จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๖

********* แวะคุยกันก่อน *********
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นนะคะ
ตอนนี้คนเขียนปวดหลังมากคะ สภาพก็ไม่ค่อยจะดี
และพบจุดผิดพลาดในนิยายตัวเองเพียบเลย ฮา

ช่วงนี้อากาศร้อนมากนะคะ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนระวังไม่สบาย
ไปแล้วนะคะ
***************

บทที่ ๑๖

พิธีการตั้งศพบำเพ็ญกุศลของอรพิณในช่วงสามคืนแรก แม้ผู้เป็นลูกจะยึดการจัดงานแบบสงบไม่บอกใครให้ทราบมาก แต่ตลอดสามวันมานี้ในศาลาวัดกลับแน่นขนัดด้วยผู้คนที่นอกจากญาติสนิทมิตรสหายที่รู้จักเป็นการส่วนตัวจะมาแล้ว ยังมีตัวแทนจากสมาคมสงเคราะห์เด็กกำพร้าและผู้สูงอายุหลายแห่งในประเทศเดินทางมาร่วมงานด้วย และจากการได้สนทนากันครั้งนี้เองทำให้เขารู้ว่าแม่ได้ทำกุศลกับคนอื่นมากมายเพียงใด

หลังเสร็จงานสวดอภิธรรมศพทุกคนในบ้านวิสุทธิ์สุนทรก็กลับสู่คฤหาสน์ด้วยสภาพหมดแรงจากการต้อนรับแขกกลับเข้าห้องพักเช่นเดียวกับภาควัฒน์ที่เดินขึ้นบันไดหายเข้าห้องนอนไป คงมีแต่ศศิวิมลที่ยืนคอยใครสักคนอยู่หน้าประตูรั้ว สักครู่ศิระก็ปรากฏตัวถือกระถางดอกมะลิขาวสองกระถางเล็กมาส่งให้

“ ขอบคุณค่ะ ” คนเป็นน้องเอ่ยพลางแย้มริมฝีปากยิ้มให้อย่างอ่อนล้า

“ ไม่เป็นหรอกจ๊ะ...มากกว่านี้พี่ก็ทำให้มาแล้ว ” เขาว่าปัดไม้ปัดมือกับขากางเกงแล้วยกขึ้นลูบผมน้องแผ่วเบา “ เล็กเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว รีบสวดมนต์ให้ป้าพิณ แล้วอาบน้ำนอนเถอะ เดี๋ยวจะรับแขกในงานศพไม่ไหว ”

น้องพยักหน้าให้กับความหวังดีของพี่ชายอุ้มกระถางมะลิเดินกลับเข้าบ้านปล่อยให้ชายหนุ่มโบกมือยืนส่งจากร่างนั้นลับหายจากสายตา ใบหน้าอ่อนโยนก็แปรเป็นความเครียดเคร่งราวกับคนมีเรื่องคิดหนักในใจ จากนั้นก็หันหลังกลับ

หญิงสาวนำกระถางดอกมะลิวางซ้อนบนจานรองมาตั้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาแทนแจกันทองเหลือง จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยแล้วทรุดลงนั่งพับเพียบพร้อมพนมมือสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับผู้เป็นที่รักทั้งหมดรวมทั้งแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่นานร่วมชั่วโมง ก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์ ดับเปลวไฟจากลำเทียนและปิดไฟห้องพระเป็นอันดับสุดท้ายก็เดินย้อนกลับไปยังห้องส่วนตัว

หล่อนแง้มบานประตูทีละน้อยด้วยกลัวว่าจะรบกวนการนอนหลับของเจ้าของห้อง ภายในดับไฟมืดมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟข้างเตียงส่องให้พอมองเห็นร่างสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างทอดสายตามองไปไกลแสนไกลยังดวงดาวที่สุกสกาวบนฟ้ายามรัตติกาล

“ พี่ภาคยังไม่นอนหรือคะ ” หล่อนร้องถามขณะใช้หลังดันบานประตูให้ปิดลง

เจ้าของห้องมิได้ตอบเพราะตกอยู่ในภวังค์ความคิด ศศิวิมลจึงอาศัยแสงรำไรคลำทางไปจนถึงตู้เสื้อผ้าแล้วหายไปในห้องน้ำและกลับออกมาอีกครั้งก็ยังเห็นเขาหยุดอยู่ที่เดิม

ในเวลานั้นทั้งห้องเงียบงันเสียยิ่งกว่าที่เคยเป็น หญิงสาวแลใบหน้าเรียบเฉยคล้ายไม่รู้สึกรู้สา เพราะไม่ปรารถนาให้ใครล่วงรู้ถึงความอ่อนไหวในใจจึงยอมจำนนตกอยู่ในภาวะความเศร้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนน่าอึดอัด ไม่เว้นกระทั่งคนร่วมห้องที่หลายวันมานี้ได้แต่เฝ้ามองเขาโดยไม่รู้จะทำอย่างไร ก่อนจะตัดสินใจใช้สิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุดมาช่วยปลอบใจ

ช่วงจังหวะที่หางตาของคนตัวใหญ่เหลือบเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวให้ความมืดก็ผินหน้ากลับมาก็มองเห็นภรรยากำมะลอของตนเองยืนอยู่ท่ามกลางแสงสลัวถือเครื่องดนตรีไทยประจำตัวมาด้วยก็นิ่วหน้า

“ จะทำอะไร ” เขาถามห้วนแววน้ำเสียงกระด้างหนัก

“ เล็กคิดว่า พี่ภาคน่าจะหลับได้ถ้าเล็ก... ” พูดไม่ทันจบก็สะดุ้งโหย่งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งกระแทกผนังอย่างแรงและเมื่อเพ่งพินิจฝ่าความมืดดูก็เห็นหมัดของคนตรงหน้าชกเข้ากับผนังห้องจนขอบหน้าต่างมุมหนึ่งกะเทาะออกเป็นแผ่นร่วงสู่พื้น

ศศิวิมลเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ต้องรอให้เขาชี้นิ้วออกคำสั่งก็ลุกหนีเข้าไปในห้องแต่งตัวเก็บซอเข้าที่แล้วเดินนั่งบนเก้าอี้แล้วแนบแก้มนวลลงบนโต๊ะหันหน้ามองตุ๊กตาที่ถักยังไม่เสร็จพาลคิดถึงคืนวันเก่าก่อน เวลาที่เขามีเรื่องสบายใจ เขามักขอให้หล่อนสีซอให้ฟังคลายทุกข์อยู่เสมอ มาบัดนี้ยามที่เขาจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย การสีซอของหล่อนจึงกลายเป็นการตอกย้ำให้เขาระลึกถึงผู้ให้กำเนิด

มือเรียวขาวยกขึ้นมาวางตรงหน้าพร้อมกำแน่นนึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยทำประโยชน์อะไรได้แต่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจไม่เว้นยามเศร้า อยากจะปลอบใจเขาก็ยังทำไม่ได้

“ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้นะ ศศิวิมล ” หล่อนถามตัวเองเสียงเศร้าพลางทำตาปรอย

คนตัวใหญ่เองพอรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวใส่ก็สำนึกได้ว่า การกระทำของอีกฝ่ายนั้นล้วนมาจากความปรารถนาดีที่อยากบรรเทาเบาบางความหม่นหมองจึงผละจากหน้าต่าง กดสวิตซ์ไฟให้ทั้งห้องมืดพลันสว่างก่อนจะก้าวเท้าไปหยุดยืนกอดอกพิงแขนตรงตู้เสื้อผ้าไม่ห่างจากคนตัวเล็กที่นอนตะแคงศีรษะมองอีกฝ่ายที่เข้ามาหาอยู่บนโต๊ะ

“ ขอโทษ ” สุ้มเสียงที่เอ่ยคำนั้นช่างเฉยชาผิดกับในดวงตาที่ฉายชัดมาให้รู้ว่าเสียใจ

หญิงสาวตั้งศีรษะกลับมาแล้วส่ายหน้าเบาเป็นเชิงให้ทราบว่า ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเขาเลยแม้แต่น้อย

“ พี่ภาคไม่ผิดหรอกคะ เล็กรู้ว่าพี่ภาคยังอยากอยู่เงียบๆ แต่เล็กก็ยังไปกวนพี่ภาคอีกจนได้ ” ว่าพลางยิ้มเจื่อน ยังนึกตำหนิตัวเองอยู่เนืองๆ

ภาควัฒน์สูดลมหายใจแต่ไม่ได้ปริปากเอ่ยคำใดเลย เพียงแต่ทรุดลงไปนั่งเหยียดขาพิงตู้อยู่บนพื้นพลางตบพื้นเรียกให้คนบนเก้าอี้ลงมานั่งด้วยกันข้างล่างเป็นเพื่อนกัน

ตอนแรกเจ้าของเก้าอี้ก็ไม่กล้าลุกไปหาแต่พอได้ยินเสียงเขาดุสำทับจึงยอมสละเก้าอี้ลงไปนั่งพับเพียบตามความต้องการเจ้าของห้อง และทันใดนั้นเขาก็เอนศีรษะลงมาบนไหล่นุ่มรับเอาความอบอุ่นจที่เขาเคยได้รับเสมอไม่ว่าเมื่อครั้งเป็นเด็กหญิงหรือทุกวันนี้

“ พี่ภาคเป็นอะไรคะ ” หญิงสาวร้องถามอย่างตื่นตระหนก เกรงเขาจะเป็นอะไรตามอรพิณไป

“ แค่เหนื่อย ” เขาตอบเท่านั้นก็เงียบเสียงไปปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งนิ่งอยู่นานก่อนที่ศีรษะเขาจะไถลลงมานอนหนุนตัก ส่งเสียงกรนเบาในลำคอให้รู้ว่าหลับ

เจ้าของตักทอดมองเสี้ยวหน้าด้านข้างสังเกตร่องริ้วบนหน้าผาก ความระทมหมองหม่นของเขาถ่ายทอดผ่านความอิดโรยจากรอยคล้ำใต้ตา ในยามที่เขานิทราสนิทก็มิต่างอะไรกับเด็กหนุ่มคนเก่า คนที่เคยอยู่เคียงข้างหล่อนเสมอไม่ว่าจะเจอกับความเงียบเหงามากเพียงใด

ศศิวิมลยกปลายนิ้วไล้สัมผัสทุกส่วนบนใบหน้าเขาแผ่วเบา ดวงตาหวานอมโศกเต็มไปด้วยความรักและห่วงใยที่มีให้ชายหนุ่มอยู่เสมอ ไม่ว่าในวันนี้เขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดก็ตาม

“ เล็กนี้ไม่มีประโยชน์เลยนะคะ ” หล่อนรำพึงผะแผ่วเสียยิ่งกว่าเสียกระซิบพลางลูบผมสั้นของเขาก่อนจะสะดุ้งรีบชักมือกลับเมื่อเห็นเขาพลิกหน้านอนหงายมองหน้ากันอยู่

ไม่รู้จะหาคำใดมาแก้ตัวที่ถือวิสาสะแตะเนื้อต้องตัวเขาได้แต่เม้มริมฝีปากเบือนสายตาหนีไปทางอื่น แต่อีกฝ่ายกลับไม่เอื้อนเอ่ยอะไรเพียงแต่ใช้ศอกดันตัวเองขึ้นจากพื้นช้าๆ ริมฝีปากหยักบางขยับใกล้เข้ามาจนแทบจะแนบกัน

หญิงสาวกลั้นลมหายใจ เปิดตาโตเสียยิ่งกว่าไข่ห่านขยับถอยไปจนชิดตู้นึกกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

“ ไปนอนเถอะ ” เขาพูดเท่านั้นก็ผละไปจากตัก ปล่อยให้คนที่นั่งตัวเกร็งยกมือทาบอกถอนหายใจแล้วจึงลุกตามหลังเขาไป เมื่อเห็นเขาหลับก็ปิดสวิตซ์ไฟล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่รู้ว่า ผู้เป็นสวามียังนอนลืมตาโพล่งกลางความมืด สักพักแสงสลัวที่ดับไปก็สว่างขึ้นมาอีก

ภาควัฒน์พลิกตัวกลับขยับลุกขึ้นนั่งทอดสายตายังหญิงสาวที่นอนหงายหลับสนิทพลางนิ้วปัดเส้นผมที่ตกลงมาปรกให้พ้นแก้มนวลที่เคยได้ลูบแทนคำอำลา แล้วก้มหน้าลงจรดริมฝีปากตนไว้บนหน้าผากด้วยแววตาที่ปนเปกันระหว่างความสุขกับความเศร้า

ความทรงจำในอดีตผุดพรายให้คิดถึงเด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่ว่าเขาจะบอบช้ำมาจากที่ไหนก็ตาม ขอเพียงมาหาจะมีมือเล็กๆยื่นมาเป็นหลักให้พักพิงที่ไม่ว่าจะปฏิเสธหัวใจตัวเองสักกี่ครั้ง เด็กหญิงที่เติบโตเป็นสาวในวันนี้ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากความคิดคำนึง

ตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยนึกลังเลใจในการกระทำของตนเองที่เลือกสละทุกสิ่งอันในอดีตและเขาเคยพอใจกับชีวิตโดดเดี่ยวที่มีปู่เท่านั้นที่เข้าใจ แต่การกลับมาครั้งนี้ทำให้เขาเรียนรู้ว่า บางครั้งสิ่งที่มองไม่เห็นหรือไม่รู้สึกสึกไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีหรือไม่เกิดขึ้น

เจ้าของห้องถอนหายใจเพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาคิดสงสัยในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน...ระหว่างผู้มีพระคุณกับคนที่เป็นยิ่งกว่าหัวใจที่ทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้

“ พี่ไม่ใช่คนดีอย่างที่เล็กคิดหรอกนะ ” เขากระซิบถ้อยคำนั้นข้างหู ล้มกายลงนอนข้างร่างบอบบาง สอดแขนเข้าไปรั้งให้เข้ามาใกล้ ฝังหน้าลงไปในเรือนผมหอมแล้วลืมตานอนไปอย่างนั้นในที่สุด
***********************************
ศิระยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานในห้องนอนของตนเอง จ้องมองซองเอกสารสีเหลืองที่ภายในมีผลการตรวจสอบประวัติผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงแรมนิปปอน รอยัล โดยความช่วยเหลือจากเพื่อนในสมัยไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ปัจจุบันทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมตำรวจนครบาลโตเกียวฝ่ายสืบสวน แผนกคดีอาญา

เพราะคำเตือนจากแม่สาวกลางคืนจอมสอดรู้คนนั้นเชียวที่ทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นหัวหมุนนอกจากต้องทำงานหลักและช่วยงานศพอรพิณแล้วยังต้องเจียดเวลามานั่งตรวจสอบเบื้องหลังของคู่หมั้นตัวเองแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แม้จะยังไม่ทราบผลว่าดีร้ายอย่างไร ศิระก็คิดว่าไม่รู้สึกเครียดไปกว่าตอนที่เริ่มตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มผู้ถือหุ้นแล้วพบว่าตอนนี้กลุ่มสถาบันการลงทุนในตะวันออกกลางที่ถือครองหุ้นอยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์กำลังพยายามอย่างหนักในการกว้านซื้อหุ้นของอังคพิมานโฮเต็ลจนบัดนี้มีหุ้นถือครองกว่า สี่สิบสี่เปอร์เซ็นต์

นั่นก็เท่ากับว่าหากฝ่ายนั้นได้หุ้นเพิ่มอีกเพียงห้าเปอร์เซ็นต์อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดเกี่ยวกับอังคพิมาน โฮเต็ลย่อมต้องตกไปอยู่มือของบุคคลภายนอกซึ่งในฐานะทายาทคนหนึ่งของอังคพิมาน เขาจะไม่มีวันยอมปล่อยธุรกิจของครอบครัวหลุดจาการดูแลของคนที่นี่โดยเด็ดขาด ซึ่งหุ้นจำนวนซึ่งหุ้นจำนวนแปดเปอร์เซ็นต์สุดท้ายเคยเป็นของภาคพันธ์ แต่ตอนนี้มันคงจะตกทอดถึงภาควัฒน์

ยังดีที่หุ้นนี้ไม่มีการซื้อขาย ซึ่งเขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าแม้ว่าจะมีผู้ติดต่อขอซื้อหุ้นจำนวนนั้นก็พอเชื่อได้ว่าทายาทวิสุทธิ์สุนทรจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างตระกูลคงไม่คิดขาย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดว่าควรซื้อมันกลับคืนมาเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่สูญเสียธุรกิจนี้ให้แก่ใครไป

ส่วนเรื่องของวิกานดานั้นเขาก็คิดจะหาโอกาสคุยกับแม่ผมม้าหลายครั้งว่าไปรู้ไปเห็นอะไร แต่เพราะวุ่นวายกับการดูแลแขกและจัดเตรียมของกันทั้งคู่ แถมยังไม่มีเบอร์โทรศัพท์ติดต่อทำให้สุดท้ายก็ไม่ได้พูดกันให้รู้เรื่องเสียที

ชายหนุ่มลากเก้าอี้ที่สอดใต้โต๊ะมาทรุดลงนั่งช้าๆ หยิบซองเอกสารที่ปิดผนึกแน่นหนาตัดออกด้วยกรรไกรแล้วดึงเอกสารปึกใหญ่ทั้งหมดออกมาอ่านอย่างละเอียด

ตลอดเวลาที่จดจ่ออยู่กับข้อมูลที่เพื่อนส่งมาให้นั้น หน้าผากของเขากลับย่นยับเพิ่มขึ้นทุกขณะเช่นเดียวกับคิ้วเรียวเข้มที่ขมวดเข้าหากันใช้เวลาหลายชั่วโมงหมดไปกับการอ่านผลตรวจสอบนั้นก่อนจะกระแทกมันลงบนโต๊ะ

จากข้อมูลของโรงแรมนิปปอนรอยัลที่ได้รับมานั้นครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของนักธุรกิจชาวมาเลเซียก่อนที่โยชิโกะ ทานากะจะเข้ามาเทคโอเวอร์ไป โดยประวัติของผู้หญิงคนนี้ที่ได้รับมาค่อนข้างคลุมเครือและน่าสงสัย บอกได้เพียงว่าหล่อนเป็นแม่ม่ายอายุสี่สิบห้า ร่ำรวยขึ้นมาจากมรดกของสามีเศรษฐีทั้งห้าที่เสียชีวิตลงอย่างมีปริศนา นอกจากนั้นยังมีหลักฐานที่น่าเชื่อได้ว่า ผู้หญิงคนนี้มีความสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโตในญี่ปุ่นและใช้โรงแรมแห่งนี้เป็นสถานที่ฟอกเงินจากการทำธุรกิจผิดกฎหมายแต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเพียงพอจึงทำให้ตอนนี้ทางตำรวจไม่อาจส่งสำนวนฟ้องได้

เพื่อนเขาเขียนทิ้งท้ายเป็นลายมือด้วยภาษาอังกฤษแจ้งเตือนให้ระวังไว้ เพราะจากการเฝ้าจับตาดูตอนนี้โยชิโกะ ทานากะคิดจะย้ายฐานการฟอกเงินจากญี่ปุ่นมาในประเทศไทยเพราะมีกฎหมายที่หละหลวมกว่า และผู้หญิงที่ชื่อวิกานดาอาจเป็นตัวละครที่ถูกอุปโลกน์มาเพื่อแทรกซึมล้วงลึกข้อมูลภายในองค์กรหาหนทางแบล็กเมล์และใช้เงินมหาศาลทุ่มซื้อไม่อั้นเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ อันเป็นวิธีเดียวกันกับที่เพื่อนเขาเชื่อว่า โยชิโกะใช้ในการครอบครองธุรกิจ ซึ่งตอนนี้อังคพิมานโฮเต็ลอาจกำลังตกเป็นเป้าหมายอยู่ก็เป็นได้

ศิระกุมขมับเส้นเลือดปูดโปนเครียดหนักพร้อมขบกรามแน่น...เขาไม่เคยเฉลียวใจมาก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเพราะแม่ใหญ่เป็นคนเลือกสรรหล่อนมา และทุกครั้งแม่ใหญ่จะมองหาแต่ผู้หญิงเก่งที่มีฐานะทัดเทียมกันมาให้เขาพิจารณา

ความที่ไม่สนใจเสียแต่แรกทำให้ไม่เคยคิดถามว่ามลธิการู้จักวิกานดาได้อย่างไร รวมทั้งไม่รู้อีกด้วยว่าวิกานดาเข้าถึงข้อมูลของอังคพิมานไปแล้วมากน้อยเพียงใดเนื่องจากแม่ใหญ่มีอะไรก็มักเล่าให้เจ้าหล่อนฟัง

ชายหนุ่มลุกพรวดพราดหยิบเอกสารติดมาไม่ว่าอย่างไรวันนี้คงต้องได้คุยกันจึงเดินไปเคาะประตูเรียกผู้เป็นป้าที่หน้าห้องแต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดตอบกลับ เลยเดินไปที่ห้องทำงานเคาะประตูเรียกอีกรอบก็ไม่มีใครตอบรับเลยตัดสินใจบิดประตูเข้าไป

สภาพภายในห้องนั้นกระจัดกระจายไปด้วยกองเอกสารเกลื่อนพื้น มลธิกาเท้าสะเอวก้มๆเงยๆอยู่ระหว่างข้าวของเหล่านั้นด้วยสีหน้ากระวนกระวายพร่ำเอ่ยแต่คำว่า ทำยังไงดีอยู่ตลอดเวลา และเมื่อได้ยินเสียงหลานชายเอ่ยถามว่าทำอะไร นางก็สะดุ้งโหย่งสุดตัวหันมามองแทบจะในทันที

“ ใหญ่...ใหญ่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ” ถามกลับด้วยน้ำเสียงหวาดระแวง

“ ผมเคาะเรียกแม่ใหญ่ตั้งนานแต่แม่ใหญ่ไม่ได้ยินเลยเปิดประตูเข้ามา แม่ใหญ่กำลังหาอะไรหรือครับถึงทำห้องรกขนาดนี้ ”

นายหญิงของบ้านนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่กล้าแม้แต่จะสบสายตาคมกล้าของหลานชายเหมือนทุกคราได้แต่ก้มหน้าเก็บเอกสารทั้งหมดไว้ในอ้อมแขน

“ ไม่มีอะไรจ๊ะ พอดีแม่จำไม่ได้ว่าเก็บสำเนาเอกสารที่ฝ่ายการตลาดส่งมาให้ที่บ้านไว้ที่ไหนก็เลยหา ”

“ ฝ่ายการตลาดยังไม่ส่งเอกสารเรื่องแผนการตลาดเดือนนี้ให้ผมเลย แล้วเขาจะส่งมาให้แม่ใหญ่ได้ยังไงกันครับ ”

“ เอ้าเหรอ ” นางว่าเท่านั้นก่อนจะแกล้งพูดพลางหัวเราะว่า “ สงสัยแม่จะสายตาแก่แล้วเลยจำอะไรผิดๆถูกๆ ”

ชายหนุ่มยิ้มอ่อนลอบสังเกตเห็นความผิดปกติบนสีหน้าหากก็ไม่ถามเซ้าซี้อะไรเพราะคิดว่าคงไม่มีเรื่องใหญ่อะไรให้ต้องกังวลมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“ ว่าแต่ใหญ่เข้ามาที่นี่มีอะไรหรือเปล่าลูก...ถ้าไม่ด่วนอะไรแม่จะขอไปนอนก่อน พักนี้แม่รู้สึกเพลียๆยังไงก็ไม่รู้ ” นางอ้างแล้วยกมือปิดปากแสดงอาการเหมือนอ่อนล้าจากการช่วยงานศพให้เห็น

“ ผมอยากรู้ว่าแม่รู้จักตระกูลทานากะกับวิกานดาได้ยังไง ” เขาเริ่มต้นถาม

“ ทำไมอยู่ๆใหญ่ถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะจ๊ะ ” คนฟังกระพริบตาปริบไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลานจึงสนใจครอบครัวของวิกานดาจากที่ปกติแทบไม่เคยถามถึง แต่พอเห็นสายตาจริงจังก็ทำให้ยอมเปิดปากเล่าถึงว่ารู้จักกันครั้งแรกก็ตอนไปร่วมงานจัดแสดงเพชรไทยที่ญี่ปุ่น เลยได้พบกับมารดาของวิกานดา พอพูดคุยกันถึงรู้ว่า ต่างฝ่ายต่างทำธุรกิจโรงแรมเหมือนกัน จากนั้นก็ติดต่อกันเรื่อยมา กระทั่งทางทานากะแจ้งมาว่า อยากมาลงทุนทำธุรกิจในเมืองไทยเลยส่งลูกสาวมาให้นางช่วยดูแล และด้วยความที่เคยออกงานสังคมแล้วเจอเด็กคนนี้เข้าทำให้รู้ว่า หล่อนเก่งเกินกว่าจะปล่อยให้หลุดมือไป

...ดีเสียอีกที่ได้สานสัมพันธ์กับคนเก่งที่มีฐานะทัดเทียมกัน...

“ แม่ใหญ่รู้จักเขามานานแค่ไหนครับ ”

“ น่าจะราวๆปีหนึ่งนะจ๊ะ ”

ศิระเม้มริมฝีปากกับระยะเวลาที่ทางฝ่ายนั้นใช้ซื้อความไว้วางใจ ด้วยรู้ว่าโดยปกติป้าของเขาเป็นคนละเอียดรอบคอบค่อนข้างไว้ใจคนยาก การจะเชื่อมั่นในใครสักคนได้ย่อมหมายความว่า ผ่านการตรวจสอบประวัติมาเป็นอย่างดีว่าไม่ใช่สิบแปดมงกุฎที่แฝงตัวมาเป็นเหลือบสังคม

แสดงว่าฝ่ายนั้นเตรียมตัวมาดี อาจถึงขั้นจ้างบริษัทสร้างความน่าเชื่อถือมืออาชีพที่เคยสร้างภาพลักษณ์ประชาสัมพันธ์ให้นักธุรกิจเชื้อสายอินเดียคนหนึ่งประสบความสำเร็จในการซื้อขายหุ้นจนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของบริษัทธุรกิจเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ในปัจจุบัน

“ ผมมีอะไรบางอย่างอยากให้แม่ใหญ่อ่าน...มันอาจจะทำให้แม่ใหญ่นอนไม่หลับ แต่ยังไงผมก็ต้องให้อ่าน ” เขาบอกก่อนจะหยิบเอกสารหลายฉบับส่งให้ผู้เป็นป้า

“ นี่อะไรหรือจ๊ะ ” เลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย ทว่าหลานชายกลับไม่พูดอะไรปล่อยให้นางเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานแล้วลองพิจารณาเอกสารหลักฐานที่เขานำมาจากนั้นจึงเริ่มอ่านเอกสารภาษาอังกฤษนั้นโดยละเอียดชนิดที่เรียกว่าเหมือนฝ่ายพิสูจน์อักษรกำลังจับผิดบทความก่อนการตีพิมพ์ ยิ่งรู้ลึกริมฝีปากของนางก็ยิ่งระริกไหว มือไม้สั่นเทาอ่อนยวบคล้ายหมดเรี่ยวแรงกะทันหันด้วยไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้แล้วจึงเงยหน้าจ้องหลานเขม็ง

“ ใหญ่ไปเอาเอกสารพวกนี้มาจากไหน ” นางพูดพลางหอบหายใจ รู้สึกได้ถึงอาการปวดแปลบในหัวใจ

“ เพื่อนผมทำงานในฝ่ายสืบสวน แผนกคดีอาญาในโตเกียวเขาส่งมาให้...ผมคิดว่าคนที่แม่ส่งไปเช็กประวัติอาจจะเป็นพวกเดียวกับทางนั้นก็ได้ ”

มลธิกาตาโตหอบหายใจหนักมากกว่าเก่าจนต้องยกมือกุมหน้าอก รู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจว่าเอกสารสำคัญที่หายไปจากลิ้นชักของนางครั้งนี้อาจเป็นฝีมือของคนที่นางคิดว่าไว้ใจได้

“ ไม่ ไม่ ” เจ้าของห้องกรีดร้องเสียงดังเหมือนสัตว์ป่าบาดเจ็บก่อนที่ร่างของนางจะไถลล้มลงมานอนสลบพร้อมกับเก้าอี้ล้อเลื่อนชักกระตุกอย่างแรงขณะที่ดวงตาเบิกโพล่งน่ากลัว

ผู้เป็นหลานเห็นอาการนั้นเข้าก็ตกใจรีบปราดเข้าไปประคองร่างที่ชักเกร็ง หันรีหันขวางของใกล้ตัวยัดใส่ปากป้องกันคนชักกัดลิ้น รีบโทรศัพท์ตามรถพยาบาลให้มารับแล้ววิ่งลงไปเรียกคนให้มาช่วยกันข้างบน
เหล่าคนใช้ที่เห็นนายของตัวเองชักต่างก็ตกใจ สติกระเจิดกระเจิงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่รอจนรถพยาบาลมาแล้วปล่อยให้เจ้าหน้าที่จับขึ้นเตียงโดยมีศิระกระโจนขึ้นไปนั่งในรถกุมมือนางไว้ด้วยความห่วงใย

...ในยามนี้เรื่องธุรกิจของครอบครัวไม่ใช่เรื่องน่าวิตกเท่ากับความปลอดภัยของมลธิกา...

อย่างไรเสียก็เป็นป้า เป็นญาติหนึ่งในสองคนที่เขามี...หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมลธิกา คนแรกที่เขาจะตามล่าให้มาชดใช้ความผิด คือ วิกานดาแน่นอน

********************************

บุรุษเรือนผมสีดอกเลากายสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงบานหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน มือข้างหนึ่งกำผ้าม่านทอสีเลือดนกประดับเลื่อมทองอร่ามตาก่อนจะเหลียวหลังกลับมาภายในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เผยให้เห็นดวงหน้าเรียวยาวที่แม้นจะมีรอยริ้วยับย่นตามอายุขัยหากก็ยังมองเห็นเค้าหน้าหล่อเหลาในอดีตได้

นัยน์ตาสีเขียวเข้มแลชายหนุ่มผมทองรูปงามที่เดินล้วงกระเป๋าเข้ามาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานไม้สักประดับมุกพลางโบกมือยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดี

คอยด์ ครอมเวล เจ้าพ่อวงการธุรกิจมากมายในสหรัฐพยักหน้าตอบรับการทักทายของหลานชายแล้วขมวดคิ้วเมื่อเหลือเห็นรอยลิปสติกที่ซอกคอก็รู้ได้ว่าหลานเพิ่งปฏิบัติภาคกิจสวาทกับสาวรับใช้ในบ้านสักคนไป

“ เสร็จกิจ ค่อยคิดถึงกันสินะ ”

โคลินยินคำจากชายตรงหน้าก็ก้มลงมองกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ปลดออกจนเห็นแผงอกกับรอยริมฝีปากสีแดงฉ่ำที่ฝากไว้มิใช่เฉพาะซอกคอ หากกระจายอยู่ทั่วร่าง...สาวรับใช้ในคฤหาสน์ครอมเวลล้วนสวยอวบอัดทั้งนั้น มีหรือจะให้หนุ่มเจ้าสำราญอย่างเขาอดใจไหว

“ ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ คนใช้คนสวยของปู่เขาเข้ามาหาผมเอง ”
ผู้สูงวัยส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับอุปนิสัยของหลานชายที่แม้จะเก่งมีความสามารถมากด้วยเล่ห์สักปานใด แต่ข้อเสียในเรื่องผู้หญิงนั้นกลับเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจ

“ ปู่บอกแกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ระวังตัวเองบ้าง อย่าเปิดเผยตัวจนกับคนแปลกหน้าเร็วเกินไปนัก แม้แต่คนที่ปู่คัดมาเป็นคนดูแลบ้านแกก็ห้ามไว้ใจ เพราะมันจะไม่ดีต่อตระกูลและตัวแกเอง ”

ชายหนุ่มฟังแล้วยักไหล่ที่คล้ายว่าจะเคยได้ยินคำบ่นนั้นมาจากญาติหนุ่มที่เวลานี้ลี้ไกลไปทำงานถึงประเทศไทย จากที่เขารู้มา งานครั้งนี้เป็นเพียงการทุ่มทุนเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมแห่งหนึ่ง และหากดูจากบรรดางานทั้งหมดที่ปู่เคยมอบหมาย งานนี้ถือว่าง่ายเกินกว่าจะส่งคนมากฝีมืออย่างพอลไปทำ

เรื่องนี้ก็ว่าประหลาดแล้ว ที่ประหลาดกว่านั้นคือการที่พอลลาสหรัฐไปร่วมสามเดือนแล้วก็ยังไม่มีทีท่าจะกลับมา จะให้โทรศัพท์ติดต่อถามข่าวคราวเอาเองก็ไม่ได้เพราะเวลาปฏิบัติงานพอลจะถือคติห้ามถามห้ามสั่งเสร็จแล้วค่อยรายงานและปิดช่องทางการสื่อสารทุกชนิดซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ปู่ของเขายังต้องยอมรับ

เขาปล่อยให้ปู่พร่ำถึงข้อเสียในเรื่องผู้หญิงของเขาจนพอใจเพราะเคยชินกับการถูกบ่น ถ้าวันไหนมาหาแล้วไม่ได้รับการสั่งสอนกลับไปก็เหมือนคืนนั้นจะนอนไม่หลับ

“ แล้วแกมาหาปู่วันนี้มีอะไร ถ้าจะมารายงานเรื่องที่แกเอาหลักฐานเรื่องดักฟักของนิตยสารคู่แข่งแกไปแฉกับตำรวจจนฝ่ายนั้นโดนฟ้องอ่วมแทบปิดออฟฟิศนะไม่ต้องนะ ปู่รู้เรื่องตั้งแต่แกเริ่มทำแล้ว ”ผู้คุมบังเหียนครอมเวลทั้งหมดไว้เอ่ยโดยไม่รอให้อ้าปากพูดและมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนเป็นหลานที่ปู่จะรู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่างในกิจการของตนเอง

ถึงจะยกธุรกิจให้หลานไปบริหารงานแทนแต่ความเป็นคนเกลียดความผิดพลาดและต้องมีข้อมูลความเคลื่อนไหวทุกอย่างในวงการธุรกิจอยู่ในมือเพื่อเอื้อประโยชน์ในอนาคต ทำให้เขาส่งสายกระจายไปทั่วทุกที่เพื่อให้คอยสอดส่องส่งข่าวสาร ซึ่งนั่นทำให้คอยด์ ครอมเวลเหนือกว่าบรรดานักธุรกิจใหญ่คนอื่น

“ เรื่องนั้นผมทราบอยู่แล้ว ถ้าปู่ไม่รู้สิแปลก ” คนหนุ่มกว่าเหยียดริมฝีปาก “ ที่ผมมาหาปู่วันนี้นอกจากจะอยากมาให้ปู่ด่าแล้ว ก็อยากมาถามเรื่องพอลหน่อยก็เท่านั้นเอง ”

“ ทำไม มีอะไรกับพอลเขาหรือไง ”

“ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ...แค่สงสัยอะไรบางอย่างเลยคิดว่ามาถามปู่น่าจะกระจ่างกว่า ” ถามพลางมองสีหน้าเรียบเฉยของคนตรงหน้าที่มีเพียงคิ้วเท่านั้นที่เลิกสูงพอให้รู้ว่ายังสนใจกันอยู่

“ ถามอะไรก็ถามมาแต่อย่าเกินสิบนาที เพราะปู่มีธุระต้องขึ้นเครื่องไปติดต่อเรื่องเพชรที่แอฟริกาใต้ ” ดักคอมิให้อารัมภบทจนเสียเวล่ำเวลาเพราะรู้นิสัยหลานดีว่าชอบเกริ่นนำยืดยาวตามประสาคนที่ถูกฝึกให้พูดหว่านล้อมคอยตะล่อมให้ได้ในข้อมูลที่ต้องการ

“ ไหนปู่เคยบอกผมว่า พอลเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของเรา ทำไมถึงส่งพอลไปทำงานนี้ ทั้งที่งานอื่นที่ยากกว่านี้ก็ยังมีค้างให้พอลไปจัดการอีกตั้งมาก ” เปิดประเด็นถามตรงไปตรงมา...ครั้งหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อนยังจำได้ดีถึงคำพูดของปู่ที่บอกให้เขาฟังว่า พอลคือคนที่ปู่อยากให้ก้าวมาแทนตำแหน่งตัวเอง จึงพยายามฝึกหมอนั้นอย่างหนัก...ส่งให้ไปทำงานลำบากเสี่ยงตายเพื่อทดสอบความสามารถ และพอลก็ได้กลายเป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ปู่จะทิ้งลงบนโต๊ะในคราวจำเป็น

“ แกรู้ได้ยังไงว่างานครั้งนี้ง่าย ” ถามหยั่งเชิงออกไป

“ ธุรกิจนี้ไม่ได้ใหญ่อะไรในระดับนานาชาติ แถมยังมีคนของปู่ถือหุ้นเกือบครึ่ง ไอ้การไปกว้านซื้อหุ้นที่เหลือมันยากตรงไหนล่ะครับ ” โคลินกล่าว ในฐานะที่เคยมีประสบการณ์การทำงานนี้มาบ้าง ทำไมจะไม่ทราบว่าการมีปัจจัยเสริมและมีงบประมาณไม่จำกัดในการกว้านซื้อหุ้นที่เหลือจะช่วยให้งานสำเร็จง่ายดายเพียงใด

คอยด์เหลือบมองผู้เป็นหลานพลางเหยียดมุมปากเล็กน้อยคล้ายจะเยาะ ทว่าสำหรับคนใกล้ชิดย่อมรู้ว่านั้นคือรอยยิ้มปรารถนาดีของชายผู้นี้

“ จำไว้นะโคลิน...งานนะไม่ว่างานอะไรก็ไม่มีคำว่าง่ายหรอก แกอาจจะคิดว่างานครั้งนี้มันง่าย แต่สำหรับบางคนงานง่ายแบบนี้อาจจะเป็นงานยากที่สุดสำหรับเขาคนนั้นก็ได้ ”

“ คือจะบอกผมว่างานนี้ง่ายสำหรับคนอื่นแต่ไม่ง่ายสำหรับพอลอย่างนั้นสิครับ ”

“ อาจจะอย่างนั้น ” ผู้พูดสูดลมหายใจเล็กน้อยแล้วจึงต่อ “ ปู่เคยบอกแกแล้วใช่ไหมว่า การมีจุดอ่อนเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของนักธุรกิจ ถ้าเมื่อใดคิดการณ์ใหญ่แล้วแกเลือดเย็นไม่พอ หรือเผลอแสดงให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่แกคิด ชาตินี้ก็อย่าคิดจะบินสูงเหนือคนอื่นเลย ”

โคลินพยักหน้ารับยังจำได้ถึงคำสั่งสอนของผู้เป็นปู่ที่เน้นย้ำหนักหนาถึงการทำลายจุดอ่อนทั้งหมดของตัวเองและอำมหิตพอจะหักหลังทรยศใครก็ตามเพื่อให้ครอมเวลยั่งยืนอยู่ในจุดสูงสุด

“ ความจริงไอ้โรงแรมนั้นมันไม่มีความหมายอะไรกับปู่หรอก จะไม่ได้หรือได้มันมาก็ไม่ทำประโยชน์อะไร แต่งานนี้มันเป็นบททดสอบสุดท้ายที่ปู่จะใช้วัดใจของพอลเขาว่า แข็งแกร่งพอจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่ามันจะสำคัญกับเขามากแค่ไหน เพื่อครอมเวลได้หรือเปล่า ”

“ แสดงว่าโรงแรมนั้นสำคัญกับพอลอย่างนั้นสิครับ ”

“ บางครั้งความสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่ธุรกิจแต่มันอาจอยู่ที่ตัวบุคคล ”

โคลินทำท่าจะถามต่อแต่ชายชราโบกมือยุติการสนทนาในทันทีที่บอดี้การ์ดเคาะประตูแล้วกล่าวเข้ามาเชิญให้เขาไปบนขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่จอดรออยู่

“ ปู่คงต้องไปก่อน มีอะไรไว้ค่อยคุย ” คอยด์กล่าวอำลาสั้นๆแล้วผุดลุกจากเก้าอี้เดินตัวเปล่าตามออกไปข้างนอก ปล่อยให้โคลินอยู่ในห้องของเขาตามลำพัง และแทนที่จะรีบออกมาชายหนุ่มกลับกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาหนังอย่างดีพลางลูบคางครุ่นคิดอย่างฉงนสงสัย

...สำหรับผู้ชายไร้หัวใจ ยังมีสิ่งใดสำคัญเกินกว่าจะทำลายไม่ลงได้อีกหรือ...

ขณะที่โคลินกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่มีความหมายของญาติหนุ่มผู้นั้นอยู่ นายใหญ่แห่งครอมเวลกลับนั่งเอนหลังบนเบาะนุ่มสบายตัวอยู่ในเครื่องบินส่วนตัว รับแชมเปญที่แอร์โฮสเตสสาวสวยรินมาเสิร์ฟขึ้นละเลียดจิบพลางคำนึงถึงชายหนุ่มผู้ที่เขาตั้งความหวังว่าจะขึ้นมาแทนตัวเองในภายภาคหน้า

คอยด์ระลึกถึงกลางดึกคืนฝนพรำที่ทำให้เขาได้พบกับชายหนุ่มชาวเอเชียที่นั่งพิงกับรถคันหรูของเขาด้วยสภาพบอบช้ำทั่วร่าง ขากับแขนข้างหนึ่งถูกยิงจนเลือดอาบไหลนองทั่วพื้นถนน โดยที่อีกฟากหนึ่งในซอกตึกมีร่างของอันธพาลนอนสลบเหมือดกันอยู่ตรงนั้น

เพียงได้สบตากันทั้งที่บาดเจ็บสาหัสแต่เขากลับได้เห็นรอยยิ้มเหยียดที่พร้อมจะสู้อีกโดยไม่ห่วงชีวิตแต่อย่างใด ในดวงตาอ้างว้างเดี่ยวดายราวกับจะอยู่หรือตายก็มีความหมายเท่ากัน

แววตาคู่นั้นเองที่ทำให้เขารับชายหนุ่มคนนั้นเข้ามาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน ใช้เวลาสั่งสอนหล่อหลอมหนุ่มเลือดร้อนด้วยแบบฉบับของเขา จนสามารถสร้างมนุษย์สมบูรณ์แบบชนิดที่ไม่เคยได้ยินคำว่าพลาดมาให้ผิดหวัง

ความพึงพอใจในตัวหลานชายต่างสายเลือดผู้นี้มีมากถึงขั้นปรารถนาจะส่งมอบสิ่งสำคัญที่สุดของเขาให้ไป ติดขัดตรงที่พอลยังไม่อาจทำลายจุดอ่อนหนึ่งเดียวในใจตัวเองลงได้ ดังนั้นการส่งมอบภารกิจสะสางอดีต ทำลายความผูกพันจึงกลายเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่ง

เพราะหัวใจของเขาติดค้างอยู่กับเด็กหญิงในความทรงจำผู้เป็นทายาทคนหนึ่งของอังคพิมาน และการฮุบกิจการครอบครัวมาเป็นของเขาในครั้งนี้ก็มิได้มีขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจนอกเสียจากใช้มันเป็นทดสอบภาวะผู้นำของพอลว่า เลือดเย็นพอจะทำร้ายทุกสิ่งที่ขวางทางความสำเร็จของครอมเวล โดยเฉพาะเด็กหญิงในความทรงจำผู้นั้นลงได้หรือเปล่าก็เท่านั้น

เจ้าของเครื่องบินจ้องมองแก้วเครื่องดื่มด้วยสีหน้าแววตาเย็นชายากเกินกว่าจะอ่านลึกถึงความในใจ...คงไม่มีใครแม้แต่ตัวเขาคาดเดาบทสรุปของเรื่องราวนี้ได้มากไปกว่าจะได้เห็นด้วยสายตาตัวเอง



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ส.ค. 2554, 03:11:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ส.ค. 2554, 03:11:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1997





<< บทที่ 15   บทที่ 17 >>
violette 25 ส.ค. 2554, 04:18:34 น.
ง่าใจร้ายจัง
ในที่สุดก็รู้เสียทีว่าทำไมพี่ภาคกลายเป็นคนแบบนี้ แล้วพี่ภาคจะทำยังไงเนี่ย
พี่ใหญ่ฉลาดและไหวตัวทันเสียแล้ว รสากับพี่ภาคเหมาะกันดีจริงๆนะคะเนีย
แต่แม่ใหญ่คงช๊อคไปเรียบร้อย ดันยกหุ้นให้เค้าอีก เฮ่อ
อยากรู้จังว่าวิกานดาเอาอะไรไป


anOO 25 ส.ค. 2554, 10:03:30 น.
พอรู้แบบนี้แล้ว ไม่รู้จะสงสารใครมากกว่ากันเลย
พี่ภาคจะทำยังไงกับเล็กล่ะเนี้ย
ความจริงใกล้เปิดเผลแล้วใช่ไหม


ling 25 ส.ค. 2554, 14:57:31 น.
อ่านทีไรลุ้นทุกที


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account