ร้อยเล่ห์...นายเหมันต์
เขียนนิยายรักแนวหวานมาหลายเรื่อง อยากลองแนวอิโรติกดูบ้าง มาดูกันว่าจะได้แค่ไหน
Tags: สิรินดา, รักเล่ห์, นิยายรัก
ตอน: 7: เรื่องที่เป็นเรื่อง
"ผมย้ายออกมาอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ปีหนึ่ง"
เพื่อนของปรเมศนั่งอยู่ที่เก้าอี้นอกระเบียงห้อง ถอดเสื้อที่เป็นชุดช่างออกเหลือแต่เสื้อกล้ามข้างใน เทียบกับปรเมศนายคนนี้หุ่นหนากว่าไม่ได้บอบบางแบบนายแบบเกาหลีเหมือนเพื่อน
ที่ระเบียงมีโต๊ะสีขาวตัวเล็กและเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ ฉันมักใช้โต๊ะตัวนี้เป็นที่จิบกาแฟยามเช้า หรือไม่ก็นั่งดูดาวเงียบๆ คนเดียวยามค่ำคืน วันนี้ฉันเปิดเบียร์สองกระป๋อง เปิดถั่วแมคคาเดเมียกระป๋องที่ได้เป็นของฝากจากเชียงรายมากินแกล้ม
กว่าเขาจะติดตั้งอุปกรณ์เสร็จก็เลยบ่ายสาม (ถ้าไม่มีเรื่องของปรเมศคงจะเสร็จเร็วกว่านั้น) ฉันสั่งอาหารแบบส่งตรงที่บ้านชวนอีกฝ่ายกินข้าวกลางวันด้วยกันเพราะเห็นว่าเลยเวลาอาหารกลางวันนานแล้ว ตอนแรกเพื่อนของปรเมศปฏิเสธ แต่ฉันอ้างว่าสั่งอาหารมาแล้วและอยากชวนเขาคุยต่อเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายจึงยอมโทรไปแจ้งบริษัทว่าจะไม่กลับเข้าไปอีก โชคดีที่ไม่มีคิวงานต่อจากนั้น
ระหว่างรออาหารที่ไม่แน่ใจว่าจะนับเป็นมื้อกลางวันหรือเย็น ฉันก็ส่งเบียร์นำเข้าซึ่งเหลือมาจากงานเลี้ยงเล็กๆ ของฉันกบเพื่อนเมื่อเดือนที่แล้วให้อีกฝ่ายและชวนคุยต่อ
"ผมไม่ดื่มในเวลางาน ขอเป็นน้ำเปล่าดีกว่า" คำตอบนั้นจริงจังมั่นคง
"ถ้างั้นฉันขอดื่ม"
เขาพยักหน้า จากนั้นเราก็คุยเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น คู่เป็นเพื่อนทำงานกลุ่มเดียวกัน แถมอยู่ในวัยเดียวกัน น่าจะเข้าใจพอช่วยหาทางออก หรือให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ได้ เรื่องนี้บอกใครไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่นายเหนือซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ก็ไม่รู้จะคุยกับใครแล้ว
แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องปรเมศ ฉันถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อน เพราะสังเกตมาตลอดการประกวดว่าถึงแม้เขาอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก
"ผมไม่ได้สนิทกับเขา อาจารย์ที่ปรึกษาจับเรามาอยู่ทีมเดียวกันเพื่อเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ได้อยากประกวดนักหรอกแต่เป็นเงื่อนไขในการรับทุน จะปฏิเสธก็ไม่ได้" เขาตอบ
"ทุน?" มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่เป็นของเอกชน ค่าเล่าเรียนคงไม่ถูกนัก
"ผมไม่ได้มีฐานะเหมือนปรเมศ ได้ทุนเรียนฟรีตลอดสี่ปีถ้าคะแนนยังคงติดหนึ่งในสิบของภาควิชา" เขาตอบ "ค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ทำงานพิเศษเอา"
มิน่าเล่าเขาจึงดูเป็นคนมั่นใจและไม่แยแสใครนัก ชีวิตคงมีแต่เรื่องจริงจัง ต้องเอาตัวรอดให้ได้ เพราะไม่มีใครที่คอยช่วยเหลือ
"ถ้าอย่างนั้น ถ้าปรเมศไปฟ้องที่มหา'ลัย เธอจะทำยังไง เรื่องใหญ่เลยนะ" ฉันคิดถึงหน้าตาโกรธๆ ของเด็กหนุ่มอีกคน ถ้าเขาเอาเรื่องไปบอกที่มหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มคนนี้อาจถูกไล่ออก หรือ... "ถ้ามีเรื่องจะให้ฉันไปคุยกับมหาวิทยาลัยให้ก็ได้นะ"
"คุณเองยังจะเอาตัวไม่รอด ไม่กลัวเรื่องที่เขาขู่หรือไง"
"กลัวสิ" ฉันตอบตามตรง แต่เมื่อมันเป็นความจริง ฉันก็ต้องยอมรับ "ฉันมันผิดเองที่ไปเล่นกับไฟ ฉันไม่คิดว่าเขาจะขึ้นมา..." พูดจบก็จิบเบียร์อีกอึก รู้สึกอยากเมาให้มันลืมๆ ไป
มันน่าสมน้ำหน้าตัวเองนัก การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย แค่รสสัมผัสอันอ่อนหวาน คำพูดช่างเอาใจของปรเมศทำให้ฉันหลงเข้าไปในโลกอันน่าลิ้มลองนั่นได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
"เมศคิดได้ยังไงนะว่าเรามีอะไรกัน"
แววตาเข้มๆ ของอีกฝ่ายมองมาที่ฉันแบบที่เดาความหมายได้ยาก เขาอาจจะกำลังสมน้ำหน้าฉันอีกคนก็ได้ แต่เขาไม่พูดอะไร ไม่กล่าวหา ไม่ว่าสักคำ นายเหนือปล่อยให้ฉันพร่ำเพ้อไปเรื่อยๆ ขณะเปิดเบียร์อีกกระป๋อง รินใส่แก้วทรงสูงและดื่มรวดเดียวครึ่งแก้ว จนอาหารที่สั่งไว้มาส่ง เราช่วยกันจัดจาน และกินด้วยกัน โดยที่ฉันยังดื่มเบียร์มากกว่ากินอาหาร
"ทำไมเมศถึงได้ใจร้าย และมองเราในแง่ร้ายแบบนั้นนะ ไม่ฟังกันบ้างเลย" ฉันยังคงพร่ำบ่นไปเรื่อย "แล้วนี่ฉันจะทำยังไงถ้าเขาเอาเรื่องไปประจานที่ทำงาน หมดกัน ทั้งงาน ทั้งอนาคต"
"ทีหลังทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ก่อน" อีกฝ่ายที่ดื่มเพียงน้ำเปล่า และกำลังจะกินอาหารกลางวันหมดจานบอกตรงไปตรงมา "เล่นกับไฟ มันก็โดนไฟลวกแบบนี้แหละ"
"อ้าว ทำไมมาว่ากันให้ช้ำใจแบบนี้ล่ะ แทนที่จะช่วยกันกินแก้ปัญหา ดีนะที่ยังไม่...เอิ่ม" ฉันถอนหายใจ หยุดพูดเพียงแค่นั้น วางช้อนเพราะกินไม่ลงเสียดื้อๆ ตอนนี้ทั้งเสียใจ เสียความรู้สึก และกังวลใจ
เบียร์ในแก้วหมด ฉันยกกระป๋องเท ข้างในกระป๋องที่สามของฉันก็หมด "ไปเอาเบียร์แป๊บ"
"ผมว่าพอเถอะ คุณดื่มมากไปแล้วเดี๋ยวเมา"
"เซ็ง อยากดื่ม เบียร์เก็บไว้นานแล้วไม่มีคนดื่มด้วยเสียที คราวนี้เอามากินให้หมด จะได้จบๆ กันไป" ตอบแบบรู้สึกว่ามึนนิดๆ อาการแบบนี้หรือเปล่าไม่รู้ที่เรียกว่าติดลม
"เมาไปมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรอกนะ"
ฉันได้ยินเสียงตามหลังมา แต่ไม่สนใจฟังแล้ว ใจรู้สึกแต่ว่าอยากดื่ม จริงๆ แล้วฉันห่างว่างเว้นจากเครื่องดื่มพวกนี้ไปนานพอสมควร จะดื่มมากๆ ก็ช่วงไปเรียนที่ต่างประเทศ เพราะที่โน่นอากาศหนาวแถมเบียร์ราคาถูก ดื่มเท่าไหร่ก็แทบจะไม่เมา แต่เมืองไทย อากาศร้อน เบียร์ก็เหมือนจะแรงกว่า ดื่มไปไม่เท่าไหร่ก็เลยมึนหนัก
หลังจากพยายามบังคับให้ตัวเองเดินให้ถึงตู้เย็นที่มีเบียร์อีกกระป๋องเก็บไว้ แต่ยังเดินไม่ถึงไหนนายเหนือก็เดินมารั้งแขนไว้
"พอเถอะพี่ ดื่มมากไปแล้ว เดี๋ยวเมา"
"ก็...อยากเมา"
"เราอยู่กันสองต่อสองนะ มันไม่ดี"
"ไม่ดีตรงไหน แค่กินเบียร์ด้วยกัน หรือนายจะปล้ำฉัน"
"..."
ฉันหัวเราะมึนๆ มองไปมองมา เพื่อนของปรเมศก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ แต่คนละเแบบกัน นายเหนือออกแนวเข้มๆ แมนๆ ลูกทุ่งๆ กว่า ไม่เหมือนอีกฝ่ายที่สูงโปร่งบางๆ แบบตี๋เกาหลี
"ไหนๆ เราก็เป็นข่าวด้วยกันแล้ว จะเป็นอีกหน่อย จะเป็นไรไป"
"พูดอะไรรู้ไหม" เสียงคนพูดหงุดหงิด "ไม่น่าปล่อยให้ดื่มเลยให้ตาย"
"ฉันอยากดื่มเอง อย่าคิดมากน่า" ฉันตอบเตรียมหันหลังกลับเดินไปหาตู้เย็น แต่เดินได้เพียงสองก้าวก็เซหลุนๆ จนอีกฝ่ายต้องมาจับต้นแขนไว้
"เมาแล้ว พอได้แล้ว"
"ฉันจะดื่มต่อ อีกกระป๋องเดียวหมดแล้ว"
"พี่...นี่จบดอกเตอร์มาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย"
"หมายความว่ายังไง"
"ขี้เมา ไม่รู้จักคิด" คนพูดส่ายหัว พูดจบก็รวบตัวฉันอุ้มเดินมาโยนลงที่โซฟารับแขกแบบไม่ให้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองเมา หรือว่าอะไรกันแต่ความรู้สึกที่อยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงๆ ของใครสักคนนี่มันดีจัง
...หรือฉันจะเมาจริงๆ...
"ผมไม่ได้มาทำงานวันหยุดแบบนี้เพื่อมานั่งฟังคนขี้เมาบ่นถึงคู่ขาของตัวเอง เรื่องบ้าๆ ที่ไม่เกี่ยวกับผมสักนิด"
ร่างสูงยืนค้ำหัว "แล้วก็อย่าไปเมาอย่างนี้กับผู้ชายคนอื่นอีกนะ คุณจะไม่รอดเหมือนครั้งนี้ ปัญหามันไม่ได้แก้ด้วยความเมาเข้าใจไหม ยิ่งเมาจะยิ่งไปกันใหญ่"
พูดจบเขาก็ก้าวยาวๆ ออกนอกระเบียง ฉันได้ยินเสียงเหมือนเจ้าตัวจะเก็บกล่องเครื่องมือ
ความทรงจำทั้งหมดของฉันมีอยู่เท่านั้นเมื่อลืมตาขึ้นบนที่นอนของตัวเอง!!
ฉันมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง
เสียงฝักบัวเปิดในห้องน้ำ...ใคร!
เมื่อกวาดตามองไปรอบห้องนอน ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ที่เดิม ยกเว้นมีกล่องเครื่องมือที่ติดโลโก้ของบริษัทรับติดตั้งอุปกรณ์ทำสวนแนวใหม่ถูกวางไว้ที่โต๊ะกลางห้อง
....มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย....
เพื่อนของปรเมศนั่งอยู่ที่เก้าอี้นอกระเบียงห้อง ถอดเสื้อที่เป็นชุดช่างออกเหลือแต่เสื้อกล้ามข้างใน เทียบกับปรเมศนายคนนี้หุ่นหนากว่าไม่ได้บอบบางแบบนายแบบเกาหลีเหมือนเพื่อน
ที่ระเบียงมีโต๊ะสีขาวตัวเล็กและเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ ฉันมักใช้โต๊ะตัวนี้เป็นที่จิบกาแฟยามเช้า หรือไม่ก็นั่งดูดาวเงียบๆ คนเดียวยามค่ำคืน วันนี้ฉันเปิดเบียร์สองกระป๋อง เปิดถั่วแมคคาเดเมียกระป๋องที่ได้เป็นของฝากจากเชียงรายมากินแกล้ม
กว่าเขาจะติดตั้งอุปกรณ์เสร็จก็เลยบ่ายสาม (ถ้าไม่มีเรื่องของปรเมศคงจะเสร็จเร็วกว่านั้น) ฉันสั่งอาหารแบบส่งตรงที่บ้านชวนอีกฝ่ายกินข้าวกลางวันด้วยกันเพราะเห็นว่าเลยเวลาอาหารกลางวันนานแล้ว ตอนแรกเพื่อนของปรเมศปฏิเสธ แต่ฉันอ้างว่าสั่งอาหารมาแล้วและอยากชวนเขาคุยต่อเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายจึงยอมโทรไปแจ้งบริษัทว่าจะไม่กลับเข้าไปอีก โชคดีที่ไม่มีคิวงานต่อจากนั้น
ระหว่างรออาหารที่ไม่แน่ใจว่าจะนับเป็นมื้อกลางวันหรือเย็น ฉันก็ส่งเบียร์นำเข้าซึ่งเหลือมาจากงานเลี้ยงเล็กๆ ของฉันกบเพื่อนเมื่อเดือนที่แล้วให้อีกฝ่ายและชวนคุยต่อ
"ผมไม่ดื่มในเวลางาน ขอเป็นน้ำเปล่าดีกว่า" คำตอบนั้นจริงจังมั่นคง
"ถ้างั้นฉันขอดื่ม"
เขาพยักหน้า จากนั้นเราก็คุยเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้น คู่เป็นเพื่อนทำงานกลุ่มเดียวกัน แถมอยู่ในวัยเดียวกัน น่าจะเข้าใจพอช่วยหาทางออก หรือให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ได้ เรื่องนี้บอกใครไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่นายเหนือซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ก็ไม่รู้จะคุยกับใครแล้ว
แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องปรเมศ ฉันถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อน เพราะสังเกตมาตลอดการประกวดว่าถึงแม้เขาอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก
"ผมไม่ได้สนิทกับเขา อาจารย์ที่ปรึกษาจับเรามาอยู่ทีมเดียวกันเพื่อเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ผมก็ไม่ได้อยากประกวดนักหรอกแต่เป็นเงื่อนไขในการรับทุน จะปฏิเสธก็ไม่ได้" เขาตอบ
"ทุน?" มหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่เป็นของเอกชน ค่าเล่าเรียนคงไม่ถูกนัก
"ผมไม่ได้มีฐานะเหมือนปรเมศ ได้ทุนเรียนฟรีตลอดสี่ปีถ้าคะแนนยังคงติดหนึ่งในสิบของภาควิชา" เขาตอบ "ค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ทำงานพิเศษเอา"
มิน่าเล่าเขาจึงดูเป็นคนมั่นใจและไม่แยแสใครนัก ชีวิตคงมีแต่เรื่องจริงจัง ต้องเอาตัวรอดให้ได้ เพราะไม่มีใครที่คอยช่วยเหลือ
"ถ้าอย่างนั้น ถ้าปรเมศไปฟ้องที่มหา'ลัย เธอจะทำยังไง เรื่องใหญ่เลยนะ" ฉันคิดถึงหน้าตาโกรธๆ ของเด็กหนุ่มอีกคน ถ้าเขาเอาเรื่องไปบอกที่มหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มคนนี้อาจถูกไล่ออก หรือ... "ถ้ามีเรื่องจะให้ฉันไปคุยกับมหาวิทยาลัยให้ก็ได้นะ"
"คุณเองยังจะเอาตัวไม่รอด ไม่กลัวเรื่องที่เขาขู่หรือไง"
"กลัวสิ" ฉันตอบตามตรง แต่เมื่อมันเป็นความจริง ฉันก็ต้องยอมรับ "ฉันมันผิดเองที่ไปเล่นกับไฟ ฉันไม่คิดว่าเขาจะขึ้นมา..." พูดจบก็จิบเบียร์อีกอึก รู้สึกอยากเมาให้มันลืมๆ ไป
มันน่าสมน้ำหน้าตัวเองนัก การศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรฉันเลย แค่รสสัมผัสอันอ่อนหวาน คำพูดช่างเอาใจของปรเมศทำให้ฉันหลงเข้าไปในโลกอันน่าลิ้มลองนั่นได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
"เมศคิดได้ยังไงนะว่าเรามีอะไรกัน"
แววตาเข้มๆ ของอีกฝ่ายมองมาที่ฉันแบบที่เดาความหมายได้ยาก เขาอาจจะกำลังสมน้ำหน้าฉันอีกคนก็ได้ แต่เขาไม่พูดอะไร ไม่กล่าวหา ไม่ว่าสักคำ นายเหนือปล่อยให้ฉันพร่ำเพ้อไปเรื่อยๆ ขณะเปิดเบียร์อีกกระป๋อง รินใส่แก้วทรงสูงและดื่มรวดเดียวครึ่งแก้ว จนอาหารที่สั่งไว้มาส่ง เราช่วยกันจัดจาน และกินด้วยกัน โดยที่ฉันยังดื่มเบียร์มากกว่ากินอาหาร
"ทำไมเมศถึงได้ใจร้าย และมองเราในแง่ร้ายแบบนั้นนะ ไม่ฟังกันบ้างเลย" ฉันยังคงพร่ำบ่นไปเรื่อย "แล้วนี่ฉันจะทำยังไงถ้าเขาเอาเรื่องไปประจานที่ทำงาน หมดกัน ทั้งงาน ทั้งอนาคต"
"ทีหลังทำอะไรก็คิดให้ดีๆ ก่อน" อีกฝ่ายที่ดื่มเพียงน้ำเปล่า และกำลังจะกินอาหารกลางวันหมดจานบอกตรงไปตรงมา "เล่นกับไฟ มันก็โดนไฟลวกแบบนี้แหละ"
"อ้าว ทำไมมาว่ากันให้ช้ำใจแบบนี้ล่ะ แทนที่จะช่วยกันกินแก้ปัญหา ดีนะที่ยังไม่...เอิ่ม" ฉันถอนหายใจ หยุดพูดเพียงแค่นั้น วางช้อนเพราะกินไม่ลงเสียดื้อๆ ตอนนี้ทั้งเสียใจ เสียความรู้สึก และกังวลใจ
เบียร์ในแก้วหมด ฉันยกกระป๋องเท ข้างในกระป๋องที่สามของฉันก็หมด "ไปเอาเบียร์แป๊บ"
"ผมว่าพอเถอะ คุณดื่มมากไปแล้วเดี๋ยวเมา"
"เซ็ง อยากดื่ม เบียร์เก็บไว้นานแล้วไม่มีคนดื่มด้วยเสียที คราวนี้เอามากินให้หมด จะได้จบๆ กันไป" ตอบแบบรู้สึกว่ามึนนิดๆ อาการแบบนี้หรือเปล่าไม่รู้ที่เรียกว่าติดลม
"เมาไปมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาหรอกนะ"
ฉันได้ยินเสียงตามหลังมา แต่ไม่สนใจฟังแล้ว ใจรู้สึกแต่ว่าอยากดื่ม จริงๆ แล้วฉันห่างว่างเว้นจากเครื่องดื่มพวกนี้ไปนานพอสมควร จะดื่มมากๆ ก็ช่วงไปเรียนที่ต่างประเทศ เพราะที่โน่นอากาศหนาวแถมเบียร์ราคาถูก ดื่มเท่าไหร่ก็แทบจะไม่เมา แต่เมืองไทย อากาศร้อน เบียร์ก็เหมือนจะแรงกว่า ดื่มไปไม่เท่าไหร่ก็เลยมึนหนัก
หลังจากพยายามบังคับให้ตัวเองเดินให้ถึงตู้เย็นที่มีเบียร์อีกกระป๋องเก็บไว้ แต่ยังเดินไม่ถึงไหนนายเหนือก็เดินมารั้งแขนไว้
"พอเถอะพี่ ดื่มมากไปแล้ว เดี๋ยวเมา"
"ก็...อยากเมา"
"เราอยู่กันสองต่อสองนะ มันไม่ดี"
"ไม่ดีตรงไหน แค่กินเบียร์ด้วยกัน หรือนายจะปล้ำฉัน"
"..."
ฉันหัวเราะมึนๆ มองไปมองมา เพื่อนของปรเมศก็หน้าตาดีเหมือนกันนะ แต่คนละเแบบกัน นายเหนือออกแนวเข้มๆ แมนๆ ลูกทุ่งๆ กว่า ไม่เหมือนอีกฝ่ายที่สูงโปร่งบางๆ แบบตี๋เกาหลี
"ไหนๆ เราก็เป็นข่าวด้วยกันแล้ว จะเป็นอีกหน่อย จะเป็นไรไป"
"พูดอะไรรู้ไหม" เสียงคนพูดหงุดหงิด "ไม่น่าปล่อยให้ดื่มเลยให้ตาย"
"ฉันอยากดื่มเอง อย่าคิดมากน่า" ฉันตอบเตรียมหันหลังกลับเดินไปหาตู้เย็น แต่เดินได้เพียงสองก้าวก็เซหลุนๆ จนอีกฝ่ายต้องมาจับต้นแขนไว้
"เมาแล้ว พอได้แล้ว"
"ฉันจะดื่มต่อ อีกกระป๋องเดียวหมดแล้ว"
"พี่...นี่จบดอกเตอร์มาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย"
"หมายความว่ายังไง"
"ขี้เมา ไม่รู้จักคิด" คนพูดส่ายหัว พูดจบก็รวบตัวฉันอุ้มเดินมาโยนลงที่โซฟารับแขกแบบไม่ให้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองเมา หรือว่าอะไรกันแต่ความรู้สึกที่อยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงๆ ของใครสักคนนี่มันดีจัง
...หรือฉันจะเมาจริงๆ...
"ผมไม่ได้มาทำงานวันหยุดแบบนี้เพื่อมานั่งฟังคนขี้เมาบ่นถึงคู่ขาของตัวเอง เรื่องบ้าๆ ที่ไม่เกี่ยวกับผมสักนิด"
ร่างสูงยืนค้ำหัว "แล้วก็อย่าไปเมาอย่างนี้กับผู้ชายคนอื่นอีกนะ คุณจะไม่รอดเหมือนครั้งนี้ ปัญหามันไม่ได้แก้ด้วยความเมาเข้าใจไหม ยิ่งเมาจะยิ่งไปกันใหญ่"
พูดจบเขาก็ก้าวยาวๆ ออกนอกระเบียง ฉันได้ยินเสียงเหมือนเจ้าตัวจะเก็บกล่องเครื่องมือ
ความทรงจำทั้งหมดของฉันมีอยู่เท่านั้นเมื่อลืมตาขึ้นบนที่นอนของตัวเอง!!
ฉันมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง
เสียงฝักบัวเปิดในห้องน้ำ...ใคร!
เมื่อกวาดตามองไปรอบห้องนอน ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ที่เดิม ยกเว้นมีกล่องเครื่องมือที่ติดโลโก้ของบริษัทรับติดตั้งอุปกรณ์ทำสวนแนวใหม่ถูกวางไว้ที่โต๊ะกลางห้อง
....มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย....
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 เม.ย. 2563, 17:16:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 เม.ย. 2563, 17:16:09 น.
จำนวนการเข้าชม : 674
<< 6: เรื่องบังเอิญ | 8: จำไว้ว่าผมชื่อเหมันต์ >> |