส่งเสียงร้องแต่เสียงของเขาก็ยังเบากว่าเสียงกรี๊ดของผู้หญิงในหนัง จึงไม่มีใครสนใจนอกเสียจากคนที่เป็นต้นเหตุ

"ผม...ขอโทษครับ หกรดคุณหมดเลย" 

"วันซวยอะไรของตูกันเนี่ย" ไม่ให้โชติหงุดหงิดได้ไง วันนี้คาดหวังว่าจะเป็นหยุดที่แสนพิเศษได้นั่งดูหนังอย่างสบายใจแต่กลับมีแต่เรื่องให้เขาต้องหงุดหงิดและเจ็บตัว

"คุณ...ผมทำให้คุณเปียก" น้ำเสียงคุ้นๆ ทำให้โชติหันไปมอง

"ทำไมเป็นนายอีกแล้วล่ะ" โชติตะโกนเสียงดัง ยืนขึ้นชี้หน้าคนหน้าหล่อที่พึ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว

"เฮ้ย นั่งลงสิวะ บังจอโว้ย" เสียงตะโกนมาจากอีกแถวหนึ่งทำให้โชติตัวแข็งเพราะความอายเริ่มมาเยือน

"ขอโทษครับ" ไม่ใช่เสียงของโชติแต่เป็นเสียงของชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นที่ลุกขึ้นฉวยมือโชติให้เดินตามตนเอง

โชติไม่อาจปฏิเสธแรงดึงของเขาได้ ไม่รู้ทำไมต้องตามแรงของชายที่ไม่รู้จักแถมพามาอยู่ในห้องน้ำด้วยกันอีก

"ถอดเสื้อสิครับ"

"ห๊ะ!" ตกใจสิ จู่ๆ ทำไมต้องให้ถอดเสื้อ

"ตกใจทำไมครับ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ถ้าคุณเป็นผู้หญิงก็อีกเรื่องหนึ่ง" พูดจบก็มองหน้าโชตินิ่งๆ จนโชติรู้สึกเย็นวาบๆ ขนลุกชันทันที

"พูดซะขนลุกเลยทีเดียว" โชติลูบแขนตนเองไปมา และจ้องกลับไปบ้าง

"คุณไม่ต้องมาจ้องหน้าผมแบบนั้นเลย ผมแค่จะให้คุณถอดเสื้อออกมา ผมจะเอาไปซักให้"

"อ้าว...ถ้าผมถอดเสื้อแล้วจะใส่อะไรกลับล่ะ"

"ใส่เสื้อคลุมผมกลับแล้วกันครับ ส่วนเสื้อคุณก็ถอดออกมา ผมจะซักคืนให้ครับ" พูดจบชายหน้าหล่อก็ถอดเสื้อคลุมของตนเองออกแล้วยื่นให้โชติ

"อืม...ก็ได้ครับ" ก็อยากปฏิเสธอยู่หรอก แต่พอเห็นท่าทางที่ตั้งใจขนาดนั้นคนใจอ่อนอย่างเขาก็ปฏิเสธไม่ลง

ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่สายตาที่เขามองมานั้นทำให้โชติแทบจะเดินหนีกลับบ้าน เขาคงไม่คิดจะชอบผู้ชายหรอกนะ

"นี่ครับ...ฝากด้วยนะครับ" โชติยื่นเสื้อที่เลอะคราบน้ำอัดลมให้กับชายหน้าหล่อคนนั้น และเมื่อเขารับไป โชติก็รีบคว้าเสื้อคลุมที่ชายคนนั้นถือไว้มาสวมใส่อย่างรวดเร็ว 

อยากจะบ้าตาย...สายตานั่นสามารถฆ่าเขาได้ในวินาทีเดียวเลยนะ 

"เดี๋ยวก่อนสิครับ" ชายหนุ่มได้รั้งแขนโชติไว้เมื่อโชติกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำ

"อะไรอีกครับ" 

"ผม...ผมขอเบอร์โทรคุณได้ไหม" 

"คือ..."

"ไม่ต้องคิดมากครับ ผมไม่ใช่พวกคนคิดไม่ดี ผมแค่อยากจะเอาเสื้อมาคืนและผมก็อยากได้เสื้อคลุมคืนด้วยครับ"

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่คนที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรมักจะคิดเสมอ ไม่น่าไว้ใจจริงๆ จะเป็นพวกโรคจิตหรือเปล่านะ

"เอาแบบนี้แล้วกันครับ ผมจะมาดูหนังทุกวันพุธ อาทิตย์หน้าผมจะมาเวลาเดิมเราสองคนค่อยมาแลกเสื้อกัน" โชติตัดสินใจนัดเขาอีกครั้งและเป็นการนัดที่ทำให้ชายตรงหน้ายิ้มน้อยๆ และตอบตกลงทันที

อยากจะเข้าไปดูหนังให้จบแต่เขาไม่อยากจะดูต่ออีกแล้ว วันหยุดอันแสนพิเศษกลับพังไม่เป็นท่าเพราะผู้ชายคนนี้ เขาตัดสินใจเดินกลับหอพักโดยที่ไม่สนใจหนังหรือชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นสักนิด ถ้าขืนให้เขานั่งดูต่อ สายตาคนรอบตัวคงมุ่งมาที่เสื้อคลุมของเขาแน่นอน ก็จะไม่ให้แปลกได้ไง เสื้อคลุมต้องมีเสื้อข้างในใส่ถึงจะออกมาดูดีแต่เขากลับไม่มีเสื้อข้างในนะสิ เลยต้องอาศัยซิปรูดปิดร่างกายของเขาไม่ให้คนอื่นตกใจว่าเขาหลุดมาจากนิยายเรื่องไหน 

เวลาผ่านไปจนใกล้ถึงวันนัด แทนที่โชติจะสงบใจที่จะได้คืนของและได้ของคืนแถมได้ดูหนังในวันหยุดทำไมเขากลับไม่มีสมาธิ และทุกๆ ครั้งที่กลับห้องจะต้องคิดฟุ้งซ่านทุกครั้งที่ได้เห็นเสื้อคลุมของชายคนนั้น เขาคนนั้นเป็นคนยังไงกันนะ คนแบบไหนถึงมีเสื้อราคาแพงและเนื้อผ้าดีขนาดนี้กัน ทำให้เขาคิดว่ารสนิยมในการใช้เสื้อผ้าไม่น่าจะเหมาะกับโรงหนังในวันลดราคาได้ อยากรู้จักมากขึ้นแล้วสิ

ครบหนึ่งอาทิตย์กับการรอคอย ชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นมาตามนัดและมารอโชติก่อนเวลา พร้อมกับถุงผ้าใส่เสื้อผ้าของโชติอย่างเรียบร้อย ส่วนทางโชติเองไม่ต่างกัน ของที่เตรียมจะยื่นให้ก็ถูกจัดเก็บใส่ถุงผ้าเตรียมพร้อมเหมือนกัน

"ขอบคุณครับ" โชติรับเสื้อผ้าของเขาพร้อมกับยิ้มให้คนตรงหน้าน้อยๆ 

"ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมเป็นคนผิดเองก็ต้องรับผิดชอบ"

ก็จริงอย่างที่เขาว่า คนผิดก็ต้องรับผิดชอบสิถึงจะถูกแล้วเราจะไปขอบคุณเขาทำไมกัน

"ว่าแต่ คุณชอบดูหนังที่นี่หรือครับ" เสียงทุ้มๆ นิ่งๆ ของชายหนุ่มที่ยังไม่รู้จักชื่อถามกับโชติ

"ใช่ครับ ผมชอบหนังราคาประหยัด" ถึงจะตอบแบบนั้น ใจโชติก็แอบคิดว่า เขาจะคิดว่าเราไม่มีเงินหรือเปล่านะ

"เหมือนผมเลยครับ" รอยยิ้มใสซื่อไร้ซึ่งการแอบแฝงใดๆ ทำให้โชติรู้สึกดีขึ้นทันที

"งั้นผมไปซื้อตั๋วหนังก่อนครับ เดี๋ยวจะไม่ทันรอบฉาย" โชติยื่นถุงผ้าที่ใส่เสื้อคลุมให้กับคนตรงหน้า รีบส่งของแล้วรีบไปดูหนังจะได้กลับไปนอนพักดีกว่ามายืนคุยกัน ทำให้รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

"ออ...ครับ" ชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นรับมาด้วยใบหน้านิ่งๆ ยิ่งทำให้โชติรู้สึกขัดตาอย่างบอกไม่ถูก

ถึงจะรู้สึกไม่ปกติ เขาก็ไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจมากนัก วันหยุดที่มีค่าของเขาไม่ควรคิดอะไรฟุ้งซ่านต้องไปนั่งปลดปล่อยความเครียดต่างๆ และสนใจกับหนังที่ฉายตรงหน้าก็พอ

ตำแหน่งเดิมเวลาเข้าฉายเวลาเดิมทำให้โชติรู้สึกถึงช่วงเวลาเดิมๆ ของเขากลับมา

"เฮ้ออ...หวังว่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอีกนะ" บ่นเบาๆ และเอนหลังจ้องมองหนังที่กำลังฉาย

ช่วงเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนโชติรู้สึกว่าหนังตรงหน้าทำไมมีแต่ความมืด

"คุณครับ...คุณ" เสียงอะไรมารบกวนการดูหนังของเขา

ตาค่อยๆ ลืมขึ้น สมองยังประมวลผลไม่ทัน สิ่งที่เห็นคือ ผู้คนในโรงหนังลุกออกจากที่นั่งกันเกือบหมดแล้ว นี่เขาหลับไปตั้งแต่ตอนไหนกันนะแถมตัวเอียงมาซบไหล่ใครเขาล่ะนั่น

"ผม...ผมขอโทษครับ" รีบเอาหัวออกจากไหล่กว้างๆ ของผู้ชาย ไม่คิดว่าตนเองจะทำเรื่องน่าอายขนาดนี้ ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่าง นี่เป็นไหล่ผู้ชายเชียวนะ

"ไม่เป็นไรครับ"

น้ำเสียงคุ้นๆ ทำให้โชติหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ คนที่เขาเห็นทำให้โชติตาสว่าง

"คุณอีกแล้ว" จะเป็นพวกโรคจิตหน้าหล่อหรือเปล่านะ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ไม่คิดอะไรกับผู้ชายด้วยกัน เจอแบบนี้หลังเย็นวาบๆ เลยทีเดียว

"ใช่ครับ เจอกันอีกแล้วน่าบังเอิญจังนะครับ คุณว่าไหม" รอยยิ้มน้อยๆ กับท่าทางเป็นมิตรนี่มันอะไรกัน

"ผมว่า...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วครับ คุณจงใจซื้อตั๋วหนังมานั่งใกล้ผมใช่ไหม คุณตอบมาเลยนะ"

"อ้าวคุณ ผมก็ชอบดูหนังเหมือนกันครับ แล้วอีกอย่าง ผมจะรู้ได้ไงว่าคุณจะเลือกนั่งตรงนี้ ดูหนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่มีตั้งหลายโรงหนัง"

คำพูดของคนแปลกตรงหน้าทำให้โชติไปไม่ถูกเลยทีเดียว ก็จริงอย่างที่เขาว่า เราอาจจะเข้าข้างตนเองมากเกินไป และหน้าตาแบบนี้ท่าทางแบบนี้คงไม่คิดจะชอบผู้ชายหรือเป็นโรคจิตหรอก

"พวกคุณ หนังจบแล้วนะครับ" เสียงของพนักงานโรงหนังดังขึ้นพร้อมกับทำหน้าดุๆ

"คะ...ครับ" โชติรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเมื่อมองไปรอบๆ ตัวและเห็นว่าทุกคนออกจากโรงหนังกันหมดแล้ว ว่าไปก็มีแต่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ยังยืนเถียงกันไปมา ก็ไม่แปลกที่พนักงานจะเดินมาไล่ให้ออกจากโรงหนัง

ทั้งสองเดินออกจากโรงหนังโดยที่ไม่พูดอะไรจนกระทั่ง

"ไปทานข้าวกันไหมครับ" เสียงหล่อๆ ของคนหน้าหล่อทำเอาโชติชะงักเล็กน้อย ตั้งแต่เรียนจบมาจนกระทั่งมาทำงานเขาแทบไม่คุยหรือสุงสิงกับใครเป็นพิเศษ ไปไหนมาไหนก็ชอบไปคนเดียว จะว่าไปแล้วเขานั้นห่างเหินการพูดคุยกับผู้คนมานาน จะว่าอีกอย่างไม่ชินกับคำชวน

"ผมหิวมากเลยครับ ช่วยทานข้าวเป็นเพื่อนผมได้ไหมครับ"

เจอมุกนี้เข้าไป โชติไปไม่เป็น นี่เขาใจอ่อนอีกแล้วสิ

ผลสุดท้ายก็มาลงเอยที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง จะว่าไปแล้วเขาแทบไม่ได้นั่งทานอาหารในร้านมาหลายปีแล้วเหมือนกัน จะเพิ่มเพื่อนรู้จักอีกสักคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

"ชอบเส้นเล็กเหมือนกันเลยครับ"

เสียงของชายหน้าหล่อทำเอาโชติหลุดจากภวังค์ ทำไมอยู่กับคนคนนี้มักทำให้เขาใจหายใจคว่ำอยู่เรื่อยเลยนะ

"คะ...ครับ ผมชอบทานแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วครับ" นานแล้วที่โชติไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัวกับใคร โดยเฉพาะกับคนที่พึ่งรู้จักกันอาทิตย์เดียว

"งั้นมื้อนี้ผมขอเลี้ยงข้าวคุณนะครับ ในฐานะเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนกัน" 

"มะ...เหมือนกัน" จะว่าเหมือนก็คงใช่ รสนิยมการดูหนัง การเลือกร้านอาหาร แต่บอกว่าเหมือนกันเลยทีเดียวก็คงไม่ใช่โดยเฉพาะเรื่องรสนิยมการใส่เสื้อผ้าราคาแพง

"เรารู้จักกันได้หนึ่งอาทิตย์แต่ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลยนะครับ" โชติอยากรู้จักคนตรงหน้ามากขึ้น อย่างน้อยน่าจะถามชื่อกันบ้างก็ยังดี

"ว่าแต่ผม คุณก็ยังไม่ได้บอกชื่อกับผมเลยนะครับ" ยิ้มน้อยๆ กับท่าทางหล่อบาดใจหญิงหลายคน แต่สำหรับโชติมองว่ากำลังกวนประสาทเขา

"งั้นถือว่าเมื่อตะกี้นี้ผมไม่ได้ถามคุณแล้วกันครับ เพราะถึงยังไงเราคงเจอกันครั้งสุดท้าย" ใช่ เป็นครั้งสุดท้ายที่โชติคาดหวังว่าจะไม่ได้เจออีก

"หึ" 

โชติมองคนที่ยิ้มน้อยๆ และส่งเสียงกวนๆ เขาจึงก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว อยากเลี้ยงนักใช่ไหม ตามสบายเลยจะทานให้พุงกาง

และแล้วเวลาก็ผ่านไปกับจานว่างเปล่าเต็มโต๊ะ ไม่ว่าจะของคาวของหวานโชติจัดเต็มกะให้คนเลี้ยงจน

"อิ่มแล้วคร๊าบบ...ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะครับ" อยากรู้จริงๆ ว่าจะจ่ายไหวไหม

"กินเก่งแบบนี้จะเลี้ยงไหวไหมนะ" คำพูดสวนกับหน้าตาของคนหน้าหล่อ ที่ไม่แสดงความทุกข์ร้อนใดๆ 

"หึ จะกลับคำหรือไง"

"ระดับนี้แล้วผมไม่กลับคำพูดหรอกครับ"

ชายหนุ่มเรียกให้คนขายเก็บเงินแล้วหยิบแบงก์พันออกมา แม้ว่าโชติจะกินดุเท่าไหนแต่ราคาไม่เกินคนกระเป๋าหนักคนนี้จะจ่ายไม่ไหวแบบนี้สิสายเปย์ตัวจริง

โชติอยากจะกระโดดงับคอคนตรงหน้าให้มันหายเจ็บใจ ทำไมรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูกแต่อย่างว่าเขาคงเจอชายคนนี้เพียงวันนี้วันสุดท้าย ยังไงซะคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

"ขอบคุณครับที่เลี้ยงข้าว" ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดกับพฤติกรรมแปลกๆ ของชายตรงหน้า เขายังมีมารยาทมากพอสำหรับคนที่เลี้ยงข้าวเย็นในครั้งนี้ ประหยัดเงินไปได้อีกหลายวัน 

"ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ คุณ" 

คำพูดของคนพึ่งรู้จักทำให้โชติงุนงง เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณแต่ก็ช่างเถอะ ท้องอิ่มเป็นพอ



ห้องพักของโชติ

ตั้งแต่แยกทางจากชายคนนั้นโชติก็รู้สึกแปลกๆ เพียงอาทิตย์เดียวเจอกันแค่สองครั้งแต่ทำไมเขากลับรู้สึกไม่ปกติสุขเหมือนเมื่อก่อน คำพูดที่แสนจะแปลได้หลายความหมาย การกระทำที่ทำให้เสียวสันหลังวาบๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

"ช่างเถอะ คิดมากไปก็เท่านั้นรีบนอนดีกว่า" ใช่แล้วพรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าจะมัวมานอนคิดถึงคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อได้ยังไงกัน



เช้าวันทำงานก็มาถึงและเขาได้เข้าทำงานก่อนเวลาเริ่มงานเป็นชั่วโมง

"อ้าวๆ ลมอะไรหอบคุณทินโชติมานั่งโต๊ะทำงานตั้งแต่เช้ากันค่ะ...ไอย่ะ...เดี๋ยวนะ ทำไมขอบตาแกคล้ำอย่างนั้นล่ะ"

"นอนไม่หลับนะสิ" โชติหันมามองเพื่อนสาวตัวเล็กด้วยขอบตาที่คล้ำเป็นหมีแพนด้า

"เฮ้ยๆ แกอย่าบอกนะว่าแกโต้รุ่งดูหนังยันสว่าง แกบ้าไปแล้วแน่ๆ"

"ไม่ใช่ ฉันคิดอะไรนิดหน่อยต่างหาก" อยากร้องไห้ทำยังไงก็นอนไม่ได้เพราะคนนั้นแท้ๆ

"เย้ยย...อย่างแกที่ไม่สนใจใคร มีอะไรให้น่าคิด ลูกเมียก็ไม่มี หนี้สินก็ไม่มี แถมพ่อกับแม่แกก็ไม่ต้องไปเลี้ยงดู หรือว่า...โอ๋วไม่นะ" 

"อะไร" โชติขมวดคิ้วหงุดหงิดกับน้ำเสียงและท่าทางเกินหญิง

"หรือว่าแกติดชะนีย่ะ"

"เฮ้ย ติดชะนีอะไรของเธอกัน ฉันไปหากาแฟกินดีกว่ามานั่งคุยเรื่องไร้สาระ" โชติอยากจะบ้าตายกับความมโนของเพื่อนสาว

"ว้าว...มีการปฏิเสธด้วย จุ๊ๆ เพื่อนฉันขายออกแล้วสินะ อิอิ"

"ยังไม่หยุดอีก" กำหมัดแน่นส่งไปหาเพื่อนตัวดี ช่างล้อเลียน อย่าให้ถึงคิวเธอบ้างแล้วกัน ฮึ

ช่วงเวลาของการทำงานมันช่างยาวนานมากจนโชติรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่แย่สุดๆ กว่าจะถึงวันพุธและเป้าหมายการดูหนังก็ต้องดำเนินต่อไป ก็ทำไงได้มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาคลายเครียดมากที่สุดและลืมเรื่องต่างๆ ได้ดีที่สุดแล้ว

"เฮ้ออ...จะดูอะไรดีนะ" ทำไมวันนี้รู้สึกไม่อยากดูหนังเลย หันซ้ายหันขวามองหาคนที่ชอบจะโผล่มาตอนที่ไม่ทันตั้งตัวแต่แล้วก็ไม่โผล่มา

"บ้าจริงๆ เรานี่ ทำนิสัยเป็นผู้หญิงไปได้" ใครเขาจะโผล่มาตอนนี้กัน ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย หรือเราคาดหวังอะไร โชติส่ายหน้าไปมาเพื่อสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป แค่คนที่เราไม่เคยรู้จักจะคิดอะไรให้มันมากมาย

"ได้ตั๋วหนังกับขนมแล้ว วันนี้ดูเรื่องเดียวก็พอ" คุยกับตนเองเพราะวันนี้อยากกลับไปนอนพัก หลายวันมานี้เขาไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมถึงนอนไม่ค่อยหลับเหมือนมีบางอย่างคาใจและมันน่าหงุดหงิด

ผลสุดท้ายเขาก็เผลอหลับขณะดูหนังจนได้

"อื้อ..." ปรับสายตาให้ชินกับแสงไฟที่เปิดสว่างจ้าและเสียงผู้คนกำลังเดินออกจากโรงหนัง เพราะครั้งนี้ไม่ได้ที่นั่งที่อยากได้เลยต้องจ่ายแพงหน่อยเพราะได้แถวบนจะอยู่ในราคา 80 บาท

"ไม่รู้ว่าจะมาดูหนังทำไม มาดูก็หลับตลอดเสียดายเงินนะครับ" 

โชติค้างในท่านั่ง ไม่อยากหันไปมองว่าคนที่นั่งถัดจากเขาเป็นใคร

"ว่าไปแล้วคุณก็หัวหนักเหมือนกันนะ เอาซะผมแขนชาไปทั้งแขนเลยครับ" พูดไปก็สะบัดแขนไปยิ่งทำให้โชติไม่กล้าหันไปมอง หลอนยิ่งกว่าผีก็คนคนนี้นี่แหละ

"อ้าว...คุณเป็นใบ้แล้วหรือครับ อาทิตย์ก่อนที่เราเจอกันคุณยังพูดได้อยู่นี่น่า" 

หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องเอาหน้าเข้ามาใกล้คนกำลังช็อก

"พอได้แล้ว นายมันโรคจิต" โชติอยากร้องตะโกนดังๆ เขาเริ่มจะกลัวชายคนนี้แล้วสิ ไม่รู้จะหลอกหลอนกันไปถึงไหน

"ผมไม่ได้โรคจิตนะ ผมก็บอกคุณแล้วว่าผมชอบดูหนังเหมือนกันแต่ดันบังเอิญมาเจอคุณก็เท่านั้นเอง"

"ผมว่าคุณต้องแกล้งผมใช่ไหม อะไรจะบังเอิญขนาดเจอกันที่โรงหนังทุกอาทิตย์แบบนี้กัน นายสารภาพมาเถอะว่านายเป็นเกย์และกำลังตามผมอยู่" โชติเริ่มจะกลัวแล้วสิ ข่าวเรื่องผู้ชายชอบผู้ชายและตามติดแบบนี้ อาจจะเป็นพวกโรคจิตที่มีรสนิยมทางเพศแบบแปลกๆ ก็ได้

"คุณนี่คิดมากเหมือนกันนะครับ ผมก็แค่มาดูหนัง แล้วบังเอิญมาเจอกับคุณก็แค่นั้น จะแปลกอะไร" 

โชติคิดตาม ก็จริงอย่างที่เขาพูดใครๆ ก็มานั่งดูหนังเหมือนกันก็ไม่แปลกที่จะเจอเรื่องที่ตรงกันและนั่งใกล้ๆ กันแบบนี้ โรงหนังราคาประหยัดที่เขาชอบดูทุกอาทิตย์ก็ไม่แปลกที่คนทั่วไปจะชอบแบบเดียวกับเขา

"เออ...ก็จริงอย่างที่คุณว่า" โชติก้มหน้ารู้สึกว่าทำไมตนเองต้องหัวเสียเมื่อเจอคนคนนี้ด้วยนะ จะดีใจที่ได้เจอก็ไม่ใช่จะรู้สึกกลัวก็ไม่เชิง คิดเสียว่าเป็นเรื่องบังเอิญแล้วกันที่ได้เจอคนที่ชอบดูหนังเหมือนๆ กัน

"พวกคุณ...อีกแล้วนะครับ ทำไมยังไม่ออกจากโรงหนังกันครับ" 

ทั้งโชติและชายหนุ่มหน้าหล่อมองพนักงานคนเดิมที่ชอบมาเจอพวกเขาอยู่ด้วยกันในสถานการณ์แบบนี้ตลอด ไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี พนักงานคนนี้คงคิดว่าพวกเขาแปลกแน่นอน

"ครับ...พวกเราไปทานข้าวกันเถอะ" ชายหนุ่มหน้าหล่อจับมือโชติให้ลุกจากที่นั่งและดึงให้ตามออกจากโรงหนังให้พ้นสายตาจับผิดของพนักงานคนนั้น

"เด็กสมัยนี้ไม่ไหวจริง ๆ" พนักงานส่ายหัวไปมากับสิ่งที่คิด โลกมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ สินะ

โชติไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีกับมือที่ถูกจูง รู้สึกอายก็อาย กังวลสายตาของคนที่มองก็กังวล จะดึงมือออกก็ดึงไม่ได้ทำไมผู้ชายคนนี้แรงเยอะขนาดนี้นะ

"ผะ...ผมเจ็บ" 

"ขอโทษครับ เผลอไปหน่อย" ชายคนนั้นปล่อยมือโชติทันทีที่โชติร้อง

นี่แค่เผลอนะ ถ้าตั้งใจมือของเขาไม่หักเลยหรือไงกัน

"พวกเราจะทำอะไรต่อดีครับ" น้ำเสียงนุ่มๆ ของชายหน้าหล่อคนนั้นกับประโยคที่ให้คิดได้หลายทางทำเอาโชติอยากกลายเป็นระเบิดเวลาแล้วหายตัวไปได้เลยทีเดียว

"ทำอะไรล่ะครับ...ผมจะกลับห้องพักแล้ว" โชติหันหลังเดินหนี 

"ผมไปส่งนะ" ชายหนุ่มหน้าหล่อยังไม่ยอมหยุดรีบเดินตาม

"ไม่ต้อง!!" โชติตะโกนใส่และวิ่งหนี คนอะไรน่ากลัวกว่าพวกโรคจิตและเรื่องอะไรเขาจะต้องบอก ถ้าเขาบอกก็เท่ากับว่าเขาขุดหลุมฝังตัวเองนะสิ



ห้องนอนของโชติ

โชติล้มตัวลงนอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม วันนี้เพลียมาทั้งวันทั้งๆ ที่ควรเป็นวันหยุดที่เขาคาดหวังไว้ มาลองคิดดูแล้วตั้งแต่เจอคนคนนี้ไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่คิดมากเกี่ยวกับเขาเลยสักวัน ทำให้สงสัยไม่ว่าจะคำพูดและการกระทำ โชติไม่มีทางเชื่อแน่นอนว่าจะบังเอิญเจอกัน ถ้าตัดคำว่าโรคจิตออกไป คนคนนี้อาจจะตามจีบเราอยู่ก็เป็นไปได้

"โอ๊ยย...ยิ่งกว่าอ่านหนังสือสอบเสียอีก ปวดหัวชะมัด" ชื่อเขาก็ไม่เคยถามจะมาจีบได้ยังไง เราคงคิดมากไปเอง

เช้าวันต่อมาโชติเข้าทำงานตามปกติ และสิ่งที่เขาเห็นเมื่อลิฟต์เปิดคือชายหน้าหล่อที่เขาพึ่งเจอเมื่อวานกำลังจูงมือหญิงสาวหน้าตาสวยอยู่ซึ่งโชติมั่นใจว่าเป็นเขาแต่ทำไมเขาถึงทำเป็นไม่รู้จักเราทั้งๆ ที่พวกเราสบตากันในลิฟต์

โชติค่อยๆ ถอยหลังไปอยู่ในมุมที่ชายหนุ่มมองไม่เห็นเขา ผู้คนเดินเข้าลิฟต์มาเรื่อยๆ จนเต็ม กว่าจะถึงชั้นที่โชติทำงานเอาเขาแทบหายใจไม่เต็มปอด ทำไมรู้สึกอึดอัดจังนะ ยิ่งมองชายหญิงทั้งสองจูงมือกันออกไปยิ่งทำให้โชติรู้สึกเจ็บแปลบๆ และยิ่งมองพวกเขายิ้มให้กันอย่างสนิทสนมยิ่งทำให้โชติรู้สึกว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเสียจริง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว โชติทำงานให้หนักขึ้นเพิ่มงานล่วงเวลาให้เยอะกว่าเก่า ใจของเขาตอนนี้ไม่อยากคิดถึงชายหนุ่มแปลกที่ทำตัวประหลาดแม้แต่ชื่อยังไม่รู้จักอีกต่อไป

"อ้าวโชติ วันนี้วันพุธไม่ใช่หรือไง" เพื่อนสาวคนสนิทแปลกใจกับการมีตัวตนของเพื่อนชายในวันที่ไม่น่ามานั่งทำงานที่โต๊ะ

"อืม...ช่วงนี้หาเงินไม่อยากไปโรงหนังแล้วล่ะ มีแต่เสียตังค์"

"โอ้ววว...นี่ใช่เพื่อนฉันหรือเปล่านี่ หรือผีบ้างานมาเข้าสิงแกกัน"

"ผง...ผีบ้านแกสิ ไปนั่งที่แกได้แล้ว ฉันจะทำงานต่อ"

"เออๆๆ...ไม่กวนแล้วก็ได้ แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นหงุดหงิด เชอะ" เพื่อนสาวสะบัดผมแรงๆ เดินเชิดหน้าไปนั่งทำงานของตนเองปล่อยให้โชตินั่งก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับเอกสารกองโต

จากหนึ่งสัปดาห์ผ่านมาเป็นเดือน ตั้งแต่วันนั้นโชติก็ไม่ได้ไปโรงหนังอีกเลย เขากลายเป็นคนบ้างานไปโดยปริยาย

"โชติ วันนี้ออกไปซื้อของกัน" เพื่อนชายในแผนกชื่อเอก เขามีหน้าที่ออกไปจัดหาของตามเอกสารที่ต้องซื้อเพื่อให้เพียงพอกับการสต๊อกของใช้ในโรงพยาบาล

ทั้งวันกับการนั่งรอในรถของเพื่อน เขาไม่เคยออกมานอกสถานที่เลยสักครั้งแต่วันนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะคู่หูของเอกไม่มาจึงลากโชติออกมาด้วยกัน

สายตาของโชติเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ กำลังนั่งดื่มกาแฟกับสาวสวย เมื่อจ้องดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าชายคนนั้นก็คือชายหนุ่มหน้าหล่อที่เจอในโรงหนังนั่นเอง ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ผู้หญิงที่เขาควงมาด้วยไม่ใช่คนที่จับมือในลิฟต์นี่นา

"ฮึ...เสือผู้หญิงสินะ" ไม่เข้าใจคนรวย ชอบทำตัวแปลกประหลาดควงสาวไม่เลือกหน้า เขาพึ่งรู้ตอนนี้เองว่าชายคนนั้นมีฐานะดีขนาดไหน ร้านที่เขาเลือกมาเดทกับสาวหรือเสื้อผ้าที่เขาใส่ดูดีราคาแพงไปหมด ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจไม่น่าหลวมตัวคิดว่าเข้ามาจีบ มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่คิดผิดแต่เป็นเพราะชายคนนั้นต่างหากที่พูดจาแปลกๆ ทำให้คิดไกล

"โชติ โชติ"

"ฮะ!!" โชติสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงเรียกของเอก

"เม่ออะไรของนาย ฉันขึ้นรถมาตั้งนานยังไม่รู้สึกตัวอีก"

"เออๆ...ขอโทษที เมื่อคืนนอนน้อยไปหน่อย"

"ว่าไป ข้างหน้าเป็นร้านกาแฟ ไปซื้อให้ฉันทีของนายด้วยนะ วันนี้ฉันเลี้ยง" เอกยื่นเงินให้เพียงพอกับกาแฟ 2 แก้ว 

"ทำไมใช้ฉันล่ะ" โชติรีบปฏิเสธ เขาไม่อยากเข้าไปในร้าน ถ้าเข้าไปตอนนี้มีหวังคนนั้นเห็นเขาแน่ๆ

"ไปซื้อให้ที นายจะไม่กินก็ได้ แต่ฉันง่วงนอนมากเลย ไหนลงไปซื้อของแล้วก็ต้องเช็กของอีก ไปซื้อให้หน่อย"

"อืมๆ" โชติพยักหน้าอย่างจำนนหนทาง ก็จริงอย่างที่เอกว่ามีแต่เขานี่แหละที่ยังไม่ได้ทำอะไร รีบซื้อแล้วก็รีบไปเขาคงไม่สังเกตเห็นหรอก

โชติพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้เป็นจุดเด่นและที่สำคัญต้องไม่ให้เขาคนนั้นมองเห็น

"รับอะไรดีคะ" พนักงานสาวถาม

"เอสเพรสโซ่ร้อนสองแก้วครับ" 

ระหว่างรอ โชติทำเป็นมองไม่เห็นชายคนนั้นกับคู่เดทของเขา ในใจก็พยายามคิดอย่างเดียวว่า เขามองไม่เห็นหรอกและคงจำเราไม่ได้แน่นอน ใช่แล้ว เราไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นและอีกอย่างคนรวยอย่างเขาคงลืมคนอย่างเราไปแล้วแค่เจอกันไม่กี่ครั้ง ไม่มีอะไรน่าจดจำ

"คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ"

โชติสะดุ้งกับคนที่ไม่อยากให้เห็นตัวกลับมายืนประกบข้าง เขามองหน้าชายคนนั้นด้วยสายตาหาเรื่องเต็มที่ ถ้าคิดจะมาแบบไม่เป็นมิตรคนอย่างเขาก็ไม่ยอมให้มากลั่นแกล้งง่ายๆ นะ

"ทำไมคุณไม่ไปดูหนัง ผมรอคุณทุกอาทิตย์เลยนะ"

โชติตกใจเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้ยินจากปากคนที่ควงสาวไม่เลือกหน้า มารออะไรกันโกหกทั้งทีก็ไม่เนียนเลยสักนิด

"ขอโทษครับ พวกเราเคยรู้จักกันหรือครับ" โชติกลั้นใจตอบไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ

"ทำไม...คุณจำผมไม่ได้หรือครับ"

"กาแฟได้แล้วค่ะ" เสียงจากสวรรค์มาช่วยโชติเอาไว้ โชติรีบจ่ายเงินและรีบรับแก้วกาแฟทั้งสองแก้วแล้วหันหลังเดินหนีทันที

"เดี๋ยวก่อน" ชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นรีบคว้าแขนโชติเอาไว้อย่างรวดเร็วจนเกือบทำให้กาแฟร้อนหก

"ปล่อยผมสิครับ ผมจะรีบไป" งานนี้โชติไม่ยอมแน่ เขาไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นาน ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งเหมือนตัวตลก

"เฮ้ยย...คุณทำอะไรเพื่อนผม" เอกเข้ามาช่วยไว้ทัน เข้าไปผลักชายคนนั้นแต่พวกเขาลืมไปอย่าง มือของชายหนุ่มหน้าหล่อยังไม่ปล่อยจากแขนของโชติ คนที่โชคร้ายที่สุดคงเป็นโชติที่กาแฟร้อนหกล่นที่พื้นแถมลวกมืออีกต่างหาก

"ซี๊ดด...ร้อนๆ" โชติสะบัดมือไปมา กาแฟก็เสียดาย ร้อนก็ร้อน ทำไมวันนี้เป็นวันซวยนักนะ

"เฮ้ย...มานี่ ฉันพาไปล้าง"

"ไม่เป็นไร ฉันทำเองได้ อีกอย่างไม่ได้เจ็บมากมายขนาดนั้น นายก็เว่อไป" โชติลูบมือเบาๆ มือไม่เป็นไรหรอกแต่กาแฟนี่สิหกหมดเลย

"ยังทำเป็นเก่งอีกนะ คุณไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่ากี่ปีคุณก็ยังเหมือนเดิม" 

"คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ" โชติขมวดคิ้วมุ่น จากคนที่ไม่รู้จักทำไมถึงพูดอย่างกับรู้จักกันดีอย่างนั้น

"นายสองคนเลิกเถียงกันได้แล้ว ดูสิ มือนายแดงไปหมดแล้วนะ พนักงานให้น้ำแข็งมาเราไปห่อผ้าประคบในรถกันเถอะ" เอกร้อนรนรีบดึงโชติให้กลับ เขาไม่อยากให้เพื่อนเจ็บตัว

ชายหนุ่มหล่อคนนั้นไม่พูดอะไรต่อ เขาเพียงแค่ยืนนิ่งๆ สักพักก่อนที่จะกลับไปนั่งที่เดิม

"ทำไมคุณดูอารมณ์เสียนักล่ะ" หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นคนชวนมาทานกาแฟมีท่าทางแปลกไป แถมไปหาเรื่องชายที่เธอไม่เคยเห็นหน้าอย่างกับตามง้องอนอะไรสักอย่าง ไม่สมกับเป็นประธานบริษัทของเธอเลยสักนิด

"ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก" คำพูดกับสีหน้าดูขัดกันอย่างสิ้นเชิง

"ฮึ...คุยงานต่อแล้วกัน ท่านประธานจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว ถ้าช้ากว่านี้งานไม่เดินนะคะ คุณประธานสุดหล่อ" 

ทางด้านโชติ ก็เจอคำบ่นจากเพื่อนชายขี้บ่นจนไม่อยากนั่งในรถ เขาอยากกลับบ้านมากกว่า

"นายไปหาเรื่องใครเขาอีกฮึ ทำไมคนนั้นถึงต้องรั้งแขนนายไว้" เอกบ่นไปประคบเย็นที่มือโชติไป หลังมือของโชติพองจนแดงเป็นวงกว้าง

"นายจะซีเรียสอะไร มือของฉันไม่ได้ขาดสักหน่อยอีกเดี๋ยวก็หายแดงแล้ว แค่แสบเท่านั้นเอง ว่าไปก็เสียดายกาแฟเนอะตั้งสองแก้วแหนะ กว่าจะได้กินกาแฟร้านแพงๆ แบบนี้ เฮ้อออ..เสียดายจัง" 

"นายนี่มันขี้งกตัวพ่อเลย แค่กาแฟไม่สำคัญเท่ามือนายหรอกนะ อีกอย่างเงินฉันจ่ายไม่ต้องเดือดร้อนแทน" เอกอยากโยนเพื่อนออกจากรถ ความงกนี่ไม่ห่วงตัวเองซะเลย

"แฮะๆ" โชติได้แต่หัวเราะแห้งๆ ช่วงนี้เขางกเงินมาก เพราะอยากเริ่มเก็บเงินให้มากขึ้นเพื่ออนาคตเขาต้องไปทำงานที่อื่นหรือตกงานจะได้มีเงินคอยหนุนไว้

"นายไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อน ฉันว่าชายคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ อยู่นะ" เอกขมวดคิ้วใช้ความคิด เขาเคยเห็นหน้าที่ไหนสักที่ คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

"คนหน้าเหมือนกันมีตั้งเยอะแยะ" โชติไม่อยากคิดถึงชายแปลกหน้าคนนั้นอีกแล้ว ชื่อก็ไม่รู้จักแถมพึ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง

"อืม ก็จริง แต่ฉันก็ยังคาใจอยู่นะ"

"พอเถอะ พวกเรากลับโรงพยาบาลกัน" โชติตัดบทวินาทีนี้คงไม่อยากสนใจสิ่งไหนนอกเสียจากทำงานและทำงานจะได้ลืมๆ เรื่องวุ่นวายเหล่านี้เสียที

ขณะขับรถกลับที่ทำงานเอกได้เห็นสิ่งที่เขาคาใจมาโดยตลอดนั่นคือภาพของชายหนุ่มที่มาก่อกวนเพื่อนเขาวันนี้

"เฮ้ย...ฉันนึกออกแล้วว่าเขาเป็นใคร"

"อะไรของนาย ตะโกนซะเสียงดังอยู่ใกล้กันแค่นี้เองนะ" ขี้หูแทบออกมาเต้นระบำ ตะโกนออกมาได้น่าหงุดหงิดชะมัด

"แกดูนี่สิ เห็นอะไรไหม" เอกชี้ไปยังป้ายโฆษณาตรงข้ามโรงพยาบาล

"อะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย"

"แกนี่จริงๆ เลย ดูดีๆ เห็นอะไร"

โชติค่อยๆ จ้องและไล่หาสิ่งที่เพื่อนให้ดู จึงได้เห็นสิ่งที่เขาคาใจมานาน

"เจ้านั่น" ไม่รู้ทำไมรู้สึกเจ็บใจที่รู้จักช้าไป หรือเพราะชายคนนี้ไม่ยอมเผยความจริงกันแน่

"ฉันรู้จักเขา เขาคนนี้เป็นนักธุรกิจนามสกุลดังเชียวนะ รู้สึกว่าจะชื่อ...ใช่ๆ ชื่อคุณวสุพล ลูกคนรวยเชียวนะแก แถมเป็นหนุ่มโสดไฟแรง"

"อืม" โชติก้มหน้าครุ่นคิด ทำไมรู้สึกสับสนจนพูดอะไรไม่ออก

"ทำไมเขาถึงมาก่อกวนนายได้ล่ะ นายไปขัดตาหรือไปทำอะไรเขาหรือเปล่า"

โชติได้แต่เงียบ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชายคนนี้เลยสักนิดเดียวรวมถึงสิ่งที่เขาทำ



ผ่านไปสองเดือน

โชติไม่กล้าไปโรงหนังอีกเลย เขาใช้เวลาทั้งหมดขึ้นทำโอทีจนไม่มีเวลาไปเที่ยวหรือนั่งพักผ่อนในโรงหนังอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป จบสิ้นการดูหนังราคาถูก

"นี่โชติ ฉันว่าแกโหมงานหนักจนน่าเป็นห่วงแล้วนะ พักบ้างเถอะ ไปนอนดูหนังห้องฉันม่ะ" เพื่อนสาวเสียงใสถาม

"ไม่เอา ฉันกลัวแกปล้ำฉัน อีกอย่างไปห้องแกกับนอนเล่นดูวิดีโอที่ห้องฉัน ฉันเลือกห้องตัวเองดีกว่า"

"เชอะ ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ อย่างแกไม่ใช่สเปกฉันหรอก อย่างฉันต้องคนนั้น"

โชติแปลกใจที่จู่ๆ เพื่อนก็เปลี่ยนท่าทางบิดตัวไปมาอย่างกับเขินบางอย่าง

"สวัสดีครับ" คำพูดที่ลอยมาและเจ้าของเสียงก็มาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าโชติ เล่นทำโชติแถมตกเก้าอี้

"นายเข้ามาได้ไง"

"ก็ขออนุญาตพวกเธอเข้ามาสิครับ" ชายหนุ่มชี้ไปทางด้านหลังประตูที่มีสาวๆ แอบมองจากมุมหนึ่งด้วยท่าทางเขินอาย

"มาหาใครหรือคะ" จู่ๆ เพื่อนสาวตัวดีก็พูดแทรกขึ้น 

"ผมมาหาโชตินะครับ"

"เอ๊ะ คุณรู้จักกับเพื่อนฉันหรือคะ" เธอจำได้ว่าโชติไม่มีทางมีเพื่อนหน้าตาแบบนี้แน่นอน

"โชติไปทานข้าวกับผม" ชายหนุ่มไม่สนใจเสียงหญิงสาว เขารีบฉุดโชติให้ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อตามเขาออกมาข้างนอก

โชติถูกวสุพลพามายังที่ปลอดคนจนทนไม่ไหวต้องรั้งตัวเองไม่ให้ถูกลากไปไกลกว่านี้ เขาอายสายตาเพื่อนร่วมงานที่มองอย่างกับเขาทำอะไรไม่ดี

"พอได้แล้วคุณ คุณจะลากผมไปไหนมาไหนแบบนี้ไม่ได้นะครับ ปล่อยสิ" โชติอึดอัดจนจะบ้าตายอยู่แล้ว เป็นผู้ชายที่เอาแต่ใจตนเองชะมัด

"ผมจะไม่ปล่อยคุณจนกว่าคุณจะขึ้นรถไปกับผม"

"ปล่อยก่อน ถ้าปล่อยจะตามไปด้วย" โชติจนมุมทุกหนทางจะหนีก็คงตามกลับมาได้ จะฮึดสู้ทำร้ายคนตรงหน้าเพื่อเอาตัวรอดก็กลัวจะโต้กลับ ถ้าชายคนนี้โต้กลับขึ้นมาเขาคงแบนติดพื้นคอนกรีตไม่ได้กลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่แน่นอน

"สัญญาก่อนว่าจะไม่หลบหน้าผมอีก"

"ครับ" พยักหน้าเบาๆ อย่างคนยอมจำนนทุกหนทาง

วสุพลพาโชติมานั่งในรถของเขา ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันได้แต่นั่งเงียบๆ

"คุณวสุพลครับ"

"ครับ"

"ผมอยากกลับไปทำงานแล้วครับ อีกไม่กี่นาทีก็จะถีงเวลาเข้างานแล้วครับ" โชติพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งมาก นิ่งจนคนฟังต้องขมวดคิ้ว

"เดี๋ยวผมลางานครึ่งวันให้คุณเอง ไม่ต้องห่วง ผมรู้จักกับเจ้าของโรงพยาบาลเป็นอย่างดีผมขอ..."

"พอได้แล้ว!" ความอดทนของโชติสิ้นสุดลง เขาไม่เคยคิดจะหงุดหงิดใครเช่นนี้มาก่อนเลยสักนิด ชายคนนี้มีอิทธิพลต่อเขาเสียจริง

"ทำไมคุณต้องหงุดหงิดผมด้วย"

"คุณคิดดีๆ ผมกับคุณเราไม่เคยรู้จักกันเจอกันไม่กี่ครั้งแต่คุณกลับทำอย่างกับผมต้องคอยทำตามคำสั่งคุณทุกครั้ง ผมไม่ใช่ลูกน้องคุณนะ ที่จะลากไปไหนมาไหนด้วยได้ ฮึ" หมดกันความดีที่สะสมมา มาระเบิดใส่คนที่พึ่งเคยเห็นหน้าแถมมีอิทธิพลอีกด้วย นี่เขาจะโดนเก็บทีหลังไหมนะ

"คุณพูดอะไรของคุณ เราสองคนเคยเจอกันแล้วเพียงแต่คุณจำผมไม่ได้เท่านั้นเอง"

"ไม่จริง ผมไม่เคยรู้จักคนแบบคุณนะ" โชติค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่ชายคนนี้พูด จะเป็นไปได้ไงที่จะรู้จักคนรวยขนาดกระดิกนิ้วหนึ่งครั้งก็แปลงของตรงหน้าให้เป็นไปตามที่ต้องการได้

"จริงครับ ผมนะจำคุณได้แต่คุณจำผมไม่ได้เองมากกว่าแล้วอีกอย่างไม่ต้องเรียกผมซะเต็มยศขนาดนั้น ่เรียกผมว่าพี่หมีสิครับ ถึงจะน่าฟังขึ้นมาหน่อย"

"พะ..พี่หมี" ตกใจสุดๆ ก็ตรงชื่อเล่นนี่แหละทำไมชื่อเล่นถึงไม่เข้ากับตัวเลยล่ะ



เมื่อ 2 ปีก่อน

"ผมได้เตรียมพยาบาลส่วนตัวให้คุณชายแล้วครับ ส่วนเรื่องการปิดบังฐานะผมได้แจ้งกับทางโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ขอให้คุณชายพักรักษาตัวสักสามเดือนแล้วค่อยกลับบ้านนะครับ"

"อืม ไปได้" วสุพลโบกมือให้คนสนิทของพ่อตนกลับออกไป ตัวเขาอยากพักผ่อนมากกว่ามาฟังเรื่องคำสั่งที่ต้องมาพักที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ถ้าไม่ใช่อุบัติเหตุที่หาสาเหตุไม่เจอ เขาคงไม่ต้องมานอนให้น้ำเกลือที่นี่แน่ เพียงแค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องก็คงไม่ละเว้น

วสุพลถูกพยาบาลเข็นไปสูดอากาศที่สวนหย่อมในโรงพยาบาลและเขาได้ให้พยาบาลกลับไปก่อนเพราะอยากนั่งเงียบๆ เพียงคนเดียว ถ้าอยากกลับไปเมื่อไหร่จะโทรตามเอง ถึงแม้จะผิดกฎในการทิ้งคนไข้แต่ถ้าวสุพลสั่ง เธอก็ต้องยอมทำตามไม่เช่นนั้นอาจโดนตำหนิได้

"ไปเถอะ ผมดูแลตัวเองได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมรับผิดชอบเอง" วสุพลบอกกับพยาบาลที่ดูแลและโบกมือให้เธอออกไป ซึ่งเธอก็ยอมทำตามคำสั่งจึงทำให้วสุพลรู้สึกดีขึ้นกับการได้อยู่คนเดียว

เขามองไปรอบๆ สูดอากาศที่บริสุทธิ์สายตาของเขาได้เหลือบมองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางจะเป็นเพียงพนักงานทดลองงานกำลังหอบเอกสารและของเต็มมือไปหมด แถมยังมีแต่คนใช้ให้ทำนั่นทำนี่ ถึงจะเป็นอย่างนั้นพนักงานคนนี้ก็ไม่บ่นหรือแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเลย ช่างเป็นคนมีความอดทนสูงเสียจริง 

วันต่อมาวสุพลได้ให้พยาบาลพาเขามาอยู่ที่เดิมเพื่อหาชายหนุ่มคนนั้น เหมือนกับว่าช่วงเวลาที่น่าเบื่อในการรักษาตนเองจะดีขึ้นเมื่อได้มองกิจวัตรประจำวันของชายคนนี้ 

เวลาผ่านไปสองเดือนกับการสังเกตคนของวสุพล เขาได้ฝึกเดินด้วยไม้เท้าจึงสามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป จึงได้เจอเข้ากับเด็กผู้หญิงถือตุ๊กตาหมีมายืนขวางเขา

"พี่ชาย ทำไมไม่ตัดผมค่ะ" เด็กน้อยได้ถามขึ้น เมื่อเห็นชายตรงหน้าผมยาวรกรุงรัง

"พี่ไม่อยากตัดครับ" วสุพลยิ้มน้อยๆ ตอบกลับ แต่เขาไม่รู้ตัวว่าน้ำเสียงและท่าทางของเขานั้นน่ากลัวเพียงใด ถึงขนาดที่เด็กร้องไห้วิ่งหนีไปทันที

"แง้...แม่จ๋า" เด็กน้องทิ้งตุ๊กตาหมีไว้แล้ววิ่งไปหาแม่ของเธอ วสุพลจึงเก็บตุ๊กตาหมีที่ตกพื้นขึ้นมาเพื่อคืนให้เด็กน้อยคนนั้นแต่กว่าจะเก็บกว่าจะเงยหน้ามองหาเด็กคนนั้น เธอก็หายตัวไปไหนเสียแล้ว

"เราน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือไง"

"คุณครับ หลงทางหรือครับ" เสียงใสๆ ไร้พิษภัยถามจากด้านหลังทำให้วสุพลหันไปมอง

"เออ..คือ" จู่ๆ ทำไมถึงติดอ่างได้ ไม่เข้าใจตนเองเลยสักนิดเดียว

"อืม ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมพากลับไปหาคุณพยาบาลนะครับ" 

วสุพลพยายามใช้ไม้เพื่อเดินและถือตุ๊กตาหมีไปด้วยจึงทำให้คนที่จะช่วยต้องมาโอบเอวเขาและหยิบตุ๊กตาหมีไปถือไว้

"ผมถือให้นะ...ยินดีที่รู้จักนะคุณพี่หมี" 

วสุพลอึ้งเล็กน้อยกับคำพูดของชายคนนี้ ทำไมเขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนสติไม่ดีที่ต้องมีคนดูแลแต่ถ้าไม่พูดอะไรต่อไปก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้จักชายหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ก็ตลอดเวลาสองเดือนมานี้เขาเอาแต่มองพอได้สัมผัสกับตัวจริงทำไมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

"นี่เธอ จะพาคนไข้ไปไหน ไม่รู้หรือไงเขาไม่ให้พาคนไข้ออกมาเดินข้างนอก" เสียงหัวหน้าพยาบาลเอ็ดทันทีที่เห็น

"ผมขอโทษครับ" ชายหนุ่มคนนั้นกลับไม่เถียงกลับทำให้วสุพลแปลกใจ ทำไมต้องรับผิดด้วยทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย

"เธอชื่ออะไร อยู่แผนกจัดซื้องั้นหรือ ไม่ใช่บุรุษพยาบาลทำไมพาคนไข้ออกมาข้างนอก ฉันจะรายงานเรื่องนี้...ชื่อ ทินโชติ สินะ" หัวหน้าพยาบาลดูป้ายชื่อและดุจนโชติได้แต่ก้มหน้า

"กลับแผนกเธอไปเถอะ เดี๋ยวฉันดูแลคนไข้เอง" พยาบาลอีกคนเข้ามาช่วย

โชติจึงยื่นตุ๊กตาหมีคืนให้กับวสุพล

"ผมไปก่อนนะครับ" รอยยิ้มใสซื่อที่ไม่รู้สึกเศร้ากับการโดนตำหนิทำอย่างกับเป็นเรื่องปกติ ยิ่งทำให้วสุพลสนใจมากขึ้น

หลังจากโชติเดินกลับไปแล้วนั้น วสุพลจึงหันไปคุยกับพยาบาลที่คอยเป็นห่วงเขาทันที

"ผมเดินมาเองและกลับเองได้ครับ ไม่ต้องไปดุหรือรายงานเขานะครับเพราะเขาหวังดีกับผมและผมไม่ใช่คนไข้ธรรมดา ผมมาจากห้อง VIP" เพียงแค่บอกชื่อห้องก็คงเข้าใจถึงระดับของเขา

"และตุ๊กตาหมีอันนี้ผมขอเลยแล้วกันนะ" ในเมื่อหาเด็กคนนั้นไม่เจอก็ขอเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย อย่างน้อยโชติก็ทักทายเขาผ่านเจ้าหมีตัวนี้



กลับมาที่โชติและพี่หมีของโชติ

"เออ..." โชติแถบไปไม่ถูกเมื่อรับรู้เรื่องเมื่อสองปีก่อน

"พูดไม่ออกเลยหรือครับ ถามจริงๆ เถอะว่าผมดูออกอยากขนาดนั้นเลยหรือไง" วสุพลเอียงคอถาม ตลอดเวลาสองปีมานี้เขาพยายามค้นประวัติตามสืบกิจวัตรประจำวันในแต่ละวัน คบกับใคร ชอบกินอะไร ไปที่ไหน วันหยุดวันไหนและอยู่ที่ไหนนานที่สุด ที่สำคัญชอบทำอะไรมากที่สุด

"ก็ ตอนนั้นผมคิดว่าคุณสติไม่ดีนะ แล้วคุณก็ไม่ได้หน้าตาหล่อขนาดนี้ด้วยนะ" ใครจำได้ก็บ้าแล้ว ตอนนั้นเขาคิดจริงๆ ว่าชายคนนี้คงเป็นหนุ่มน้อยที่มีปัญหาทางสมองก็เล่นถือตุ๊กตาหมีไว้และยืนทำหน้าเอ๋อๆ ผมยาวปรกหน้าจนไม่เห็นเค้าโครงความหล่อเลยสักนิด

"เอ๊ะ...คุณชอบผมขึ้นมาแล้วสินะ"

"ชอบบ้าอะไร" โชติหน้าแดง

"ก็ชมผมว่าหล่อไง"

"ปัญญาอ่อนนะสิ"

"พูดอีกทีจะจูบนะ"

วสุพลไม่รอช้าเขาไม่อยากให้เวลาเพียงน้อยนิดผ่านเลยไป วันนี้คงไม่ให้กลับไปทำงานต่อแล้วล่ะ



HM06
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2563, 18:56:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2563, 18:56:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 436





<< เหตุเกิดเพราะฉันขึ้นรถผิด (Yaoi)   เกลียดเสียงดังแต่ไม่คิดเกลียดนาย (Yaoi) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account