เหลี่ยมรักมัดใจ
ในความคิดเขา... เธอเป็นเด็กหัวรั้น ทำตามใจตัวเอง
ใครได้ไปเป็นภรรยาถือว่าทำบุญมาไม่ดี
ในความคิดเธอ... เขาช่างน่าเบื่อ ทื่อมะลื่อ
เป็นก้อนหิน ใครได้ไปเป็นสามีคงชีช้ำตาย
คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด เกลียดอย่างไหน
มักได้อย่างนั้น สองคนที่เข้ากันไม่ได้เอาซะเลยจึงต้อง
มาลงเอยด้วยการแต่งงาน

นิยายเรื่องนี้แต่งด้วยอารมณ์เมามันมากๆ รู้สึกสนุก
ปนเครียดเพราะแต่งตาม concept แต่ก็ผ่านมาได้ในที่สุด
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 7

วันนี้เป็นวันหยุดของณิชา เธอแวะไปหาอัญชลีที่ร้านเบเกอรี่ที่อัญชลีเป็นเจ้าของ ร้านเล็กๆ อบอวลไปด้วยกลิ่นขนมปังอุ่นๆ บรรยากาศของร้านชวนให้รู้สึกเป็นกันเอง น่านั่ง ในร้านจึงมีลูกค้าเต็มร้านเป็นนิจ

ตู้กระจกที่ตั้งอยู่ด้านหน้าร้านเต็มไปด้วยขนมเค้กนานาชนิด ทั้งเค้กหน้าผลไม้สด เค้กครีมต่างๆ เค้กที่มีหน้าเป็นคุกกี้ธัญพืช รวมถึงขนมปังก้อนเล็กขนาดพอดีคำหลายแบบ

“ขนมเค้กของร้านพี่มีความพิเศษคือจะทำขนาดเล็ก แบบกินแล้วไม่อิ่มมาก เพราะตั้งใจจะให้คนกินได้ลองกินหลายๆ อย่าง” อัญชลีเอ่ยขณะหยิบเค้กสามชิ้นมาให้ณิชาชิม “ส่วนขนมปังที่นี่ก็ทำเป็นก้อนเล็กๆ อุ่นให้ลูกค้าทุกครั้งเพื่อที่จะได้กินขนมปังอุ่นๆ เหมือนเพิ่งออกจากเตา

“อร่อยจังค่ะ” หญิงสาวชิมเข้าไปคำแรกก็ต้องเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ “พี่อัญเก่งจัง ทำเองทั้งหมดเลยหรือคะนี่” ในร้านมีผู้ช่วยเพียงสองคน

“พี่ทำมันจนชินแล้วล่ะ วันนี้เราจะเรียนทำขนมง่ายๆ ก่อน เริ่มด้วยคุกกี้หน้าธัญพืช เดี๋ยวกินขนมเสร็จไปเข้าครัวกัน” อัญชลียกมือให้พนักงานยกชามาเสิร์ฟ “นี่เป็นชาพิเศษที่สกัดมาจากใบสะระแหน่สดลองดู มันจะทำให้น้องสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ”

ระหว่างที่ณิชาดื่มชา อัญชลีถามถึงความคืบหน้าในการขอคืนดีกับสามีของเธอ

“เมื่อวานเราไปหาปู่ด้วยกันมาค่ะ”

“ก้าวหน้าดีนี่”

“ไม่เลยค่ะ เหมือนเดิม ไม่มีอะไรก้าวหน้าไปกว่านั้น ยังไม่มีโอกาสคุยกันเรื่องที่จะกลับมาอยู่ด้วยกัน”

“พวกดอกเตอร์มักจะมาตรฐานสูง สเต็ปต่อไป ใหม่ถึงต้องแสดงความสามารถอื่นๆ นอกจากเรื่องงานไงล่ะ”

“เขาอาจจะเห็นว่างานของใหม่เป็นเรื่องไร้สาระก็ได้ ตอนที่เขารู้ว่าใหม่ไปช่วยทีมเชียร์เขาทำหน้ายังกับใหม่ทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้เรื่องได้ราว” คนพูดทำตาละห้อย รู้สึกยากเหลือเกินที่จะก้าวข้ามความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นไปได้ “ไม่รู้เมื่อไหร่ใหม่จะกล้าคุยกับเขาตรงไปตรงมาเรื่องนั้นเสียที”

“พี่ถึงแนะนำให้ใหม่ทำขนมไปให้เขาไงคะ เขาจะได้เห็นว่าเรามีความสามารถอื่นๆ ด้วย ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนน่ะใครๆ ก็รัก”

“มิน่าเล่าใหม่ถึงไม่มีใครรัก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”

“ก็กำลังจะน่ารักเพราะทำอะไรเป็นหลายอย่างแล้วล่ะค่ะ” อัญชลีให้กำลังใจ

“พี่อัญอย่าเพิ่งท้อกับใหม่นะคะ บอกตามตรงว่าไม่เคยทำอะไรอย่างนี้จริงๆ” ไม่รู้ทำไมณิชาไม่เคยสร้างภาพกับอัญชลี

ทั้งคู่ใช้เวลาทำขนมด้วยกันตลอดบ่าย หญิงสาวพบว่าตนเองมีความสุขมากอย่างไม่น่าเชื่อกับการทำอะไรที่เธอคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อเช่นงานครัวแบบนี้ ในที่สุดถาดคุกกี้หน้าตาประหลาดถูกยกออกมาจากเตาอบ ณิชายกมันมาวางที่โต๊ะ ทิ้งให้เย็น ในขณะที่อัญชลีหยิบขวดโหลมาให้

“พอมันเย็น ก็เอาใส่ขวดโหล ผูกโบ แค่นี้ก็เรียบร้อยสวยงาม”

“แต่ของข้างในหน้าตาประหลาด” ณิชาหยิบขึ้นมาชิมหนึ่งชิ้น “อร่อย” เธอยิ้มกับอัญชลี “หน้าตาไม่เหมือนคุกกี้ตามร้านแต่อร่อยจังเลย”

ครูฝึกยิ้มภูมิใจในลูกศิษย์ที่ตอนนี้ทั้งผมและหน้าตาเลอะแป้งไม่เหลือเค้าคุณหนูไฮโซ

“เห็นใหม่แบบนี้ พี่คิดไม่ออกเลยว่าที่ใหม่บอกว่าใหม่ร้ายน่ะเป็นยังไง”

“ใหม่เอาแต่ใจตัวเองค่ะ แล้วก็ดื้อกับปู่มากๆ เป็นน้องคนเล็ก อะไรที่อยากได้ก็ต้องได้”

“สงสัยจะอารมณ์วัยรุ่น อยากต่อต้านทุกเรื่อง”

“ไม่รู้สิคะ คิดมาถึงตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองแย่จัง ปู่ให้ทำอะไรต้องทำตรงข้ามทุกครั้ง โชคดีที่ใหม่ได้เพื่อนไม่พาลงเหวไปไหน ไม่งั้นปู่คงเสียใจมากกว่านี้” หญิงสาวซึ่งกำลังหยิบคุกกี้ใส่ขวดโหลบอกเศร้าๆ “ถ้าไม่กลับมาหาปู่เพราะอยากได้เงินไปเปิดโรงเรียนสอนเต้น ใหม่ก็คงไม่รู้ว่าปู่ป่วย แล้วก็ยังสนุกกับชีวิตไร้สาระที่เมืองนอกไปเรื่อยๆ”

อัญชลีหยิบคุกกี้มาอีกขวด “ขวดนี้เป็นของฝากคุณปู่นะคะ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวพนมมือไหว้แล้วถอนหายใจ “ถ้าใหม่ไม่ได้พี่อัญเป็นที่ปรึกษาเรื่องนี้คงไม่รู้จะหันหน้าพึ่งใครเหมือนกัน”

“บอกแล้วไงล่ะว่าพี่ถูกชะตาเรา น้องสาวก็ไม่เคยมี นับใหม่เป็นน้องสาวก็แล้วกัน”

ณิชาเองก็ไม่มีพี่สาว มีแต่พี่ชายที่อายุห่างกันเกินสิบปี การได้รู้จักอัญชลีจึงเหมือนเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ในยามที่กำลังเคว้งคว้างแบบนี้

..........

หญิงสาวร่างเล็กเดินมาถึงห้องทำงานของ ดร.พิชญ์ เลขาฯ ของเขาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารตรงหน้า ขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร เมื่อเช้าผู้หญิงคนนี้ถือโหลคุกกี้เข้ามาและถามหาเจ้านายตั้งแต่ก่อนแปดโมงเช้า เมื่อไม่พบก็ฝากมันเอาไว้ ท่าทางผิดหวังนิดๆ

“ดอกเตอร์คุยอยู่กับท่านคณบดีค่ะ ไม่ว่าง”

“เอ่อ แล้วคุกกี้” ณิชาชี้มาที่ขนมที่ยังวางอยู่ที่เดิม มองเลยไปที่ช่อดอกไม้ด้านหลังโต๊ะที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ มันยังมีช่อใหม่สดอยู่เกือบทุกวัน

อรสายิ้ม “ยังไม่มีโอกาสให้ดอกเตอร์ค่ะ”

จังหวะเดียวกันนั้นเองที่ประตูห้องทำงานเปิดออก ชายหนุ่มเจ้าของห้องชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาหันไปคุยกับคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง ทำความเคารพท่านและรอจนท่านเดินออกไป

“ผึ้งขอกาแฟแก้วสิ ง่วงจริงๆ ยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน เดี๋ยวต้องไปสอนด้วย”

“ได้ค่ะ ดอกเตอร์เอาแบบเดิมใช่ไหมคะ วันนี้ผึ้งมีกาแฟใหม่ด้วย เพิ่งสั่งให้เพื่อนซื้อมาให้จากเมืองนอก ยี่ห้อที่เคยดื่มแล้วดอกเตอร์ว่ามันหอมดี งานนี้ง้อเพื่อนเพื่อดอกเตอร์คนเดียวเลยนะคะ”

จะหวานกันเกินไปแล้ว

“ขอบใจ อ้อ ผมขอเคลียร์งานนะ อย่าเพิ่งให้ใครกวน” เขาตวัดสายตามาหาณิชาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “มีอะไรหรือเปล่า”

“มีเรื่องจะคุยกับคุณนิดหน่อย” พูดจบเธอก็หยิบขวดโหลคุกกี้แล้วแทรกตัวเข้าห้องทันที “คุณเลขาฯ คะ ขอชาอีกที่ได้ไหมคะ ขอบคุณค่ะ”

นั่นทำให้ชายหนุ่มต้องเดินตามเข้าห้องทำงานของตัวเอง

“มาทำไมอีก”

“เอาขนมมาให้” เธอวางขวดโหลไว้บนโต๊ะ ยิ้มประจบอย่างจงใจ “อยากให้คุณชิม ฉันตั้งใจทำเองสุดฝีมือเลยนะ”

ชายหนุ่มไม่แม้แต่มองขนม ก้าวเร็วๆ เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารที่ยังสะสางไม่เรียบร้อยออกมาเปิดผ่านๆ “ไม่มีอะไรทำหรือไง ไหนว่าทำงาน”

“เดี๋ยวไป อยากคุยกับคุณก่อนไม่ได้เหรอ”

ไหล่กว้างของเขานิ่งขึง

“ฉันอยากจะคุยกับคุณตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเสียที”

“คุณปู่ของคุณเป็นยังไงบ้าง บอกท่านด้วยว่าเย็นนี้ผมไปเยี่ยมไม่ได้ ติดงาน” คนพูดจงใจเปลี่ยนเรื่อง บอกตัวเองว่ายังไม่พร้อมที่จะคุยเรื่องการเลิกราของทั้งคู่

คนตรงหน้าพยายามเหลือเกินที่จะคุยเรื่องนี้ เขาหลบเลี่ยงมาได้หลายครั้ง ครั้งนี้คงไม่มีทางแล้วสินะ เธอเล่นประชิดตัว ปิดประตูห้องทำงานคุยกันแบบนี้

อยากรู้นักว่าในสายตาเธอ เขาเป็นคนที่น่ารังเกียจมากหรือไง ถึงอยากจะแต่งก็แต่ง อยากจะหย่าก็หย่า ทำเหมือนเขาเป็นหินผาไม่มีหัวใจ

“ได้ค่ะ ฉันจะบอกท่านให้ รู้ไหม ท่านดูท่าทางดีใจไหมที่คุณไปเยี่ยมท่านได้” ถ้าเขาไปกับเธอบ่อยๆ ท่านก็คงจะอาการดีขึ้นโดยเร็ว ณิชาเปิดขวดโหล ยื่นขนมชิ้นหนึ่งให้สามี และอีกชิ้นของตัวเอง อีกฝ่ายรับไปอย่างเสียไม่ได้

“ฉันไม่ได้เอายาพิษใส่ไว้หรอกน่า รับรอง”

ชายหนุ่มถอนหายใจ กัดขนมคำหนึ่ง แค่เริ่มเคี้ยวก็ต้องชะงักเมื่อคิดขึ้นได้ “มันมีถั่วด้วยหรือเปล่า”

เธอคิดนิดหนึ่ง “มีมั้งคะ”

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ก้าวเร็วๆ ไปยังถังขยะแล้วคายมันทิ้งทันที

“ออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”

“อะไรน่ะ ทำไมต้องคายขนมของฉันทิ้งด้วย ไม่กินก็บอกกันดีๆ สิ” หญิงสาวขึ้นเสียงเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าทางรังเกียจขนมของตัวเองขนาดนั้น

“ดอกเตอร์แพ้ถั่วค่ะ” อรสาเปิดประตูเข้าห้องเพราะจะเอากาแฟและชาเข้ามาเสิร์ฟ จึงได้ยินสิ่งที่สองคนกำลังพูดกันอยู่เข้าพอดี เธอมองเลยไปที่คุกกี้ที่ชายหนุ่มเพิ่งกัดและวางที่เหลือไว้บนโต๊ะ รีบวางของในมือและตรงมาหาคนที่นั่งอยู่ จับที่ต้นแขนของเขาอย่างสนิทสนมไม่เกรงใจอีกคนที่อยู่ในห้อง สีหน้าวิตกกังวลอย่างมาก “แย่ละ…ดอกเตอร์เป็นยังไงบ้าง เอายาไหมคะ”

“เอาสิ เร็วๆ ด้วยนะ ผมรู้สึกว่าคันๆ แล้วล่ะ”

อีกฝ่ายวิ่งออกไปนอกห้อง กลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมยาเม็ดเล็กๆ ชายหนุ่มรับยาไปกลืน และดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็ว ส่วนหญิงสาวตัวต้นเหตุยืนงงอยู่ตรงนั้น หน้าถอดสี

“ดอกเตอร์แพ้ถั่วอย่างรุนแรง ถ้าเผลอกินเข้าไปจะมีอาการบวมที่ริมฝีปาก ขั้นรุนแรงอาจหายใจไม่ออก ต้องเข้าโรงพยาบาล คุณไม่ทราบเรื่องนี้หรือคะ”

ณิชาส่ายหน้า ยังพูดอะไรไม่ออก

“ฉันคิดแล้วว่ามันจะต้องมีถั่วผสมอยู่ ถึงไม่กล้าให้ดอกเตอร์ทานตั้งแต่แรก คุณก็ดื้อเอามาให้จนได้” อีกฝ่ายพูดเหมือนบ่นมากกว่า

“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะผึ้ง” ชายหนุ่มขัดจังหวะขึ้น ส่งแก้วน้ำคืนให้เลขาฯ “แค่กัดไปคำเดียวไม่ได้กลืน พักสักครู่คงดีขึ้น”

“ดีขึ้นจริงๆ นะคะ ถ้าดอกเตอร์เป็นอะไรไปผึ้งมีหวังโดนน้องๆ ที่แล็บสวดยับ ในฐานะที่ทำให้ส่งงานได้ช้าไม่ตรงกำหนดเพราะดูแลเจ้านายไม่ดี ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน” คนพูดรู้ดีว่าตอนนี้มีโปรเจกต์ด่วนต้องรีบปิด

ส่วนณิชาเม้มปาก หงุดหงิดกับความสนิทสนมรู้ใจของคุณเลขาฯ สาวหน้าตาดีนี่จริงๆ

“ไปทำงานต่อเถอะ”

“ค่ะ มีอะไรก็เรียกผึ้งนะคะ” น้ำเสียงอีกฝ่ายยังกังวล

พิชญ์พยักหน้า “ครับ”

เลขาฯ ของเขาออกไปแล้ว หญิงสาวอีกคนจึงได้สติ “ฉันไม่รู้”

ชายหนุ่มยักไหล่ “คุณทำให้เลขาฯ ของผมแปลกใจนะว่าทำไมภรรยาไม่รู้เลยว่าสามีตัวเองแพ้อะไร แต่อย่างว่าล่ะนะ อย่างคุณจะสนใจอะไรนอกจากเรื่องของตัวเอง”

หญิงสาวเม้มปาก

ณิชาถอยหลังไปสองก้าวก็ถึงประตู “ฉันขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ” เธอเปิดประตูและปิดอย่างแรง ก้าวเร็วๆ ออกจากที่นั่น เลขาฯ ของดร.พิชญ์เงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเธอเดินผ่าน

แววตาไม่พอใจของอีกฝ่ายตามมาหลอกหลอนหญิงสาวตลอดทาง

คุกกี้โหลนั้นคงถูกทิ้งลงถังขยะหน้าห้องแล็บ …หมดกันกับความพยายามหลายชั่วโมงเมื่อวันอาทิตย์

..........

ณิชาไปโรงพยาบาลเกือบทุกวัน เธอแอบหวังว่าจะได้เห็นคุณปู่ลุกขึ้นนั่งและพูดคุยกับเธออย่างสนุกสนานเหมือนเมื่อก่อน แต่นี่ก็เกินหนึ่งอาทิตย์แล้ว อาการของท่านดีขึ้นเพียงเล็กน้อย เพียงแต่ลุกนั่ง เดินได้บ้างเท่านั้น คิดมาถึงตรงนี้จิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วของหญิงสาวยิ่งมีอาการหนักขึ้น

วันนี้หน้าห้องที่คุณปู่พักรักษาตัวอยู่ดูชุลมุนเล็กน้อย พยาบาลสองคนเข็นเตียงเปล่าที่มีสายอุปกรณ์ระโยงระยางอยู่เข้าไป อีกคนถือถาดใส่อุปกรณ์วัดความดันออกมา พี่ชายของณิชายืนนิ่งอยู่หน้าห้องสีหน้าและแววตาบ่งบอกได้ว่าเครียดจัด

“เกิดอะไรขึ้นคะพี่หนึ่ง ปู่เป็นอะไรอีกหรือคะ”

พี่ชายซึ่งยังอยู่ในชุดทำงานและสูทเต็มยศเงยหน้าขึ้น “ไม่มีอะไรมากหรอก หมอจะเอาคุณปู่ไปตรวจอย่างละเอียดที่ห้องแล็บอีกตึกหนึ่งน่ะ ใหม่มาก็ดีแล้ว พี่มีเรื่องจะคุยกับเรา”

พยาบาลเข็นเตียงพร้อมคนไข้ออกมา ณิชาวิ่งไปข้างเตียง แต่พี่ชายแตะศอกไว้

“ไม่ต้องตามหรอกใหม่ พยาบาลบอกพี่แล้วว่าตรวจท่านแป๊บเดียว ไม่ต้องตามไปดู เอ้าไปนั่งโน่น” พี่ชายเดินนำไปที่โซฟาที่ตั้งเยื้องบริเวณหน้าห้อง

หญิงสาวเตรียมรับข่าวร้าย

“ปู่เป็นอะไรคะ หมอถึงต้องเอาไปตรวจอีก” กลั้นใจถามทั้งที่ไม่อยากได้รับข่าวอะไรที่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว

“หมอเตรียมการสำหรับการพาท่านออกจากโรงพยาบาล”

“ออกจากโรงพยาบาล!” หลานสาวคนเดียวร้องเสียงหลง “ได้ยังไงคะ เมื่อวานนี้คุยกับใหม่ก็ได้สองสามคำก็เหนื่อยยังกับวิ่งมาเป็นกิโลๆ หมอคิดอะไรอยู่ เราก็มีเงินจ่ายไม่ใช่หรือคะ”

“ไม่ใช่เรื่องเงินหรอก นี่แหละทำให้พี่ต้องคุยกับเรา ใหม่ก็รู้ๆ กันว่าคุณปู่อาการยังไม่ดีขึ้น แต่ท่านก็ดันทุรังอยากกลับไปอยู่บ้าน บอกว่าคิดถึงบ้านสวน หมอจะรั้งยังไงก็จะไม่ยอมท่าเดียว พี่พูดยังไงท่านก็ไม่ฟัง”

“แล้วเอายังไงดีคะ”

“เราต้องหาคนไปดูแลท่าน จะให้ท่านอยู่กับคนรับใช้ตลอดเวลามันก็น่าห่วง หากเกิดอะไรฉุกเฉินจะทำอะไรไม่ถูก จะขอให้ใหม่มาดูแลคุณปู่ให้หน่อย”

ณิชาเบิกตากว้าง ขยับปากจะบอกว่าพักนี้เธองานยุ่ง เพราะใกล้เวลาที่ทีมเชียร์จะแข่งขันแล้ว

“พี่ก็อยากทำ แต่ก็...งานยุ่งเหลือเกิน บริษัทกำลังมีปัญหา ใหม่เพิ่งกลับมา เหมาะที่สุด แถมเราก็ทำเรื่องกับท่านไว้เยอะด้วย คราวนี้จะได้ถือเป็นการขอโทษท่านในตัวไงล่ะ”

เพราะประโยคสุดท้ายทำให้คนที่อยากจะเอ่ยปากปฏิเสธพูดอะไรไม่ออก

ที่พี่ชายพูดมีส่วนถูก เมื่อเทียบพี่ชาย เธอเป็นหลานที่ไม่ได้เรื่องที่สุด มักจะทำให้คนเจ็บต้องเป็นห่วงอยู่เสมอ คุณปู่ป่วยหนัก ท่านไม่เคยบอกใคร แสดงท่าทีว่าเข้มแข็งมาตลอด ท่านอาจรู้ตัวว่าเป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรงตั้งแต่ตอนที่จับเธอแต่งงานกับพิชญ์ก็ได้ หากเป็นอย่างนั้นจริง หนึ่งในเหตุผลที่ท่านทำลงไปแบบนั้นคงกลัวว่าหากตนเองจากไปแล้ว หลานคนเล็กที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวจะไม่มีใครดูแล

แล้วเธอก็หนีไปเมืองนอก ทำลายและทำร้ายความรู้สึกของท่านแบบไม่ใส่ใจสักนิดเดียว

“ใหม่ว่ายังไง พอช่วยพี่ได้ไหม ไหนๆ ใหม่ก็เพิ่งกลับมา ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว”

หญิงสาวไม่กล้าบอกว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ก็เป็นเรื่องจริงจังครั้งแรกของชีวิต เธอเหลือบมองไปที่ประตูห้องคนป่วยซึ่งไม่มีใครอยู่แล้ว นิ่งอยู่หลายวินาที่ก่อนจะพยักหน้า “ก็….ได้ค่ะ”

“มันต้องอย่างนั้นสิ” พี่ชายตบไหล่น้องสาว ยิ้มยินดี หน้าตาสดชื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้สังเกตว่าน้องสาวซ่อนสายตาหม่นเศร้าของตนเองไว้ลึกๆ และพยายามฝืนยิ้ม

“แต่ว่าถ้าปู่หายดีแล้ว ใหม่ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” น้องสาวตัดสินใจเอ่ยขึ้นขณะที่พี่ชายยังอารมณ์ดีอยู่

“อะไร” พี่ชายขมวดคิ้ว

“ใหม่ขอสักสิบล้าน” เงินแค่นั้นนับว่าน้อยมากสำหรับพี่ชายที่ดูแลธุรกิจทั้งหมดของปู่

นภัทรเม้มปาก ขมวดคิ้ว “เราจะเอาไปทำอะไร”

“ลงทุนทำธุรกิจ อย่างที่เคยบอกไว้ตอนกลับมาใหม่ๆ ไงคะ อยากมีสตูดิโอเต้นของตัวเอง”

ผู้เป็นพี่ชายคิดในใจว่าหน้าตาแบบนี้น่ะเหรอจะทำธุรกิจ คงเอาไปถลุงเล่นไปวันๆ แบบเดิมเสียมากกว่า ถ้าให้ตอนนี้สงสัยว่าเงินสิบล้านคงจะหายไปในเวลาอันรวดเร็ว

“ไม่มากนะคะ เพราะว่าอาจจะต้องเอาไปสำรองเรื่องตกแต่ง แล้วก็เรื่องอื่นๆ อีก” น้องสาวทำเสียงอ้อน

“ให้ปู่หายแล้วเราค่อยมาคุยกันดีกว่า ใหม่ไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งนั้น เพราะความผิดที่เราทำไปแล้วพี่ยังไม่ได้ยกโทษให้ พี่ส่งเงินให้เราไปอยู่เมืองนอกมาเกือบสองปี มันหลายล้านแล้วนะ จะมาขออะไรอีก” คนพูดเอ่ยเสียงเข้ม

นั่นทำให้อีกฝ่ายต้องปิดปากเงียบ ไม่ต่อล้อต่อเถียงเหมือนคราวอื่นๆ

..........

“ปู่ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงขนาดนั้นหรอกน่า” เสียงคนป่วยบ่นเบาๆ เมื่อหลานๆ บอกเรื่องที่สรุปได้

“ให้ใหม่ไปดูแลคุณปู่นะคะ ไหนๆ ใหม่ก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ปู่จะได้มีคนช่วยทำสวนให้ไงคะ”

“ใช่ครับ ให้หลานรักดูแลปู่เสียให้สาสมกับที่หนีไปเที่ยวเมืองนอกซะเกือบสองปีไม่ส่งข่าวคราว” พี่ชายแทรกขึ้นมา

ผู้สูงวัยกว่าหรี่ตา “แต่อย่างใหม่น่ะเหรอ จะทำสวน ทำให้สวนปู่พังมากกว่ามั้ง” น้ำเสียงของคนป่วยยังเบาปนหอบนิดๆ แต่แฝงไปด้วยความสุขเพราะแน่ใจว่าจะได้กลับบ้านเร็วๆ นี้

“ลองดูฝีมือใหม่ก็แล้วกัน”

“แล้วปู่จะกลับได้เมื่อไหร่ล่ะ” คนป่วยถามทันที

“พวกเราคุยกับหมอแล้ว อย่างน้อยต้องดูอาการอีกสักวัน ใหม่จะไปเตรียมสถานที่ที่บ้านของปู่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วก็ให้ผลการตรวจของหมอยืนยันว่าปู่ออกไปได้จริงๆ  อดทนอีกวันเดียว นะคะ”

ผู้สูงวัยพยักหน้า ก่อนจะหลับตาลงอย่างมีความสุข นภัทรพี่ชายของณิชาหันมาหาน้องสาว ก่อนจะส่งสายตาอบอุ่นมาให้

ฉันคิดถูกแล้ว เธอบอกตัวเอง

..........

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่เลวร้ายอีกวันหนึ่งในชีวิตของณิชา เธองขอคุยเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์วิทยาซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมเชียร์ หญิงสาวทำอ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะเอ่ยปากบอกว่าจะขอลาออกจากทีมได้

“คุณจะไปวันไหน”

“วันนี้ค่ะ คือว่า ใหม่มีงานสำคัญต้อง…”

พูดยังไม่ทันจบประโยค เก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดของผู้จัดการทีมก็ถูกผลักให้ล้มลงอย่างแรง

“มีคนเสนองานที่ดีกว่างั้นสิ หรือว่าเบื่อแล้ว งานหนักไป ผลตอบแทนน้อยไป ไม่เหมาะกับคนที่ไปเรียนมาจากเมืองนอกอย่างคุณ”

พักนี้ทุกคนเครียดจัดเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับการแข่งขันของทีมยังไม่ลงตัวนัก ผู้ที่ลงแข่งขันบางคนเริ่มกระวนกระวายใจเพราะไม่มั่นใจว่าตนเองจะทำได้จริงในวันแข่ง จนทำให้ถึงกับพลาดในช่วงซ้อม ผู้แข่งขันที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญคนหนึ่งบาดเจ็บ ต้องเอาตัวสำรองมาซ้อมแทนไปก่อน

ถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ หญิงสาวจะไม่เลือกวันนี้เป็นวันที่บอกข่าวเรื่องลาออกเลย

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ใหม่มีปัญหาทางครอบครัวนิดหน่อย”

“เหตุผลคลาสสิคดีนะ ปัญหาทางครอบครัว … จะให้ผมเชื่อหรือไงว่าหลานสาวเศรษฐีพันล้านอย่างคุณจะมีปัญหาทางครอบครัว ผมคิดผิดจริงๆ ที่รับคุณเข้ามา เห็นว่ามีประสบการณ์จากต่างประเทศน่าจะช่วยทีมได้ ไม่คิดว่าคุณจะคิดว่าที่นี่เป็นที่วิ่งเล่นระหว่างที่เบื่อ อยากมาทำงานก็มา อยากไปก็ไป ง่ายๆ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร …เชิญเก็บข้าวของ กลับไปตั้งแต่เดี๋ยวเลย ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก”

ตอนที่มาสัมภาษณ์งานเธอไม่น่าเปิดเผยตัวเลยว่าเป็นใคร มันอาจทำให้อาจารย์วิทยาไม่เชื่อมั่นเสมอมาว่าหลานสาวของคุณปฐมเจ้าของธุรกิจชื่อดังจะมาทำงานนี้ได้

“คือว่า ผู้จัดการคะ ใหม่...”

“แค่นี้นะ เราหมดเรื่องคุยกันแล้ว ผมจะได้ไปดูทีมซ้อม” พูดจบผู้จัดการก็ก้าวเร็วๆ เปิดประตูและปิดเสียงดัง เดินตรงไปยังทีมเชียร์ที่กำลังซ้อมอย่างเอาจริงเอาจัง

ณิชาก้มหน้า เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายซึ่งวางอยู่ในล็อกเกอร์ด้านหลัง

“พี่ใหม่” วนิดาหนึ่งในทีมเชียร์เดินเข้ามาหาขณะที่เธอกำลังเก็บของ “ทะเลาะอะไรกับอาจารย์หรือเปล่าคะ ท่าทางแกโกรธจัดเลย”

ณิชาส่ายหน้า ยังก้มลงเก็บของของตัวเอง

“พี่ใหม่ถูกอาจารย์ดุหรือคะ มีอะไรให้พวกดาช่วยพูดกับอาจารย์ให้ไหม แกก็เป็นคนแบบนี้แหละเอาจริงเอาจัง สักพักพออารมณ์เย็นลงแกคงพอฟังเหตุผลได้ แรกๆ พวกเราก็ไม่ชิน หลังๆ ทุกคนโดนเหมือนกันหมด พวกเราเลยเฉยๆ”

หญิงสาวยิ้มให้ ดึงเด็กสาวมากอดแรงๆ “พี่ใหม่มีธุระ ทำงานกับทีมต่อไม่ได้แล้วละ อย่าถามนะว่าเพราะอะไร ถ้าแข่งเมื่อไหร่โทรไปบอกด้วยนะ มีโอกาสจะไปดู”

หญิงสาวอยากจะอยู่ทำงานกับทีมให้เสร็จ การเต้นเป็นชีวิตจิตใจของเธอ ถึงแม้ว่างานนี้จะเป็นงานเล็กๆ ที่เงินเดือนไม่มากนัก แต่มันก็คืองานแรกในเมืองไทย และเป็นงานที่เธอรู้สึกว่าได้เป็นตัวของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องมาทิ้งมันไปอย่างรวดเร็ว …

“ไปซ้อมต่อเถอะดา เดี๋ยวอาจารย์ตามตัวไม่เห็นจะโดนดุเอาอีกคน พี่เก็บของเสร็จแล้วคงไปเลย” หญิงสาวตัดบท รีบเก็บทุกอย่างลงกระเป๋าแล้วเดินออกมาจากห้องพัก

“แล้วไม่ต้องกลับเข้ามาให้ผมเห็นอีกนะ” เสียงตะโกนไล่หลัง ทีมเชียร์คนอื่นๆ ซึ่งไม่ทราบข่าวเรื่องณิชาจะลาออกต่างหยุดชะงักการซ้อมมองหน้ากันอย่างงงๆๆ

“เอ้า หยุดทำไม ซ้อมต่อ เวลาเรามีไม่มากนัก อย่ามัวใส่ใจเรื่องไร้สาระ” ผู้จัดการทีมตบมือแรงๆ เรียกสติทุกคน ก่อนจะกำชับเรื่องการแสดงท่าทางที่ถูกต้อง

ณิชากัดริมฝีปาก ก้าวออกมาจากที่นั่น บอกตัวเองว่าทำดีที่สุดได้เท่านี้จริงๆ



สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2563, 20:36:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 พ.ค. 2563, 20:36:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 547





<< ตอน ุ6   ตอน 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account