ดุจจันทร์ดั้นเมฆ: หอมดึก (ปลายปากกาสำนักพิมพ์)
‘ตรีเมฆ’ ไม่ได้เกิดมามีชีวิตเลวร้าย เขาไม่ได้มีปมด้อยจนต้องสร้างจุดเด่น ตรงกันข้ามเขามีพร้อมทุกอย่าง แต่ความ ‘พร้อม’ นั้นทำให้ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างประมาทจนสุดท้ายต้องถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ไอ้ขี้คุก’ เขาผลาญทำลายชีวิตทุกคนที่รักเขา และในวันที่เขาได้รับอิสรภาพทางกาย จิตใจเขากลับถูกความรู้สึกผิดพันธนาการแน่นหนา

‘จันทน์กะพ้อ’ หล่อนมองโลกใบนี้สวยงามไปเสียหมด มองทุกอย่างเป็นบวกจนบางครั้งพลาดพลั้งกลายเป็นเหยื่อได้ง่ายๆ แต่หล่อนกลับไม่สิ้นหวังที่จะมองแต่แง่งามของชีวิต เมื่อก้าวเข้ามาในครอบครัวที่เว้าแหว่งของตรีเมฆ หล่อนกล้าๆ กลัวๆ ชายหนุ่มห่าม ดิบ เถื่อนที่พ่วงมากับป้าชราและเด็กน้อยผู้น่าสงสาร

เขามันต้องตำราผู้ชายที่พ่อสอนนักหนาว่าให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้

ใจหนึ่งหล่อนก็อยากทำอย่างนั้น แต่อีกใจก็อยากเอาชนะความหยาบกระด้างของเขา อยากให้คนที่เอาแต่มองโลกตาขวาง หันมาเห็นแง่งามของชีวิตเสียบ้าง

แต่โดยที่หล่อนไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ดวงตาคมดุคู่นั้นกลับเอาแต่จับจ้องหล่อนไม่วาง ในเมื่อหล่อนกล้ามาส่องแสงวับๆ แวมๆ ในหัวใจที่มืดดำของเขา เมฆร้ายก้อนนี้ก็จะโอบล้อม ตีประชิด กักกั้นไว้ไม่ให้หล่อนเคลื่อนคล้อยหนีหายไปทางไหนได้อีกเลย


*********************

นิยายเรื่องนี้เขียนโดย "หอมดึก" (ผู้แต่ง พนาพร่ำรัก และฝนเมษา ดอกไม้พฤษภา) และได้ตีพิมพ์กับ "ปลายปากกาสำนักพิมพ์ (Plaipakka Publishing)" ทีมงานปลายปากกาจึงนำมาลงให้ได้อ่านกัน ประมาณ 60-70% ของเรื่องนะคะ เป็นแนวโรแมนติกดราม่า พาฟิน และอบอวลในหัวใจมากๆ ค่ะ นอกจากนี้ยังมีความน่ารักของครอบครัวที่มาพร้อมกับปัญหาสังคมในแง่มุมต่างๆ ด้วย หอมดึกบอกเล่าชีวิตคนรากหญ้าผ่านตัวละครได้มีมิติมากๆ #รับประกันความสนุกเช่นเคย!


***************************

นักอ่านท่านใดสนใจมีทั้งแบบ eBook และแบบรูปเล่มนะคะ

***สำหรับแบบรูปเล่มวางจำหน่าย 4 ช่องทาง***

1.ศูนย์หนังสือจุฬาฯ

2.ร้านออนไลน์ เช่น ร้านนิยายรัก ร้านbooksforfun ร้านบาร์บี้บิวตี้บุ๊ค(ฉัตรธิดา สำเฮี้ยง) ร้าน Banniyayindy(Budsara Thongrussamee) ร้านหนังสือต้นสน วังหลัง ศิริราช และร้านBestbookSmile

3.สั่งซื้อโดยตรงกับสนพ.โดย inbox หาแอดมินเพจปลายปากกาสำนักพิมพ์ หรือผ่าน Line: plaipakkabooks

4.ซื้อผ่าน plaipakkabooks_officialshop ใน shopee

หนังสือพร้อมส่ง

คุ้มสุดด้วยจำนวน 544 หน้า (พร้อมตอนพิเศษ)

สั่งซื้อออนไลน์ราคาเพียง 369฿ จากราคาปก 402฿
ค่าจัดส่งลงทะเบียน 45฿ (รวมเป็น 414฿)
ค่าจัดส่ง EMS 70฿ (รวมเป็น 439฿)

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เพจ "ปลายปากกา สำนักพิมพ์"

***แบบ eBook วางจำหน่ายที่เว็บ Mebmarket***
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7 -100%

วงสนทนาเฮฮากึ่งวางแผนของตรีเมฆและศมาอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นขนุนใหญ่ข้างลานจอดรถเก่าของห้องแถวตรีเนตรที่บัดนี้ว่างเปล่า ข้าวของเฟอร์นิเจอร์เก่าที่รื้อออกมาถูกขนออกไปหมดแล้ว ลุงเกิดจัดการเรียกรถรับซื้อของเก่ามาจัดการไปหลายรอบ ตรีเมฆไม่ต้องการจะใช้ของเก่าใดๆ ทั้งสิ้น ป้ามาลีก็จนใจจะทัดทาน ได้แต่บ่นแล้วบ่นอีกจนเหนื่อยแล้วหยุดไปเอง

“ทุบทิ้ง สร้างใหม่”

“เอาอย่างนั้นเหรอวะ”

“ใช่” ตรีเมฆกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก เวลานั้นราวๆ สองทุ่ม ตรีเพชรยังได้รับอนุญาตให้มาวิ่งเล่นอยู่ที่ลานดินแถวนั้นได้อีกครู่หนึ่ง ส่วนจันทน์กะพ้อหลังจากวางกับแกล้มไว้ให้แล้วก็ขอตัวไปเก็บกวาดในครัวต่อ

“ถ้าอย่างนั้นงบก็คงจะสูงหน่อย”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินไปทำอย่างอื่นอยู่แล้ว จะทำทั้งทีก็ทำให้ดีไปเลยเถอะ แม่จะได้ไม่ต้องมากังวลกับเสียงบ่นเสียงด่าของผู้เช่าภายหลัง ข้าจะได้ไม่ห่วง”

“พูดยังกับจะไปไหน”

“ก็ไม่แน่” ตรีเมฆพูดเนือยๆ

“เอาอย่างนั้นก็ดี เอ็งมาลงมือกับช่างของข้าเลยเป็นไง จะได้ถูกใจ”

“บ๊ะ นี่คิดจะใช้งานนายจ้างเหรอนี่”

“ก็เออสิวะ ฮ่าๆๆๆ” ศมาหัวเราะเสียงดังลั่น ผิดวิสัยคนสุภาพเงียบขรึม ตรีเพชรวิ่งจู๊ดเข้ามาหาราวกับลูกบอลกลมๆ ลูกหนึ่ง

“ลุงยักษ์ คุณครูให้มาถามว่าเอากับแกล้มอะไรอีกไหมครับ”

ตรีเมฆกวาดตามองกับแกล้มที่พร่องลงไปทุกจาน แล้วก็ถามศมา “ว่าไง เอาอะไรอีกไหม สงสัยแม่ครัวเขาคงง่วงแล้ว บ้านนี้อนามัยจัด นอนแต่หัววันกันทุกคน ยกเว้นกู”

“ไม่เอาแล้วเจ้าหนู ฝากบอกคุณครูว่าขอบคุณมาก กับข้าวกับกับแกล้มอร่อยทุกอย่าง” ศมาก้มหน้าลงคุยกับเด็กชายด้วยความเอ็นดู

“ครับผม” ตรีเพชรวิ่งตัวปลิวอย่างไม่น่าเชื่อกลับขึ้นบ้านไป

“ลูกใครวะ น่ารักน่าฟัดชะมัด”

“ลูกนักศึกษาที่มาเช่าห้องแถวนี่แหละ คลอดแล้วก็ทิ้งไว้ให้แม่เลี้ยงตั้งแต่ข้าไปติดคุกใหม่ๆ เทวดาคงสงสารพ่อแม่ข้าเลยส่งเด็กมาให้แก้เหงา” ตรีเมฆพูดอย่างไม่ยี่หระ ราวกับเป็นเรื่องตลกขื่นๆ เรื่องหนึ่ง

“น่าสงสารว่ะ แล้ว เอ่อ...คุณจันทน์”

“ทำไม สนใจเรอะ” ตรีเมฆกระดกแก้วเหล้าเข้าปาก หรี่ตาคมมองเพื่อนหนุ่มที่ทำท่าอึกๆ อักๆ ราวกับหนุ่มน้อยริรัก

“ก็แค่ถามดู ทำไม ถามไม่ได้เหรอ”

“ก็เห็นมึงทำท่าเขินๆ น่าถีบ เขาเป็นผู้เช่าเหมือนกัน เห็นว่าโดนไอ้หื่นงัดห้องกลางดึก แม่เลยรับมาอยู่บนบ้านด้วย” ภาพหญิงสาวในผ้าขนหนู ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าตื่นตระหนกผุดขึ้นมาในความคิด ตรีเมฆสาดเหล้าเข้าคออีกแก้ว

“น่ารักว่ะ” ศมาเอ่ย จิบเครื่องดื่มไปพลาง มองไปทางบันไดบ้าน หวังว่าเจ้าหล่อนจะลงมาให้เห็นหน้าอีกสักครั้ง ตรีเมฆได้ยินก็กระตุกยิ้มมุมปาก โดยไม่เอ่ยอะไร สำหรับเขา ศมากับจันทน์กะพ้อดูเหมือนคู่รักสูตรตายตัวที่น่าจะลงเอยกันได้ไม่ยากนักถ้าศมาชอบหล่อนและคิดจะจีบ เขาก็ไม่คิดว่าหล่อนจะมีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธอีกฝ่าย ทั้งสองดูเป็นคนดีมีอนาคตทั้งคู่ มีอะไรที่ไม่เหมาะสมกันเล่า

“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆ สิวะ”

“แน่ะ เอ็งจะเร่งให้ข้ามาทำงานให้เสร็จไวๆ ใช่ไหมนี่ ไอ้นี่หลอกใช้คนเก่งตามเคย”

“อ้าว หมูไปไก่มา ไม่ดีหรือไง”

“เออ ดี ขอบใจที่ให้การสนับสนุนครับ” ศมาประชดประชัน

ทั้งสองคุยกันไปดื่มกันไป มีสาระบ้าง ไร้สาระบ้างจนเกือบสี่ทุ่มศมาก็ลากลับบ้านไป

ดึกแล้วตรีเมฆเก็บขวดเบียร์ขวดเหล้าที่ดื่มกินเรียบร้อยใส่ลัง รวบจานแก้วถือขึ้นบ้านมุ่งเข้าครัว หนแรกคิดจะวางไว้ในอ่างล้างจานแล้วกลับห้องไป แต่พอเห็นสภาพสะอาดเรี่ยมของครัวไม้ขัดเงาวับของแม่ก็เปลี่ยนใจ เปิดน้ำล้างจานและคว่ำไว้อย่างเรียบร้อย

ขี้เกียจจะฟังคนบ่น เขานึก

ชายหนุ่มเดินกลับมาที่ระเบียงห้องทางปีกเรือนส่วนของตน ความที่ไม่ได้ดื่มกินมานานทำให้เขามีอาการกรึ่มๆ หน้าอุ่นซ่านเพราะเลือดหนุ่มฉีดพล่าน ตรีเมฆอัดบุหรี่เข้าปอดแรงๆ มองไปทางบ้านใหญ่อันเงียบสงบในแมกไม้ระชายคา แสงไฟอุ่นๆ เล็ดลอดออกมาจากห้องเล็กที่มารดายกให้เป็นห้องพักแขกคนสำคัญ

หล่อนยังไม่นอน แต่ไม่คิดจะลงไปดูแลเขากับเพื่อนที่เป็นแขกของแม่ เป็นเจ้าบ้านที่ใช้ไม่ได้ แต่เป็นหญิงสาวที่วางตัวได้ไม่เลว ไม่ยอมลงไปยุ่งกับผู้ชายในวงเหล้า แต่ใช้เด็กชายเป็นผู้ส่งสารแทนเพื่อไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

เป็นผู้หญิงหลงยุคมาหรือไงนะ ถูกเลี้ยงมาแบบไหนกัน

ตรีเมฆจำอาการสะท้านในวงแขนของตนได้ ดวงตาตระหนกตื่นกลัวระคนเขินอายกับพวงแก้มแดงก่ำ อาการอึ้งงันชั่วขณะหนึ่งของเจ้าหล่อนเขาจำได้ดี

ผู้หญิงเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้แบบนี้ เหมาะกับผู้คงแก่เรียนอย่างเจ้าศมา

เขาอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครั้งก่อนจะเดินลงบันไดบ้านไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ใต้ถุนบ้าน ตรีเมฆจูงมันเดินออกไปนอกรั้วห้องแถวก่อนจะสตาร์ตเครื่องและควบขี่มันออกไปในความมืดมิดของยามราตรี

แสงไฟที่สาดส่องอยู่สุดถนนอีกฟากหนึ่งของสะพานข้ามคลองเก่าแก่แห่งนั้น อ่อนโรย ไม่ต่างกับค่ำคืนดึกดื่นอันหมองหม่น ไฟท้ายของรถกระบะคันหนึ่งแล่นผ่านหน้าตรีเมฆไปก่อนจะหายลับไปในความมืดอย่างเร่งร้อน

ถนนสายเปลี่ยวเส้นนี้ เป็นที่อโคจรของชานเมืองใหญ่ เป็นเส้นทางหลบลี้หนีภัยของเหล่ามิจฉาชีพเส้นทางหนึ่งที่ขึ้นชื่อ...และเป็นเส้นทางที่ครั้งหนึ่งตรีเมฆตัดสินใจเลือกใช้

สายลมแรงวูบหนึ่งพัดกระโชกทำให้กอไผ่ที่รกเรื้อริมคลองกวัดไกวไปมาราวกับมือไม้ของผีร้ายที่ร่ำร้องรอคอยการปลดปล่อย ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องตัวตายตัวแทนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

แวบหนึ่งใบหน้าอ่อนใสหวานแฉล้มผุดขึ้นมาในห้วงความคิด

เขาก้าวห่างออกมาจากตัวรถที่จอดพิงคอสะพานไว้ เดินขึ้นไปบนทางเดินสร้างด้วยปูนเก่ากระดำกระด่างที่ถูกกัดกร่อนแตกบิ เศษแก้วเศษกระจกแหลกละเอียดปะปนอยู่กับดินทรายในซอกปูน

ค่ำคืนคล้ายๆ กันนี้เมื่อห้าหกปีก่อน ตรงจุดที่เขายืนนี้ เขาวางร่างอ่อนปวกเปียกอันแสนบอบบางลงพิงกับราวสะพานบนพื้นปูนเย็นเฉียบโชกไปด้วยเลือดสีแดงสดที่ไหลออกจากร่างกายของหล่อน เขากอดร่างหล่อน ร่ำร้องขอความช่วยเหลือจากเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่กรูกันเข้ามาฉุดกระชากตัวเขาออกห่าง ใครสักคนหนึ่งซัดเขาคว่ำหมดสติไป และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้พบกัน เขาและกานต์ธิดาสาวน้อยที่หลงรักเขาหัวปักหัวปำจนยอมแลกทั้งชีวิตเพื่อเขา ตรีเมฆเหลียวมองไปรอบกาย บนสะพานกว้างที่ทอดตัวไปอย่างเปล่าเปลี่ยว ริมทางที่มีหญ้าขึ้นรกครึ้ม มองหาราวกับคาดหวังว่าจะได้พบหล่อนอีกสักครั้ง หวังว่าจะได้กล่าวคำขอโทษหรือปลอบโยนในยามที่หล่อนเจ็บและหวาดกลัว แม้ในใจจะรู้ดีว่าในวินาทีที่เขาช้อนร่างหล่อนขึ้นมานั้น หล่อนได้จากไปเสียแล้ว

ตรีเมฆรู้สึกยอกแสยงในใจ หล่อนไว้ใจเขาเหลือเกิน เชื่อมั่นในตัวเขาโดยไม่มีข้อแม้ ถึงครอบครัวจะพยายามทัดทานอย่างไรสาวน้อยก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ในตอนนั้นดูเหมือนมีเพียงเขาและหล่อนที่จูงมือกันฟาดฟันกับคนทั้งโลกที่เข้ามาขัดขวางความสุข

กานต์ธิดาก็ไม่ต่างจากตรีเนตรพ่อของเขาเท่าใดนัก พ่อเชื่อใจเขา เชื่อมั่นในตัวเขามากจนไม่เปิดหูเปิดตาฟังคำเตือนของใคร พ่อปกป้องเขาในยามที่ถูกครูอาจารย์ตำหนิหรือแม่มาลีโกรธถึงขั้นดุด่า สำหรับพ่อตรีเนตร ลูกชายไม่เคยผิด ไม่เคยด่างพร้อย และทุกสิ่งที่ตรีเมฆทำต้องมีเหตุผลเสมอไม่ว่าจะดีร้ายอย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เขาทำผิดพ่อเพียงแต่ผิดหวัง เจ็บปวดและโทษตัวเอง แต่ไม่เคยโกรธ เกลียด หรือดุด่าว่ากล่าวเขาเลย

พ่อตรีเนตรและกานต์ธิดา ในชีวิตที่ผ่านมาตรีเมฆรู้สึกผิดกับสองคนนี้มากที่สุด แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว พวกเขาไม่มีชีวิตอยู่เพื่อฟังคำขอโทษของเขาอีกแล้ว

ตัวตายตัวแทนหรือ หึ! เขาอยู่นี่แล้วไงล่ะ ทำไมหล่อนไม่มาเอาเขาไป เอาไปแทนที่หล่อนในที่ที่แสนทุกข์ทรมาน เขาพร้อม

ตรีเมฆยืนอยู่ตรงนั้น...เนิ่นนาน...ราวกับรอคอย รอจนแสงไฟหน้ารถบรรทุกคันหนึ่งมุ่งตรงเข้าโค้งมาอย่างรวดเร็ว มันเป็นโค้งเดียวกันกับที่เขาหักเลี้ยวเข้ามาในขณะที่กำลังถูกกวดไล่อย่างกระชั้นชิดกลางดึกคืนนั้น

รถคันนั้นพุ่งตรงเข้ามาราวกับมองไม่เห็นเขา ตรีเมฆก้าวเท้าลงไปบนพื้นถนนข้างหนึ่ง สองตาปิดสนิท สายลมพัดซู่หมุนวน

เอี๊ยด! เสียงเบรกห้ามล้อดังสนั่น

“ไอ้ห่า อยากตายมากหรือไง เกือบซวยแล้วกู ผีหรือคนวะ” เสียงกราดเกรี้ยวแฝงความกังขาในตอนท้าย ความโกรธหายวับเมื่อมองลงไปยังสะพานเปลี่ยวแห่งนั้น ใบหน้าเคร่งเครียดกลับซีดเผือด ดวงตาเบิกกว้าง

“ไอ้เหี้ย ผีหลอก” เสียงเครื่องรถที่กำลังจะหยุดสนิทกลับคำรามขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว

ตรีเมฆนิ่งงันก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมองตามท้ายรถที่หายไปในแสงสลัวหมอกควันและความมืด ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง เขากวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า

ชายหนุ่มทอดถอนใจ เดินไปสตาร์ตรถพร้อมบิดออกไป ครู่หนึ่งหูเขาแว่วเสียงลมพัดลำไผ่เสียดสีเอียดอาดเศร้าสร้อยโหยหา ตรีเมฆมองกลับไปยังสะพานที่เพิ่งจากมาผ่านกระจกรถก็เห็นเพียงฝุ่นควันอ้อยอิ่งวังเวง

ในเวลาเดียวกันนั้น ที่เรือนครูตรีเนตร...

เสียงสวดมนต์เบาๆ ในห้องพระ ราวๆ สามสิบนาทีต่อมาก็เงียบลง ก่อนจะดังประสานกันขึ้นอีกครั้งจนจบบท พร้อมกับที่มีเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งเข้ามาจอด ทำให้ความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในอกผู้เป็นแม่มลายหายไป

นางมาลีก้มลงกราบพระ แล้วก็เดินนำสาวน้อยที่อุตส่าห์ตื่นมาสวดมนต์เป็นเพื่อนกลางดึกออกจากห้องพระ ต่างคนต่างเดินเลี้ยวแยกย้ายเข้าห้องนอนของตนไปเงียบๆ ในเวลาเลยเที่ยงคืน

ตรีเมฆมองแสงไฟที่ดับไปในแต่ละห้องแล้วก็จุดบุหรี่ขึ้นสูบอีกมวน

เขาทำให้แม่ต้องหวาดกังวลอีกแล้วสินะ แม่อาจจะกลัวเขาได้รับอันตรายเพราะออกไปทำชั่วอะไรอีก สองปีก่อนที่เขาจะติดคุกแทบไม่มีคืนไหนเลยที่แม่จะนอนหลับสนิท เขารู้ดี แล้วสิ่งที่แม่กลัวก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่ต้องทนมองลูกชายเดินทางอบายมุข ทนมองสามีตรอมตรมจนป่วยไข้ปางตาย

ชีวิตเขาไร้จุดหมาย ตรีเมฆคิดแบบนั้นตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เขาไม่หวังหรอกว่าออกมาแล้วจะพบครอบครัวตั้งตารอคอยการกลับมาของเขา เพราะเขารู้ดีว่าแม่กลัวการมีอิสรภาพของเขา แต่ขณะเดียวกันก็อยากให้เขาพ้นโทษแบบที่แม่ทุกคนพึงปรารถนา บางครั้งเขาคิดอยากจะไปเสียให้ไกล ใช้ชีวิตล่องลอยไปตามวิถี โดยไม่ต้องมีความคาดหวังของใครแบกบนบ่า ถ้าหากเขาไม่ใช่ทายาทคนเดียวของแม่ ถ้าหากพ่อยังอยู่เคียงข้างแม่ เขาคงจะไม่กลับมาที่นี่อีก

บางทีจุดหมายในชีวิตของเขาจากนี้เป็นต้นไป อาจจะเป็นการทำให้ชีวิตบั้นปลายของแม่มั่นคงปลอดภัย และปกติสุขที่สุดกระมัง 

‘ทันทีที่ลูกเกิด ก็เท่ากับพ่อแม่ได้ตายไปแล้ว’

พ่อตรีเนตรเคยพูดแบบนั้น

‘ความฝัน ความสุขส่วนตัว และอนาคตทั้งหมดต้องม้วนเก็บไว้ก่อน ต่อไปพ่อแม่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อความฝัน ความสุข และอนาคตของลูกที่เกิดมาแทน’

และพ่อก็ทำแบบนั้นจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต สมบัติพัสถานทุกชิ้นของพ่อเป็นของเขา แม้แต่คนที่พ่อรักมากอย่างแม่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลสิ่งที่พ่อทิ้งไว้ให้เขา

“ระยำ” ตรีเมฆกัดฟันกรอด เหวี่ยงบุหรี่มวนนั้นทิ้งไปในความมืดมิดและนั่งจองจำอยู่กับความคิดของตนอยู่ตรงนั้นจนรุ่งเช้า


**************

รีดเดอร์จ๋าาาาา eBook ดุจจันทร์โหลดได้ที่ mebmarket นะคะ จุ๊บๆ วันนี้มาต่อพร้อมแจ้งข่าวดีด้วย^^ ใครสาย eBook ตั้งแต่วันนี้ - 22 พฤษภาคม 2563 สนพ.พิเศษให้ ลดถึง 30%!! เฉพาะอีบุ๊ก เรื่อง “โอบรักธารรุ้ง” (แต่งโดย อัยย์) และ “เล่ห์อำพรางใจ” (แต่งโดย เอบิช) นะคะที่ mebmarket เช่นกัน

มา Read from Home อยู่บ้านอ่านนิยายปลายปากกากันน้าาาา จัดไป!



ปลายปากกาสำนักพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2563, 09:08:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ค. 2563, 09:08:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 517





<< บทที่ 7 -60%   บทที่ 8 -30% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account